หงคงฉ่วยเจรจาธุรกิจเสร็จ ก็ไล่เตียไป๋กลับไป ก่อนจะกลับขึ้นมาด้านบนคฤหาสน์ เอนตัวอ่านหนังสือพิมพ์ช่วงเช้าบนโต๊ะทำงานได้สักพัก หลี่คงก็เดินเข้ามา “สารวัตรลู่มาขอพบครับ”
“อืม.. ให้เข้ามาเลย บอกเสี่ยวจือให้พาเสี่ยวชิกออกมาด้วยนะ เสี่ยวชิกอยากเจอสารวัตรลู่” หงคงฉ่วยว่า คนเป็นพ่อบ้านพยักหน้า
“ได้ครับ”
ลู่อี้เผิงเดินเข้ามาพร้อมกับกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ หงคงฉ่วยเห็นแล้วก็ทักขึ้นทันที “เผิงเผิงเปิดกิจการขายดอกไม้หรือไง?”
“เปล่า” ลู่อี้เผิงว่า ก่อนจะพูดต่อ “ผมเห็นรถของคุณชายรองตระกูลเตียเพิ่งขับออกไป เขาหายไปได้สักสามสี่วันแล้ว คุณจับเขาไว้หรือ?”
“ก็เหมือนๆ ตอนเธอมาหาฉันครั้งแรกน่ะแหละ” หงคงฉ่วยตอบ ลู่อี้เผิงเม้มปาก “งั้นเขาก็มีหงคงฉ่วยบนขาแล้วเหมือนกันล่ะสิ”
“อืม...”
“คุณยังอยากให้ผมมาอยู่อีกมั้ย?”
“?”
ลู่อี้เผิงเม้มปากแน่น “เขาดูดีกว่าผมตั้งเยอะ ผมคงไม่ต้องมาแล้วล่ะ”
“เผิงเผิง” หงคงฉ่วยพูดเสียงเข้ม “ถ้าพูดแบบนั้นอีกฉันจะดึงลิ้นเธอแล้วเอาธูปจี้ เพราะฉันถือว่าเธอกำลังดูถูกฉันอยู่”
“?!” ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองหงคงฉ่วย ทางนั้นเลยพูดกลับมาอย่างรำคาญๆ “ฉันไม่ซี้ซั้วเอาใครก็ไม่รู้มาอยู่ข้างตัวหรอกนะ”
ไม่รู้ทำไม ลู่อี้เผิงเกือบหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มพยายามปั้นหน้าเครียดอยู่สักพัก ทางนั้นก็ถามขึ้นบ้าง
“เอาดอกกุหลาบมาทำไมน่ะ?”
“ผมเอามาเยี่ยมไข้ เห็นว่าคุณไม่สบาย” ลู่อี้เผิงตอบ แล้วรีบพูดต่อ “คือ ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อดอกกุหลาบหรอกนะ แต่ว่าพอดีดอกไม้อย่างอื่นที่ร้านมันหมด”
“อ้อ...” หงคงฉ่วยลากเสียงแล้วยิ้มที่มุมปาก ลู่อี้เผิงดูจะเกร็งขึ้นมาทันที “ไม่ชอบดอกกุหลาบหรือ?”
“เปล่า ถ้าจะเอามาให้ก็เดินขึ้นมาสิ จะโยนมาให้รับหรือไง? อยากลองซ้อมเป็นเจ้าสาวดูรึ?”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่หงคงฉ่วยรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหา
“หน้าตาคุณดูสดชื่นขึ้นนะ ไม่เหมือนคนเพิ่งหายป่วยเลย” ลู่อี้เผิงทัก ตอนที่เอาดอกไม้ช่อนั้นยื่นให้หงคงฉ่วย อีกฝ่ายรับมาแล้วพูดยิ้มๆ “อยากดูทั้งตัวเลยไหมล่ะ?”
ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ดีกว่า.. ผมกลัวโดนกระทำทารุณทางเพศ”
“ปากดีจริงๆ นะ อย่าให้รู้นะว่าอยู่บนเตียงแล้วเธอคึกคักขนาดไหน”
ลู่อี้เผิงหน้าแดงจัด ถลึงตาใส่หงคงฉ่วยอีกรอบ แต่ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรตอบโต้ เสียงเรียกชื่อก็ดังแทรกขึ้น “เผิงเผิง”
แปะชิกชิกบินพึ่บๆ จากไหล่ของลั่วซ่งจือ มาเกาะไหล่ของหงคงฉ่วย จากนั้นก็หันหน้าไปหาลู่อี้เผิง แล้วเรียกอีก “เผิงเผิง”
เป็นอีกครั้งที่ลู่อี้เผิงจำต้องยิ้มให้นก จากนั้นก็พูดขึ้นบ้าง “จริงสิ คุณลองตามที่ผมบอกไปหรือยัง ที่ว่าลองวางของสวยๆ เป็นประกายให้นกคุณคาบดูน่ะ”
“ยัง” หงคงฉ่วยว่า ได้ยินเสียงแปะชิกชิกพูดอีก “คิดถึง คิดถึง” จากนั้นก็บินลงไปโฉบปากกาด้ามสีทองบนโต๊ะทำงานของหงคงฉ่วย บินไปเกาะไหล่ลู่อี้เผิง ก่อนจะพยายามยื่นปากกาด้ามนั้นให้
หงคงฉ่วยกะพริบตาปริบๆ แล้วโพล่งออกมา “แย่แล้ว เสี่ยวชิกหลงรักเผิงเผิงแล้ว” จากนั้นก็ทำหน้าเสียอกเสียใจเหมือนลูกสาวไปคบชู้สู่ชาย
ลู่อี้เผิงมองหน้าหงคงฉ่วย จากนั้นก็รับปากกามาจากนก ก่อนจะพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คุณอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเองได้มั้ย มันอาจจะแค่อยากคาบเล่นก็ได้”
“ไหนเธอบอกว่านกมันจะคาบของไปให้ตัวที่ชอบไง” หงคงฉ่วยสวนทันที ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ พอเห็นอีกฝ่ายเถียงไม่ออก หงคงฉ่วยก็ได้ที รีบสำทับทันที “ไม่รู่ล่ะ เผิงเผิงต้องรับผิดชอบ มีลูกกับเสี่ยวชิกเสียดีๆ ”
“จะบ้าเรอะ!” ลู่อี้เผิงร้องออกมาทันที “ผมเป็นคนนะ จะไปมีลูกกับนกได้ยังไง”
“ก็เสี่ยวชิกหลงรักเธอนี่” หงคงฉ่วยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ประหนึ่งจับได้ว่าลู่อี้เผิงแอบบุกมาปล้ำลูกสาวตัวเองถึงบ้าน นายตำรวจหนุ่มถลึงตาจ้องเขาอยู่เป็นนาน แปะชิกชิกก็เลยเอาศีรษะถูไถแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะจิกกระดุ้มเสื้อของลู่อี้เผิงที่เป็นสีเงินเม็ดหนึ่งจนขาด
“อ้าว!” ลู่อี้เผิงตกใจกับพฤติกรรมดังกล่าว เลยเอื้อมมือไปจับนกไว้ แต่ก็ไม่ทันอีกเช่นเคย แปะชิกชิกบินกลับไปหาหงคงฉ่วย แล้วยื่นกระดุมให้ หงคงฉ่วยกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
“ชอบ ชอบ” เจ้านกกระตั้วตัวนั้นร้องแล้วตีปีกพึ่บๆ จากนั้นก็ย่ำไปย่ำมา ท่าทางดูตื่นเต้นอยู่บนไหล่ของหงคงฉ่วย ทั้งหงคงฉ่วยและลู่อี้เผิงมองดูของในมือของแต่ละคน จากนั้นแปะชิกชิกก็บินไปเกาะคอนบนโต๊ะ กระโดดไปกระโดดมาแล้วร้องออกมาอีก “ชอบเผิงเผิง ชอบคงฉ่วย รักเผิงเผิง รักคงฉ่วย”
หงคงฉ่วยอึ้งอยู่เป็นนาน ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะ แล้วหันไปหานก “โถ... เสี่ยวชิก ทำไมเพิ่งมาสารภาพเอาป่านนี้.. แบบนี้ก็ต้องส่งเสี่ยวเม่ยกลับบ้านน่ะสิ” เสี่ยวเม่ยเป็นชื่อนกกระตั้วตัวเมียที่หงคงฉ่วยซื้อมาเมื่อหลายเดือนก่อน ลู่อี้เผิงที่ยืนดูอยู่อดไม่ได้ต้องทักขึ้นมา “ผมก็นึกแล้วว่ามันต้องติดคุณจนไม่ยอมมีลูกมีเมีย คุณเลี้ยงมันสนิทเกินไปนะ”
“อืม งั้นไม่เป็นไร” หงคงฉ่วยว่า “เสี่ยวชิกจะอยู่เป็นเพื่อนฉันไปจนแก่ ครองโสดไปด้วยกันจนตัวตาย”
แน่ะ ทีตะกี้ยังบังคับให้เขาออกลูกกะนกอยู่หยกๆ พอเข้าตัวละแถไปโน่นเชียว
ลู่อี้เผิงมองหงคงฉ่วยอย่างหมั่นไส้ “นี่ คุณอย่าลากนกไปตกระกำลำบากด้วยเลยน่า ปล่อยๆ ให้มันอยู่กับคนอื่นบ้าง มันจะได้ไปหาคู่สักที”
“ฉันไม่อยู่ เสี่ยวชิกก็ดึงขนตัวเอง น่าสงสารจะตาย” หงคงฉ่วยว่า และทำหน้าเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง “ที่แท้ เราหลงรักซึ่งกันและกันอยู่นี่เอง วันไหนสารวัตรลู่จับฉัน ต้องจับเสี่ยวชิกไปด้วยนะ เสี่ยวชิกจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนฉันในคุก”
ลู่อี้เผิงเริ่มนึกว่าหงคงฉ่วยแก่จริงๆ ก็คราวนี้แหละ “คุณอย่าตีโพยตีพายเป็นคนแก่ไปหน่อยเลยน่า ยังไม่ถูกจับสักหน่อย”
“ก็ฉันแก่แล้วนี่ เผิงเผิงก็อยากจับฉัน ชีวิตคนแก่ๆ อย่างฉันจะอยู่ในคุกได้กี่ปีกัน ให้ฉันได้ตายไปกับนกสุดที่รักเถอะนะสารวัตร”
เจ้านกกระตั้วตัวนั้นเดินไปเดินมา แล้วเรียกเจ้านายเสียงดัง “คงฉ่วย คงฉ่วย ไปอยู่กับคงฉ่วย รักคงฉ่วย”
ลู่อี้เผิงมองทั้งนกทั้งเจ้านาย แล้วกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือก “เรื่องนั้นไว้ค่อยว่าตอนคุณถูกจับจริงๆ ก็แล้วกัน ผมมานี่ เพื่อจะมาบอกคุณว่า ทางกรมขอบคุณคุณมาก เรื่องข้อมูลแก๊งเอสามสิบสอง”
“โถ... ไอ้เราก็คิดว่าเผิงเผิงน้อยจะมาเยี่ยมไข้ดูใจคงฉ่วยเสียอีก เสี่ยวชิกดูสิ เผิงเผิงใจจืดใจดำขนาดนี้ ยังจะรักลงอีกหรือ?”
ลู่อี้เผิงชักนึกสงสัยว่า ถ้าปู่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ จะทำตัวน่ารำคาญแบบเจ้านกยูงบ้านี่ไหม
เจ้านกกระตั้วตัวนั้นตีปีกพึ่บๆ แล้วขยับไปขยับมาบนคอน “ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่อง”
ทฤษฏีที่เขาว่า เจ้าของเป็นอย่างไร นกเป็นอย่างนั้น คงจะพอใช้หงคงฉ่วยกับเจ้านกกระตั้วปากเสียตัวนี้พิสูจน์ได้อยู่หรอก ลู่อี้เผิงยืนสูดหายใจอย่างอดทน แล้วพูดขึ้นในที่สุด “ผมตั้งใจจะมาขอบคุณคุณเป็นการส่วนตัวด้วย”
หงคงฉ่วยหันขวับมาทันที ยักไม่ทันได้พูดอะไร เจ้านกกระตั้วตัวนั้นก็ชิงพูดขึ้นอีก “รักเผิงเผิง รักเผิงเผิง”
จู่ๆ ลู่อี้เผิงก็หน้าแดงขึ้นมา พูดตะกุกตะกัก “คงฉ่วย เขาว่า นกพูดตามเจ้าของ จริงหรือเปล่าน่ะ?”
หงคงฉ่วยถลึงตาใส่ลู่อี้เผิงทันที “เสี่ยวชิกฉลาดกว่านั้นเยอะ ไม่ต้องพูดตามคนหรอก”
“อ้อ...” นายตำรวจหนุ่มเม้มปากแน่น ก่อนจะพูดออกมา “โล่งไปที...”
หงคงฉ่วยมองดูนายตำรวจหนุ่มยืนบิดไปบิดมาอยู่พักหนึ่ง ก็ถามขึ้นบ้าง “มีธุระอะไรอีกไหม?”
“อืม...” ลู่อี้เผิงส่งเสียงในคอ “พรุ่งนี้ผมหยุด”
“แล้ว?”
“...........................”
“อยากจะค้าง?”
“อืม”
หงคงฉ่วยมองคนตรงหน้า ที่กำลังแก้มแดงนิดๆ ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “อยากตรวจดูร่างกายฉันขนาดนั้นเลยเรอะ งั้นขยับมาใกล้ๆ อีกสิ”
ลู่อี้เผิงขยับตัวเข้าไปใกล้ พอได้จังหวะ หงคงฉ่วยก็ตะปบมือไปที่คอของเขา นายตำรวจหนุ่มรีบเบี่ยงตัวหนีทันที แต่ขนาดคิดเอาไว้แล้ว สุดท้าย คอของเขาก็ถูกล็อกกับปลอกคอหนังอีกจนได้
“คงฉ่วย!!! ยังไม่เลิกเล่นบ้าๆ แบบนี้อีกหรือเนี่ย?” ลู่อี้เผิงพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน หงคงฉ่วยหัวเราะร่วน “แหม... ค่าที่พักยังไม่ต้องจ่าย แถมได้คำปรึกษาฟรี นี่ฉันอุตส่าห์ให้คำปรึกษานอกเวลาเชียวนะ โดนนิดโดนหน่อยแค่นี้ สารวัตรลู่จะโวยวายอะไรนักหนา” พูดจบก็กระชากโซ่ที่ล่ามคอของลู่อี้เผิงขึ้นมา “วันนี้เทียนมี กุญแจมือมี แส้ก็มีนะเผิงเผิง ฉันว่าคืนนี้เราคงเร้าใจกันน่าดูเลยล่ะ”
ลู่อี้เผิงพยายามจะตั้งสติ จากนั้นก็ปั้นหน้าเครียด “คงฉ่วย ผมเพิ่งนึกได้ มีคดีอีกอย่างต้องไปสรุปสำนวนคืนนี้”
“ไม่เป็นไร อยู่เล่นกับฉันสักสองสามชั่วโมงก็ได้ รับรองฉันจะฟาดสารวัตรไม่แรง เอาแค่ที่หลัง ที่ขา ก็พอ เวลาใส่เสื้อแล้วจะได้มองไม่เห็น ไปกันเถอะ อยากจะลองเฆี่ยนเผิงเผิงดูจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
ลู่อี้เผิงอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันเนี่ย!!!
----------------------------------------------------
** จริงๆ เรื่องนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแค่หงคงฉ่วยกับเผิงเผิง ซึ่ง...พอเขียนมาถึงจุดนี้ อยากจะบอกว่า มันก็ใกล้จะหมดเรื่องเขียนเต็มทีแล้วล่ะ แต่... อยากให้มันรวมเล่มได้สักสองเล่ม<<เหตุผลทางธุรกิจสุดๆ!! (โดนโบก
)
ตอนชิลๆ ที่วางแผนเอาไว้แ้ล้วยังไม่ได้เขียน น่าจะมีตอนที่หงคงฉ่วยได้เผิงเผิงครั้งแรก (เอ๊ะ ตกลงหงคงฉ่วยได้เผิงเผิงสินะ?!) แล้วก็มีตอนที่เผิงเผิงไปกับลั่วซ่งจือ (ซึ่งบทของหงคงฉ่วยอาจจะมีโผล่มาน้อยนิด แต่คงแสดงถึงความตีนผีของเผิงๆ ได้เป็นอย่างดี) แล้วก็ตอนที่หงคงฉ่วยไปบ้านเผิงเผิงครั้งแรก (อันนี้ยังไม่ได้คิดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เราสมควรจะเขียนถึงสินะ?) สรุปแล้วมีแต่ตอนย้อนอดีต ฮ่าๆ ที่ผุดขึ้นมาใหม่ก็น่าจะฉากที่มีคนไปขอเผิงเผิงถ่ายแบบ... (อันนี้เราอาจจะได้เห็นความหวงของคงฉ่วย <<จะหวงจริงเร้อ?) หมดนี่ก็คงต้องเข้าเนื้อหาหลักที่ทุกคนถือป้ายไม่เอาดราม่าเตรียมขว้างใส่เราเต็มที่.... (ตั้งบังเกอร์สู้!!)
ดังนั้น ก่อนเข้าเนื้อหาหลัก ยังมีฉากไหนที่อยากให้เขียนก็ลองแจ้งๆ มาดูนะคะ เผื่อจะตกๆ หล่นๆ (คนอ่านใจหล่นวูบ... แกจะดราม่าจริงเรอะ!!<< แหม.... อ่านไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะค่า /วิ่งหนีกลับหลุม)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ^^