ทว่าไม่ใช่แค่ครองภพคนเดียวที่อยากเห็นรอยยิ้มของร่มธรรม คนรอบข้างที่เคยสนิทสนมกับเขาก็ล้วนอยากพบหน้า เพียงแต่ช่วงนี้ร่มธรรมวิ่งวุ่นทั้งงานธุรกิจและงานแสดง ไหนจะโปรเจ็คใหม่ของผู้กำกับฉายที่เขาต้องเริ่มเตรียมตัว ทำให้ห่างหายจากร้านกาแฟ ร.รอ ไปพักหนึ่งจนลูกค้าประจำอย่างเบญญายังออกปาก
“หมู่นี้ไม่ได้เจอพี่ร่มเลยนะคะ”
โอกาสดีของแฟนคลับสาวที่ตามมาเป็นลูกค้าร้านกาแฟคือวันที่ร่มธรรมแวะมานั่งดื่มกาแฟระหว่างรอรถมารับไปถ่ายงานต่อ ชายหนุ่มส่งยิ้มจางแล้วผงกศีรษะหนึ่งที
“ขอโทษจริงๆครับ ช่วงนี้ผมยุ่งมาก”
“พี่ร่ม รับงานอื่นด้วยใช่ไหมคะ”
“ครับ แต่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ” เบญญาหัวเราะคิก ดวงตาเป็นประกายอย่างคนรู้ดี
“ถึงไม่รู้จากปากพี่ร่ม เบญก็รู้จากวงในของเบญอยู่ดีค่ะ”
“คุณพ่อของคุณเบญเป็นผู้กำกับสินะครับ”
“ใช่ค่ะ พี่ชายของเบญก็เป็นผู้จัด รามิลไงคะ คนนั้นเป็นพี่ชายของเบญ แต่คนละแม่”
ร่มธรรมอ้าปากหวอ คาดไม่ถึง ก่อนจะกลายเป็นหัวเราะกับความโลกกลม
“จุดใต้ตำตอนี่เอง แล้วคุณเบญก็ไม่บอกผมเลยว่าเป็นน้องสาวของพี่มิล”
เบญญากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำหน้ากระเง้ากระงอดอย่างน่ารัก
“พี่ร่มเรียกพี่มิลว่าพี่ด้วยเหรอคะ”
“ก็...พี่มิลอายุมากกว่าผมนี่ครับ” หญิงสาวเม้มปาก อยากบอกว่าหล่อนไม่ได้หมายถึงอาวุโส แต่หมายถึงการที่เขาเรียกรามิลอย่างสนิทสนม ทว่ากับหล่อน เขาเรียกคุณทุกคำ
ทว่าไม่ทันจะได้พูดอะไร รินฤดีก็ผลักประตูเข้ามาในร้านแล้วตรงเข้ามาหาร่มธรรม
“ร่ม ไปได้แล้ว” ชายหนุ่มหันมาทางลูกค้าสาวที่คุยกับเขาอยู่ ก่อนจะขอตัวแล้วออกจากร้านไปกับพี่สาว
งานวันนี้เป็นการถ่ายโฆษณาให้กับบริษัทเครื่องครัวที่เคยร่วมงานกันมาแล้วเมื่อคราวที่ร่มธรรมอยู่ในวงการเมื่อ 6 ปีก่อน พอเขากลับเข้าสู่วงการอีกครั้ง บริษัทนี้ก็ยังคงเป็นเจ้าแรกที่ติดต่อให้เขารับงาน
ร่มธรรมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้รับคัดเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ทั้งๆที่ชื่อเสียงตอนนี้ไม่ได้โด่งดังอะไร และด้วยพื้นฐานเป็นคนตั้งใจทำงาน ยิ่งได้รับโอกาสจากคนที่เห็นคุณค่าในวันที่ไม่มีใครเห็นค่าก็ยิ่งอยากพิสูจน์ตัวเองให้มาก
การถ่ายโฆษณาผ่านไปอย่างเรียบร้อย ทีมงานคนหนึ่งจึงเข้ามาบอกเขาว่า ‘ท่านประธาน’ ก็มาดูการถ่ายทำด้วย ร่มธรรมขอให้พาไปพบเพราะอยากขอบคุณด้วยตนเอง
‘ท่านประธาน’ ของบริษัทเครื่องครัวเจ้าใหญ่ของประเทศเป็นหญิงร่างผอม หน้าตาท่าทางดูใจดี มาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ร่มธรรมถึงกับต้องมองซ้ำเพราะคล้ายครองภพอย่างกับแกะ!
“คุณร่มธรรม ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณมากๆที่รับงานนี้” หญิงคนนั้นเข้ามาจับมือเขาแล้วเขย่าอย่างยินดี
“แล้วก็...ขอบคุณสำหรับลายเซ็นด้วย” นักแสดงหนุ่มวัย 28 ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความงุนงง
“ครับ? ลายเซ็น?”
“ที่ฝากครองภพมาไงจ๊ะ”
ร่มธรรมกะพริบตาปริบๆ เขาจำได้ว่าครองภพเคยขอลายเซ็นเขาไปครั้งหนึ่ง ฝ่ายนั้นบอกว่า ‘แม่ฝากมา’
เห็นสีหน้าของคนอายุคราวลูก อัจฉราก็แย้มยิ้มมากกว่าเดิม ก่อนจะเสริม
“ป้าเป็นแม่ของครอง ส่วนนี่ธาดาพี่ชายของครอง...”
ร่มธรรมร้องอ้อในใจ หันไปมองคนเป็นพี่ชายของครองภพเต็มสองตา ฝ่ายนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส จุดนี้ที่ต่างจากคนน้องอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อกี้ ป้าคุยกับคุณริน เห็นว่าเย็นนี้ไม่มีงานแล้ว ไปทานข้าวกับป้าได้ไหม ป้าอยากจะเลี้ยงขอบคุณหน่อย”
แม้จะร่วมงานกับครองภพมาพักใหญ่แล้ว แต่จู่ๆจะให้ไปร่วมโต๊ะกับบุพการีของหนุ่มรุ่นน้อง เขาก็รู้สึกแปลกๆ ต่อให้จะเป็นการร่วมโต๊ะในฐานะเจ้าของบริษัทกับพรีเซ็นเตอร์ก็ตามที
เห็นสีหน้าชายหนุ่ม คนชวนก็หัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ ป้าแค่อยากขอบคุณน่ะ มีไม่กี่คนหรอกนะที่ร่วมงานกับครองได้ราบรื่น” แล้วอัจฉราก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีมนุษยสัมพันธ์กับคนที่เพิ่งพบเจอกันไม่กี่ครั้งจะเป็นมารดาของครองภพที่ทำหน้าตึงเรียบใส่คนที่ร่วมแสดงซีรี่ส์ด้วยกันมาจนจะจบเรื่องอยู่แล้ว
“ไปด้วยกันนะ ชวนคุณรินไปด้วย”
เมื่อ 6 ปีก่อนอาจจะเคยพบกันมาแล้ว แต่เวลายาวนานถึงเพียงนั้นย่อมทำให้ความทรงจำหลงลืม หากจะนับว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรกๆก็ไม่ผิดนัก ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ร่มธรรมกลับรู้สึกคุ้นเคยและสบายใจ ยิ่งอีกฝ่ายให้ความเป็นกันเอง ผ่านทางสีหน้าและวาจา คำตอบของเขาจึงไม่ใช่การปฏิเสธ
เย็นนั้น หลังจากถ่ายโฆษณาแล้ว รินฤดีและร่มธรรมมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับอัจฉราและธาดาที่ร้านอาหารจีน สองแม่ลูกเจ้าของบริษัทเครื่องครัวมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ชายหนุ่มวัย 28 คิดไปถึงรุ่นน้องร่วมวงการที่มีครอบครัวอบอุ่นขนาดนี้
“ครองมีถ่ายละครหรือครับ”
พอคิดถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามถึง แม้จะร่วมงานกัน แต่ก็แทบไม่ได้ติดต่อกันนอกรอบเลย
“ใช่ แต่เห็นว่าวันนี้เลิกไว พี่จะลองชวนมันดู” ธาดาไม่พูดอย่างเดียว แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาน้องชายอย่างรวดเร็ว พร้อมบอกร้านอาหารเสร็จสรรพ
‘มากินข้าวกับแม่ แวะมามั้ย’
ปกติครองภพไม่ใช่คนติดต่อง่าย แต่ธาดาเป็นพี่ชายมาตั้ง 22 ปี มีหรือจะไม่รู้ว่าการใส่คำว่า ‘แม่’ ลงไปด้วย ย่อมดึงดูดเจ้าน้องชายผู้รักแม่
‘เพิ่งเลิก ไปไม่ทัน’
เห็นไหม ตอบไวราวกับจับโทรศัพท์ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นการปฏิเสธอยู่ดี
‘พรุ่งนี้จะแวะไปกินข้าวกับแม่ที่บ้าน’
แม้จะปฏิเสธแต่ก็ยื่นข้อเสนอปลอบใจด้วยการจะเข้ามาทานข้าวเช้ากับมารดาในวันพรุ่งนี้แทน
ต่อให้จะเย็นชากับคนทั้งโลก แต่กับอัจฉรา ครองภพกลับทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ธาดาส่งข้อความกลับเป็นการรับรู้ แต่พอเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่ามารดาของตนกำลังคุยกับร่มธรรมและรินฤดีอย่างออกรส ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะก็ชวนให้เกิดความรู้สึกไขว้เขว่ขึ้นมา
เย็นชากับคนทั้งโลก?
แล้วครองภพเย็นชากับร่มธรรมด้วยไหม?
ธาดาไม่ใช่คนขี้ลืม คราวก่อน เขาก็เคยเปรยเรื่องร่มธรรมแล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนั้นก็ได้รับการตอบรับจากน้องชายเป็นอย่างดีด้วยการรีบกลับคอนโด
ตั้งคำถามแล้วก็ต้องพิสูจน์ พี่ชายของครองภพรีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นพร้อมโทรศัพท์มือถือ
“ไอ้ครองบอกว่าเพิ่งเลิก คงมาไม่ทัน เรามาถ่ายรูปอวดมันกันดีกว่า”
“ผมถ่ายให้ครับ” ร่มธรรมเสนอตัว เพราะคิดว่าชายหนุ่มน่าจะอยากถ่ายกับมารดาสองคนเพื่อส่งรูปให้น้องชาย ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้ารัว
“ไม่ๆ คุณร่มต้องอยู่ในรูปด้วยสิ ถึงจะเรียกว่าอวด” แต่พอรินฤดีจะลุกไปเป็นมือกล้องแทน ธาดาก็ยังหันมาปรามหล่อน
สองพี่น้องกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ไม่ทันทักท้วง ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับครองภพแต่อายุมากกว่า 10 ปีก็เข้ามายืนใกล้แล้วยืดแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ให้ออกห่างเพื่อถ่ายรูปพวกเขา 4 คน มีร่มธรรมและรินฤดีอยู่ตรงกลางประกบข้างด้วยสองแม่ลูก
พอได้รูปแล้ว เขาก็กดส่งไปให้น้องชายทันทีพร้อมรอยยิ้มกริ่ม คาดว่าถ้าครองภพว่างเมื่อไร เขาคงได้เห็นอีกฝ่ายถามไถ่กลับมา
ทว่า...สิ่งที่คาดกลับไม่ได้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คืออึดใจต่อมา บนหน้าจอโทรศัพท์กลับปรากฏชื่อของครองภพเป็นสายเรียกเข้า
...ไอ้ครองโทรมา...
มนุษย์ผู้เย็นชากับคนทั้งโลก โทรมาทันทีที่ธาดาส่งรูปพวกเขาสี่คนเข้าไปในโปรแกรมแชท และโปรแกรมขึ้นว่ารูปถูกเปิดโดยคู่สนทนา
“ฮัลโล” ชายหนุ่มรับสายอย่างงุนงง
‘ทำไมไปกินด้วย’
“หะ?”
‘ร่มธรรมน่ะ ทำไม...’
“อ๋อ ก็...แม่ชวน...” ธาดาตอบแล้วก็เกาขมับตัวเอง การตอบสนองของครองภพถือว่าเกินคาดชนิดพลิกฝ่ามือ
ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจและประโยคตามหลัง
‘เดี๋ยวไปหา แต่คงถึงดึกหน่อย’
“หะ? แกจะมา?”
‘อือ แค่นี้ก่อน ผมต้องขับรถ’
“อ้าว แล้วคนขับรถไปไหน”
‘จะให้เขากลับไปเลย ผมขับเองไวกว่า’
แล้วน้องชายก็ตัดสายไป ธาดามองโทรศัพท์ในมือตนราวกับเห็นสิ่งประหลาดที่สุดในโลก พอหันไปมองมารดาและแขกร่วมโต๊ะหนึ่งเดียวในวันนี้ที่กำลังมองเขาอยู่ ก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ทำหน้าตาเหยเกอย่างไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“ครองบอกว่าจะมาหรือ” อัจฉราถาม
“ครับ แต่...มันบอกว่าจะมาถึงดึกหน่อย”
ตอนแรกว่าไม่มา พอเห็นรูปปุ๊บ เปลี่ยนใจเป็นมาปั๊บ น้องชายสุดที่รักของเขากลายเป็นคนโลเลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ดึกหน่อยก็ไม่เป็นไร ร่มกับรินอย่าเพิ่งรีบอิ่ม รีบกลับนะ อยู่เจอครองด้วยกัน” หล่อนหันมาพูดกับสองพี่น้องที่นั่งอยู่ข้างกาย แต่น่าเสียดายที่รินฤดีขอตัวกลับก่อนเพราะติดธุระสำคัญ หล่อนจำต้องหิ้วกระเป๋าออกจากห้องไปตอนเกือบจะสามทุ่ม แต่ร่มธรรมเริ่มคุ้นเคยกับอัจฉราและธาดาแล้ว จึงสานบทสนทนาต่อไปอย่างไม่ติดขัด
ทว่าธาดา...ยังติดใจเรื่องความเย็นชาของครองภพ
ครองภพเย็นชากับคนทั้งโลกยกเว้นคนสนิท เรื่องนี้คำตอบคือแน่นอน
แต่ร่มธรรมเป็นคนสนิทของครองภพหรือไม่ เรื่องนี้ต่างหากที่น่าสนใจ
………………….
ถนนในกรุงเทพฯยามค่ำไม่ใช่มิตรที่ดีของการขับรถเลยสักนิด กว่าครองภพจะมาถึงร้านอาหารตามที่พี่ชายส่งพิกัดมาให้ก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าคนที่ทำงานมาทั้งวัน ไม่มีอะไรตกถึงท้องทั้งๆที่เลิกงานมาตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อมาถึงร้านก็ย่อมหิวซกเป็นธรรมดา
ชายหนุ่มก้าวเท้าไวตามพนักงานของร้านที่พาไปยังห้องส่วนตัว เขาบอกตนเองว่าเพราะหิวมากจึงเร่งฝีเท้า ทว่าพอพนักงานเปิดประตูออก ครองภพกลับลืมความหิวเป็นปลิดทิ้ง
เขายกมือไหว้มารดา หันไปยักคิ้วให้พี่ชาย ก่อนจะจบสายตาที่ชายหนุ่มรุ่นพี่
ร่มธรรม
“ไอ้ครองมาแล้ว มาๆ นั่งข้างคุณร่มเลย” ธาดาทักทายพร้อมจัดแจง
ห้องอาหารส่วนตัวของร้านอาหารจีนใช้โต๊ะทรงกลม เมื่ออัจฉรานั่งตรงกลางระหว่างสองหนุ่ม ที่นั่งว่างย่อมเหลือเพียงข้างธาดาและร่มธรรมเท่านั้น ทว่าพอร่มธรรมจะลุกให้คนเพิ่งมาถึงได้นั่งข้างมารดา ธาดากลับยื่นหน้ามาฝากให้ช่วยสั่งอาหารเพิ่ม ร่มธรรมเห็นว่าคนเพิ่งมาถึงน่าจะหิว เลยรีบเปิดเมนูสั่งอาหารเพิ่มอีก 2 อย่างที่น่าจะไวที่สุด พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขานั่งตรงกลางระหว่างอัจฉราและครองภพไปแล้ว
ธาดาไม่แพร่งพรายในข้อสงสัยของเขา แต่จับจ้องปฏิกิริยาของคนที่นั่งข้างกันอย่างเงียบๆ ทว่าครองภพก็ยังเป็นครองภพ พอนั่งลงปุ๊บ ความหิวโซก็ทำให้สนใจจาน ชาม ตะเกียบ มากกว่าอย่างอื่น
“หิวมากมั้ยครอง แม่สั่งอาหารเพิ่มไว้แล้ว เดี๋ยวพนักงานยกมาให้ เมื่อกี้นี้ร่มสั่งอะไรเพิ่มไปนะ”
“ออเดิร์ฟเย็น แล้วก็ผัดผักครับ”
เสียงพูดคุยของอัจฉราและร่มธรรมทำเอาชายหนุ่มวัย 22 เงยหน้าจากหอยจ้อที่กำลังกัดเข้าปาก
“ก็...ยัง...ไม่ได้ทานอะไรมา” ครองภพตอบ รู้สึกเก้อเล็กๆกับความหิวซกของตนเอง ทว่าคนข้างกายกลับยิ้มน้อยๆ แล้วตักปลานึ่งมาใส่จานเขา จากนั้นจึงหันไปตักมาใส่จานตนเองบ้าง
“ทานเยอะๆ” นักแสดงหนุ่มรุ่นพี่เอ่ย คนเพิ่งมาถึงมองจานตนเองแล้วมองเลยไปยังร่มธรรมที่ตักเนื้อปลาเข้าปาก พอมองไปยังธาดาก็พบว่ารายนั้นกำลังคีบเนื้อผัดน้ำมันหอยมาใส่จาน
“พวกเราทานช้าๆรอครอง” อัจฉราเห็นสายตาลูกชายคนเล็กจึงเป็นคนเฉลยพร้อมรอยยิ้ม พอดีกับที่พนักงานของร้านนำอาหารเข้ามาวางเพิ่ม มีทั้งเป็ดปักกิ่ง ต้มจืดสาหร่ายใส่หมูสับ และกุ้งอบวุ้นเส้น
มื้อเย็นที่ค่อนไปเกือบจะดึกเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับครองภพ
ธาดาชวนคุยชวนถาม อัจฉราก็เป็นลูกคู่ของลูกชายคนโตได้อย่างดี มีร่มธรรมแทรกเป็นระยะ โต๊ะอาหารจึงไม่เงียบเหงาแม้ว่าครองภพจะพูดไม่เก่งเอาเสียเลย และแม้จะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทาน แต่อาหารในจานของคนหิวก็แทบไม่พร่อง ร่มธรรมคอยถามไถ่ห่วงใย ดูแลตักอาหารให้ จะหมุนโต๊ะแต่ละครั้ง ล้วนต้องหันมามองชายหนุ่มรุ่นน้องก่อนเสมอว่าตักอะไรอยู่หรือไม่ หรือมีอาหารในจานรึเปล่า
คนหิ้วท้องฝ่าดงจราจรกรุงเทพฯรู้สึกอุ่นซ่านกับความใส่ใจของทุกคนในโต๊ะอาหาร
ครองภพยิ้มจางกับตนเอง ก่อนจะหันไปบอกคนที่ตักผัดผักมาใส่จานเขา
“พอแล้ว คุณกินบ้างเถอะ”
“พี่กินเยอะแล้ว น้องครองเอาอะไรอีกดี? เติมต้มจืดหน่อยไหม จะได้ทานร้อนๆ เอาถ้วยมา” ครองภพยกถ้วยส่งให้
“ผมไม่เอาสาหร่าย เอาแต่น้ำกับผัก”
ร่มธรรมรับคำพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปตักต้มจืดให้ พอวางถ้วยลงแล้ว ก็ยังคีบผัดผักมาใส่จานเพิ่มให้อีก คำขอบคุณแผ่วเบาของครองภพนั้นดังไม่ขาด พอๆกับความใส่ใจของร่มธรรมที่มีให้ก็ไม่ลดน้อยลงเช่นกัน
การดูแลเอาใจใส่และท่าทีของสองหนุ่มนั้นเป็นธรรมชาติ ไม่ขาดไม่เกิน ราวกับพวกเขาสนิทสนมกันเช่นนี้มานานหลายปี ธาดาจับจ้องคนทั้งคู่อย่างตั้งอกตั้งใจ และกล้าพูดเต็มปากว่าน้องชายของเขาไม่เหมือนเดิม
โดยเฉพาะสิ่งที่ปฏิบัติต่อร่มธรรม...ไม่เหมือนกับที่ครองภพปฏิบัติต่อใคร
……………………
หลังมื้ออาหารจบลง เดิมทีรินฤดีจะให้คนขับรถกลับมารับ แต่ร่มธรรมเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงคิดจะใช้บริการขนส่งสาธารณะแทน ทว่าทางเลือกของเขาดูจะไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับ ‘บางคน’
“กลับแท็กซี่? แล้วรถไปไหน”
คนถามเรื่องวิธีกลับคืออัจฉรา แต่พอคำตอบของร่มธรรมคือแท็กซี่ ครองภพกลับเป็นฝ่ายย้อนถาม
“ไปส่งพี่ริน ตอนแรกก็กะว่าจะให้มารับ แต่มันดึกมากแล้ว พี่กลับแท็กซี่น่าจะดีกว่า” คนพูดคิดว่าการเรียกแท็กซี่เป็นวิธีที่ดีกว่า แต่สำหรับคนฟังกลับส่ายศีรษะแล้วยื่นข้อเสนอที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด
“ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไร พี่กลับเองได้”
“ไปกับผม”
ทั้งๆที่อายุมากกว่าถึง 6 ปี แต่เมื่อคนอายุน้อยกว่าย้ำเป็นครั้งที่สอง ร่มธรรมกลับเกรงใจจนไม่กล้าแย้ง
พวกเขาหันไปลาธาดาและอัจฉราก่อนจะเดินไปขึ้นรถ ไม่ทันสังเกตสายตาของสองแม่ลูกที่มองตามหลัง เพราะมีคำถามคาใจ
‘ครองกับร่ม...ดูสนิทกันดีนะ’
แต่...เรื่องแบบนี้ ตั้งคำถามเร็วไปก็เกรงว่าจะหน้าแตก จะถามตรงๆกับก็เกรงว่าจะทำให้ไก่ตื่น แล้วพอไม่ถามก็คันปากยิบๆ ได้แต่มองหน้ากันเอง
แล้วคืนนี้จะหลับลงมั้ยล่ะทีนี้!
………………
บ้านของพี่ชายคนรองคือจุดหมายปลายทาง
อันที่จริงร่มธรรมควรจะกลับไปนอนที่คอนโดเพื่อให้สะดวกสำหรับการไปทำงานในวันพรุ่งนี้ แต่เห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว ไม่อยากให้คนที่ขันอาสาพามาส่งจะต้องเสียเวลาอยู่บนถนนมากนัก จึงติดต่อหาพี่ชายให้ช่วยเปิดบ้านไว้รอ
“บ้านคุณเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก นี่บ้านพี่ชายของพี่เอง”
คนพามาส่งเลิกคิ้วราวกับตั้งคำถามว่าร่มธรรมยังอาศัยอยู่กับพี่ชายหรือ? แต่ความมืดสลัวทำให้อีกฝ่ายไม่เห็น เรื่องที่ร่มธรรมพูดจึงเป็นอีกเรื่องแทน
“พี่เห็นว่ามันดึกแล้ว แล้วบ้านพี่ชายของพี่ก็อยู่ใกล้ร้านที่เราไปทานกัน น้องครองจะได้ไม่ลำบาก”
ร่มธรรมเป็นเช่นนี้เสมอ เขามักคิดถึงคนอื่นก่อนตนเอง แม้พรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้ามากกว่าเดิมเพื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดแล้วออกไปทำงาน แต่ก็ยังดีกว่าให้ครองภพต้องตีรถไปๆมาๆทั้งที่วันนี้ทำงานมาทั้งวัน
ดวงตาของชายหนุ่มรุ่นน้องมองคนที่ก้มหน้าปลดเข็มขัดนิรภัย
ครองภพไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขาจดจำเรื่องต่างๆของคนคนนี้เอาไว้ในใจ จากแรกเริ่มที่ไม่อยากเข้าใกล้ ทรมาน อึดอัด กลายเป็นนานวันเข้า กลับสะสมเรื่องราวของชายที่ชื่อร่มธรรมจนมันกลายเป็นความรู้สึกอื่น
“ขอบคุณมากนะ” ร่มธรรมเงยหน้าขึ้นมาบอกพร้อมรอยยิ้มจาง ทำเอาคนกำลังจับจ้องรู้สติ รีบเบี่ยงสายตาหนีออกไปทางอื่น
“อือ”
“น้องครองก็กลับบ้านดีๆล่ะ แล้วไว้เจอกันที่กอง”
“ครับ” ครองภพได้แต่รับคำ แต่เมื่อร่มธรรมเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว เขาก็ยังนั่งอยู่เช่นนั้นเพื่อดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าบ้านเรียบร้อย พออีกฝ่ายหายลับเข้าไปในบ้าน รถของครองภพถึงได้เคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูรั้ว
แน่นอน พวกเขา...ไม่เห็นชายนุ่งโจงที่ยืนจังก้ากำหมัดแน่น มองตามรถยนต์ของครองภพจนลับสายตา!
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
ถ้าพาร์ทไหนจะน่ากลัว เดี๋ยวบัวแปะคำเตือนไว้หัวแถว จะได้เอาไว้อ่านตอนกลางวัน ฮ่าฮ่า (แต่เท่าที่เขียนอยู่ตอนนี้ มีน่ากลัวแค่พาร์ทเดียวเองค่ะ เพราะคอนเซ็ปต์เรื่องคือ ปัจจุบัน ผีใดๆก็เป็นแค่ตัวประกอบค่ะ ฮ่าฮ่า)
ชอบน้องครองเวลาอยู่กับแม่และพี่ชายมากกกก รู้สึกว่าเป็นเด็กน่ารัก เป็นเด็กรักแม่ แต่ซึนใส่พี่ อะไรแบบนี้เลยค่ะ
แต่กับพี่ร่ม สองตอนมาแล้วที่น้องเขินพี่เขานะคะ แต่ถ้าถามว่าพี่ร่มรู้รึยังว่าน้องเขิน ก็บอกได้เลยว่า...พี่ไม่รู้ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณคนอ่าน คนคอมเม้นท์ คนติดตาม และทุกกำลังใจ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
เจอกันใหม่พฤหัสหน้า
สวัสดีตรุษจีนล่วงหน้าด้วยนะคะ