ตอนเทพเสือโคร่งภูผา
บทที่สิบแปด
เทพเสือโคร่งภูผาแห่งป่าสีทองเมืองลั่ว คือสัตว์เทพที่มีภารกิจวุ่นวายมากกว่าสัตว์เทพทั้งป่ารวมกัน เพราะนิสัยปกป้องคุ้มครองผู้อื่นเป็นพื้นฐาน รวมกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นแล้วถือเอาว่านั่นคือเรื่องของตนเช่นกัน
เรียกอย่างง่ายก็คือ เรื่องในครอบครัวตนเองก็ยุ่งอยู่แล้ว ยังจะไปยุ่งในเรื่องของครอบครัวผู้อื่นเพิ่มเข้ามาอีก
เรื่องของสัญญาที่เทพเสือโคร่งภูผาทำไว้กับฮ่องเต้พระองค์ก่อน กับเรื่องราวทำให้กระเรียนโกเมนต้องเสียชีวิตนั้น จะว่าไปมันก็หาได้เกี่ยวข้องกัน และสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยง่าย
แต่เพราะนี่คือเทพเสือโคร่งภูผาผู้วุ่นวาย จึงต้องมีการสั่งการให้ผู้นั้น ผู้นี้ไปสืบค้นจนกระทั่งเรื่องมันมาบรรจบกัน ณ จุดหนึ่ง ที่พบว่าจุดเริ่มต้นนี้ คืออดีตคนใกล้ชิดของตนเอง
แต่เพราะนี่คือเทพเสือโคร่งภูผา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างแน่ชัด ถึงเวลาที่ต้องตัดก็ต้องตัดให้ขาด!
ตั้งแต่ฮ่องเต้จางหยวนเพิ่งครองราชย์ได้ไม่ถึงห้าปี พระธิดาพระองค์หนึ่งล้มป่วย แพทย์หลวงรักษาอยู่นานพระอาการก็ไม่ดีขึ้น เทพเสือโคร่งภูผาที่มีความสัมพันธ์อยู่กับสตรีผู้หนึ่งในเวลานั้นทราบเรื่องเข้า จึงถวายสมุนไพรหายาจากป่าสีทองเพื่อใช้ในการรักษา แลกกับการที่พระองค์จะต้องให้การดูแลสตรีผู้นั้น
ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนในระยะยาว เพราะเทพเสือโคร่งภูผาต้องมารักษาพระอาการของพระธิดาเป็นระยะ แม้ในภายหลังพระองค์จะเข้าพิธีอภิเษกไปแล้วก็ตาม ส่วนสตรีของเทพเสือโคร่งภูผาก็มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมาโดยตลอดแม้ในภายหลังจะห่างกันไป
ถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างรักษาสัญญาด้วยดี
ต่อมาเทพเสือโคร่งภูผาต้องกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ป่าสีทอง ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ขึ้น เมื่อกระเรียนโกเมนที่สูญหายไป เทพเสือโคร่งภูผาติดตามเรื่องราวจนพบว่าเกี่ยวข้องกับพรานป่าที่พักอยู่ใกล้ป่าสีทอง จากนั้นก็ตามต่อไปจนถึงเมืองหลวงจึงสรุปเรื่องราวได้ว่า มีผู้ว่าจ้างให้ใครบางคนหลอกล่อกระเรียนสีแดงออกมาจากป่า เพื่อสลายร่างทำโอสถวิเศษรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จางหยวน
ตรงผู้ว่าจ้างคือใคร และใครบางคนนั้นคือใคร คือคำถามที่เทพเสือโคร่งใช้เวลาตามหาอยู่นานนับปี
ในทางตำรายา เคยได้ยินว่าอวัยวะสัตว์ป่าของหลายชนิดมีสรรพคุณด้านการกระตุ้นตัวยา บ้างมีฤทธิ์เป็นยาบำรุง หรือในทางตรงข้ามก็คือเป็นยาพิษ แต่กระเรียนมีสรรพคุณทางยาด้วยหรือ
นกกระเรียนเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาว จะผ่านการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นเทพหรือไม่ถึงขั้นเทพ ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีความสุขุมและเยือกเย็นไม่ต่างกัน แต่กระเรียนโดยทั่วไปจะเป็นสัตว์ย้ายถิ่น รวมถึงกระเรียนในป่าสีทองก็เป็นสัตว์ย้ายถิ่น เว้นก็แต่กระเรียนโกเมนตนนี้ที่อยู่แต่ในป่าสีทองมาตลอดชีวิต และอีกประการหนึ่งก็คือเขาเป็นสหายกับเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้า
ย้อนกลับไปในตอนที่กระเรียนโกเมนหายไป เกิดขึ้นในช่วงที่เทพเสือโคร่งภูผา และสัตว์เทพอีกหลายตนกำลังอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญเพียรที่ต้องใช้เวลานานหลายปี ดังนั้นกว่าที่จะออกจากการบำเพ็ญเพียร เรื่องราวก็สายเกินกว่าจะแก้ไข บุคคลในเรื่องราวส่วนนี้หลายคนหาชีวิตไม่แล้ว
ทั้งหมดที่เทพเสือโคร่งภูผาได้รับรู้จึงเป็นคำบอกเล่าของพรานพื้นบ้านที่ว่า มีผู้มาว่าจ้างให้หากระเรียนสีแดง ซึ่งมีพรานอยู่คนหนึ่งที่รับงานเพราะต้องการเงินจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในการตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองอื่น
แต่การจะลงมือต่อกระเรียนที่มีลักษณะพิเศษไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีพรานอีกหลายคนร่วมมือด้วย
....น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ใช้เงินที่ได้มาจากการล่ากระเรียนสีแดง...กระเรียนโกเมน
ในความจริงโกเมนเป็นอัญมณีที่มีสีเหลื่อมกัน ตั้งแต่แดง ม่วง น้ำตาลไปจนถึงชมพู
เทพเสือโคร่งภูผา จึงสันนิษฐานว่า คำสั่งนั้นอาจหมายถึงกระเรียนสีแดงทั่วไป หรือกระเรียนไฟก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้กระเรียนโกเมนยังไม่ชอบออกมาจากป่าสีทอง ดังน้้นแสดงว่า ต้องมีผู้ที่รู้เรื่องคำว่าจ้างนี้แล้วไปล่อลวงกระเรียนโกเมนให้ออกมาจากป่า
กระเรียนโกเมนมีความแค้นกับผู้ใดกัน!
และ
เจ้าคนอุตริกำหนดสูตรโอสถที่มีกระเรียนที่มีสีแดงเป็นส่วนประกอบนั่นมันคือใคร!
ตั้งแต่ตอนที่สอบปากคำพวกคนในหมู่บ้าน เทพเสือโคร่งภูผาก็รู้แล้วว่า ฮ่องเต้จางหยวนสิ้นพระชนม์แล้ว นั่นคือแม้จะรับโอสถวิเศษที่มีกระเรียนโกเมนเป็นส่วนประกอบแต่พระองค์ก็หลีกหนีความตายไม่พ้น
จากนั้นในการที่ไปสำรวจที่สุสานพระราชวงศ์ ก็ทำให้ทราบว่า ฮ่องเต้จางฉวนองค์ปัจจุบันใช้พิษอะไรกับบรรดาพระเชษฐา และพระบิดา
ฮ่องเต้จางฉวน ทรงนับเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษโดยแท้
การพบกันที่อารามหลวงจึงเป็นการลองเชิง และเสแสร้ง เพื่อที่จะทำความรู้จักกับฮ่องเต้พระองค์นี้ให้มากขึ้น
รู้ว่าใช้พิษอะไร จากนั้นก็รู้จักคนที่วางยาพิษ แต่ยังไม่รู้ว่าใครคือคนที่สั่งโอสถถวายเพื่อแก้พิษนั้น
เทพเสือโคร่งภูผา เสียเวลาไปหลายสัปดาห์กับการรื้อค้นห้องยา และสำนักแพทย์หลวง รวมถึงการลอบติดตามแพทย์หลวงหลายคนเพื่อลอบฟังและหาว่า คนผู้นั้นคือใคร
แต่ในระหว่างการสืบค้นที่ดูสิ้นหวังนี้ดำเนินต่อไป เทพเสือโคร่งภูผายังพอมีเรื่องให้ชุ่มชื่นหัวใจ นั่นคือการได้พบกับเฉินอวี้
การสืบหาประวัติของชายหนุ่มผู้นี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้ว และสามารถเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยินดีจะทำที่สุดแล้ว นับตั้งแต่พบหน้าที่บ้านของหยางจงจิน แล้วภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยามถัดมาเทพเสือโคร่งภูผาก็ล่วงรู้ทุกอย่างที่อยากรู้ รวมถึงตำแหน่งห้องนอนของชายหนุ่มผู้นี้ด้วย
แต่การที่ได้เข้าไปในห้องนั้น กลับเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ
...ที่ตลกที่สุดก็คือขณะที่กำลังรื้อค้นห้องยา แล้วพลันนึกถึงใบหน้าของอวี้เอ๋อร์ นึกถึงรอยยิ้ม การเคลื่อนไหว ทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เทพเสือโคร่งภูผาก็จะยิ้มตาม อยากไปหา อยากเห็นหน้า
อยากทักทาย รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยาม จากนั้นก็ไปแอบมองเขาจากที่ไกลๆ สีหน้าท่าทางเวลาที่อวี้เอ๋อร์เหลียวมองหานั่นน่ารักมาก แต่จะไปหาทั้งที่ยังจัดการเรื่องราวไม่ลงตัวมันก็ไม่ดีใช่หรือไม่...
ยังมีเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับปัญหาใดๆ แต่กลับเป็นเรื่องที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาเป็นทุกข์มากที่สุดก็คือเรื่องนางเทพกวางสายลมให้กำเนิดกวางทองตัวน้อยที่มีขนาดเพียงฝ่ามือ แขนขาลีบเล็กจนไม่อาจยืนได้ด้วยตนเองเมื่อแรกเกิด
ตามกฎของสัตว์ป่า กวางทองผู้นี้อ่อนแอเกินไปและจะต้องถูกปล่อยให้ตาย
ถึงนางเทพกวางสายลมจะเป็นสัตว์เทพ แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ ประกอบกับเนื้อในที่ยังเป็นกวางทำให้นางเป็นผู้ที่ความกังวลอยู่ในระดับสูง ต่อให้นางบดบังความกังวลนั้นไว้ด้วยคำพูดเด็ดขาด แต่เมื่อต้องถูกกดดันให้ต้องปล่อยบุตรไป นางก็ไม่อาจบดบังความกังวลนั้นไว้ได้อีก จะหนทางใดก็ไม่กล้าตัดสินใจเลือกทั้งสิ้น จึงหารือกับเทพกวางสายฟ้าผู้เป็นคู่ครอง และถ่วงเวลารอให้เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงกลับมาตัดสินใจ
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวขณะที่อุ้มกวางทองตัวน้อยไว้แนบอกว่าขอเวลาเจ็ดวันในการดูแล แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งว่าจะปล่อยกวางทองไปหรือไม่
ซึ่งในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้เอง ที่เทพเสือโคร่งภูผาถ่ายพลังชีวิตให้กับกวางทองทุกวัน จนกระทั่งกวางทองลุกขึ้นยืนได้ด้วยตนเอง ดวงตาสีทองคู่นั้นเปล่งประกายงดงาม
พลังชีวิตของเสือโคร่งภูผาที่พยุงชีวิตของกวางทองตัวน้อยไว้ เจือจางอยู่ในมวลอากาศรอบตัวจนเทพผู้ปกครองป่า ไปจนถึงสัตว์ป่าทุกตัวในป่าสีทองรับรู้ได้ แม้จะรู้สึกว่าการสละพลังชีวิตนี้ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเป็นสิ่งที่บิดายกให้กับบุตร ก็กลับกลายเป็นการยกย่องและชื่นชมในความเสียสละที่ยิ่งใหญ่
และในเวลาเดียวกันนี้ เทพกวางทั้งสองรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่หาได้มีความกล้าหาญมากพอที่จะมอบพลังชีวิตของตนเองเพื่อพยุงชีวิตของกวางทอง
หากเมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้อยู่ในป่า แต่กวางทองตัวน้อยมีอาการอ่อนแรงลงเรื่อยอีกครั้ง เทพผู้ปกครองก็มาขอให้เทพกวางทั้งสองยึดมั่นในกฎแห่งป่า แต่เทพกวางทั้งสองลักลอบส่งข่าวถึงเทพเสือโคร่งภูผา เพื่อขอให้ช่วยเหลือ จากนั้นเทพเสือโคร่งก็เร่งรีบกลับมาแล้วถ่ายทอดพลังชีวิตให้กับกวางทองตัวน้อยทันที
"ข้าเข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการปล่อยกวางทองไป" ผู้ที่มีรูปร่างหนากำยำแสร้งกล่าวประชดประชัน ทั้งที่เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเทพทั้งสองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ที่จะช่วยกวางทอง ทั้งตนเองก็ภูมิใจที่ได้ดูแลบุตร แต่พอเห็นทั้งคู่มีสีหน้าท่าทางเสียใจ และยอมทำตามคำพูดของตนเองทุกอย่างก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมต้องการวางท่าใส่ทั้งสองอีกสักเล็กน้อย "กวางตกลูกได้ง่ายกว่าเสือ พวกเจ้าจึงตัดใจได้ง่ายกว่าข้า"
"การปล่อยบุตรไปย่อมเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่จะฝ่าฝืนรักษาเขาไว้ เราก็มิได้เข้มแข็งมากพอ" เทพกวางสายฟ้ากล่าวยอมรับด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง "ข้ามักกล่าวว่าข้ารักเขามาก แต่เทียบกับท่านแล้ว ข้าก็เป็นแค่กวางที่ได้แต่พูดพร่ำไปเรื่อย"
เห็นเทพกวางผู้งดงามรู้สึกเสียใจด้วยใจจริงเช่นนี้ เทพเสือโคร่งภูผาได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ
"ข้าก็แค่มอบพลังชีวิตของเสือโคร่งแก่ ๆ ตัวหนึ่ง ให้กวางทองลูกชายที่งดงามของข้า หาใช่เรื่องยิ่งใหญ่อันใด" คนรูปร่างสูงใหญ่กอดกวางทองตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
กวางทองย่อมมิใช่บุตรตนแรกของเทพเสือโคร่งภูผา แต่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นบุตรที่รักมากที่สุด "อีกอย่าง เมื่อเขาคือลูกของข้า เขาย่อมอยู่เหนือกฎใด ๆก็ตามที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้" เทพเสือโคร่งภูผามีสีหน้าท่าทางที่จริงจัง "หากพวกเจ้าเลี้ยงไม่ได้ข้าจะพาไปให้พวกจิ้งจอกเลี้ยง"
"ไม่" นางเทพกวางสายลมแย้งขึ้น
เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้นบ้าง "เขาเป็นลูกของพวกเราเช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้เราจะทำอะไรให้ท่านไม่มั่นใจ แต่ขอรับรองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก พวกเราจะไม่ปล่อยเขาไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และท่านยังสามารถมาพบเขาได้ตลอดเวลา"
"รวมถึงหากเขาอ่อนแอลงไปอีก ก็ต้องเรียกข้าทุกครั้ง"
"ได้" เทพกวางสายฟ้ารับคำ
"กวางอ่อนแอ พูดมากอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่แค่บอกกับเทพผู้ปกครองว่า ต้องรอข้ากลับมาเข้าใจหรือไม่"
"เข้าใจแล้ว" ถึงยามนี้มิว่าเทพเสือโคร่งภูผาจะกล่าวคำประชดอีกสักกี่คำ หรือจะเรียกร้องสิ่งใด เทพกวางทั้งสองก็มิได้ต่อรองสักคำ
"ข้ารู้ว่าเจ้าจะดูแลกวางทองเป็นอย่างดี" ยังมีใครที่ไหนที่ไม่รักกวางทองตัวน้อยของข้า เทพเสือโคร่งภูผาหรี่ตาหันไปมองนางเทพกวางสายลมที่จ้องมองกวางทองตัวน้อยในอ้อมกอดของเขาไม่วางตา แต่ไม่มีความกล้าที่จะแย่งไปอุ้มเอง
"ขอโทษที่ข่มเหงบังคับเจ้า แต่อย่าปล่อยกวางทองไปได้ไหม"
"ใครจะไปทำเช่นนั้นกัน" ดวงตาของนางบ่งบอกชัดเจนว่าอยากอุ้มกวางทองใจจะขาด "ที่พวกเราถ่วงเวลารอท่านกลับมา ก็เพราะไม่อยากปล่อยกวางทองไปไม่ใช่หรือไง ท่านเองก็เห็นแล้วว่า ตั้งแต่แรกมาไม่ว่าพวกเราจะกล่าวอะไรออกไปล้วนไร้น้ำหนัก มีแต่ท่านที่พอพูดอะไรขึ้นมาสักคำ ต่อให้เป็นถ้อยคำเหลวไหล พวกเขาก็กลับถือเป็นเรื่องจริงจัง"
ถึงจะถูกเหน็บแนมกลับมาว่าพูดจาเหลวไหว แต่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาอารมณ์ดีขึ้น
...การโต้เถียงแบบนี้ต่างหากที่คุ้นเคย ไม่ใช่ท่าทีกังวลแบบนั้น...
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าต้องไม่ถ่ายพลังชีวิตให้กวางทอง ข้าจะรับหน้าที่นี้เอง เพราะพวกเจ้ายังต้องคุ้มครองที่นี่ ข้ามีความรู้สึกว่านิทานเพ้อเจ้อเรื่องขุมทรัพย์ในป่ากำลังชักนำภัยพิบัติมาที่นี่"
"แต่ท่านเองยังต้องไปจัดการเรื่องกระเรียนโกเมน" เทพกวางสายฟ้าท้วงขึ้น กระเรียนโกเมนก็เป็นสหายของเขาเช่นกัน
ผู้ที่ยังกอดบุตรไว้ไม่ยอมคลายออกทำท่าว่าไม่ใส่ใจ "ข้ามีพรรคพวกอยู่มาก ไม่ต้องออกแรงเองมากมาย แค่วางตำแหน่งให้เหมาะสมเท่านั้น"
หลังเจรจาโอ้เอ้วกวนอีกพักใหญ่ เทพเสือโคร่งภูผาจึงมอบกวางทองให้นางเทพกวางสายลม นางก็รีบอุ้มกวางทองเข้าไปในถ้ำทันที
"กลัวข้าจะแย่งกวางทองไปหรือไง บอกเสียก่อนนะ ว่าต่อให้เจ้าหลบเข้าไปในถ้ำหรือมุดลงไปใต้ดิน หากข้าจะแย่งเขามาข้าก็ย่อมทำได้"
หลังจากที่เย้าแหย่นางเทพกวางสายลมเพื่อช่วยผ่อนคลายความกังวล ก็หันมาทำสีหน้าลำบากใจกับเทพกวางสายฟ้า
"ข้าไม่รู้ว่าจะโกรธท่านดีหรือไม่" เทพกวางสายฟ้าผู้สง่างามกล่าวตามตรง
"ไม่ต้องชอบข้าก็ได้ แค่ไม่โกรธข้าก็พอ" เทพเสือโคร่งภูผายิ้มยิงฟัน แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง
"เจ้าเป็นกวางที่ไม่มีอารมณ์ขัน"
เทพกวางสายฟ้าสายฟ้าส่ายหน้าเหนื่อยใจ "ช่างเถอะ เรื่องกวางทองน่ะ ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านวุ่นวาย แต่พวกเราก็พยายามแล้ว ถึงได้ให้ศิลาดำไปตามท่านกลับมา"
เทพเสือโคร่งภูผาหัวเราะเสียงแปลกๆ "ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งนิสัยคล้ายท่าน"
"คนที่ไม่มีอารมณ์ขันน่ะหรือ"
"ใช่" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวด้วยรอยยิ้ม "เวลาที่เขาพูดคุยกับคนอื่น ก็เห็นเขาพูดเรื่องสนุกสนานได้ หัวเราะเสียงดังและมีชีวิตชีวา แต่เวลาพูดกับข้า เขามักจะเจรจาเรื่องการงานเท่านั้น"
ดวงตาสีเหลืองจ้องมองอีกฝ่ายตรง ๆ แล้วก็พยักหน้า ทำให้เทพกวางสายฟ้าสงสัย
"ท่าทีนี้หมายความว่าอะไร"
"ข้าก็แค่เพิ่งเข้าใจบางอย่าง" เทพเสือโคร่งภูผายิ้มกว้าง "ข้ามักสงสัยตนเองว่าที่ผ่านมา ข้าพบกับสัตว์เพศผู้ หรือชายรูปงามมากมาย โดยเฉพาะเจ้า แต่ข้ากลับไม่เคยคิดอยากผูกพัน ทำไมเมื่อพบกับอวี้เอ๋อร์แล้วข้ากลับรู้สึกต้องการทำความรู้จัก อยากผูกพัน เฝ้าตามตอแยเขาไม่เลิก"
"อวี้เอ๋อร์...คนเดียวหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า
เทพกวางสายฟ้าหัวเราะก้อง แล้วหันมาทำหน้าตาล้อเลียน "ท่านไม่คิดว่า ที่เขาไม่มีอารมณ์ขันกับท่านก็เพราะว่าเขามิได้สนใจท่านหรอกหรือ
"เป็นไปไม่ได้" ผู้ที่มีรูปร่างหนายืนกางขา ยืดไหล่กว้างออก "ข้าออกจะสง่าผ่าเผยเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจข้า"
"เขาอาจไม่กล้าที่จะปฏิเสธท่านก็ได้"
"เขาปฏิเสธข้าตั้งแต่แรกเจอ" กล่าวแล้วก็เอียงคอสงสัยตนเอง "ข้าถูกปฏิเสธแต่แรกเช่นนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้"
"ท่านชอบเขาเช่นนั้นหรือ"
อีกฝ่ายพยักหน้า
"เช่นนั้นขอเตือนท่านอย่างจริงจัง แม้ว่าข้าจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านความรักเช่นท่าน แต่ข้าก็พอจะรู้ว่า นางเทพเสือโคร่งบงกชอาจเป็นปัญหาที่ท่านแก้ไขได้ยากที่สุดหากท่านยังตามตอแยอวี้เอ๋อร์ของท่านต่อไป"
เทพเสือโคร่งภูผาเกือบจะโบกมือไม่สนใจเหมือนทุกครา แต่กลับนึกขึ้นได้
"นางเคยมาที่นี่ใช่ไหม"
เทพกวางสายฟ้าเพียงมองตรงไปยังขอบฟ้าห่างไกล คนที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวมากมายจึงกล่าวคำขออภัย
"เรื่องที่นี่ข้าพอจะมีแรงจัดการได้ ท่านไปจัดการเรื่องของกระเรียนโกเมนเถิด"
เทพเสือโคร่งภูผาหันไปมองปากทางเข้าถ้ำกวางแล้วกล่าวขึ้น
"หากมีเรื่องใดก็เรียกข้าได้ โดยเฉพาะเรื่องของกวางทอง ข้าจะมาในทันที"
ก่อนที่เทพเสือโคร่งจะจากไป เทพกวางสายฟ้าจึงให้คำแนะนำที่สำคัญ
"อ่อนโยนกับคนรักของท่านบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือเทพล้วนไม่พอใจการปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นสิ่งของ ตอนที่ท่านรักพวกเขาก็เฝ้าตามตื้อ แต่เมื่อได้มาก็ละเลย"
"บงกชเป็นเทพเสือโคร่ง ส่วนอวี้เอ๋อร์เป็นผู้ชาย เขาไม่ต้องการความอ่อนโยนอะไรนั่น"
เทพกวางสายฟ้าทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอขณะที่ส่ายหน้า ผู้ที่กำลังดื้อรั้นก็หยุดคิด เหลียวกลับมามองเทพกวางสายฟ้า อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่อีกสักคำ
"ข้าว่า ข้าน่าจะเฝ้าตามตื้อเจ้าบ้างนะ"
"ภูผา!" เทพกวางสายฟ้า ที่ไม่ได้ใช้พลังวิเศษของตนมานานนับปี กำลังส่งเสียงดังปานสายฟ้าจนผืนดินสะเทือน
แต่เมื่อนางเทพกวางสายลมรีบออกมาดูด้วยความเป็นกังวลก็พบว่าต้นเหตุหายไปแล้ว
"ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น"
เทพกวางสายฟ้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กระนั่นนางเทพกวางก็ยังรู้สึกถึงความไม่พอใจในระดับเข้มข้นที่เจือจางอยู่ในอากาศ
เทพเสือโคร่งภูผา ยังไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวง แต่แวะมาที่ป่าเสือโคร่ง
นางเทพเสือโคร่งบงกชเป็นเสือโคร่งผู้มีปลายหางเป็นสีดั่งดอกบัว เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผากลับมาในร่างมนุษย์จึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน
"ท่านพี่"
"บงกช สบายดีหรือไม่"
คำถามนี้ไม่เพียงนางเทพเสือโคร่งที่ประหลาดใจ บรรดาบุตรชายหญิงและบริวารที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน
"สบายดี" นางกล่าวขึ้นหลังจากที่หายประหลาดใจแล้ว
เทพเสือโคร่งภูผา หันไปเรียกเทพเสือโคร่งศิลาดำ เทพเสือโคร่งศิลาแดง และนางเทพเสือโคร่งมุกดาเข้ามาหารือ ขณะที่เสือโคร่งตัวอื่น ก้าวถอยออกไปอยู่รอบ ๆ
การที่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในป่าสีทอง นอกจากพลังอำนาจในการคุ้มครองที่อยู่เหนือสัตว์เทพหลายตัวแล้ว เขายังมีบุตร ธิดาอีกสามตนที่มีพลังอำนาจอยู่ในระดับเทพ
"เรื่องของกระเรียนโกเมน มีแนวโน้มว่าเป็นการหยั่งเชิงเรื่องขุมทรัพย์ในป่าสีทอง คนร้ายบุกรุกเข้ามาในตอนที่พวกเราบำเพ็ญเพียร และหลบซ่อนตัวเพื่อรอดูว่าเราจะพบเขาเมื่อใด พ่อจึงให้ศิลาดำออกไปช่วยการสืบค้นที่ด้านนอก ส่วนที่นี่ต้องขอให้บงกชเป็นผู้สั่งการตรวจตราอย่าให้นายพรานหรือใครเข้ามาโดยเด็ดขาด"
นางเทพเสือโคร่งบงกชกล่าวขึ้น "เขารู้กำหนดเรื่องการบำเพ็ญเพียรหรือว่ามีคนในที่บอกเขา"
"ข้าสงสัยว่าอาจเป็นพรานป่าที่รู้จักกับพวกเรา แต่ตอนนี้เจ้าพรานนั่นถูกสังหารไปแล้ว"
นางเทพเสือโคร่งมุกดากล่าวเบา ๆ "เพราะรู้จักกัน ท่านลุงโกเมนถึงได้ตามออกไปนั่นเอง"
"ก่อนที่จะถูกสลายร่างอาจถูกบังคับให้เปิดเผยเรื่องราวขุมทรัพย์ด้วยก็เป็นได้" เทพเสือโคร่งศิลาแดงคาดเดา "แล้วยังมีเรื่องโอสถวิเศษนั่นที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง"
"มันเป็นความประจวบเหมาะ ชาวไท่ชางยกให้กระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืน เมื่อฮ่องเต้ประชวรก็สรรหาโอสถวิเศษ หวังที่จะให้กระเรียนมาต่ออายุของพระองค์ แต่ไม่สำเร็จ"
"หากพระองค์หายป่วยจริงๆ พวกเขาคงบุกเข้ามาไล่จับสัตว์ป่าที่นี่ไปทำยาอายุวรรธนะ" เทพเสือโคร่งศิลาแดงยังคงเป็นกังวล
"สัตว์ทุกตัวในป่าย่อมต้องร่วมกันเฝ้าระวัง จะให้พวกนกป่า และลิงค่างคอยเฝ้าจับตาพื้นที่โดยรอบให้มากขึ้น ส่วนพวกเรากับพวกจิ้งจอกจะต้องพร้อมที่จะเข้าจัดการกับผู้บุกรุกในทันที" นางเทพเสือโคร่งบงกชบอกแผนการณ์คร่าวๆ "แต่ข้ายังกังวล ว่าเทพหรือสัตว์ป่าตนใดในที่นี้ ที่เปิดเผยเรื่องของพวกเรา"
นางเทพเสือโคร่งมุกดาหันไปมองเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น
"เช่นนั้นก็ต้องระวังจิ้งจอกไฟของท่านพี่ศิลาดำแล้ว เขาชอบพวกมนุษย์ไม่ใช่หรือ"
"ไฟชอบมนุษย์แต่ไม่ได้โง่" เป็นครั้งแรกที่เสือโคร่งศิลาดำเอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นก็ยังคล้ายกับผู้เป็นบิดา เหมือนกับรูปร่างหน้าตาเช่นกัน
และเมื่อเอ่ยปากออกมา น้องสาวน้องชายต่างก็เก็บปาก
"เอาเถอะ อย่างไรพวกเราก็ต้องบอกเรื่องราวให้สัตว์ป่าและเทพอื่น ๆ ทราบเรื่องอยู่แล้ว รีบหาตัวคนที่คิดร้ายต่อที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลังจากที่การเจรจาเรื่องการงานผ่านไป เทพเสือโคร่งภูผาจึงหันมาหานางเทพเสือโคร่งบงกช
"ดูเหมือนเจ้าจะมีคำถาม"
"ท่านถ่ายพลังชีวิตให้กวางทองอีกแล้วหรือ"
"ก็แค่พลังชีวิตเล็กน้อยไม่กี่ปี"
"แล้วยังต้องถ่ายพลังให้อีกกี่ครั้ง หากถ่ายพลังชีวิตแล้วท่านก็จะต้องบำเพ็ญฌานเพื่อชดเชยก็จะไม่ทักท้วงหรอก แต่นี่ท่านกลับเตรียมตัวออกเดินทางต่อ"
เทพเสือโคร่งภูผามักนิ่งเงียบ เมื่อนางกล่าวความจริง
"ข้ายังรู้สึกถึงไอมนุษย์เบาบาง ที่จะรีบกลับไปเพราะนางด้วยใช่หรือไม่"
"ข้าบุ่มบ่ามเข้าไปขวางทางฮ่องเต้คนปัจจุบัน จนทำให้...ทางนั้นต้องเดือดร้อนไปด้วย จางฉวนเป็นคนโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้แต่บิดา และพี่น้องของตนเอง ข้าจึงไม่อาจวางใจ"
นางเทพเสือโคร่งบงกชพลอยถอนหายใจหนัก ๆ "คนดี ๆ มีมากมายทำไมไม่ไปคบหาเขา"
เทพเสือโคร่งภูผายังคงเถียงนางอยู่ในใจ เมื่อนางสรุปรวมผู้คนทั้งหญิงและชายมากมายมาไว้ในหนึ่งประโยคที่ทำให้ฟังดูแปลก ๆ
ส่วนบุตรชายหญิงที่รับฟังโดยไม่มีความเห็นต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัยไม่เข้าใจคำกล่าวของมารดาเลยสักนิด
ว่าที่จริงมีเพียงเทพเสือโคร่งศิลาดำเท่านั้นที่ฟังแล้วเข้าใจ เพราะรู้เรื่องทั้งหมด แต่ที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปด้วย ก็เพราะยังไม่พอใจที่จิ้งจอกไฟถูกกล่าวหาว่าอาจเป็นคนที่เปิดเผยเรื่องราวของป่าสีทอง
ส่วนน้องชายและหญิง กว่าจะรู้ความจริงก็หลังจากนั้นอีกนานนับปี
นานทีเดียวกว่าที่จะได้รู้ว่า จางฉวนคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ส่วนคนที่บิดาพัดพาความเดือดร้อนไปถึงคือเฉินอวี้ซึ่งเป็นชาย หาใช่สตรีแต่อย่างใด
แต่สำหรับเทพเสือโคร่งภูผาใช้เวลาอีกไม่นานนักจึงได้รู้ว่า เรื่องที่คาดคิดไว้นั้นถูกต้องครึ่งหนึ่ง
เอาเป็นว่าในช่วงเวลานี้ หลังจากที่จัดการเรื่องที่ป่าสีทองเสร็จสิ้นก็กลับไปที่เมืองหลวง แล้วได้ยินเรื่องรับสั่งพิเศษของฮ่องเต้จางฉวนเข้าก็ร้อนใจจนต้องกลับไปที่กองทัพฝ่ายตะวันตกแล้วตามไปจนถึงขบวนล่าสัตว์ถึงได้พบว่าเฉินอวี้ตกม้า
สาเหตุนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เจ้าม้านั่นตกใจเกินเหตุ ม้าอื่น ๆ ก็ได้กลิ่นของเสือโคร่งไม่เห็นจะมีม้าใดที่ตกใจ เว้นแต่เจ้านี่ที่ใจเสาะเกินกว่าม้าตัวอื่นวิ่งเตลิดแล้วสะบัดเฉินอวี้จนตกหน้าผา ใจจริงอยากกลับไปจัดการแยกร่างเจ้าม้านั่น แต่ติดขัดก็ตรงที่ต้องอยู่ดูแลเฉินอวี้ที่หมดสติไป
ตั้งแต่ถ่ายพลังชีวิตให้กับกวางทอง เทพเสือโคร่งภูผาก็ยังไม่ได้หยุดพักเพื่อบำเพ็ญฌานและฟื้นฟูพลัง เพราะต้องเร่งรีบเดินทางแล้วยังต้องมาถ่ายพลังเพื่อรักษาอาการให้กับเฉินอวี้อีก
การคืนร่างเสือโคร่งนอกเขตป่าสีทองจึงมีสาเหตุจากความอ่อนเพลียนั้นเอง
ก็อ่อนเพลียขนาดที่ไม่มีแรงจะกลับคืนร่างจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่นนอนขึ้นมาก่อน
โชคดีที่เฉินอวี้เป็นคนใจเย็น ไม่เอะอะโวยวาย ค่อย ๆ ซักถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผู้ที่ตอบทุกคำถามก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญบังคับตนเอง และถือโอกาสระหว่างที่เฉินอวี้พักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่นั้น มาฟื้นฟูพลังของตนเองเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนี้จะปิดใครก็ปิดได้ แต่ปิดเจ้าเทพเสือโคร่งศิลาดำไม่เคยได้สักเรื่อง แถมเจ้านั่นยังทำสีหน้ารู้ทันในตอนที่บอกไปว่าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของเฉินอวี้ก่อน แล้วจึงจะตามไปที่บุคคลที่เป็นสาเหตุของเรื่องราว
ที่จริงก็ห่วงเฉินอวี้อยู่ว่าการเดินทางด้วยม้าจะกระทบกระเทือน แต่สภาพในตอนนี้ก็พร้อมอยู่เพียงเจ็ดส่วน ซึ่งโดยทั่วไปยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่เพราะที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองลั่ว และป่าสีทองอยู่มาก การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของอีกฝ่ายบ่งบอกว่า มีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี เทพเสือโคร่งภูผาจึงไม่ประมาท
หลังจากที่เทพเสือโคร่งศิลาดำมาแจ้งข่าวแล้วกลับไป อีกสามวันถัดมาเทพเสือโคร่งภูผาจึงมาส่งเฉินอวี้ ที่ค่ายทหารของกองทัพฝ่ายตะวันตก หลังจากที่เข้าไปกล่าวฝากฝังดูแลคนกับทางแม่ทัพฝ่ายตะวันตกสักหลายจอกก็ออกเดินทางไปยังเมืองจงพวน
....จบตอนที่สิบแปด...