ตอนที่ลู่อี้เผิงเปิดประตูออกไป ยังเห็นชายเสื้อของหงคงฉ่วยอยู่ไหวๆ นายตำรวจหนุ่มรีบย่องตามไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางยาวในคฤหาสน์ของหงคงฉ่วยโดยไม่ต้องปิดตา หงคงฉ่วยเดินไปทางระเบียงทางเดินด้านซ้าย จากนั้นก็เลี้ยวขวาลงบันไดวน แล้วก็ไปโผล่ยังอุโมงค์อุโมงค์หนึ่ง
ที่ปลายอุโมงค์มีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หลายคัน ลู่อี้เผิงจำไม่ได้ว่านี่ใช่อุโมงค์เดียวกับที่หงคงฉ่วยพาเขามาเมื่อวันก่อนหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่อุโมงค์จะหน้าตาเหมือนๆ กันหมด จากนั้นหงคงฉ่วยก็ขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง แล้วขับออกไป
เสียงเครื่องยนต์ดังสะท้อนก้องไปทั่วอุโมงค์ ลู่อี้เผิงรีบวิ่งตามออกไป และพบว่ามอเตอร์ไซค์คากุญแจเอาไว้ทุกคัน การเตรียมพร้อมเผื่อฉุกเฉินขนาดนี้ของหงคงฉ่วยให้ประโยชน์กับเขาเต็มๆ
ลู่อี้เผิงรีบขึ้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง แล้วภาวนาว่าเสียงที่สะท้อนก้องแบบนี้คงไม่ทำให้ทางนั้นสงสัยว่ามีใครขี่รถตามมาหรอก
หงคงฉ่วยขี่มอเตอร์ไซค์ได้หวาดเสียวเช่นเคย และเร็วเอามากๆ ด้วย ลู่อี้เผิงเลยจำต้องบิดคันเร่งเต็มที่เพื่อรักษาระยะห่างเอาไว้ สักพักเขาก็โผล่ขึ้นมาในพงหญ้าที่เชื่อมกับถนนใหญ่ โชคดีที่เสียงรถบรรทุกซึ่งวิ่งไปวิ่งมาบนถนนเส้นนั้น ช่วยกลบเสียงมอเตอร์ไซค์สองคันได้สนิท
หงคงฉ่วยขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนน และเลี้ยวเข้าไปในท่าเรือแห่งหนึ่ง ลู่อี้เผิงใจเต้นโครมคราม เจ้าหมอนี่คงไม่ได้มาท่าเรือแค่เพราะอยากล่องเรือกลางดึกแน่ๆ นายตำรวจหนุ่มบีดมอเตอร์ไซค์ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรสายตรงเข้าสู่ทีมที่รอฟังข่าวอยู่
“เขามาที่ท่าเรือA เตรียมกำลังเอาไว้ด้วย”
----------------------------------------------------------
เว่ยจินหยินเงยหน้ามองเรือลำใหญ่ ก่อนจะหันไปหาอีกคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามา
“พวกตำรวจเริ่มเคลื่อนไหวตามแผนหลอกของคุณแล้ว คุณนี่ร้ายจริงๆ ” คนที่พูดเป็นชายวัยราวๆ สักสามสิบห้า รูปร่างสูงโปร่ง สวมสูทลำลองกับกางเกงยีนส์สีสนิม เว่ยจินหยินมองเขาแล้วยิ้มออกมา
ถ้ามีคำกล่าวว่า ยิ้มของสาวงามสามารถล่มเมืองได้ ยิ้มของเว่ยจินหยินก็คงสามารถฆ่าคนได้
รอยยิ้มไร้เดียงสาราวกับรอยยิ้มของเทวดา ที่แฝงความชั่วร้ายดังปิศาจเอาไว้เบื้องหลัง
“หงคงฉ่วยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของผมมานาน ผมแค่ถือโอกาสนี้กำจัดเขา แล้วก็ดำเนินธุรกิจกับพันธมิตรใหม่อย่างคุณเท่านั้นแหละครับ คุณลี”
คนที่ถูกเรียกว่าลียิ้มตอบ “ผมคงจะเป็นพันธมิตรกับคุณได้ ถ้าการขนย้ายสินค้ารอบนี้ลุล่วงลงไปได้”
“นี่ก็สำเร็จไปได้กว่าครึ่งแล้วล่ะครับ หงคงฉ่วยมีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบไปเดินเล่นริมท่าเรือกลางดึกในคืนเดือนมืด พฤติกรรมนี้ยังไงก็ต้องเป็นที่สงสัยของพวกตำรวจอยู่แล้ว ท่าเรือที่เขาชอบไปห่างจากนี่เยอะมาก คุณขนของให้สบายใจไปเถอะครับ”
คนชื่อลีมองเขาพักหนึ่ง แล้วถามออกมา “อืม ผมได้ยินมาว่าหงคงฉ่วยลี้ลับ แต่คุณพูดเหมือนรู้จักเขาดี คุณกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกันมาก่อนหรือไง”
“ความสัมพันธ์ของเราไม่น่าพูดถึงหรอกครับ” เว่ยจินหยินตอบยิ้มๆ “คุณจัดการสินค้าของคุณไปเถอะครับ เรื่องท่าเรือและทุกอย่าง ผมรับผิดชอบเอง รับรองว่ายังไงก็ต้องเรียบร้อยแน่นอนครับ”
คนชื่อลียิ้มออกมาอีก “พักนี้ตำรวจกดดันพวกผมอย่างหนัก ได้เห็นความฉลาดปราดเปรื่องของคุณท่านแห่งตระกูลเว่ยกับตาแบบนี้แล้ว ผมก็พอจะเบาใจได้ล่ะครับ”
“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” ผู้ชายที่สวมแว่นตากรอบทองและหวีผมเรียบแปล้ติดหนังศีรษะตอบ “ผมก็แค่อยากได้พันธมิตรทางธุรกิจดีๆ อย่างคุณเพิ่มเท่านั้นล่ะครับ”
“อืม รอบบนี้ถ้าเป็นไปได้สวยก็ถือว่าเราสมผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย รอบหน้าผมอาจจะเพิ่มมูลค่าการส่งกับคุณอีก ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณนะครับ”
พูดจบก็ยื่นมือมา เว่ยจินหยินเพียงแต่ยิ้มให้ ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้มีแผลเป็นตรงใต้แก้มซ้ายที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมานานจึงพูดขึ้นแทน “คุณท่านไม่ชอบสัมผัสร่างกายกับคนอื่นนะครับ ขออภัยด้วย”
“อ้อ...” คนชื่อลีครางออกมา เว่ยจินหยินพูดขึ้นต่อ “ขอโทษด้วยนะครับ พอดีมือผมมันไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่”
ฝ่ายนั้นจ้องหน้าเขาอยู่พัก แล้วก็หัวเราะออกมา “คุณนี่มัน.... สมกับที่เขาร่ำลือกันจริงๆ นะ”
เว่ยจินหยินไม่ตอบอะไร ได้แต่หัวเราะ ตอนนั้นเองที่เสียงใครอีกคนดังขึ้น
“ระรื่นใหญ่เลยนะ เจ้าเด็กแซ่เว่ย คิดว่าแผนการแค่นี้ฉันจะดูไม่ออกหรือไง?”
เว่ยจินหยินหันควับไปตามเสียงทันที คนพูดยืนอยู่ในเงามืดของตู้คอนเทนเนอร์ มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัด แต่ก็พอจะเห็นสีของเสื้อและกางเกงที่เจ้าตัวสวมอยู่ สีแดงคล้ำราวกับเลือดที่กำลังแห้งกรัง
“หงคงฉ่วย!!” เว่ยจินหยินร้องขึ้น และหยิบปืนออกมาทันที คนตัวสูงที่ยืนข้างเขาก็ขยับตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเหมือนกัน คนที่ยืนอยู่ในเงามืดพูดขึ้นอีก
“ยังจำกันได้อีกหรือนี่ น่าดีใจจริงๆ แต่คิดว่าปืนแค่นั้นจะทำอะไรฉันได้หรือไง”
เว่ยจินหยินไม่ตอบ แต่เหนี่ยวไกปืนลูกโม่ในมือ
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังก้องไปทั่วท่าเรือกว้าง แต่คนที่ยืนหลบในเงามืดหายไปแล้ว จากนั้นก็มีเสียงดังตามขึ้นมา “เว่ยจินหยินเอ๋ย คิดว่าเอาตำรวจมาดักฉันแล้วฉันจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ถนัดล่ะสิ คิดผิดแล้วล่ะ”
ทั้งสามคนที่ยืนอยู่หันมองไปรอบๆ คนชื่อลีถามขึ้นมา “คุณเว่ย เจ้าหมอนี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่?”
“เป็นคนเหมือนคุณกับผมนี่แหละ” เว่ยจินหยินว่า และได้ยินเสียงหัวเราะดังตามขึ้นมา “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๋ย ฉันจะจัดการสั่งสอนพวกแก ก่อนที่ตำรวจจะทันได้รู้ตัวเสียอีก การได้ตายในน้ำมือของหงคงฉ่วย แกควรจะรู้สึกภูมิใจนะ”
เว่ยจินหยินแค่นยิ้ม “อย่าทำปากดีไปหน่อยเลย ลำพังคุณตัวคนเดียวจะทำอะไรพวกผมได้”
เสียงเดิมหัวเราะร่วน “เด็กๆ ของฉันกำลังออกจากคฤหาสน์ อีกไม่กี่นาทีแกคงจะเหลือแค่ชื่อแล้วล่ะนะ คุณท่านจิ้งจอก”
“ผมล่ะเกลียดเวลามีใครเรียกแบบนี้จริงๆ ” เว่ยจินหยินว่า และหันไปทางคนชื่อลี “คุณลี คุณออกเรือของคุณเลย ทางนี้ผมรับมือเอง อยากรู้เหมือนกันว่าหงคงฉ่วยจะแน่สักแค่ไหน”
คนชื่อลีมองหน้าเขาอยู่พัก จากนั้นเสียงเดิมก็ดังขึ้น “ไม่ให้ไปหรอก ไอ้พวกขยะ”
สิ้นเสียง ร่างหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาทันที พร้อมกับมือที่ตะปบเข้ามาอย่างแรง คนชื่อลีกระทั่งจะหยิบปืนขึ้นมายังทำไม่ทันด้วยซ้ำ ขณะที่มือนั้นกำลังจะพุ่งเข้าถึงคอของเขา ร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาก็เข้ามาขวางเอาไว้
“รีบไปเร็วเข้าคุณลี อยากจะตายนักหรือไง” เว่ยจินหยินว่า ขณะที่คนตัวสูงรับมืออยู่กับร่างที่พุ่งเข้ามา ด้วยความเร็วที่แทบไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปจะทำได้
คนชื่อลีพอตั้งสติได้ ก็รีบวิ่งไปที่เรือทันที คนชุดแดงเข้มที่กำลังต่อสู้อยู่กันคนตัวสูงจึงส่งเสียงขึ้นอีก “เสี่ยวเผิงเผิง มันจะหนีแล้วนะ ยังไม่รีบออกมาอีก”
ลู่อี้เผิงกระโจนออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่ง ตรงเข้าใส่คนชื่อลีทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงตัว เสียงลั่นปืนก็ดังขึ้นอีกรอบ
ปัง!
ลูกปืนถากแขนซ้ายนายตำรวจหนุ่มไปนิดเดียว ได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยเข้ามา เว่ยจินหยินเหนี่ยวไกเทารัสในมืออีกครั้ง
ปัง!!
ลู่อี้เผิงกระโจนหลบไปอีกทาง เสียงลั่นปืนตามมาอีกนัด
ปัง!
ปืนแบบลูกโม่ที่เว่ยจินหยินใช้ ต่อให้มีกระสุนค้างในรังเพลิงอยู่ก่อน อย่างมากก็ยิงได้ไม่เกินหกถึงเจ็ดนัด นี่ก็ยิงออกไปหกแล้ว จริงดั่งคาด พอเจ้าตัวจะเหนี่ยวไกอีกที กระสุนก็ไม่เหลือในรังเพลิงแล้ว ลู่อี้เผิงรู้อยู่แล้ว เลยอาศัยจังหวะนี้วิ่งตามคนชื่อลีไป แต่เพิ่งออกวิ่งได้สักสามก้าว เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่เขา ตามด้วยมือที่ตะปบเข้ามาเหมือนงูฉก
ลู่อี้เผิงจำต้องหลบ และปล่อยให้คนชื่อลีคลาดสายตาไป เพราะถ้าเขามัวแต่พะวงอย่างอื่น อาจจะถูกควักลูกกระเดือกเอาก็ได้ พอเห็นหน้าคู่ต่อสู้ชัดๆ ลู่อี้เผิงถึงกับลืมหายใจไปเลย
“ได้ยินว่าสารวัตรลู่มีฝีมือกังฟูไม่เป็นสองรองใคร ขอผมลองสักครั้งแล้วกัน” คนที่พูดเป็นผู้ชายใส่แว่นตากรอบทองเชยๆ หวีผมเรียบแปล้ นัยน์ตาสีดำสะท้อนกับแสงสปอตไลท์เป็นประกาย ขณะที่กำลังอึ้ง ลู่อี้เผิงก็ถูกต่อยใส่อีกครั้ง
กำลังที่แฝงมาในหมัด ไม่ต้องถูกตัวแค่ถากๆ ก็รู้ว่าโดนเข้าไปไม่เจ็บหนักก็อาจจะถึงขั้นลุกไม่ขึ้น ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายที่เหมือนพนักงานบริษัท ที่รูปร่างไม่หนาคนนี้ จะมีฝีมือด้านกังฟูอยู่ในระดับที่น่าตกใจ
ลู่อี้เผิงรับมือเว่ยจินหยินอยู่พักหนึ่งก็ถึงกับเหงื่อตก จริงอยู่ว่าไม่ร้ายกาจอย่างหงคงฉ่วย แต่ฝีมือของเจ้าหมอนี่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเอาชนะได้ง่ายๆ ถ้ากำลังเสริมยังมาไม่ถึงล่ะก็....
“กังวลถึงคนของกรมตำรวจอยู่หรือไง” เว่ยจินหยินกระซิบ ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีเลย ที่พูดออกมาแบบนี้ในขณะที่สู้กับคนอื่นอยู่ “พวกเขายังมาไม่ถึงเร็วๆ นี้หรอก ผมไมได้มาตัวคนเดียวนะ”
ลู่อี้เผิงพยายามจะฉวยจังหวะที่เว่ยจินหยินพูด ต่อยเข้าใส่บ้าง เชื่อแน่ว่าพูดออกมามากขนาดนี้ ปราณที่ผนึกเอาไว้คงจะต้องสลายไปบ้างนั่นแหละ แต่เว่ยจินหยินพูดจบก็กระโดดถอยหลังออกไป จากนั้นก็ถีบตัวเข้ามาใหม่
บ้าเอ๊ย!!
จากนั้นหูของลู่อี้เผิงก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด ถึงจะฟังดูห่างออกไป แต่เขาก็หันไปทางหงคงฉ่วยทันที
พลั่ก!!
หมัดของเว่ยจินหยินต่อยเข้าใส่หน้าท้องเขาถนัดถนี่ ลู่อี้เผิงเซถลาออกไปหลายก้าว ก่อนจะขย้อนน้ำลายเหนียวหนืดออกมา
“อ้าว เผิงเผิงสู้เสี่ยวจินหยินไม่ได้หรือนี่” เสียงคุ้นหูร้องทักออกมาอย่างแปลกใจ จนลู่อี้เผิงจำต้องเหลือบตาไปมอง เห็นหงคงฉ่วยยืนจ้องเขาด้วยสีหน้าแปลกใจจนน่าหมั่นไส้ ด้านหลังมีคนตัวสูงยืนยิ้มอยู่
“รุ่นพี่ครับ หลอกเขามาแบบนี้แล้วยังมาว่าอีกนี่ ใจร้ายไปหน่อยนะครับ” ชายตัวสูงที่มีแผลเป็นที่แก้มพูดขึ้น ลู่อี้เผิงคิดว่าตัวเองถูกต่อยท้องจนหูอื้อตาลาย ตะกี้อะไรนะ รุ่นพี่? เสี่ยวจินหยิน?
“ไฮ้ อะไรกัน ทีเธอยังรับมือฉันได้ตั้งนานเลยนี่นา” หงคงฉ่วยว่า และตะปบมือเข้าใส่คอของคนตัวสูงทันที คนถูกตะปบถอนหายใจเฮือก แล้วคว้ามือนั้นเอาไว้ ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน “รุ่นพี่เลิกเล่นตลกน่ากลัวแบบนี้เสียทีเถอะครับ แล้วอธิบายให้เขาฟังก่อน แกล้งคนอายุน้อยกว่ามากๆ แบบนี้ ระวังจะบาปเอานะครับ”
“แหม.. ฉันเคยได้ยินแต่แกล้งผู้ใหญ่บาป เสี่ยวจินหยิน เธออธิบายไปแล้วกัน”
เว่ยจินหยินที่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดแว่นเงยหน้าขึ้นมอง แล้วยิ้ม “อาจารย์น้อยทำไมไม่อธิบายเองล่ะครับ”
หงคงฉ่วยยักไหล่ “อ้าว ก็นี่มันแผนเธอนี่ ให้เธออธิบายล่ะถูกแล้ว”
ลู่อี้เผิงที่ยืนฟังอยู่นาน พอหายท้องไส้ปั่นป่วนแล้วก็แค่นเสียงถามออกมา “นี่มันอะไรกัน? รุ่นพี่ อาจารย์น้อย คุณกับพวกนี้...?” พูดแล้วหันไปทางหงคงฉ่วย แต่เว่ยจินหยินกลับตอบขึ้นแทน
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ ขอโทษด้วยนะครับที่ผมเล่าไม่หมด กับเล่าผิดไปบ้างนิดหน่อย” หยุดเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดขึ้นต่อ “เขามีหุ้นท่าเรือน่ะ ผมพูดจริง แต่เรื่องที่ผมกับเขาเป็นศัตรูทางธุรกิจกัน อันนี้ผมพูดผิดน่ะ จริงๆ เขาเป็นอาจารย์น้อยของผม”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่เว่ยจินหยิน ก่อนจะได้ยินเสียงของหงคงฉ่วยพูดต่อ “อืม.. ใช่ ฉันเป็นศิษย์รุ่นพี่ของหมอนี่อีกทีน่ะ” พูดจบก็โบ้ยหน้าไปทางคนตัวสูงที่ยืนอยู่ คนมีแผลเป็นที่แก้มพยักหน้าเหนื่อยๆ แล้วพูดออกมาบ้าง “อธิบายให้คุณฟังแล้วกันนะครับ พอดีผมกับเขามีอาจารย์สอนกังฟูคนเดียวกัน แล้วคุณท่านที่เรียนกังฟูจากผมก็เลยได้เรียนกังฟูจากเขาด้วย ดังนั้นเขาเลยเป็นอาจารย์น้อยของคุณท่านอีกที”
“อืม... ก็อย่างนั้นแหละ อาซานนี่อธิบายเก่งจริงๆ ” หงคงฉ่วยว่า และยกมือขึ้นจับหน้าฝ่ายนั้น “นี่ถ้าเธอไม่ฝังใจกับคุณท่านของเธอมากขนาดนี้ ฉันก็อยากจะได้เธอมาอยู่ข้างๆ ล่ะนะ”
“ตลกเกินล่ะครับรุ่นพี่” คนตัวสูงว่าและปัดมือนั้นออกอย่างสุภาพ เว่ยจินหยินพูดกลั้วหัวเราะ “ต้องขอโทษอีกทีนะคุณตำรวจ พอดีว่ามีคนขอร้องผมมาว่าอยากให้ช่วยจัดการเรื่องแก๊งค้าอวัยวะข้ามชาติหน่อย แต่รอตำรวจอย่างคุณทำกันเองก็คงจะนานเกินไป ผมเห็นแล้วล่ะว่าพวกเขาย้ายท่าเรือกันบ่อยๆ เพราะถูกพวกคุณไล่จับ แต่ก็จับไม่ได้สักที ผมเลยหาเรื่องบีบให้เขามาใช้บริการผม แต่พวกนี้มันก็ระวังตัวสมกับที่ทำธุรกิจแบบนี้ล่ะ ก็เลยต้องใช้แผนหลอกล่อบ้างนิดหน่อย ก็ได้ความอนุเคราะห์จากอาจารย์น้อยนี่แหละ”
“อ้อ ใช่ๆ ” หงคงฉ่วยพูดต่อ “ความจริงฉันเองก็อยากลองเล่นบทแบบนี้กับเธออยู่นะ อยากลองเรียกเธอว่าเด็กแซ่เว่ย เรียกเธอว่าจิ้งจอกดู แหม.. สนุกปากจริงๆ ”
เว่ยจินหยินหัวเราะหึๆ “นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นอาจารย์น้อย ผมฉีดยาอัมพาตให้คุณแล้วจริงๆ นะเนี่ย”
“โถ... เสี่ยวจินหยินทำไมพูดจาร้ายกาจอย่างนั้นล่ะ” หงคงฉ่วยว่า และทำหน้าสยดสยอง “ความสุขเล็กๆ ของคนแก่นิดๆ หน่อยๆ เอง”
“ก็รู้แล้วล่ะครับ” เว่ยจินหยินว่าแล้วถอนหายใจบ้าง จากนั้นก็หันมาหาลู่อี้เผิงอีกครั้ง “ขอโทษจริงๆ ที่ต้องหลอกคุณหัวปั่นขนาดนี้ แต่แผนที่ดีจะต้องหลอกกระทั่งฝ่ายเดียวกันหลงเชื่อก่อน ศัตรูถึงจะยอมตายใจ ระหว่างที่คุณติดต่อกับทีมและเริ่มเคลื่อนไหว อาจารย์น้อยก็ติดต่อเข้าไปที่กรมตำรวจ ใช้ตำรวจอีกกลุ่มเข้ามาซุ่มที่นี่ ที่ผมต้องสู้กับคุณเมื่อครู่ก็เพื่อถ่วงเวลาให้พวกเขาขึ้นไปบนเรือ แล้วก็บีบให้นายลีคนนั้นขึ้นเรือไปเอง หลักฐานมันจะได้คาหนังคาเขายังไงล่ะครับ”
ลู่อี้เผิงฟังแล้วหันมาถลึงตาใส่หงคงฉ่วย “งั้นคุณก็โกหกที่สุดน่ะสิ ไหนบอกผมว่าจะจัดการสั่งสอนเว่ยจินหยินไง”
“แหม...” หงคงฉ่วยลากเสียงและทำหน้าเคอะเขินจนน่าถีบ “จะหลอกทั้งที มันต้องหลอกให้ถึงที่สุดสิ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเธอเกิดเล่นไม่สมแผนฉันจะทำไงล่ะ เผิงเผิงยิ่งเป็นวัยรุ่นใจร้อนอยู่”
ลู่อี้เผิงขบฟันกรอดๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงใครหลายคนเดินมาจากตัวเรือ
“โอ๊ะ แย่ล่ะ ได้เวลาฉันต้องไปแล้วสิ” หงคงฉ่วยว่า แล้วหันไปทางเว่ยจินหยินและคนตัวสูงอีกคน “ฉันไปก่อนนะ ขอบใจมากที่ทำให้ฉันได้สนุกตั้งหลายวัน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เว่ยจินหยินพูดแล้วโค้งให้พร้อมกับคนตัวสูงด้านหลัง หงคงฉ่วยหันไปหาลู่อี้เผิงที่จ้องเขาจนแทบจะฆ่าให้ตายด้วยสายตา แล้วดึงชายหนุ่มมาหอมแก้ม “ไปนะเผิงเผิง อย่าลืมเอาของไปคืนฉันด้วยล่ะ อ้อ อาซาน วานอะไรอย่างสิ”
คนตัวสูงเลิกคิ้ว หงคงฉ่วยจึงพูดต่อ “ช่วยขี่มอเตอร์ไซค์อีกคันไปคืนฉันที่คฤหาสน์หน่อย”
“นี่อาจารย์น้อยคงไม่คิดจะพาอาซานไปทำมิดีมิร้ายหรอกนะครับ” เว่ยจินหยินพูดขึ้นเรียบๆ หงคงฉ่วยสั่นศีรษะเป็นไขลาน “แหม... ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก เธอก็หวงไปได้ อาซานเลยวัยไปตั้งนานแล้ว”
เถียนซานพยักหน้า “ตกลงครับ ยังไงผมเองก็ไม่เหมาะจะอยู่กับพวกตำรวจอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ... แหม... คุณท่านจิ้งจอก กับนักฆ่าอันดับหนึ่งมาอยู่กับตำรวจพร้อมกัน รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะเนี่ย โอ๊ะๆ ต้องรีบแล้ว” หงคงฉ่วยพูดเร็วปรื๋อก่อนจะเดินหายไปในความมืดพร้อมกับผู้ชายร่างสูงคนนั้น ทิ้งให้ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ อย่างคนจะด่าก็นึกไม่ออก นึกออกก็ด่าไม่ทัน
“อ้าว อี้เผิง มาจริงๆ รึนี่” เฉินฉินที่นำกำลังมาจับคนร้ายด้วยตัวเองถึงกับเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เมื่อเห็นลูกน้องที่ยืนอยู่ ลู่อี้เผิงพยายามทำสีหน้าให้ราบเรียบมากที่สุด ก่อนจะพูดตอบไป “ก็ต้องมาสิครับ ผมอยู่ในภารกิจนะ”
เฉินฉินหัวเราะออกมา “อืม งานนี้คุณควรได้รับความดีความชอบมากที่สุด แผนทั้งหมดสำเร็จได้เพราะคุณเลยนะ”
ลู่อี้เผิงไม่รู้ว่าจะดีใจดีหรือเปล่า เฉินฉินหันไปทางเว่ยจินหยิน “ต้องขอบคุณคุณด้วยเหมือนกันนะครับ”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอบคุณ” เว่ยจินหยินว่าและโค้งให้ นายลีที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่หันมาตะเบ็งเสียงใส่เขา “แก ไอ้จิ้งจอก แกวางแผนคบกับตำรวจ แกคิดอะไรของแกอยู่วะ? อยากให้มันช่วยคุ้มกบาลแกหรือไง”
เว่ยจินหยินก้มลงหยิบเศษปูนที่กะเทาะขึ้นมาจากพื้นแถวนั้นขึ้นมา แล้วดีดใส่ปากของคนพูดทันที
“นี่... ปากมีก็หุบๆ เอาไว้เถอะ ฉันทำแบบนี้เพราะมีคนขอร้องมา แล้วบังเอิญฉันเคยทำเรื่องกับเขาเอาไว้มาก ฉันก็เลยคิดว่าต้องชดเชยให้เขาบ้าง”
คนชื่อลียกมือขึ้นลูบหน้า แล้วถ่มเลือดออกมา ขณะจะอ้าปากพูดอะไรก็โดนตำรวจเสือกตัวให้เดินออกไปเสียก่อน “แก ไอ้จิ้งจอก จำใส่กะลาหัวไว้เลย พวกฉันไม่ปล่อยแกแน่”
เว่ยจินหยินแค่นเสียงตอบไป “งั้นแกควรจะดูพวกริเวิลเป็นตัวอย่างเอาไว้แล้วกัน”
“แหม.. คุณนี่ชอบสร้างศัตรูไปทั่วไม่เปลี่ยนเลยนะ” นายตำรวจที่ถูกส่งมาจากอังกฤษพูดขึ้น เขาเดินอยู่ด้านหลังเฉินฉิน เว่ยจินหยินมองเขาแล้วยิ้ม “นี่นิสัยปกติของฉันอยู่แล้ว”
มิลเลอร์ คอยล์หันซ้ายหันขวา แล้วถามออกมา “อาซานของคุณล่ะ?”
“ไปกับหงคงฉ่วย”
“อ้าว หงคงฉ่วยมาจริงรึนี่” มิลเลอร์ คอยล์พูดขึ้นบ้าง ก่อนจะยิ้มแต้ “งั้น... คุณกลับกับผมได้น่ะสิ คืนนี้ไปค้างโรงแรมผมมั้ย?”
เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา “โทษที ฉันมีคนมารับน่ะ ไม่เจอกันตั้งนาน นายยังอยากจะได้จดหมายอยู่อีกรึนี่”
มิลเลอร์ทำหน้าสยดสยองขึ้นมาทันที “ขอล่ะ คราวนี้ไม่ต้องเขียนจดหมายอะไรไปเหมือนตอนนั้นหรอกนะ รอบนี้ผมว่าผมทำตัวเรียบร้อยสุดๆ แล้วนะเนี่ย”
เว่ยจินหยินหัวเราะอีก แล้วรถลีมูซีนตอนยาวสีดำคันหนึ่งก็เข้ามาจอดเทียบ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถ แล้วเปิดประตูให้เขา
“ผมกลับก่อนแล้วกัน เลยเวลานอนมาเยอะแล้ว” เว่ยจินหยินว่า ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในรถ “อ้อ สารวัตรลู่ สร้อยคอสวยดีนะ” เว่ยจินหยินพูดยิ้มๆ แล้วปิดประตู ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นจับที่คอตัวเอง ถึงได้พบว่าปลอกคอหนังอันนั้นยังคาอยู่
“เอ่อ... สารวัตรลู่ ความจริงมันก็ไม่ได้ดูแย่บนคอคุณหรอกนะ ว่าแต่เปลี่ยนมาชอบอะไรแบบนี้แล้วเหรอ?” เฉินฉินอดไม่ได้ต้องถามขึ้น ลู่อี้เผิงถึงกับหน้าแดงจัด นึกแช่งด่าอยู่ในใจ
หงคงฉ่วย!!!!
-----------------------------------------------------
“อ้าว เผิงเผิง มาไวดีจริงๆ สามวันก็ปิดคดีได้แล้วหรือไง?” หงคงฉ่วยถาม เมื่อเห็นลู่อี้เผิงเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะยิ้มกว้างให้ ซึ่งก็ไม่ได้รับรอยยิ้มตอบกลับเหมือนเช่นเคย ลู่อี้เผิงเดินหน้าบูดบึ้งเข้ามา แล้วฟาดปลอกคอหนังลงบนโต๊ะ “ผมเอาของมาคืน”
“โถๆ ” หงคงฉ่วยร้อง แล้วตีมือเขาดังเพี๊ยะ “จะวางของต่อหน้าผู้ใหญ่น่ะ วางให้มันดีๆ หน่อย มารยาทแค่นี้โรงเรียนเขาไม่สั่งไม่สอนนักเรียนเกียรตินิยมหรือไง”
ลู่อี้เผิงถลึงตามองเขา ก่อนจะพูดต่อ “ท่านรองฯฝากขอบคุณคุณมาด้วย”
“อ้อ...” หงคงฉ่วยร้องเสียงยาว “ฉันเองก็ต้องขอบคุณเขาน่ะ ที่อุตส่าห์ส่งเธอมาอยู่กับฉันตั้งหลายวัน แหม... ฉันมีความสุขจริงๆ นะเนี่ย”
ลู่อี้เผิงไม่นึกมีความสุขไปด้วย เขาถลึงตาใส่หงคงฉ่วอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับ
“อ้าว จะกลับล่ะรึ ไหนของที่ต้องเอามาคืนล่ะ?” หงคงฉ่วยว่า ลู่อี้เผิงหันกลับมาทันที “ผมก็วางเอาไว้ให้คุณแล้วไง”
คนนั่งที่โต๊ะเขี่ยปลอกคอหนังขึ้นมาแล้วสั่นศีรษะ “ฉันไม่ได้บอกให้เธอเอาไอ้นี่มาคืนฉันเสียหน่อย ไอ้ของที่จะเอามาคืนน่ะ เธอเอามาหรือเปล่า?”
ลู่อี้เผิงขบกรามกรอดๆ แล้วเดินกลับไปใหม่ ล้วงเอาซองอะไรออกมาจากกระเป๋า “เอาไป..”
หงคงฉ่วยยิ้มร่า แล้วเงยขึ้นมองหน้านายตำรวจหนุ่ม “อยากจะใช้เลยไหม?”
“เหอะ!” ลู่อี้เผิงแค่นเสียงแล้วสะบัดหน้าหนีทันที ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยพูดต่อ “แหม... เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องอายเลย ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย” หยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “พักหลังๆ นี่เผิงเผิงเองก็ชอบไม่ใช่หรือไง?”
ลู่อี้เผิงรีบเดินงุดๆ ออกมาทันที โดยไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“นี่ เผิงเผิง วันหลังมาก็พกติดตัวมาด้วยนะ อย่าลืมอีกล่ะ”
นายตำรวจหนุ่มปิดประตูใส่เสียงดังปึง ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยรำพึงเบาๆ “มารยาทแย่เข้าทุกทีแล้วนะเนี่ย เด็กคนนี้ ท่าทางจะต้องสั่งสอนกันบ่อยๆ เสียแล้ว”
------------------------------------------------
** หาโอกาสแทรกว่าใครขอร้องให้เว่ยจินหยินทำแบบนี้ในตอนนี้ไม่ได้แหะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้ค่อยไปเขียนถึงที่มาที่ไปของมันอีกทีในตอนพิเศษของสายลับ (กะขายมันทั้งสองเรื่องเลยว่านั้น<<โดนโบก
)
สุดท้ายของสุดท้าย เผิงเผิงก็โดนหลอกอยู่คนเดียว เจอนกยูงกับจิ้งจอกมาหลอกพร้อมกันนี่... ไม่ตายก็ใกล้บ้าจริงๆ
นับถือลู่อี้เผิงที่ยังสติดีมาได้จนถึงทุกวันนี้ (เผิงเผิงนี่อึดสมเป็นพระเอกนิยายSMเรื่องนี้จริงๆ ฮ่าๆๆ
)
*** อ้อ... ขออธิบายไทม์ไลน์การปรากฏตัวของเว่ยจินหยิน มิลเลอร์ คอยล์ และเถียนซาน (ผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นแหละ) หน่อยค่า... เว่ยจินหยินเจอกับมิลเลอร์ในเรื่อง Yes!Master.(เรื่องที่มนุษย์โลกอ่านจบแล้ว อยากไล่กระทืบคนเขียนจริงๆ เขียนพระเอกกับพระรองแบบนี้ได้ไงเนี่ยยย
<<เรากล้าเขียน แต่ไม่กล้าถูกกระทืบค่ะ /วิ่งหนี) ซึ่งถ้าเทียบกับเรื่องMy neighbor จะเป็นสี่ปีก่อนหน้านั้น และทั้งคู่(รวมถึงเถียนซาน) และพอมาเทียบกับเรื่องนกยูงแดง จะนับมาหลังจากMy neighbor อีก2ปี... งงกันไหมคะ (งงตั้งแต่แกเริ่มอธิบายแล้วย่ะ!!)
เรียงง่ายๆ ดังนี้
Yes!Mast. (ตอนนั้นเว่ยจินหยินอายุ32 เถียนซาน44) My neighbor (เว่ยจินหยิน36 เถียนซาน48) นกยูงแดง (เว่ยจินหยิน38 เถียนซาน50) ดังนั้น...หงคงฉ่วยที่เป็นรุ่นพี่ของเถียนซานก็ต้อง.... (ขอตัวหนีก่อนนะคะ เดี๋ยวโดนตัดนิ้ว
)
อายุของหงคงฉ่วยมีตัวใบ้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ
สุดท้าย.... ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า^^