วันเปี่ยมรัก.18
“น้ำท่วมที่หน้าบ้านวันด้วย เราลอกคลองในหมู่บ้านเตรียมไว้สำหรับหน้าฝนแล้วนะ แต่พอเวลาฝนตกหนัก ๆ น้ำก็ยังท่วมเพราะระบายไม่ทัน แล้วรู้อะไรมั้ย ข้างบ้านวันเอาทรายมากองไว้ตรงทางน้ำพอดี มันก็อุดทางน้ำไหล แล้วน้ำจะระบายได้ยังไง เราเลยต้องไปบอกให้เขาจัดการให้เรียบร้อย ทำแบบนี้มันน่าโมโหจริง ๆ เลยวัน เห็นแก่ตัวมากเกินก็ไม่ไหว นี่มันพื้นที่ส่วนรวม”
การรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในหมู่บ้านมาทั้งภาพและเสียงและศิวัฒน์ก็ดูรูปและคลิปที่ผู้ใหญ่เปี่ยมส่งมาให้ วันนั้นที่เดินกลับบ้านด้วยกัน น้ำบนถนนเริ่มเอ่อขึ้นมา แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะเช้าวันถัดมาน้ำก็เริ่มลดและศิวัฒน์ก็กลับมาทำงานตามปกติ แต่วันถัดมารู้จากย่าว่าฝนตกหนักและน้ำท่วมถนนแต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตอนนี้น้ำลดแล้ว ที่น้ำลดเร็วก็ไม่ใช่ใคร เพราะความใส่ใจของผู้ใหญ่เปี่ยมที่มีต่อบ้านของศิวัฒน์เป็นพิเศษนี่เอง
“เก่งมากครับ คุณผู้ใหญ่เปี่ยม และขอบคุณมากนะครับที่ใส่ใจดูแลกันถึงขนาดนี้”
ขอบคุณจากใจจริงแต่ก็แกล้งกวนประสาทไปนิด ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็หัวเราะออกมาเมื่อได้คุยกับคนที่อยู่ปลายสาย มีบางวันที่เราทะเลาะกันและมีบางวันที่เราคุยกันดี ๆ บ้าง และทุกครั้งที่ได้คุยกันดี ๆ แบบนี้ มันทำให้มีความสุขจนอยากจะคุยกันอีกเยอะ ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด
“วันกินข้าวหรือยัง”
“เราจะกินหรือไม่กินแล้วผู้ใหญ่จะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอก เราก็แค่เป็นห่วง เดี๋ยววันผอมมันจะทำให้กอดไม่อุ่น”
ทำไมกลายเป็นเรื่องนี้ไปได้ จะกอดอุ่นหรือไม่อุ่นไม่เห็นเกี่ยวกัน
“ผู้ใหญ่นี่พูดจาเพ้อเจ้อตลอดเลยนะ”
“วันก็รู้ว่าเราก็พูดแบบนี้กับวันแค่คนเดียว”
ยังไม่หยุด ยังจะหยอด ยังจะพูดจาแปลก ๆ ให้ตีความแบบนี้ตลอดเวลาอีก ไม่ได้รู้สึกหรือเข้าใจไปเองคนเดียว การคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติเวลาที่ไม่ได้เจอกันมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด
“ผู้ใหญ่คิดว่าเรามีเวลาว่างคุยกับผู้ใหญ่ขนาดไหนเหรอ ถึงได้โทรมาหาเราทุกวัน”
ถามและผู้ใหญ่เปี่ยมก็นิ่งคิดเล็กน้อย ตอนนี้กำลังยิ้มอยู่และไม่รู้ว่าคนที่กำลังคุยกันจะรู้หรือเปล่าว่ากำลังยิ้ม
“ประมาณสองทุ่มครึ่งวันจะพอมีเวลาว่าง บางทีเราก็อยากคุยกับวันมากกว่านี้ แต่เราไม่รู้ว่าวันต้องแบ่งเวลาไปคุยกับคนอื่นหรือเปล่า”
โดนถามเพื่อหยั่งเชิงและศิวัฒน์ก็พอรู้เลยแกล้งพูดให้คนที่อยู่ปลายสายได้ยิน
“มันก็ต้องมีบ้างแหละนะเราก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วจะไม่ให้มีคนคุยด้วยก็เกินไป เหมือนที่ผู้ใหญ่ก็ต้องมีคนคุยกันบ้างนั่นแหละ”
ในชีวิตประจำวันที่ต้องพบเจอผู้คนมากมาย มีบางครั้งที่มีคนเข้าหาและศิวัฒน์ก็ไม่ได้คิดจะปิดตัวเองจะแปลกอะไรถ้าจะมีคนคุยด้วย
“คงมีคนคุยกับวันเยอะเลยสินะ”
“คนที่ผู้ใหญ่คุยก็คงมีเยอะเหมือนกันนั่นแหละ ไหนจะแม่ค้าบัวลอย ไหนจะสาวน้อยสาวใหญ่ที่แวะเวียนมาหา”
แค่แกล้งพูดและคนที่โทรมาหาก็เงียบเสียงไป แบบนี้น่าจะงอนอีกแล้ว บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนผู้ใหญ่เปี่ยมโกรธและงอนใส่อยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยง้อเพราะเดี๋ยวคงหายเอง
“วันทำร้ายจิตใจเรามากเลยว่ะ”
ทำร้ายจิตใจเนี่ยนะ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าไปทำร้ายจิตใจกันตอนไหน และที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่ตอนนี้เราไม่ได้ทำตัวเหมือนคนที่เป็นแค่เพื่อนกันเฉย ๆ ดูเหมือนเราจะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนถึงขั้นที่ผู้ใหญ่เปี่ยมมางอนใส่ได้
“นี่เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง”
สงสัยและเริ่มครุ่นคิดและผู้ใหญ่เปี่ยมก็บอกคนที่คุยด้วยแบบยิ้ม ๆ
“หมายถึงจุดที่เราจีบวันอ่ะนะ”
คิดว่าตัวเองฟังไม่ชัด และไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่เปี่ยมพูดอะไรเลยต้องถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ผู้ใหญ่ว่ายังไงนะ”
“พูดแล้วไม่ตั้งใจฟัง อยากรู้ว่าเราพูดอะไรก็มาถามเราตอนเจอหน้ากันสิเดี๋ยวเราจะตอบให้อีกครั้ง”
ใครจะไปอยากถาม ใครจะอยากให้ตัวเองโดนยั่วโมโห ยังไงก็ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ ๆ
“ไม่ล่ะ เราไม่อยากรู้แล้ว แค่นี้นะผู้ใหญ่เราจะนอนแล้ว”
“ฝันดีครับ”
นี่ก็อีก บางครั้งก็คิดว่าการพูดจากันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายสองคนจะพูดกันและศิวัฒน์ก็ถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ผู้ใหญ่ว่ายังไงนะ ขออีกที”
ในเมื่ออยากรู้นักก็จะบอกให้ฟังชัด ๆ ก็ได้และผู้ใหญ่เปี่ยมก็พูดให้ฟังแบบชัดเจนก่อนวางสาย
“บอกว่า ฝันดีนะครับ ที่รัก”
“ใครที่รักของผู้ใหญ่ เราว่าผู้ใหญ่บอกผิดคนแล้วล่ะ”
ก็รู้อยู่แล้วว่าจะเฉไฉแบบนี้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะปฏิเสธแต่ถ้าไม่หยอดนิดหยอกหน่อยและขยันจีบขยันอ่อยทุก ๆ วันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะยอมเข้าใจแบบจริง ๆ จัง ๆ สักที
“ผมชื่อผู้ใหญ่เปี่ยมครับ ผมบอกว่าฝันดีนะครับที่รัก ที่ผมพูดทั้งหมดก็เพื่อบอกกับหนูวันของผมครับ และผมก็ไม่ได้พูดผิดคนครับ ชัดเจนหรือยัง สงสัยหรืออยากจะถามอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ย”
ชัดเจนเกินพอแล้ว ชัดเจนแบบไม่ต้องสงสัยและศิวัฒน์ก็ด่าคนที่อยู่ปลายสายก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
“ผู้ใหญ่แม่งกวนตีน”
ยอมรับว่ากวนตีนจริง ยอมรับหมดทุกอย่างโดยไม่มีข้อแก้ตัว คนที่ด่าให้ฟังก่อนนอนวางสายไปแล้ว และผู้ใหญ่เปี่ยมก็นอนมองโทรศัพท์ในมือแบบยิ้ม ๆ หลับตาลงแล้วแต่ก็ยังหุบยิ้มไม่ได้และไม่ต่างจากศิวัฒน์เหมือนกัน ถึงจะด่า ถึงจะต่อว่า ถึงจะทำเหมือนไม่ชอบ ถึงจะทำเป็นงี่เง่าใส่ แต่ยอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่าคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ยิ้มได้ เพราะได้คุยกับผู้ใหญ่เปี่ยมก่อนนอน
+++
“เราต้องประกวดชุดไทยงานของจังหวัด ทางอำเภอส่งเราเป็นตัวแทนไปประกวด เราหาชุดไม่ได้ไม่รู้ต้องไปเช่าที่ไหน วุ่นวายไปหมดเลยวัน”
ภารกิจของผู้ใหญ่บ้านมีเยอะแยะมากมาย และตอนนี้ศิวัฒน์ก็กลายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรผู้ใหญ่เปี่ยมก็เอามาปรึกษา
“อีกอย่างคือว่าเราต้องประชาสัมพันธ์โครงการสามัคคีคือพลัง นี่เราดูแล้วว่าจะใช้ชื่อโครงการ จิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ ภารกิจหลักสำหรับโครงการคือร่วมมือร่วมใจกันปรับภูมิทัศน์รอบ ๆ หมู่บ้าน”
ศิวัฒน์ไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องนั่งฟังแผนการทำงานของผู้ใหญ่เปี่ยมด้วยความตั้งใจและนอกจากฟังแล้วก็ยังต้องช่วยออกความคิดเห็นอีกด้วย
“ซึ่งผู้ใหญ่ก็จะเอาเครื่องตัดหญ้าของตัวเองมาตัดหญ้าข้างถนนอีกแล้วถูกมั้ย”
“ทำไมวันรู้ล่ะ”
เมื่อก่อนที่ไม่ได้คุยกันก็คงไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้หมดแล้วว่าลักษณะโครงการจะออกมาในรูปแบบไหน
“ถ้าเราไม่รู้ก็คงแปลก ก็ยังดีที่มีงบให้ ปลูกต้นดอกดาวเรืองด้วยก็ได้นะน่าจะดี แล้วก็ทำในวันอาทิตย์ช่วงเย็น ๆ คนใน
หมู่บ้านจะได้มาช่วยกันได้”
นั่นแหละที่คิดเอาไว้ ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจกันได้ทุกอย่าง จะแปลกอะไรที่จะทำให้อยากอยู่ใกล้และอยากพูดคุยด้วยบ่อย ๆ เพราะทั้งรู้ใจและเข้าใจกันแบบนี้ ไม่ให้รู้สึกอะไรด้วยก็คงไม่ไหว
“เป็นตามนั้นเลยแหละวัน”
คุยกันเรื่องแผนงานที่จะทำแล้ว และผู้ใหญ่เปี่ยมก็หยิบผักในตะกร้ามาเด็ดและคนที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ก็มองด้วยความสงสัย
“ทำอะไรน่ะผู้ใหญ่”
“ช่วงนี้กิจการไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีใครจ้างไปถมดิน จน ๆ แบบนี้ก็ต้องกินผักทอดไปก่อนนะวัน”
ให้กินผักทอดไปก่อนเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เปี่ยมคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง แต่มันทำให้คนฟังหัวเราะออกมาด้วยความขำและได้แต่ส่ายหน้า
“ถึงเราจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ถ้าแม่เราใช้ให้เด็ดผัก ใช้ให้กวาดบ้านถูบ้าน กรอกน้ำ รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า เราก็ต้องทำนะ”
มันก็จริง ถึงจะโตขนาดไหนแต่ก็ยังเป็นลูกชายตัวน้อยที่แม่สั่งให้ทำงานบ้านก็ต้องทำ ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือขัดขืน
“เด็กน้อยจริง ๆ เลยผู้ใหญ่”
“รู้ได้ยังไงว่าน้อย เคยเห็นแล้วเหรอ เราอาจไม่น้อยอย่างที่วันคิดก็ได้นะ”
พูดจาสองแง่สองง่ามและส่งยิ้มแปลก ๆ ให้ มองหน้าของผู้ใหญ่เปี่ยมแล้วศิวัฒน์ก็ได้แต่ถอนใจยาวเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“เราไม่อยากพูดกับผู้ใหญ่แล้ว เสียเวลา”
“แต่เราอยากให้วันพูดกับเรานี่นา”
ผู้ใหญ่เปี่ยมส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ เห็นแค่นั้นก็รู้แล้วว่าโดนยั่วโมโหและศิวัฒน์ก็แกล้งงี่เง่าใส่บ้าง
“ได้ ถ้าอยากพูดนัก งั้นผู้ใหญ่ก็ทำงานนี้ไปคนเดียวแล้วกัน”
ถ้าคิดจะแกล้งกวนประสาทกันแบบนี้ งั้นก็ต้องให้ทำงานคนเดียวดูซะบ้าง ศิวัฒน์กำลังจะปิดคอมพิวเตอร์ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็รีบขอโทษและดึงแขนให้คนที่กำลังจะหนีกลับบ้านอยู่ด้วยกันก่อน
“วันอ่ะ อย่าเพิ่งกลับสิ กินผักทอดกับเราก่อน”
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าเราจะกิน”
พูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระและสายตาก็มองไปเห็นป้าพรเดินร้องไห้มาแต่ไกล ผู้ใหญ่เปี่ยมมองป้าพรด้วยความสงสัยและป้าพรก็เดินเข้ามาที่ศาลากลางหมู่บ้านที่ศิวัฒน์กับผู้ใหญ่เปี่ยมทำงานอยู่
“ฮือ ผู้ใหญ่เปี่ยม ช่วยป้าด้วย ฮือ ป้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ช่วยป้าด้วยเถอะ ป้าไหว้ล่ะ”
“มันเรื่องอะไรกันป้า ค่อย ๆ พูดก่อน ป้าพรเป็นอะไร”
ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เปี่ยมที่ตกใจเมื่อเห็นป้าพรร้องไห้ไม่หยุด ศิวัฒน์เองก็เช่นกัน รีบปลอบใจและช่วยกันถามเพราะต้องการรู้สาเหตุที่ทำให้ป้าพรร้องไห้
“นั่งก่อนครับป้า มีอะไรค่อย ๆ เล่า ป้าเป็นอะไร”
คนสองคนช่วยกันปลอบใจป้าพรอยู่พักใหญ่กว่าจะจับใจความที่ป้าพรพูดรู้เรื่อง
“เมื่อคืนฝนตกหนัก น้ำท่วมนาป้า ตอนนี้น้ำก็ยังระบายออกไม่ได้เพราะดินมันมาปิดทางน้ำ ปล่อยเอาไว้ต้นกล้าตายหมดแน่ ป้าจะทำยังไงดี ป้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ฮือ ผู้ใหญ่ช่วยป้าด้วย”
“ป้าไปแจ้ง อบต.หรือยัง ที่จริงแจ้งอบต.ได้นะเรื่องนี้”
เรื่องบางเรื่องไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจ การข้ามหน้ากันในเรื่องการทำงานมันมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็รู้เรื่องนี้ดี ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่ของตัวเอง
“ป้าบอกแล้ว เขาว่าต้องทำหนังสือไป รอเขาตอบกลับมา แล้วป้าจะรอได้ยังไง ป้ารอไม่ได้หรอก ขืนรอต้นข้าวก็คงเน่าหมดทั้งนา”
ใช่ ใคร ๆ ก็รู้ว่ารอไม่ได้ กว่าจะทำเรื่องกว่าเอกสารจะไปถึงกว่าจะได้รับการตอบรับกลับมา ต้นกล้าในนาก็คงเน่าตายไปหมดแล้ว
“แม่งเอ๊ย เรื่องเร่งด่วนขนาดนี้ยังจะให้ทำหนังสืออีก”
ผู้ใหญ่เปี่ยมได้แต่ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหมู่บ้านของตัวเอง ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด และในหลาย ๆ ครั้งก็ทำอะไรไม่เคยได้นอกจากต้องปล่อยให้เป็นไปแบบนั้น
“ใครก็ไม่กล้าช่วยป้า เขากลัวมีปัญหา แล้วป้าจะทำยังไงดีผู้ใหญ่ ป้าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ฮือ ช่วยป้าด้วยได้มั้ย ช่วยป้าด้วยเถอะ ป้าไหว้ล่ะขอร้อง”
ถึงขนาดต้องยกมือไหว้กันแบบนี้ เพราะป้าพรคงหมดหนทางที่จะขอความช่วยเหลือจากใครได้แล้วจริง ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ต้องรีบห้าม
“ป้าไม่ต้องไหว้ผมหรอก ป้าใจเย็น ๆ ก่อน มันไม่ยากหรอก เดี๋ยวผมจัดการให้”
และคราวนี้ป้าพรก็รีบยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อรู้ว่าผู้ใหญ่เปี่ยมจะช่วยเรื่องที่ไม่มีใครช่วยได้
“วันนี้เราคงไม่ได้ทำงานแล้ว โทษทีนะวัน เดี๋ยวเราจะไปดูนาให้ป้าพรหน่อย เราไปส่งวันที่บ้านก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่ไปเถอะ เราต้องทำฐานข้อมูลอีกหน่อย ไหน ๆ ก็ทำแล้วจะทำให้เสร็จเลย ทำเสร็จเดี๋ยวเราปิดไฟปิดพัดลมให้ บ้านอยู่แค่นี้เราเดินกลับเองได้”
ในเวลาที่ต้องจริงจังก็จริงจัง ศิวัฒน์รู้ว่าควรทำยังไงและผู้ใหญ่เปี่ยมก็มองหน้าของคนที่กลับไปทำงานของตัวเอง
“ถ้ามันไม่มีอะไรมาก แล้วเราได้กลับมาเร็ว เดี๋ยวเราพาไปกินบัวลอยนะ”
ยังมีใจชวนไปกินขนมและศิวัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ชวนทั้งที่มีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่
“ทำไมต้องไปกินบัวลอยด้วยล่ะ”
“ก็...”
ผู้ใหญ่เปี่ยมก้มหน้าลงมาหาคนที่มองมาด้วยความสงสัยและกระซิบบอกเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
“เป็นการไถ่โทษที่เราทำให้หนูวันคนดีของเราอารมณ์เสียไง”
ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังจะกวนประสาทกันได้ อยากจะทุ่มคอมพิวเตอร์ใส่และศิวัฒน์ก็มองตามคนที่เดินยิ้มออกจากศาลาไปแล้วและทำได้แค่ด่าไล่หลังตามไป
“หนูวันบ้าบออะไร ใครไปเป็นหนูวันของผู้ใหญ่ตอนไหนกัน”
+++
ใกล้ค่ำแล้ว และศิวัฒน์ก็ทำงานจนเกือบเสร็จเรียบร้อยเหลือแค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องคุยกันแค่นั้น ผู้ใหญ่เปี่ยมไปนาป้าพรตั้งแต่ช่วงสาย ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา เมื่อไม่กี่นาทีก่อนมีข้อความส่งเข้ามาบอกว่าให้รออยู่ก่อนอีกหน่อย แต่รออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นกลับมา กำลังจะส่งข้อความไปบอกว่าจะกลับแล้วก็พอดีกับที่มีรถมอเตอร์ไซค์ของใครคนหนึ่งที่ศิวัฒน์จำได้ว่าเป็นคนที่เคยไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ผู้ใหญ่เปี่ยมเมื่อคราวก่อน
“พี่วัน พี่วัน”
ได้ยินเสียงเรียกและศิวัฒน์ก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาคนที่มาเรียกและก็ได้ถุงใส่อะไรบางอย่างที่คนที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ส่งให้
“อะไร”
“มันเชื่อมไงพี่ไม่เคยกินเหรอ ผู้ใหญ่บอกว่าให้ผมเอามาให้พี่วัน”
“ให้พี่ทำไม”
ถามด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรมากนัก และนอกจากถุงใส่มันเชื่อมแล้วยังมีน้ำส้มอีกหนึ่งขวดที่อยู่ในถุงยื่นส่งมาให้ด้วย
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ใหญ่เปี่ยมเขาโทรสั่งให้ผมไปซื้อมันเชื่อมกับน้ำส้มให้พี่วันแค่นี้แหละ ผมไปล่ะ”
มาแค่นี้ แล้วคนที่มาส่งของให้ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์จากไปแล้วโดยไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ศิวัฒน์เดินกลับมาที่ศาลาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะโทรหาคนที่จะบอกได้ว่าให้เด็กเอาขนมมาส่งให้ทำไม แต่ก็เห็นข้อความของผู้ใหญ่เปี่ยมในโทรศัพท์ที่พิมพ์ทิ้งเอาไว้
...เราคงกลับมืดและคงพาวันไปกินบัวลอยไม่ได้ วันนี้มีตลาดนัดเดี๋ยวนี้เขามีมันเชื่อมขายด้วย วันกินแก้หิวไปก่อนนะ แล้วคราวหน้าที่เจอกันเราจะชดเชยให้...
ชดเชยอะไร ทำไมต้องชดเชย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจ มองมันเชื่อมที่อยู่ในถุงแล้วก็อดนึกถึงคนที่ใส่ใจและอุตส่าห์ให้เด็กไปซื้อขนมมาฝากให้กินก่อนกลับบ้านไม่ได้ ถึงจะทะเลาะกัน ถึงจะเป็นคนที่ทำให้โมโหอยู่บ่อย ๆ และถึงแม้จะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วผู้ใหญ่เปี่ยมทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร อาจจะเพื่อผลประโยชน์หรืออาจจะเอาใจเพื่อหลอกให้ทำงานให้ จะเพราะอะไรก็ช่าง บางทีการที่ได้รับการใส่ใจแบบนี้ มันก็ทำให้รู้สึกดีได้ไม่ยาก
ศิวัฒน์อมยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเมื่อได้รับความใส่ใจจากผู้ใหญ่เปี่ยมแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ตาม
TBC.