MRT #สถานีดีต่อใจ : สถานีที่ 3
พอออกจากโซน Plenary Hall ผมก็มุ่งตรงต่อไปยังโซนที่รวบรวมบูธสนพ.พิมพ์นิยายวายทั้งหลายไว้มากที่สุด นั่นก็คือ คือออ C1 นั่นเอง สวรรค์สุด ๆ เอาเป็นว่าลากกระเป๋าเดินมาไม่ไกลเท่าไรผมก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปยังบูธสนพ.นิยายวายก่อนเลยเป็นอันดับแรก
คืออยากขอเล่านิดนึงว่าตอนเริ่มหัดเป็นหนุ่มวายใหม่ ๆ เนี่ย อย่าว่าซื้อเลย หยิบมาดูยังไม่ค่อยกล้า ต้องแอบ ๆ กลัวคนอื่นมองมาไม่ดี กลัวนั่นกลัวนี่ จะซื้อทีต้องแอบกดสั่งเอาจากเว็บไซต์เท่านั้นแล้วรอพี่ไปรฯที่รักมาส่ง
แต่พอเริ่มอัปสกิลแล้วนะหรอ ... ตอนนี้บอกเลย ชอบเล่มไหนผมกวาดเรียบ
ยิ่งถ้าเล่มไหนหน้าปกสวย ๆ นี่ยิ่งรักเลย สนพ.เดี๋ยวนี้เหมือนรู้ทันพวกเราชาววายด้วยอะ ปกนิยายวายนี่สวย ๆ ทั้งนั้นนนน
เดินตรงเข้ามาที่บูธอย่างมั่นใจพร้อมกับลิสต์นิยายวายยาวเหยียดในมือ ระดับนี้คำนวณโปรโมชั่นมาพร้อมหมดแล้วด้วยนะครับ แลกซ้งแลกซื้อเล่มพิเศษ จัดมาให้หมด!
ถามว่าผมรอดไม่ ...ก็ไม่! เปย์วนไปสิครับ ทั้งวายแต่ง วายแปล เดี๋ยวนี้มีหลากหลายแนวมาก เลือกอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว สภาพตอนแบกกลับบ้านนี่... ช่างมันก่อนครับ ค่อยไปคิด!
เรียกได้ว่าเก็บเงินมาเปย์หมดตัวเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
กายพร้อม ไตพร้อม เราเปย์ได้!!!
ไหนจะลิสต์ที่พรีไว้นัดรับในงาน ไหนจะมารับผ้าแขวน เอาเป็นว่าวันนี้เข้ามารอบเดียวผมเก็บครบทุกไฮไลท์นิยายวาย เย่
ผมลากกระเป๋ามานั่งพักพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาเช๊คตามลิสต์อีกครั้งก่อนจะเรียงใส่กระเป๋าให้เป็นระเบียบ ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้แล้วอัปขึ้นไอจี อ้อ ผมยังไม่ได้เล่าใช่มั้ยอ่าว่านอกจากชอบอ่านหนังสือแล้วผมยังชอบถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำด้วย
เมื่อก่อนหน้าที่ผมจะหันมาชอบการถ่ายรูปเวลามีเรื่องที่อยากนึกถึงแต่นึกไม่ออกว่าตอนนั้นเกิดอะไร ทำอะไร กับใคร ผมหงุดหงิดตัวเองพอสมควร คือเราก็อยากเก็บทุกเรื่องทั้งที่ดีและไม่ดีไว้เป็นประสบการณ์ในชีวิตอ่านะ
พอผมได้มาหัดถ่ายรูปก็เลยสมัครไอจีไว้อัปเรื่องต่าง ๆ ที่พบในชีวิตประจำวันไว้คล้าย ๆ เป็นไดอารี่นั่นแหละ เวลากลับมาย้อนอ่านดูมันก็สนุกดีเหมือนกันนะ...เราจะนึกออกทันทีเลยว่าช่วงเวลาในภาพถ่ายนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยอดไลก์ไม่ได้สำคัญเท่ากับความทรงจำในภาพถ่าย
ผมถ่ายเพราะอยากถ่าย อัปเพราะอยากอัปก็แค่นั้น
ถึงแม้ว่าไอจีผมจะเปิดเป็นสาธารณะไว้แต่ก็มีคนฟอลเพียงแค่พวกเพื่อนสนิท อีกส่วนเป็นพวกชาวต่างชาติที่ชื่นชอบภาพที่ผมถ่าย
พออัปรูปเสร็จก็หันมาดูกองหนังสือข้างตัว ผมได้นิยายวายตามที่จดมาครบทั้งหมดแล้ว (ตังค์ในกระเป๋าก็เช่นกัน) พอดูเวลาตอนนี้อีกนิดก็เที่ยงกว่าแล้ว เรียกได้ว่าเดินช็อปจนลืมหิว เดี๋ยวค่อยออกไปหาอะไรกินแถวหัวลำโพงแทน ใช่ครับ...ผมจะนั่งรถไฟกลับ ประหยัดค่าเดินทางได้เยอะเลย แถมไม่ต้องเจอรถติดอีก
เพราะงั้นผมเลยกะว่าจะเดินไปดูพวกโซนหนังสือเรียนเตรียมสอบอีกนิดนึงก่อนจะออกจากงานกลับบ้าน
แหม เห็นแบบนี้ผมก็ยังมีสติเหลืออยู่บ้างนะ
ถึงจะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือเรียนเลยก็เหอะ แต่รู้ดีว่ามันมีเส้นบาง ๆ ระหว่างคำว่าความชอบกับความรับผิดชอบอยู่ แต่แม้ว่าผมจะไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ผมก็ตั้งใจเรียนในห้องในระดับปานกลางนะ ไม่เกเร ไม่ค้างงาน (คือรีบปั่นงานส่งจะได้มีเวลามาอ่านนิยาย) เกรดตอนนี้ก็เลยไม่ขี้เหร่ พอไปวัดไปวาได้บ้าง
ไหน ๆ ก็จะขึ้นม. 6 แล้ว ผมรู้ดีว่าจะมัวนั่ง ๆ นอน ๆ อ่านนิยายไปวัน ๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องฝืนใจแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือบ้างเนอะ ...เป็นไงครับ จบสวยมั้ยจบสวย
พอดีกับที่ผมกำลังเดินผ่านบูธของสนพ. แห่งหนึ่งที่ส่วนใหญ่มีหนังสือสำหรับเด็กเตรียมสอบพอดี ผมเลยลองมอง ๆ ดูเผื่อมีเล่มไหนที่สนใจ
“สวัสดีค่ะ สนใจเล่มไหนสอบถามได้นะคะน้อง” พี่พนักงานผู้หญิงยิ้มต้อนรับอย่างอัธยาศัยดี
“เอ่อ...” ผมเกร็ง ๆ นิดหน่อย คือด้วยความที่เป็นมนุษย์นอนอ่านนิยายในห้องแอร์ผมเลยไม่ค่อยคุ้น ๆ กับพวกที่มาจู่โจมแบบกะทันหันน่ะครับ ทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร จะว่ายังไงดี เหมือนเป็นพวกพูดได้นะ แต่ขี้เกียจพูดอ่า แหะ ๆ ยกเว้นจะชวนผมคุยก่อน ...แบบว่าเป็นพวกคิดเยอะนะ นู่นนั่นนี่ แต่กับคนอื่นจะพูดน้อย แปลกมั้ยเนี่ย
“ไหนพี่ขออนุญาตถามหน่อย ตอนนี้อยู่ม.อะไรแล้วเอ่ย”
“ขึ้นม.6 ครับ” อันนี้ก็จะตอบตามมารยาท
“อุ๊ย ตอนแรกพี่นึกว่าอยู่ม.4 นะเนี่ย ตัวเล็กน่ารักจังเลยน้า” โกรธครับ ร้องเรียนพนักงานได้มั้ย
“ตอนนี้ที่บูธมีโปรโมชั่นหนังสือเตรียมสอบหลายเล่มเลย ลองเลือกดูก่อนได้เลยน้า น้องสนใจคณะไหนเป็นพิเศษมั้ย เผื่อพี่พอจะแนะนำได้น้า”
“เอ่อ..สายครูครับ”
อันนี้ผมซีเรียสนะ จะมีคนขำมั้ยเนี่ยที่เห็นว่าผมอยากเป็นครู เออ ผมยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เคยติดสอยห้อยตามแม่ที่เป็นครูเข้าไปในโรงเรียนบ่อย ๆ รวมทั้งมานั่งทำชีทสรุปก่อนสอบให้ตัวเองอ่านจนพวกเพื่อนหลังห้องพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
ผมเลยพบว่ามันก็สนุกดีนะที่จะได้ลองถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่นเข้าใจได้แบบง่าย ๆ ด้วย เอาเป็น เวลาพอถึงเวลานั้นค่อยไปฝึกเรื่องการพูด การเข้าสังคมเอาแล้วกัน เนอะ
“งั้นน้องมาดูด้านนี้เลยค่ะ โปรโมชั่นตอนนี้ซื้อห้าเล่มลดทันที 30% เลยจ้า” พี่พนักงานแนะนำก่อนจะยื่นตัวอย่างหนังสือให้ผมดู ผมลองเปิดผ่าน ๆ แต่ดูท่าแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไร คือ มนุษย์สายขี้เกียจอ่านหนังสือเรียนอย่างผมเป็นโรคภูมิแพ้ตัวหนังสือเยอะ ๆ อ่านะ ยกเว้นนิยาย อันนั้นห้าร้อยกว่าหน้าก็อ่านรวดเดียวจบได้เลย
“น้องกระเป๋าลาก สามเล่มนี้ดีนะ... มีสรุปเข้าใจง่าย”
อยู่ ๆ ก็มีคนยื่นหนังสือ GAT เชื่อมโยง GAT ENG และสรุปเนื้อหา O-NET มาด้านหน้าผม
ผมสะดุ้งก่อนรีบหันไปมองคนข้างด้วยความรวดเร็วด้วยความตกใจ ใครมันเรียกผมว่าน้องกระเป๋าลากฮะ!
....อะไรเนี่ย ทำไมเป็นอีพี่เอ็ม(อาร์ที)อีกแล้วล่ะเฮ้ย!!
“อะไร..ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ พี่อ่านพวกนี้ก่อนสอบ ก็เข้าใจง่ายดี”
ผมหรี่ตามองเขาที่ยังคงแนะนำหนังสือให้อยู่ นี่เป็นพนักงานขายบูธนี้ปะเนี่ย
ขายเก่ง!
“เอ้า ลองดูก่อน...” เขายื่นหนังสือส่งมาให้ผม “รับสิ”
บอกแล้วว่าผมเป็นพวกมีมารยาท (จริง ๆ นะ) คือถ้าคุณไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ผมก็คุยได้เรื่อย ๆ แหละ ยกเว้นอย่าทำให้ผมโมโหเท่านั้นเป็นพอ
ผมยื่นมือไปรับหนังสือเล่มนึงมาลองพลิก ๆ ดู (ย้ำว่าตามมารยาท) แต่ดู ๆ ไปแล้วก็พบว่ามันสรุปเข้าใจง่ายอย่างที่พี่เขาบอกจริง มีผัง มีภาพประกอบคำอธิบายแถมตกแต่งเน้นหัวข้อแบบดูน่าอ่านด้วย
พอลองเปิดดูอีกสองเล่มที่เขาส่งมาให้ก็พบว่าเขียนเข้าใจง่ายจริง ๆ มีเน้นจุดสำคัญไว้ด้วย
ฮึ่ย! เอาเป็นว่าจะลืม ๆ ที่แกล้งผมไว้ก่อนแล้วกัน ไม่น่าเชื่อว่าพี่เขาจะเป็นคนมีสาระขนาดนี้ คุณพระ
“...ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าพูดขอบคุณเบา ๆ ก่อนหยิบสามเล่มที่พี่เขาเลือกมาให้เพื่อจะไปจ่ายเงิน
ใครดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ก็แค่นั้นอะ
“เดี๋ยวสิเอาของเรามานี่ก่อน เดี๋ยวรวมไปจ่ายด้วยกัน”
พี่เขาเอื้อมมือมาคว้าหนังสือที่ผมถือไว้ก่อน ผมมองงง ๆ ก็เห็นว่าในมือเขามือหนังสือเหมือนกันกับที่เลือกให้ผมอีกสองเล่ม อายุปูนนี้จะเตรียมสอบไปไหนอีก
“นี่ซื้อไปให้น้องนะ กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเหมือนกัน”
“อ๋อ ครับ”
“เราอยากเข้าคณะอะไรเนี่ย”
“ก็...สายครูครับ”
“ครุศาสตร์มหาลัยพี่ก็ดังนะ สนใจมาเข้ามั้ย” หืม? เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้สังเกตชุดนักศึกษาเขามาตลอด แต่พออยู่ใกล้ ๆ แล้วลองดูดี ๆ เข็มสัญลักษณ์มหาลัยตรงเนคไทนั่นก็ทิ่มตา
ชัดเลยครับ พระเกี้ยว..
“จะบ้าหรอพี่ เข้ายากขนาดนั้น ผมคงสอบติดหรอกมั้ง” ผมบ่นอุบ จริง ๆ ผมก็ไม่ซีเรียสเรื่องมหาลัยนะ เพราะใจนึงก็อยากเรียนใกล้ ๆ แถวบ้านนั่นแหละ ไม่ต้องมาอยู่หอหรือเดินทางไกล แต่อีกใจก็อยากไปเรียนไกล ๆ บ้านบ้าง จะได้ลองอยู่แบบพึ่งพาตัวเอง ยังดีว่าที่บ้านก็ไม่กดดันด้วย จะเรียนที่ไหนก็แล้วแต่เอาที่ผมสบายใจ
“ไม่หรอกน่า จริง ๆ พี่คิดว่าถ้าเราพยายามมันไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก เชื่อสิ”
“แต่ผมไม่ได้หัวดี ความจำสั้นด้วย” ผมตอบเสียงเบา
“อย่าไปสะกดจิตตัวเองแบบนั้นสิ เรายังไม่ได้ลองทำเลยนี่นา ทำมาหงอยอะไร ตัวห้าวเป้งที่จะกัดพี่ที่บูธการ์ตูนเมื่อกี้หายไปไหนฮะ” อ้าวพี่นี่วอนแล้วมั้ยล่ะ คนเขาอุตส่าห์คุยดี ๆ ด้วยนะ
ก็นะ...ถ้าถามว่าเคยลองพยายามเต็มที่หรือยัง
บอกได้เลยว่าผมไม่ได้สนใจคิดเรื่องนี้เลย ตอนแรกก็เรียน ๆ ชิว ๆ ไปอ่านหนังสือบ้างไม่อ่านบ้างตามสไตล์ คือก่อนสอบก็ค่อยอ่านนั่นแหละ
เมื่อเห็นผมนิ่งไปเขาเลยคว้าหนังสือที่มือผมออกไปจ่ายเงินรวมกับหนังสือของเขาแทน
ช่างเหอะ ... ถือซะว่าได้ส่วนลดเพิ่มตั้ง 30% เดี๋ยวค่อยเอาเงินให้พี่เขาก็ได้
จะว่าไปคนนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไรแหะ
“เอ้า นี่หนังสือเรา” หลังจากที่เขาไปจ่ายเงินเสร็จสรรพ พี่เอ็ม(ผมไม่รู้ชื่อเขานี่)ก็ยื่นหนังสือส่งมาให้สี่เล่ม
“ของผมมีสามเล่มนะพี่” ผมเงยหน้ามองเขาแบบงง ๆ อีกเล่มที่เพิ่มมาเป็นข้อสอบ PAT5 ที่สำหรับสอบความถนัดทางวิชาชีพครูโดยเฉพาะ ตอนแรกผมไม่ได้เลือกเล่มนี้ไว้นะ
“อ๋อ เล่มนี้พี่ที่บูธเขาแถมมาให้น่ะ” ผมหรี่ตามอง จริงดิ? “ไม่เชื่อลองไปถามดูเลยไป”
“ครับ ๆ แถมก็แถม ขอบคุณครับ ของผมเท่าไรอะ”
“สามร้อย” มีการชูสามนิ้วดิ๊ก ๆ ทำไมดูกวนตีนอะพี่
“แต่ในปกนี่ปาไปเล่มละสองร้อยกว่าแล้วนะพี่ สามเล่มของผมก็เจ็ดร้อยกว่าแล้วปะ” ผมขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย สามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนังสือห้าเล่มราคารวมน่าจะพันกว่าบาทนี่มันเป็นเงิน..... เอ่อ พี่ครับ ขอกระดาษทดด้วยครับ (ไม่ต้องงงครับไม่ได้จะเป็นครูคณิตแน่นอน ผมอยากเป็นครูศิลปะ)
“เออน่า งอแงจริง บอกว่าสามร้อยก็สามร้อยสิ” คนตรงหน้าเริ่มทำหน้าดุ
แค่ถามเฉย ๆ เอง ดุอะไรอะ
“ครับ ๆ” อะไรของพี่แกวะ หรือสงสัยสนพ.เขาลดให้เยอะล่ะมั้ง ผมยื่นแบงค์ร้อยไปให้สามใบแบบไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ก่อนจะเก็บหนังสือใส่กระเป๋าลากเตรียมไปขึ้นรถกลับบ้าน
พอดีอะ หมดตัวพอดี
“แล้วนี่จะไปไหนต่อเนี่ยน้องกระเป๋า” ก่อนออกจากบูธเขาหันมาถามผม
“อ๋อ เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วฮะ...พี่เรียกใครว่ากระเป๋านะ ไม่ได้ชื่อกระเป๋าโว้ย!”
“พอดีเลย งั้นกลับพร้อมกัน” เขายิ้มเล็ก ๆ ไม่สนใจผมที่โวยวายอยู่ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าลากใบโตของผมไปก่อนจะเดินนำลิ่ว ๆ ออกไปตรงไปทางออกเพื่อไปที่สถานี MRT ปล่อยให้ผมวิ่งตัวปลิวตามหลังมา
“เห้ยย หะ.. เดี๋ยวสิ พี่ รอก่อน กระเป๋าผม!” รอบนี้ผมหวงกระเป๋ายิ่งกว่าชีวิตนะเฮ้ย หนังสือในนี้รวมแล้วมูลค่าเป็นหมื่นอะบอกเลย (แต่ถ้าแม่ถามจะบอกว่าทั้งกระเป๋านี่หมดไปแค่สามพัน โอเคนะครับ)
เรียกได้ว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้วจ้า เหลือตังค์แค่ค่ารถกลับบ้านอะ ฮรุก
คุณแม่จะตีมั้ยครับ~~
ตอนแรกนึกสภาพว่าคงทุลักทุเลน่าดูกว่าผมจะลากกระเป๋าใบโตที่มีหนังสืออัดจนเต็มนี่กลับขึ้นรถยังไง แต่ยังดีหน่อยที่พี่เอ็มเขาช่วยลากมาให้จนกระทั่งลงมาในสถานี ปล่อยให้ผมเดินตัวปลิวสบาย ๆ แถมยังออกค่าตั๋วให้อีก อิอิ
อยากกราบแทบอกมากครับ ณ จุดนี้ พี่แม่งหล่อขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย!
ขอถอนคำพูดที่เคยว่าไว้ทั้งหมดฮะ ซาบซึ้งมาก
จริง ๆ ตอนนี้ผมก็แทบจะหมดแรงแล้ว แขนข้างขวานี่ชาดิก ขาก็เริ่มปวดตุ๊บ ๆ เดินไปต้องแอบบีบ ๆ นวด ๆ ไป โชคดีที่พอเราสองคนขึ้นมาบน MRT แล้วมีที่นั่งเหลืออยู่พอดี
...แต่ก็เหลืออยู่ที่เดียวอ่านะ ซึ่งแน่นอนว่าท่านพี่ (บูชาแล้วฮะ) เขาเสียสละให้ผมนั่ง
แต่คือ... อิพี่มันดันหัวผมลงมานั่งเก้าอี้นี่เรียกเสียสละได้มั้ยอะ ฮึ่ย
ใช่ครับ เราขึ้นรถ MRT ขบวนเดียวกันไปทางเดียวกัน
เห็นว่าพี่เขาจะลงที่สถานีสามย่าน ก่อนหน้าสถานีผมหนึ่งสถานี ส่วนผมก็จะไปลงที่สถานี หัวลำโพง แล้วเดี๋ยวรอรอบรถไฟเพื่อขึ้นรถกลับบ้าน
ประหยัดไปได้อีกเกือบห้าสิบบาทแหนะ! แถมไม่ต้องกลัวรถติดด้วย เย่!
“เออ พี่เรียนคณะไรอะเนี่ย” ผมเงยหน้าขึ้นไปชวนคุยคุณพี่ที่ยืนจับห่วงอยู่ด้านหน้าผม
“คะน้าหมูกรอบสองจานพิเศษครับ”
....
คุณได้ยินเสียงความเงียบมั้ยครับ....
กา กา กา
“คือ...ดูหน้าแล้วพี่ไม่น่าใช่คนกวนตีนขนาดนี้นะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปกอะ ฮ่า ๆ”
“โหย เอาดี ๆ ดิ นี่ถามด้วยความอยากรู้ส่วนบุคคลนะ”
“นิเทศศาสตร์ เอาปีด้วยมั้ย ปีนี้ปีสองแล้ว”
“มิน่า หน้าแบบนี้ไปเป็นดาราได้สบายเลย” อันนี้ชมจากใจจริงนะ ไม่ได้ประชด
“หืม นี่เราชมพี่หรอนี่ ไม่น่าเชื่อแหะ หูฝาดเปล่าวะ”
คนตรงหน้าทำท่าเป็นแคะหูอีก ยี้
“ก็งั้น ๆ อะ พอเห็นแบบนี้นี่ไม่หล่อแล้ว ดูท่าแล้วรุ่นน้องไม่น่าจะนับถือเลยนะพี่” จริง ๆ คนหล่อทำอะไรก็หล่อครับ ... แต่ปล่อยพี่มันไปเถอะ
“นี่ พี่จริงจังเรื่องที่ว่าอยากให้เราลองมายื่นที่คณะครุ ม.พี่ดูนะ” ง่า....จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโหมดทำหน้าจริงจังเฉยเลย
ผมเงยหน้ามองสบตาเขาเงียบ ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
..ใครเขาจะเข้าได้กัน
ติ๊ด ๆ
สถานี คลองเตย โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ เสียงสัญญาณรถไฟฟ้าดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย คนเริ่มทยอยลงไปบ้าง ทำให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมมีที่ว่างอยู่ พี่เขาเลยเดินเข้าไปนั่งตรงนั้นพร้อมกับลากกระเป๋าใบโตของผมเข้าไปด้วย
คือ ภาพที่เห็นตอนนี้ชวนขำมาก ด้วยความที่พี่แกดูลุคเท่ ๆ แต่กระเป๋าลากผมนี่มาทำให้บรรยากาศรอบตัวดู... น่ารักขึ้นเยอะล่ะมั้ง
ผมทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเลื่อนดู ไม่ลืมที่จะปิดเสียงก่อนลอบถ่ายภาพคนตรงหน้า
โดยให้ติดภาพกระเป๋าลากใบโตของผมไปด้วย พอดูเทียบแบบนี้แล้วกระเป๋าที่ผมแบกมานี่ใหญ่มากจริง ๆ
บ้าไปแล้ว
ผมเข้าแอปแต่งภาพแล้วปรับโทนสีจนพอใจก่อนเปิดเข้าไปไอจี ตั้งใจว่าจะลงรูปก่อน
รู้ตัวอีกทีที่นั่งข้าง ๆ ผมก็ว่าง เพราะคุณป้าลุกย้ายเดินออกไปอีกฝั่ง น่าจะเข้าใจว่าผมกับพี่เขามาด้วยกันล่ะมั้ง เลยทำให้พี่เขาย้ายฝั่งมานั่งข้างผมแทน
“ชอบถ่ายรูปหรอเรา” พี่เขาถามพร้อมกับชะโงกหน้าเขามามองภาพในไอจีผมด้วยความสนใจ “ถ่ายสวยดีนี่นา”
“ฮะ จดไว้เป็นไดอารี่ส่วนตัว... เฮ้ย พี่ห้ามดู” ไม่ได้ ยังไงก็ดูไม่ได้เด็ดขาด! ดีนะยังไม่ได้เปิดรูปพี่เขาอยู่ ไม่งั้นอายตายเลย แถมมีรูปอื่นอีกต่างหาก ผมรีบร้อนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทันที โดยยังไม่ทันได้อัปภาพล่าสุดที่เพิ่งถ่ายไป
“อ้าว อะไรเนี่ย คนเขาอุตส่าห์ช่วยยกกระเป๋าให้นะ แค่นี้ทำมาหวง”
“เดี๋ยว ๆ ได้ข่าวว่าพี่ลากกระเป๋าผมออกมาเองนะ จริง ๆ ผมหิ้วมาเองก็ได้เหอะ”
“หรอ.. ตัวกะเปี้ยกแค่เนี้ย”
“อ้าวพี่ ผมโกรธแล้วนะเว้ย ว่าอย่างอื่นได้ ห้ามบอกว่าผมตัวเล็ก!” ผมกอดอกจ้องมองเขาตาเขียว ไม่ว่าใครพูดก็มีเคืองอะบอกเลย!
“โอ๋ ๆ ขอโทษครับน้องตัวโต ฮ่า ๆ” ดูพี่มันประชด โว้ยยย นี่ผมจริงจังนะเนี่ย
“เออ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมเราไม่ใช้บริการส่งไปรษณีย์อะ จะได้ไม่ต้องแบกกลับบ้านเอง” พี่เขาหันมาถาม จริง ๆ แล้วผมก็เคยคิดนะ...แต่พอลองคิดไปคิดมาก็....
“เสียดายตังค์อะ ตั้งหลายร้อย”
“อ๋อ งก ว่างั้นเหอะ”
“เดี๋ยว ๆ ก็แค่ประหยัดมั้ยล่ะครับ ถึงมันจะเหนื่อยหน่อยแต่มันก็สนุกดีนะผมว่า ระดับนี้แล้ว แบกได้สบาย ๆ”
“หรอครับ แล้วใครนะที่มันยกกระเป๋าขึ้นบันไดไม่ได้น่ะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ยกไม่ได้นะ ก็ค่อย ๆ ยกไง ทีละขั้นแบบปลอดภัยไว้ก่อน เข้าใจปะ?”
“ครับ ๆ อีกนิดคงล้มกลิ้งลงมาทั้งคนทั้งกระเป๋าอะ”
“พี่แม่งเว่อร์ละ” ผมบ่นอุบ ไม่ได้ขนาดนั้นซะหน่อยมั้ยล่ะ
“ตัวไซส์นี้นี่พับเก็บใส่กระเป๋าได้นะเอาจริง ๆ ฮ่า” นี่ก็ยุ่งกับไซส์ผมจัง เดี๋ยวปั๊ด!!
ติ๊ด ๆ
สถานี ลุมพินี โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ “งานหนังสือคราวหน้าเราจะมาอีกมั้ยเนี่ย”
“ไปสิพี่ ไม่พลาดแน่นอน แต่ต้องขอที่บ้านก่อนนะ” กว่าจะขอยื่นอนุมัติได้นี่ลำบากแทบแย่
“เขาว่าจะเปลี่ยนที่จัดนะ ที่เดิมจะปิดซ่อมหลายปีเลย”
“เฮ้ย จริงดิพี่ แล้วทีนี้ผมจะไปยังไงอะ ยิ่งไม่ค่อยชำนาญทางในเมืองอยู่ด้วย”
“งั้นเอาไว้ถึงงานหน้าเมื่อไร ไปด้วยกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวพาไป”
“ฮะ? ผมกับพี่เนี่ยนะ”
“กับแมวมั้ง ถามมาได้”
“เอาดี ๆ ดิพี่ ผมจริงจังนะเนี่ย”
“แล้วใครว่าพี่ไม่จริงจังฮะ”
“อะไรของพี่วะเนี่ย ตามไม่ทันแล้ว ไม่ปงไม่ไปมันละ”
“ทำหน้าแมวขู่ฟ่อ ๆ อีกละ ฮ่า ๆ” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นมือมาบีบแก้มผมอีก เดี๋ยว ๆ
“มากไปละครับพี่ มากไป ๆ ผมก็ลูกมีพ่อมีแม่นะขอบอก มาจงมาจับ ฮื้ออออ ปล่อยเลย” ผมตีมือสองข้างที่กำลังบีบแก้มอยู่ ลวนลามเด็กมั้ยล่ะ! ผมยังไม่สิบแปดเลยนะเว้ย! คุณตำรวจครับ!!
ติ๊ด ๆ “ครับ ๆ งั้นไว้ไปขอพ่อกับแม่แล้วค่อยจับได้ใช่มั้ย?”
“...หืม?” พี่แกว่าอะไรขอ ๆ นะ พอดีเสียงสัญญาณดังเลยไม่ค่อยได้ยินง่ะ แถมดันพูดเสียงเบาอีก
สถานี สีลม โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ “พี่ลงสถานีหน้าใช่ปะอะ สามย่าน”
“อืม ทำไมอะ จะลงด้วยหรอ”
“ไม่ใช่ละ” ผมเก็บข้อมูลเฉย ๆ ไม่ได้ไง! เผื่อมีโอกาสมาเป็นนิสิตแถวนี้บ้างอะไรบ้าง
ฮือ ขอไปนอนฝันก่อนเนอะ
“แถวนี้มีร้านเค้กเจ้าอร่อยด้วยนะ สนใจเปล่า เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง” ไม่ต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์เลย
“หรอ ผมก็ชอบของหวานนะ แต่คงไม่ไปอะ”
“งั้นไอติม? คาเฟ่ต์แมว? ชาบู? ซูชิ? ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยไม่ใช่หรอเราอะ ไม่หิวไง”
“หลอกล่ออะไรผมเนี่ย จะพาไปค้ามนุษย์หรอฮะ! ผมโทรฟ้องสคบ.นะเว้ย”
“ฮ่า ๆ เรื่องนี้สคบ.เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย พี่ชวนไปกินจริง ๆ”
“เดี๋ยวผมตกรถไฟอะ กลัวกลับบ้านไม่ทัน พี่ไปเหอะ” คือถ้าตกรอบนี้ก็ต้องรออีกชั่วโมงกว่าเลยไง
ถ้าขึ้นรอบเย็นกว่าจะถึงบ้านก็ค่ำเลยด้วย
“ว้า เสียดาย อดเลี้ยงอาหารแมวเลย”
“พี่พูดอะไรผมได้ยินนะ เดี๋ยวปั๊ดข่วนหน้าเลย”
“ดุอีก ไปหาหมอฉีดยายังเนี่ยตัวเนี้ย”
“ฉีกแล้วโว้ย จะลองมั้ย กัดให้ได้นะ!” แง่ง คุยกันดี ๆ ได้ไม่กี่ประโยคพี่เขากวนตีนผมตลอดเลยอะ
จะชวนทะเลาะให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย! บวกกันเลยปะมา ๆ!
ติ๊ด ๆ
สถานี สามย่าน โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ อ่า... ยังไม่ทันได้บวก หมดเวลาสนุกแล้วสิ
ผมหันไปมองคนข้าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณบอกสถานี
“ลืมถามเลย เราชื่ออะไรเนี่ย?” เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวออกจาก MRT ก่อนหันมาถามผม
“ชื่อ บุ๊ค ที่แปลว่าหนังสือ”
“โอเค งั้นพี่ไปนะน้องบุ๊ค” ไม่ว่าเปล่ายังยิ้มกว้างแล้วยื่นมือเข้ามาลูบหัวผมเบา ๆ สองสามทีจากนั้นก็เดินออกไปนอกขบวนรถด้วยความรวดเร็ว
ตัดภาพมาที่ผมคือ... เครื่องช็อตไปแล้วอะ....
รถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากสถานี เมื่อหันไปมองนอกหน้าต่าง ยังทันเห็นพี่เขาโบกมือให้ ก่อนที่ภาพนั้นจะแทนที่ด้วยกำแพงสีดำแล้วสะท้อนภาพของผมที่ตอนนี้กำลังจับหัวตรงบริเวณที่พี่เขาลูบเบา ๆ เมื่อกี้
บ้าเอ๊ย
อาการที่หัวใต้เต้นหนึบ ๆ นี่มันอะไร
ทำไมผมต้องทำตัวเหมือนเคะในนิยายวายขนาดนี้วะ ใจสั่นชิบหาย ฮือออ
เวลาสั้น ๆ ระหว่างทางก่อนจะถึงสถานีปลายทาง ผมย้อนคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเขากับผม จุดเริ่มต้นจากคนแปลกหน้าสองคนธรรมดา ๆ ที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้เลย
พี่เขาใจดี
ใช่ เพราะความใจดีนั้นยังทำให้ผมใจสั่นอยู่นี่ไง
หรือผมคิดมากไปเองกันแน่ ... เราเหมือนเส้นตรงสองเส้นที่ลากเข้ามาหากัน เกิดจุดตัดแค่จุดเดียว
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ย
ผมลืมถามชื่อเขากลับไป
ผมไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไร
แต่เชื่อได้เลยว่า...ถ้าถึงช่วงงานหนังสือเมื่อไร ผมคงจะเผลอคิดถึงเรื่องของเขาแน่นอน
ติ๊ด ๆ
สถานี หัวลำโพง โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ ขอขอบคุณที่ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานคร
ผู้โดยสารโปรดทราบ รถขบวนนี้จะหยุดให้บริการที่สถานีหน้า กรุณาลงจากรถและติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีหากต้องการความช่วยเหลือ ขออภัยในความไม่สะดวก ขอบคุณค่ะ ระหว่างที่รถไฟค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเข้าไอจี ก่อนจะลงภาพสุดท้ายที่เพิ่งถ่ายไปบน MRT
ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเข้ามาเห็นไอจีของผม แต่อย่างน้อยผมก็อยากเก็บมันไว้เป็นความทรงจำดี ๆ
Book'worm ขอบคุณพี่เมะ MRT สำหรับวันนี้ด้วยนะครับ น่าจะจำงานหนังสือปีนี้ไปอีกนาน #สถานีดีต่อใจ _____________E__N__D__(หรือเปล่านะ)___________________
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามอีกครั้งค่ะ ประเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเก็บของหนีไปไหนน้าาาา ยังมีตอนพิเศษอีกค่ะ รบกวนคอมเม้นต์แนะนำได้นะคะ เรื่องนี้เป็นแนววายกุ๊กกิ๊กคอมเมดี้ปกติที่เพิ่งเคยแต่ง (แล้วจบ) ฮา
เรื่องก่อนหน้านี้มีแต่ธีมสัตว์โลก โทนบรรยากาศหม่น ๆ
ใครสนใจเข้าไปอ่านได้ที่ >> Animalia : บนโลกสีเทา เป็นเรื่องสั้นฉบับสัตว์โลกค่ะ
ใครเล่นทวิตมาคุยกันได้ที่ @Inomekii แท็ก #สถานีดีต่อใจ