END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)  (อ่าน 186986 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มีหึงวีดีโอ..น่าเอ็นดู    :m25: :m25: :m25:

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
โอ๊ยยยยย ผ่านจากความดุพี่ดิม มาเจอดราม่าต่อ ขอวาป กลับไปอ่านพี่ดิมคนดุต่อได้ไหมคะ ใจเราบางกับดราม่ามากกก

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :pighaun: รอตอนต่อไป :mew3:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หลงไปกับความร้อนแรงของหนูศิกับแด๊ดดี้ แต่ตอนท้ายนี่อะไร ไหนแม่จะมาไหนจะมีข่าวใต้เตียงมาอีก

ออฟไลน์ maplub_oyaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
555 เด็กวร้ายวร้าย

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
จะรับมือกับคุมแม่ยังไงเนี่ยยย พี่ดิม 555

ออฟไลน์ SM_day

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
เจอม๊มน้องศิ แบบวร๊ายๆ

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
โหหหพี่หมอดุเหมือนเดิมมมมม
เอาแร้วเด้อตัวรว้ายๆ มาแร้วว

ออฟไลน์ チイ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านแบบรวดเดียวเรื่องราวสนุกน่าติดตามนะ
วางพล๊อตมาดีทีเดียวมีปมปัญหาที่เราก็ลุ้นว่าจะแก้กันไป
ในทางไหนแต่ก็พาออกมาได้แบบไม่สะดุดใจเลย
และด้วยคาร์แร็คเตอร์ของแต่ละคนก็ทำให้เข้าใจนะว่าทำไม
คิดแบบนี้ทำแบบนี้ตอนแรกกังวลว่าจะจบไม่ดีแต่ตอนนี้ไม่ซีแล้ว
คิดว่าทุกปัญหาก็จะมีทางออกในแบบของแต่ละคนนั่นแล่ะ

แต่มาทีเดียว2ชามเลยนะมาม่าอ่ะเอาให้หมอเป็นชามๆไปเถ้ออ
สงสารชะนีน้อยหอยสังข์ที่รอให้เค้ามีความสุขด้วยกันปกติๆที
แต่มันดูเป็นไปได้ยากทั้ง2ปมมั้ย ครอบครัว หน้าที่การงาน สังคม
โอ้ยยนนยรุงรัง ยังไงก็ต้องสู้นะคะฝากบอกพี่ดิมกับหนูศิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนผู้นำเสนอผลงานดีๆเรื่องนี้นะคะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอชั้นรอเทออยู่...  :hao5:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.19 special person
[/size]

You’re a mystery I have travelled the world
And there’s no other girl like you



ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง

เกือบชั่วโมงที่เราสองคนพะว้าพะวงกับเสียงสัญญาณนี้จนพากันลนลาน แต่แล้วก็หยุดลงพร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมครามราวกับเป็นลูกระเบิดน้อยหน่าดึงสลักถ้าโดนสะกิดเล็กน้อยก็คงระเบิดตายกันตรงนี้

ผมเป็นคนเดินไปเปิดประตูเพ้นท์เฮาส์สุดหรูต้อนรับแขกคนสำคัญสำหรับเช้านี้

“หม่าม๊า”

“ว่าไงคะลูกชาย”

“อ่า สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ตามปกติเวลาเจอหน้าบุพการี แต่คราวนี้มือไม้สั่นเหมือนเจ้าเข้า

“แม่เข้าไปได้มั้ยคะ เจ้าของห้องเขาโอเคหรือเปล่า”

“เชิญครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในระยะไม่ไกลจากผมมาก เขาเดินมาตอนไหนไม่ยักรู้ แต่รู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลย เพราะหม่าม๊าตอนนี้มีรังสีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกมวนท้อง

“ม๊ากินข้าวมายังครับ กินข้าวก่อนนะ”
“ลูกทำอาหารเช้าไว้ด้วย”

ผมไม่อยากนั่งรอเวลาให้เปล่าประโยชน์เลยหาทางออกด้วยการทำอาหารแม้ร่างกายจะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่านั่งปลงไม่ตกให้เครียดซ้ำเข้าไปอีก

เมนูอาหารวันนี้เป็นเบรกฟาสต์ง่าย ๆ ไข่ดาวน้ำ ไส้กรอกอกไก่ แฮม ขนมปัง สลัดผักผลไม้ และน้ำส้มคั้น เป็นของสดที่เหลือจากที่ซื้อเข้ามาก่อนที่จะมาหาพี่ดิมเมื่อวาน

“ค่ะ ม๊าหิวพอดี ไม่ได้ชิมฝีมือลูกชายนานแล้ว” น้ำเสียงของหม่าม๊าเหมือนจะดูปกติในสายตาของคนอื่น แต่ในความรู้สึกของลูกชายเพียงคนเดียวรับรู้เลยว่าไม่ปกติสักนิด

“คะ ครับ”

พี่ดิมจัดการเลื่อนเก้าอี้ให้หม่าม๊า และคุณกฤติกากล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะมานั่งประจำที่ข้างผม วันนี้เราออกมานั่งรับประทานที่ห้องทานข้าวอย่างถูกสุขลักษณะ อาหารถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย ด้วยการจัดสรรอย่างดีจากพี่ดิม เทียบแล้วไม่ต่างจากภัตราคารหรูตอนเช้าเลย

“ลูกศิมาที่นี่บ่อยมั้ยคะคุณหมอ” หม่าม๊าที่กำลังใช้ผ้าเช็ดมือถามขึ้นเสียงราบเรียบ

“ก็สองสามครั้งครับ”

“แบบมาค้างหรอคะ”

“ครับ” มาดจริงจังของพี่ดิมถูกนำมาใช้ในสถานการณ์แบบนี้

ผมเลือกเสื้อคอปกสีฟ้าเนื้อผ้าดี และกางเกงสแล็คสีกรมขาเต่อให้พี่ดิม จะได้ไม่ดูสบายเกินไปและไม่ดูทางการเกินไป อีกอย่างเสื้อคอปกมันก็ปกปิดรอยอะไรต่อมิอะไรที่คอเขาได้ดี

“ศิรัสไม่เคยเห็นบอกหม่าม๊าเลย”

ชื่อจริงที่นาน ๆ ครั้งจะถูกขานออกจากปากคนเป็นแม่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือปี2 ที่ได้เอฟวิชาบังคับ ทำให้ต้องลงเรียนวิชานั้นใหม่ เกรดส่งไปที่บ้านหม่าม๊าเค้นหาต้นตอว่าทำไมถึงติดเอฟวิชานี่ด้วยเสียงเย็น ๆ และเรียกชื่อจริงตลอดเวลาคุยกัน เพื่อเพิ่มระยะให้ดูห่างเหิน เป็นจิตวิทยาในการกดดันและทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนทำโทษทั้ง ๆ ที่หม่าม๊าไม่ได้ด่าหรือตำหนิอะไรเลย แต่มันจะรู้สึกผิดโดยปริยาย

“หม่าม๊า ลูก…”

“ผมผิดเองครับ ผมอยากให้น้องมาหาเอง”

“ม๊าอยากทราบเหตุผลของลูกหม่าม๊าค่ะ”

“...”

“...”

น้ำเสียงเยือกเย็นและดูห่างเหินที่แม่ใช้มันทำให้ใจของผมหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ถ้าหม่าม๊าให้ผมเลิกกับพี่ดิม

จะทำยังไงดี

ถ้าหม่าม๊าให้เลือกระหว่างครอบครัวและคนรัก...จะต้องตัดใจใช่มั้ย

มือใหญ่เอื้อมมาจับมือผมที่กุมกันแน่นบนหน้าตักใต้โต๊ะ ภาพที่จินตนาการไว้ในตอนแรกต่างจากตอนนี้ มันกลับตาลปัตรไปหมด หม่าม๊าที่เคยเข้าใจและให้ทางเลือกลูกชายเสมอ ในตอนนี้ไม่ใช่เลย ความผิดเกิดจากที่ผมเลือกปิดบังและไม่จริงใจต่อบุพการีที่ไว้ใจผมมาก ๆ ก่อนเอง มันก็สมควรที่จะต้องโดนแบบนี้

“เอาเถอะค่ะ ไว้เรากินข้าวกันก่อน เดี๋ยวจะไม่อร่อยเปล่า ๆ”

ตาที่เริ่มร้อนเพราะกลัวแม่ตัวเองตอนนี้เหลือเกิน หม่าม๊าที่ใจดีเสมอมา ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับอัยการสอบสวนที่กำลังเค้นหาความจริงจากปากผู้ต้องหา กระพริบตาไล่น้ำตาที่มันรื้นขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วพยายามกินอาหารตรงหน้าเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

อาหารเช้าสามจานดูจะมีแค่ผมที่พร่องลงน้อยสุด พยายามทำเป็นปกติแล้วแต่มันยาก ยากมากจริง ๆ ไม่รู้จะต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้ายังไง

“ม๊าอิ่มแล้วใช่มั้ยครับ”

“ค่ะ ปกติใครเก็บโต๊ะหรอคะ”

“กะ ก็สลับกันครับ” ตอบเสียงอ้อมแอ้มตามที่ม๊าถาม ทั้งที่จริง ๆ พี่ดิมก็ช่วยเก็บตลอดเวาเรานั่งกินข้าวกันเสร็จ

“ก็ดีแล้วค่ะ งานบ้านไม่ควรเป็นงานของใครคนใดคนหนึ่ง”

ผมและพี่ดิมมองหน้ากัน แล้วยิ้มให้กำลังใจกันแม้มันจะดูเขินมากก็ตาม ก่อนจะช่วยกันเก็บจานที่ใช้แล้วบนโต๊ะเดินเข้าห้องครัว

“พี่ล้างเอง”

พี่ดิมเหมือนจะดูออกว่ามือที่จับจานที่มีฟองน้ำยาล้างจานอยู่สั่นแค่ไหน

“พี่ดิม...ศิไม่เห็นเห็นหม่าม๊าเป็นแบบนี้เลย”

“ไม่เป็นไรนะ”

มือใหญ่จับมือผมทั้งที่มันยังเปื้อนน้ำยาล้างจาน

“พี่อยู่ตรงนี้ไง อยู่กับศิ”

“...”

“เราผ่านมันไปได้แน่ ๆ ศิเชื่อใจพี่มั้ย”

พี่ดิมบีบมือผมแน่นขึ้นเพื่อส่งผ่านความเชื่อมั่นและให้เชื่อใจผู้ชายคนนี้

“อื้อ ศิจะไม่กลัวถ้ามีพี่ดิมอยู่ด้วย”

สบสายตาคู่คมที่ตอนนี้อ่อนโยนเหลือเกิน อยากจะกอดพี่ดิมให้แน่น ๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ควรอย่างยิ่ง

“พี่จะทำให้หม่าม๊าเชื่อใจพี่ให้ได้ ว่าจะดูแลลูกชายคนเดียวได้อย่างดี”

ผมพยักหน้าและหยาดน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ร่วงหล่นลงอย่างง่ายดาย

พี่ดิมเปิดก็อกน้ำก่อนจะล้างมือผมและตัวเอง เช็ดมือด้วยทิชชูสะอาดก่อนจะใช้มือเย็นปาดน้ำตาผมออกอย่างเบามือ

“ฮึก”

เขายกมือลูบผมและยิ้มที่แสดงออกว่าเขาเข้มแข็มและพร้อมจะปกป้องผมจากทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนจะกอดผมแนบอกอย่างไม่กลัวหม่าม๊าเข้ามาเห็นฉากแบบนี้ ทั้งที่ใจผมกลัวมาก ๆ

“พะ ดิม ศิกลัวม๊ามาเห็น”

“ศิร้องไห้หนิ พี่ควรทำยังไง ถ้าไม่ใช่กอดศิไว้แบบนี้”

“...”

“พี่ไม่กลัวม๊าศิจะว่า แต่พี่กลัวศิจะไม่เลิกร้องไห้”

“ฮึก ฮือ”

มือใหญ่ลูบหัวของผมเบามือ และก้มลงมาจุมพิตเส้นผมอย่างปลอบประโลม ในตอนนี้หัวใจของผมที่แกว่งไกวเมื่อครู่พอจะสงบใจลงได้บ้าง ความอบอุ่นจากร่างกายที่คุ้มเคยเหมือนเป็นฮีตเตอร์บรรเทาอาการทุกข์ในหัวใจได้อย่างดี

พี่ดิมยืนกอดผมอยู่หลายนาทีก่อนที่ร่างสูงจะผละตัวออกก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม และหันไปล้างจานต่อจนเสร็จ และมันถึงเวลาที่เราสองคนจะไปเผชิญหน้ากับความจริง ความกลัว ด้วยความกล้าที่เราสองคนช่วยกันสร้างมันขึ้นมา และต้องผ่านมันไปให้ได้



หม่าม๊านั่งที่โซฟาในโซนรับแขก ในมือยังกดมือถืออยู่ คงกำลังอ่านข่าวหรือไม่ก็ทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใด

“ม๊าครับ”

“มากันแล้วหรอ”

ผมหันไปสบตากับพี่ดิมก่อนจะนั่งลงตรงข้ามม๊าที่เป็นโซฟาร์ตัวยาว เพื่อที่เราจะได้นั่งพอดีทั้งสองคน

“นานเท่าไหร่แล้วหรอคะคุณหมอ”

“....”

“ที่ตกลงจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กัน”

หม่าม๊าถามพี่ดิมและเลือกใช้คำว่าความสัมพันธ์แบบนี้ โดยที่ไม่พูดว่าเราสองคนคบกันหรือเป็นเป็นแฟนกัน มันแน่นอนอยู่แล้วว่าม๊าคงรับไม่ได้

“จริง ๆ ก็ไม่นานครับ”
“แต่เราใจตรงกันมานานมากแล้ว”

“หมอไม่อายหรือคะ ที่จะคบผู้ชายทั้งที่ตัวเองก็มีหน้าตาในสังคม”

“หม่าม๊า…” คำถามที่ออกจากปากของคนเป็นแม่มันไม่ใช่แค่แทงใจคนถูกถาม แต่มันแทงใจผมอย่างจัง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาโดยตลอด แต่พยายามลืมมันไป และคิดว่าเราสองคนจะอยู่กันไปแบบนี้อย่างมีความสุขได้ โดยที่ไม่ต้องแคร์คนอื่น

คนถูกถามใช้มือใหญ่เอื้อมมากุมมือผมแน่น และหันมามองหน้าผมก่อนจะขยับปากตอบม๊า

“ศิมากกว่าที่ต้องอายที่มีแฟนอย่างผม แฟนที่พาไปกินข้าวดูหนังไม่ได้ แฟนที่ไม่ได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้า แฟนที่พาไปเที่ยวบ่อย ๆ ไม่ได้ แฟนที่ให้เวลากับคนอื่นมากกว่าตัวเอง”

“...”

“ศิต้องอายคนอื่นที่มีแฟนอย่างผม แฟนที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่พอ”

“ถามตัวเองหรือยังว่าโอเคแน่หรอ” ม๊าพยักเพยิดหน้ามาถามความเห็นผม

นั่นสินะตอนนี้มันก็ดูโอเคและยังไม่ปัญหา แต่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะเป็นอย่างไร รู้แค่ตอนนี้อยากอยู่ตรงนี้ อยากอยู่ข้าง ๆ อยากทำกับข้าวดี ๆ ให้พี่ดิมกินทุกวัน ไม่ต้องไปเที่ยว ไม่ต้องไปเดทบ่อย ๆ เหมือนคนอื่น แต่แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง

“ศิก็ไม่รู้ครับ”

พี่ดิมกุมมือผมแน่นขึ้น

“ศิรู้แค่ตอนนี้อยากอยู่ตรงนี้ อยากอยู่ข้าง ๆ ในวันที่พี่ดิมกลับจากผ่าตัดเหนื่อย ๆ อยากทำอาหารดี ๆ ให้”

“น้องเป็นความสุขของผมครับ”

เราสองคนมองหน้ากัน น้ำตาที่ปริ่มตรงหัวตาไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จากความเครียดและความกดดันทั้งหมดทั้งมวล สายตาคมที่มองมาออย่างหนักแน่นและแน่วแน่กับคำพูดเพื่อที่จะยืนยันว่าความรักของเราไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันด่วน แต่ทว่ามันเกิดจากการไตร่ตรองดีแล้ว ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ทำความผิดต่อผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่ง แต่พี่ดิมก็กล้าก้าวข้ามเพศสภาพของผมจนมานั่งกุมมือกันอยู่ตรงนี้ได้


“ก็แค่เนี่ย!”
“เฮ้อ หายใจไม่ออกค่ะ”


“...”

“...”

ผมและพี่ดิมมองหน้ากันด้วยความงงงวยสุดขีด หม่าม๊าคนที่ทำสีหน้าจริงจังไร้อารมณ์นั่งไขว่ห้างน่าเกรงขาม ตอนนี้เปลี่ยนท่าเป็นปกติ และเอาหนังสือนิตยสารขึ้นมาพัด แถมยังยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอย่างเร็ว

“หม่าม๊า นี่มัน…”

“ก็เอาคืนเด็กที่ชอบปิดบังยังไงล่ะ มีแฟนทั้งทีมีหน้าให้ม๊ารอตั้งหลายเดือน เหอะ คิดว่าเรื่องแค่นี้ม๊าสืบไม่ได้หรือไงจ๊ะ”

“เฮ้อ” ถอนหายใจเสียงดังพร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่มันปริ่มรอมร่อ พี่ดิมที่มองมาก่อนอยู่แล้วยกยิ้มอย่างโล่งอกให้เหมือนกัน

“เห็นหม่าม๊าเป็นคนใจร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่”

พอคนเป็นแม่พูดแบบนี้ก็เลยลุกเดินไปฝั่งตรงข้าม แล้วสวมกอดผู้หญิงที่รักมากที่สุดเต็มรัก พอม๊าพูดแบบนี้น้ำตามันก็พาลจะไหล เพราะไม่ใช่แค่ผมโกหกแถมยังทำเหมือนไม่รู้จักแม่ของตัวเองอีก

“ม๊า ศิขอโทษนะ” เสียงอู้อี้พูดบนอกของม๊า เสื้อผ้ากลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อน ๆ ไร้น้ำหอม ยังคงทำให้รู้สึกสงบและอุ่นใจเสมอ

“เป็นเด็กหรือไงเรา ไม่อายหมอเขาหรอมากอดม๊าแบบนี้”

ผมส่ายหัว ไม่มีอะไรน่าอายแล้วจังหวะนี้

“ม๊าไม่เคยโกรธลูกนี่ครับ ลูกก็รู้ แต่ที่ม๊าต้องแบบนี้เพราะหมั่นไส้เฉย ๆ ยะ”

“ม๊าาาา”

เสียงขำจากลำคอดังมาจากผู้ชายที่นั่งตรงข้าม เขามองผมที่กอดแม่ด้วยสายตาอ่อนโยนปนโล่งใจไม่ต่างกัน

“ขอโทษครับ พอดีไม่เคยเห็นศิในมุมแบบนี้เลย”
“แล้วก็ขอโทษหม่าม๊าด้วยครับ ที่ทำให้ไม่สบายใจ” พี่ดิมยกมือไหว้หม่าม๊าอย่างนอบน้อม

“ม๊าไม่ได้โกรธค่ะ แค่ม๊าอยากรู้ว่าถ้าลูก ๆ สองต้องไปเจอกับเหตุการณ์ยาก ๆ มีคนสงสัยในความสัมพันธ์จะทำกันอย่างไร ม๊าเป็นห่วง เราสองคนไม่ใช่คนธรรมดาแล้วนะคะ” ม๊าผละผมออกจากอก ก่อนจะใช้มือเล็กลูบหัวผมเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยน สายตาที่แสดงความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ฉายชัดอยู่ข้างใน

“ไม่ได้มีแค่ม๊า ไม่ใช่ป๊า หรือไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่คุณหมอ หรือเพื่อน ๆ ของลูก แต่มันหมายถึงทุกคนในสังคมนะคะ ลูกไม่ผิดที่จะรักกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจได้”

“...”

“...”

“แต่ม๊าเข้าใจค่ะ”

พอม๊าพูดประโยคนี้ผมก็โผกอดเธอแน่น ๆ อีกที แถมเอาหน้าถูเสื้อนุ่ม ๆ ไปด้วย “แค่หม่าม๊าเข้าใจก็ดีใจมาก ๆ แล้ว เรื่องอื่นค่อยคิดนะ”

“ขอบคุณที่หม่าม๊าเข้าใจนะครับ”

ม๊ายิ้มตอบรับคนตัวโตอย่างใจดี เป็นรอยยิ้มที่แต้มบนหน้าของผู้หญิงคนนี้เสมอ ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของผม และเป็นบุคคลที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่จะอยู่กับผมทุกเมื่อ

ไม่รู้จะขอบคุณหรือทดแทนพระคุณของคนเป็นแม่อย่างไรให้เหมาะสมกับความเสียสละทั้งชีวิตเพื่อให้ลูกได้มีความสุข ยอมแม้กระทั่งให้ลูกเลือกชีวิตที่หลายคนในสังคมยังไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่พูดถึงกระทั่งถ้ามีคนมาถามว่าลูกชายมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้ชายด้วยกัน เสมือนเธอไม่ได้คิดตรงนั้น คิดแค่ผมมีความสุขกับสิ่งที่เลือกหรือเปล่า คิดแค่ถ้าวันหนึ่งต้องผิดหวังเสียใจ เธอก็จะยังอยู่ข้าง ๆ เสมอ

ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทนมีอยู่จริงบนโลกใบนี้
มีอยู่จริงในโลกของแม่ผม




มีต่อ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2018 21:36:44 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ม๊าก็บอกหลายทีแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะมีเมียน่ะ”

ท่าทางมึนตึงของม๊าในตอนแรกที่เหยียบเพนเฮาส์แห่งนี้กับขณะนี้ต่างกันราวกับคนละคน และนี่แหละคือหม่าม๊าตัวจริงเสียงจริง

“โธ่ม๊า ลูกไม่เคยพูดซะหน่อย” ไม่เคยพูดซะหน่อย ม๊าก็พูดไปเรื่อย ยกเว้นแต่ป๊าที่บอกว่าให้ลองหาผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานและตัวเล็กกว่าก็น่าจะพอเดินด้วยกันได้

“เอ้อใช่ ก็แฟนคนแรกของเธอก็ผู้ชายนี่นา”

“...”

“...”

HOLY SHIT!

พอเห็นปฏิกิริยาผมที่สตันท์ ม๊าก็ลืมตาโตแล้วหันมองพี่ดิม ตอนนี้เหมือนเราทั้งคู่ใส่ฟิลเตอร์สโลว์โมชั่นอย่างไงอย่างนั้น “ลูกยังไม่ได้เล่าให้หมอฟังหรอ” หม่าม๊ากระซิบ

“จริง ๆ ลูกจะทำเป็นลืมไปแล้ว” กระซิบตอบหม่าม๊า แล้วหันมายิ้มแห้งสุดชีวิตให้พี่ดิม

สายตาที่อ่านไม่ออกของร่างสูงกลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ใบหน้าก็ยังดูปกติดี แถมยังยิ้มให้แม่ผมอีกต่างหาก แต่ผมนี่แหละที่รู้ว่ามันไม่ปกติแบบสุด ๆ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่าให้เขาฟังแค่ไม่เห็นความจำเป็นที่เขาต้องรู้จักอดีตที่มันผ่านมานาน และไม่ได้สำคัญกับชีวิตผมแล้วด้วยซ้ำ

“สิบเอ็ดโมงแล้วหรอเนี่ย เดี๋ยวม๊ากลับออฟฟิศก่อนนะคะ พอดีมีประชุมตอนเที่ยง” ใครเขาประชุมกันเวลาเที่ยง ม๊าใช้วิธีปลีกตัวได้ไม่เนียนเลยนะครับ

“ม๊าน่าจะอยู่ทานข้าวเที่ยงก่อน ลูกว่าจะทำสปาเก็ตตี้นะ” ตอนนี้พยายามรั้งให้คนเป็นแม่อยู่ด้วยกันอีกหน่อย เพราะรังสีความไม่พอใจแผ่กระจายจนรู้สึกร้อนไปหมด ทั้งที่แอร์ก็เย็นดี

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปะป๊าจะไม่มีคนทานข้าวเที่ยงด้วย”
“ที่สำคัญวันนี้ลูกต้องกลับคอนโดนะคะ”

หันไปมองพี่ดิมแต่เขาดันเบนสายตาไปทางอื่น นัยหนึ่งคือไม่อยากรับคำของม๊า และอีกนัยหนึ่งคือผมต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้มีผลลัพธ์ที่ทุกคนพอใจ

โอ้ย อยากจะเจาะพื้นคอนโดและมุดลงไปตอนนี้แม่ง!

“ครับ”
“ลูกเดินไปส่ง”

ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมผมกับม๊า และยกมือไหว้หม่าม๊า พยายามมองหน้าพี่ดิมด้วยสายตาละห้อยสุดชีวิต แต่เหมือนโดนเมินไปแล้วนี่สิ


“ม๊า ศิจะทำยังไงล่ะครับทีนี้”

“ม๊าซอรี่นะคะ คิดว่าคุย ๆ กันแล้ว”
“หมอเป็นผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจอะไรง่ายนะคะ”

มันใช่แบบนั้นที่ไหนล่ะครับ

คุณกฤติกาพูดปลอบใจพร้อมใช้มือนิ่ม ๆ บีบแก้มผมก่อนจะกอด และเดินออกจากห้องไป




หันมาอีกทีร่างสูงที่ยืนอยู่เมื่อครูก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว

“พี่ขี้หึงมากนะ”

คำพูดเมื่อครั้งนั้นย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง แต่ทำขนคอตั้งชันเสียดื้อ ๆ

ลองเดินหาชั้นล่างแล้วไม่มีวี่แวว สงสัยคงอยู่ที่ห้องหนังสือ พี่ดิมมีห้องหนังสือเล็ก ๆ ข้างห้องนอน มีโซฟาสีแดงตัวยาวอยู่ในห้อง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นนอกจากชั้นวางหนังสือและโซฟาตัวนี้

พอเดินขึ้นมาชั้นสองประตูห้องนี้ถูกแง้มไว้ แสดงว่ามีคนอยู่ข้างใน เปิดเข้าไปก็พบคนที่กำลังหายืนเลือกหนังสือด้วยท่าทางไม่สนใจการมาถึงของผม

ผมไม่รู้ว่าพี่ดิมคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าทำไมต้องโดนเมินแบบนี้ แค่เพียงผมเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน บางทีผมก็ไม่เข้าใจ

“พี่ดิม ศิเข้าไปได้มั้ย” พูดอยู่หน้าห้อง เพราะอย่างที่บอกห้องมันไม่กว้างพอที่จะให้ผู้ชายสิงคนเข้าไปยืนง้องอนกันได้

“พี่ดิมโกรธศิเรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ศิเคยมีแฟนศิไปแก้ไขอะไรไม่ได้นะ”

“....” ร่างสูงยังคงยืนเลือกหนังสือโดยที่เหมือนไม่สนใจคำพูดของผมต่อไป

“เขาไม่ได้สำคัญกับชีวิตศิ ศิลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ”

“...”

“ถ้าพี่ดิมอยากรู้ ใช่เขาคือคนแรกของ…”

“พอเลย!”

ร่างพูดเสีงดังทั้งที่ยังหันหน้าเข้ากับชั้นหนังสือ เพราะถ้าเขาตะคอกใส่หน้าผมไม่แคล้วคงรู้สึกแย่เดินหนีออกจากตรงนี้

“พี่ไม่ได้โกรธ แต่หึงเข้าใจมั้ย แม่งยิ่งมารู้ว่ามันคือคนแรก ยิ่งโมโหตัวเอง”
“ทำไมไม่เจอกันเร็วกว่านี้วะ”


พี่ดิมยังคงไม่หันหน้ามาพูดกับผม แต่เหมือนเขากำลังระงับอารมณ์ตัวเอง ดูจากมือที่กำหนังสือเล่นเล็มแน่นจนเส้นเลือดขึ้น

พาตัวเองเดินผ่านประตูเล็กอย่างไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต และไม่กี่ก้าวก็ประชิดตัวคนตัวใหญ่ แผ่นหลังกว้างตรงหน้ายังคงดูอบอุ่นและมั่นคงเสมอ ใช้แขนกอดรัดเอวเขาไว้ แนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง หวังให้เขาคลายความความรู้สึกที่สุมอยู่ในใจ และอยากทำให้มั่นใจว่าอดีตที่ผ่านไปแล้ว แทบจะไม่มีผลกับปัจจุบันและอนาคตของผมและเขาเลย

“ศิขอโทษที่ไม่เคยบอก”

“ช่างมันเถอะ พี่หัวเสียไปเอง” คนโดนกอดใช้มืออุ่นจับมือผมที่กอดเขาไว้

ผมกอดพี่ดิมแน่นขึ้นและเขาก็ลูบมือตอบกลับ เราเหมือนอยากใช้เวลาตรงนี้เยียวยาความรู้สึกของกันและกันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร สัมผัสได้ถึงลมหายใจของร่างสูงที่สม่ำเสมอกว่าตอนแรก สิ่งที่คลุกกรุ่นเมื่อคืนสงบลงแล้ว เขาจับมือผมออกจากเอวแล้วหันหน้ามากอดผมแน่นโดยที่ไม่พูดอะไร

เหมือนเขาอยากขอโทษที่ใช้เสียงดังถึงขั้นตวาดใส่ผมเมื่อครู่ พี่ดิมจูบซับขมับ และลูบเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

“ตอนเย็นไปเดทกันนะ”

“หื้อ ไหนว่าพี่ดิมต้องไปหาอาจารย์หมอไง” จู่ ๆ พี่ดิมก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อาจารย์แคนเซิลไปแล้วล่ะ พี่ว่าง”
“อีกอย่างก็ตั้งแต่เราเป็นแฟนกันจริง ๆ มันมากกว่าแฟน”

“พี่ดิมแม่ง พอจะโรแมนติกก็เป็นงี้ทุกที” ผมเหวใส่คนตัวสูงที่ชอบวกเขาเรื่องเมีย ๆ ของเขา

“อะ ๆ ก็ตั้งแต่เป็นแฟนกันเรายังไม่เคยไปเดทกันจริงจังเลย แล้วก็ฉลองเรื่องที่ม๊าศิเข้าใจเราด้วยไง”

“เอางั้นก็ได้ แต่ศิไม่ได้เตรียมชุดมาเลย คงต้องกลับไปเอาที่คอนโดนะ”

“เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่”

“โห เสี่ยมากป่ะ”

“เสี่ยไม่เสี่ยก็ เลี้ยงหนูได้ตลอดชีวิตแล้วกัน”

บรรยากาศมาคุเมื่อครู่หายไปในพริบตา นี่อาจจะอีกจุดเริ่มต้นดีดีเวลาเราผิดใจกันแล้วมันถูกแก้ไขด้วยเรา มันเลยดูไม่ยุ่งยากและไม่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต้องเสียสละ แต่เราเสียสละร่วมกัน เราเสียความเป็นตัวเองในบางอย่าง เรายอมรับความเป็นเขาในบางอย่าง โดยที่ยังคงความเป็นตัวเอง นี่แหละมั้งคำว่า “เรา” ในความสัมพันธ์




บ่ายสี่โมงพี่ดิมขับรถออกจากคอนโดเพื่อจะไปเลือกซื้อชุดสำหรับดินเนอร์คืนนี้ ซึ่งผมเองก็ยังไม่ทราบว่าคุณเขาจะพาไปที่ไหน พอดูห้างที่เขาจะพาไป มันแทบไม่ได้ต่างจากขับรถจากคอนโดเขาเพื่อไปคอนโดผมเลย แต่ก็ขี้เกียจขัดเดียวโดนขมวดคิ้วใส่อีก เลยนั่งนิ่ง ๆ บนรถ ฟังเพลง Ed Sheera อัลบั้มโปรดของสารถี

“พี่ดิมดูสิ พูลล์ไลฟ์อยู่แหละในไอจี”

“มันคืออะไร”

“อ้าวพี่ดิมเล่นไอจีเป็นจริงมั้ยเนี่ย ก็ถ่ายทอดสดไง แบบคุยกับคนที่เขามาคอมเมนท์อะไรแบบนี้”

“พี่เอาไว้ลงรูปเฉย ๆ กับลงสตอรี่ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก” ร่างสูงตอบขณะที่เหยียบเบรคตอนติดไฟแดงพอดี

“นี่ ๆ ศิลองเล่นดูแล้ว เรามาไลฟ์กันได้มั้ย”

“เอางั้น?”

“อื้อ ๆ รอรถติด”

“ลองดู เอาเครื่องพี่ก็ได้ เครื่องศิแบตจะหมดไม่ใช่หรอ”

“ครับผม”

กดเข้าฟังก์ชั่นไลฟ์ในไอจีพี่ดิมอย่างไม่ลังเล

“มาแล้ว ๆ”

“โหคนดูขึ้นเร็วมากเลย ตอนนี้พี่ดิมมีคนตามอยู่เท่าไหร่นะ”

“ไม่แน่ใจเจ็ดแสนมั้ง”

“ก็ว่าอยู่คนดูเยอะมากเลย นี่จะห้าพันแล้ว สวัสดีครับ นี่ศิเองพี่ดิมอนุญาตให้เอามือถือมาไลฟ์ครับ ทำไม่เป็นเลยแนะนำด้วยนะ”

Comment กรี๊ดดดดดดด น้องศิลูกอยู่กับคุณหมอหรอคะ

“ครับ เรากำลังจะไปห้างกัน”

Comment หัวใจชั้นนนน
Comment เป็นการชิปที่คอมพลีทที่สุดในชีวิต ขออนุญาตร้องไห้ค่ะ
Comment อยากเห็นคุณหมอดิมค่ะน้องศิลูกแม่


“พี่ดิมมีคนอยากเห็น”

“หวัดดีครับ ขับรถอยู่คุยกับน้องไปนะ”

“แหะ ๆ พี่ดิมขับรถอยู่ครับ”
“คุยเรื่องไรดีอะ อ้อ ทุกคนรอดูซีรีส์ด้วยนะครับ จะฉายแล้วน้า”

Comment พี่อยากดูชีวิตจริงน้องมากกว่าในซีรีส์อีกค่ะ
Comment นี่ชั้นชิปอะไรอยู่ หัวใจจจ

Comment ไม่ผิดหวังที่อยู่ทีมหมอ สุดมากค่ะ
Comment ขอเลิฟซีนเผ็ด ๆ นะคะ ป้ารออยู่


“ขอเลิฟซีนเผ็ด ๆ นะคะ ป้ารออยู่ ฮ่าๆๆ ผมยังเด็กอยู่นะไม่มีหรอกเผ็ด ๆ”

“เด็กไม่ดีไปโกหกเขาทำไม” สารถีอยู่ ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา ไม่พอยังใช้มือใหญ่ขยี้ผมซะเสียทรงเลย

“พี่ดิมมมม ผมยุ่งหมดแล้ว”

Comment นี่ก็ชัวร์แล้วว่าคลิปเสียงที่ออกมาน่ะเรื่องจริง

ผมเห็นคอมเมนท์นี้ได้แต่อ่านในใจแล้วขมวดคิ้วโดยที่ไม่ได้ตอบ แต่ตั้งคำถามในใจว่าคลิปเสียงอะไรแล้วทำไมคน ๆ นี้ถึงพูดแบบนี้ขึ้นมา เลยแคปหน้าจอไว้ แล้วคุยกับแฟนคลับคนอื่นอย่างปกติ แต่ว่ามันมีคำถามแบบนี้มาเรื่อย ๆ เลยตัดบทด้วยการบอกว่าแบตจะหมดแล้วลาทุกคน

“พี่ดิมมีคนเมนท์เรื่องคลิปเสียงเต็มไปหมดเลย ศิงงว่าคลิปอะไรอะ”
“นี่แคปหน้าจอไว้ด้วย”

หลังจากพี่ดิมจอดรถผมเลยยื่นมือถือให้เขาอ่านสิ่งที่แคปไว้ ร่างสูงอ่านด้วยสีหน้าจริงจังและขมวดคิ้ว แต่แล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

“ไม่มีอะไรหรอก พวกปั่น นักเลงคีย์บอร์ด ป่ะไปซื้อของกัน”

“อ้าว อดเผือกเลย อื้อ ๆ ก็ได้”





เด็กน้อยองผมเดินเลือกเสื้อผ้าแบรนด์โปรดของเขาอย่างมีความสุข และผมไม่อยากทำลายความสุขของเขาด้วยเรื่องนี้เลย ดีที่มือถือเขาแบตหมดและถูกชาร์จอยู่ในรถ ตอนนี้เขาเลยไม่มีเครื่องมือในการสืบค้นข้อสงสัย เพราะถ้าเข้าไปในแอพทวิตเตอร์ เรื่องที่พูดถึงมากที่สุดกลายเป็นคลิปเสียงบ้า ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาก

ใช่ คลิปวันนั้นแหละครับที่เราพลาดลืมปิดไวเลสกัน ผมเชื่อว่าป๋าและพี่ผู้ช่วยผู้กำกับไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้แน่ แต่นั่นแหละมันคงจะเกิดความผิดพลาดอะไรบางอย่างในขั้นตอน post production แน่ ๆ หรือไม่อาจจะมีคนอื่นที่ได้ยินและอัดเสียงไว้ ซึ่งเจตนาที่ทำแบบนี้ไม่มีทางหวังดีกับใครเลย

หลังจากที่พยายามหาคลิปเสียงจากแฮทแท็ก #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า ก็ยังไม่มีใครได้ฟังคลิปจริง ๆ จัง ๆ สักคน แต่ต้นตอของข่าวคือเพจดังเพจหนึ่งที่ออกมาพูดว่ามีคลิปเสียง และคนก็พยายามเสาะหาคลิปที่ว่า แต่เหมือนไม่มีใครมีจริง ๆ สักคน คิดได้ว่าเพจนั้นคงไปรับรู้มาอีกที แล้วมากระจายข่าวต่อ

ก็ยังรู้สึกโล่งใจที่คลิปที่ว่าไม่หลุดจริงจังอย่างที่เพจนั้นกล่าวอ้าง เพราะไม่เช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาว่าเจ้าของเสียงคือใคร รวมกับคำใบ้ด้วยและแทบจะฟันธงได้เลยว่าคือผมกับศิ

เรื่องนี้มันไม่ได้กระทบแค่ผมกับน้อง แต่มันรวมไปถึงทีมงาน ป๋าเจี๊ยบ พี่นาย และผู้ใหญ่ที่บริษัทอีก ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถึงผู้ใหญ่ในค่ายหรือยัง เพราะยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากใคร แม้เรื่องจะเกิดมาค่อนวันแล้วก็ตาม ไม่แน่ทางบริษัทก็ไม่รู้และผมนี่แหละต้องไปสารภาพบาปเอง อะไร ๆ ที่คาราคาซังมันจะได้คลายลงบ้าง

แต่ประเด็นนี้ดูจะกระทบจิตใจแฟนคลับผมและน้องจำนวนไม่น้อยเลย ไม่ใช่ว่าทุกคนเชียร์ให้ผมกับน้องได้กันจริง ๆ ยังมีคนที่แค่จิ้นและต้องการให้เราเป็นแค่สิ่งในจินตนาการมากกว่าเป็นความจริง ต้องยอมรับว่าไม่ใช่สาววายทุกคนจะชื่นชอบความสัมพันธ์แบบชายรักชายและใจยังกว้างไม่พอจะรับ LBGT ได้ ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจและยอมรับในความเห็นต่าง และไม่ได้แคร์ขนาดนั้น คนที่แคร์น่ะยืนเลือกเสื้อคอเล็กชั่นใหม่ burburry อย่างสนุกสนาน



นางใบ้มาขนาดนี้ยังจะสืบอีกหรอว่าใคร คู่ที่กูชิปมันเรียลแล้ว ต้องไปแก้บนที่ไหนวะเนี่ย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   เออแปลกดีที่จะเลิกชอบเขาเพราะเขาชอบกันจริง ๆ กูงงนะเนี่ย มีสาววายแบบนี้ด้วยหรอวะ #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   รับไม่ได้อะ มันแบบเหนือที่คิด ทำใจไม่ได้เลย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   ยังไม่ได้ฟังคลิปแต่คิดกันไปแล้วว่าเรื่องนี้ เชื่อเพจนั้นด้วยหรอคะ /มอง #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   ใครมีคลิปบอกบุนทีจ้าาาาาาา อินี่งงมาก คือพยายามหาแล้วแต่ทำไมไม่มีแหล่งเลย แล้วทุกคนก็คือเชื่อไปแล้วว่าคือคู่นั้น ไหนละคลิป ไหนนนนนนน /ใครส่งคลิปหนีกระดาษมา กูบล็อกจ้า #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   มาถึงยุคที่คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้ว แต่เราก็ยังนก #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
      reply พี่ค่อน5555555555555555555555555555555555555555555555
   อาตมาก็เป็นคู่จริงกับเจ้าอาวาสนะ ไม่เห็นมีใครมาชิปเลย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
      reply ชิปหายงี้หรออิหลวงเจ้







------------------- to be continued---------------------



ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปเกือบ2อาทิตย์ แงแง
ไม่ได้จะถือโอกาสลงเรื่องหม่าม๊าน้องศิในวันแม่เลยนะ
แต่สุขสันต์วันแม่นะคะ กอดแม่กันเยอะ ๆ น้าาา
ชาวเน็ตกลับมาแล้ว ตอนหน้าเจอหมอท้าชนนักข่าวหน่อย
หลวงเจ้นี่แฟนคลับนับเบอร์วันของหมอกับน้องเลยนะ55555555555

อีสอีส

รักเด้อพวกสู

บีเองจ้า


#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2018 21:41:03 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คุณแม่น่ารักมาก...กกกกกกกกกกก  :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ชอบอิหลวงเจ้ตรง " อาตมาก็คู่กับเจ้าอาวาสนะ "
ตอนที่แล้วก็ อะไรของเขาหายก็ไม่รู้ ฮาอ่ะ
แลอยากอ่านนนนนน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
แงง คำผิดเยอะอยู่นะคะ บางช่วงมันขัดอารมณ์ไปเลย แต่ว่าแล้วว่าหม๊าม๊าต้องมาป่วน55555555. แต่ว่าคุณหมอมีนัดไม่ใช่หรอคะ มาเดทกะน้องจะไปทันหรอ เครียดๆเรื่องคลิปเสียงอยู่พอมาอ่านช่วงชาวเน็ตถึงกับขำออกเสียง จนแม่ด่าเลยค่ะ หลวงเจ้ต้องรับผิดชอบนะ

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
น่ารักจุงง....  :katai2-1:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.20 Spotlight
[/size]

Baby when I know you’re only sorry you got caught
But you put on quite a show




ครืดดด ครืดดด

เสียงสั่นของโทรศัพท์บนหัวเตียงทำให้ผมต้องพยายามลืมตาและใช้มือควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างหัวเตียงอย่างสะลึมสะลือ

“ฮัลโหลครับ”

[น้องศิหรอคะ พี่ใบชานะคะ]

“อ่าครับ” พอได้ยินชื่อพี่ใบชาก็ตื่นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจ ชื่อนี้ที่ไม่ได้ยินมานานมาก ๆ ตั้งแต่พี่เขาขอให้ทำอะไรแปลก ๆ กับพี่ดิม จนความสัมพันธ์ของผมและเขาก้าวกระโดดมาจนทุกวันนี้

[ขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนแต่เช้า วันนี้น้องศิมีเรียนมั้ยคะ ถ้าช่วงบ่ายช่วยเข้ามาที่ษริษัทได้มั้ยเอ่ย]

ผมเริ่มคิดแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ใบชาถึงต้องโทรมาหาผมอย่างทันด่วนขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องซีรีส์ก็น่าจะแจ้งในกรุ๊ปในทุกคนรับทราบ แต่นี่โทรหาผมโดยตรงคนเดียว..

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ใบชา แล้วผมไปคนเดียวหรอ” ถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองไปทำความผิดอะไรหรือเปล่า

[ถ้าคุณหมออยู่ด้วย ก็ฝากบอกเขาให้มาด้วยกันเลยนะคะ]

“คะ ครับ” เสียงขาดห้วงของผมเปล่งแทบไม่ออกเมื่อพี่ใบชาเอ่ยชื่อคนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่ควรกลับกลับคอนโดตามที่แม่บอก แต่คนตัวโตกลับงอแงมาก เลยทำให้ผมต้องค้างที่นี่อีกคืน และอีกอย่างวันนี้พี่ดิมได้หยุดอีก 1 วัน เก้าโมงต้องเข้าไปคุยกับอาจารย์หมอเรื่องที่ท่านแคนเซิลไปเมื่อวาน แต่ตอนนี้เหมือนบ่ายจะต้องมีคิวเพิ่มเข้ามาอีกเรื่อง

[ค่ะ ทางบริษัทเห็นข่าวแล้ว เราอาจจะต้องคุยกันว่าควรจะทำอย่างไร]

“ข่าว? ข่าวอะไรหรอครับ”

[น้องศิยังไม่รู้หรอคะว่ามีคลิปเสียงที่คล้ายน้องศิกับคุณหมอหลุดจากกองถ่าย]

“ฮะ!!”

คำอุทานเสียงดังส่งผลให้คนที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสีหน้าสุดช็อกโลกของผม

[ยังไงบ่าย ๆ เราเจอกันนะคะ พี่ไม่รบกวนแล้ว]

“คะ ครับ”

พี่ใบชาวางสายไปแล้วแต่ผมนี่ตัวชาดิกเหมือนยืนอยู่บนไหล่เขาแถบขั้วโลกเหนืออยู่เลย คลิปเสียงที่นึกออกคงมีแค่วันนั้นที่เราลืมปิดไวเลส แต่ป๋าบอกแล้วนี่นาว่าไม่มีใครได้ยินนอกจากป๋าและพี่ผู้ช่วยผู้กำกับอีกสองคน

“ใครโทรมาหรอ” ผู้ชายตัวโตที่ยังสะลึมสะลือพยุงตัวเองนั่งข้าง ๆ พี่ดิมจูบซับที่หัวไหล่เหมือนอย่างที่ชอบทำ แต่ผมยังนั่งนิ่งคิดไม่ตกกับสิ่งที่รับรู้

“พี่ใบชาครับ”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” มือใหญ่ลูบไล้แขน และแน่นอนเขาจับสังเกตได้ว่าผมไม่สบายใจเอาเสียเลย

“มีคลิปเสียงเราหลุดครับ ลงข่าวไปเยอะเลย”

“รู้กันแล้วสินะ”

“หื้อ พี่ดิมก็รู้หรอ ทำไมไม่เห็นบอกศิ”
“อ๋อ ถึงว่าเมื่อคืนไม่ให้ศิเล่นมือถือเลย ทำไมไม่บอกศิล่ะครับ”

ออกจากจากห้างเขาก็พาไปดินเนอร์ แล้วผมก็มึนไวน์ กลับมากะว่าจะเช็กข่าวก่อนนอนแต่พี่ดิมริบมือถือ และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แถมมือถือเขาก็สั่นตลอดเวลาหมือนมีคนพยายามติดต่อ แต่สุดท้ายร่างสูงก็ปิดมือถือไปดื้อ ๆ และหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำรักต่อ จนดึกดื่นผมก็หลับไป

“พี่ไม่ได้อยากจะปิดศิ”

“แต่พี่ดิมก็ทำไปแล้ว”

“เพราะพี่รู้ว่าศิจะเครียดแบบนี้” พี่ดิมพยายามจะเข้ามากอด แต่ผมกระเถิบตัวหนี

ทุกครั้งผมเข้าใจว่าพี่ดิมอยากปกป้องอยากทำให้ผมสบายใจ และให้ความรักของเราราบรื่นมากที่สุด ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า มีประสบการณ์ในการจัดการปัญหาที่เข้ามาได้ดีกว่า แต่ผมกลับมองว่าเวลาเรามีปัญหามันควรเป็นเราสองคนที่แก้มันไปด้วยกัน ไม่ใช่พี่ดิมเอาตัวเองเป็นโล่บังทุกปัญหาที่จะเข้าถึงตัวผมทุกครั้ง

“ศิไม่อยากให้พี่ดิมปกป้องศิเหมือนศิเป็นเด็กเล็ก ๆ”
“ปัญหานี้มันควรเป็นเราที่ต้องแก้ไปด้วยกันไม่ใช่หรอครับ”

“…” ร่างสูงมองหน้าผมด้วยสายตาละห้อย

“ใช่ศิกลัวแล้วก็ไม่สบายใจ แต่พี่ดิมเคยบอกไม่ใช่หรอว่าเราจะผ่านมันไปได้”

“...”

“ยิ่งพี่ดิมไม่ให้ศิรับรู้ ปิดบัง แล้วพี่ดิมคิดมั้ยว่าศิจะรู้สึกยังไง ที่ให้แฟนตัวเองรับหน้าแก้ปัญหาทุกอย่างคนเดียว ทั้งที่มันคือปัญหาของเรา” น้อยครั้งที่ผมจะใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวคุยกับเขา เพราะครั้งนี้ทั้งรู้สึกกลัวเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งโกรธตัวเองที่ทำตัวอ่อนแอขนาดที่ต้องให้พี่ดิมคอยเป็นห่วงตลอดเวลา

“ครับ พี่ขอโทษ พี่คิดน้อยเอง”

“อื้อ ศิรู้ว่าพี่ดิมรับมือได้ทุกอย่าง” ผมจับมือใหญ่ของเขามากุมไว้ ซึ่งเขาก็คงเครียดไม่ต่างกัน แต่ภาวะความเป็นผู้นำของมันทำให้เขาต้องท้าชนทุกอย่างได้อย่างไม่เกรงกลัว “แต่ศิอยากแบ่งปันทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องที่สุข แต่ความทุกข์พี่ดิมต้องแชร์ให้ศิรู้ ศิอาจจะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจ แต่ศิจะพยายามนะ”

“เจ้าหนูของพี่โตขึ้นขนาดนี้แล้วสินะ” เขายกยิ้มให้

“จะโตพอที่จะปกป้องพี่ดิมให้ได้เลยนะ”

“หึ ครับ”
“ศิมีเรียนเช้าใช่มั้ย เดี๋ยวเที่ยงพี่ไปรับที่มหาลัยแล้วไปเข้าบริษัทด้วยกัน”

“อื้อ เขาคงไม่สั่งให้เราเลิกกันใช่มั้ย”

“ไม่มีใครมีสิทธิ์มาสั่งให้เราเลิกกันทั้งนั้นครับ”



พี่ดิมขับรถมาส่งที่มหาวิทยาลัยตอนประมาณแปดโมงสี่สิบห้าทันคลาสแรกพอดี วันนี้เป็นวันที่ผมต้องเข้ามาเรียนวิชาที่ต้องเก็บให้ครบก่อนจบปีสาม ยังไม่ทันได้นั่งเต็มก้น เฌอก็ถามทันทีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่แปลกใจ เพราะตอนนั่งรถมาก็เปิดอ่านไลน์กลุ่มที่มีข้อความแชทประมาณเกือบ 300 ข้อความ และส่วนใหญ่จะมาจากเฌอทั้งนั้น

“หายหัวไปเลยนะคะ กูไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทรไปก็ไม่รับ”

“ช่วยพี่ดิมทำงาน” งานที่ว่าคือกิจกรรมเข้าจังหวะนั่นแหละนะ

“อ๋อหรอ คิดว่ากกกับผัวลืมเพื่อนไปแล้ว”
“สรุปยังไงคะ เสียงมึงจริงป่ะ”

“เฌอได้ฟังแล้วหรอ”

“หึ ยังอะ ก็หาอยู่แต่ไม่มีเลยว่ะ เสือกทั้งคืน ดูตากูดิดำขนาดที่คอนซีลเลอร์ของนาร์สยังกลบไม่มิดเลย” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพยายามเอาหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้เห็นว่าใต้ตาของเธอดำเพราะว่าเสือกทั้งคืนจริง ๆ เออรู้แล้วคุณเฌอลักษม์

“ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงมั้ย เพราะก็ยังไม่ได้ฟัง แต่...ถ้าตามเรื่องในข่าว” หน้าตาเฌอบ่งบอกว่าอยากเสือกเอาการเอางานมาก ๆ

“ก็ใช่”

“กรี๊ดดดดดด” เฌอกรี๊ดใส่แขนเสื้อผม เพื่อไม่ให้เสียงดังเกินไปเพราะตอนนี้คนนั่งเต็มห้องสโลปรออาจารย์เข้ามาสอน

“เบา ๆ” อาโปที่นั่งถัดไปปรามเพื่อน เพิ่งสังเกตว่าเมฆไม่ได้นั่งข้างอาโปเหมือนทุกที แต่กลับนั่งข้างผมแทน ตอนมาก็ไม่ได้สังเกตว่าเป็นเมฆเพราะเขาฟุบหลับอยู เว้นที่ว่างไว้เลยเข้าใจว่าเป็นที่ตัวเองโดยอัตโนมัติ แปลก ๆ แฮะ

“โปมึงรู้ป่ะ วันนั้นมึงก็ไปกองไม่ใช่หรอ”

“หึ ไม่รู้ว่ะ วันนั้นคิวกูไม่มีแล้วก็เลยกลับก่อนมั้ง ใช่ป่ะวะศิ” อาโปถาม ทั้งที่สายตายังจับจ้องที่มือถือเหมือนคุยแชทกับใครค้างไว้

“มั้ง จริง ๆ มีแค่กู พี่ดิม ป๋าเจี๊ยบ กับพี่ผู้ช่วยผู้กำกับที่รู้”

“หรือว่าจะเป็นพี่สองคนนั้นเปล่า เพราะป๋าคงไม่ทำ” อาโปตั้งข้อสงสัย

“ไม่หรอกกูเชื่อใจป๋าแล้วก็พี่ ๆ ทีมงาน เขาไม่ทำหรอก”

“ไม่แน่นะมึง เพื่อเงินคนเรามักจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้” เป็นเฌอที่ตั้งข้อสันนิษฐานสมทบ

“เดี๋ยววันนี้เข้าบริษัท เหมือนผู้ใหญ่จะรู้แล้ว”


“เชี่ยจริงหรอวะ เรื่องใหญ่เลย” อาโปตาโตที่ได้ยินและอุทานขึ้น “งี้เรื่องมึงกับพี่ดิมก็ปิดเขาไม่ได้แล้วดิวะ”

ก็คงแบบนั้น คุยกับพี่ดิมในรถก่อนมาถึงว่าเราจะตัดสินใจบอกเรื่องของเราให้ผู้ใหญ่รับรู้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลิกกันเพื่องาน และถ้ามันจะส่งผลต่อซีรีส์ที่กำลังจะออกอากาศ พี่ดิมก็จะยอมจ่ายค่าเสียหาย หากบริษัทเรียกร้องตามกฏหมาย เพราะทั้งพี่ดิมและผมมีสัญญากับบริษัทสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ และในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าหากทำให้เกิดความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเราบริษัทสามารถดำเนินการทางกฏหมายได้

อาจารย์เดินเข้าห้องพอดี ทุกคนต่างแยกย้ายและเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเรียน เมฆก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเรียนหลังจากฟุบหลับเมื่อครู่

“ผ่านมันไปให้ได้นะ” เสียงเบา ๆ จากผู้ชายข้าง ๆ ที่ให้กำลังใจ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคนพูดน่าจะต้องการกำลังใจมากกว่า

“ไม่สบายหรอเมฆ” ไม่เคยเห็นเมฆโทรมขนาดนี้มาก่อน เขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้หนวดขึ้นเป็นตอเข้มเห็นชัดขนาดนี้

“เปล่ากูไม่เป็นไร”

“มีไรก็บอกได้นะ”

“อืม”

ไม่รู้ว่าเมฆมีเรื่องหนักใจอะไร แต่แทบไม่เคยเห็นผู้ชายที่มั่นใจและเก่งทุกเรื่องดูไร้ทิศทางขนาดนี้มากก่อน สายตาที่ลอบมองผ่านผมไปทางผู้ชายอีกคนในกลุ่มก็น่าจะเดาไม่ยากว่าคงมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้



“พี่ดิมจะมารับหรอวะ” เฌอถามขณะที่กำลังลงลิฟต์หลังจากเลิกคลาส และได้โปรเจ็กต์ใหม่ที่ต้องทำงานคู่ คราวนี้ได้คู่กับเมฆเพราะอาโปตัดหน้าขอคู่กับเฌอไปก่อน ทั้ง ๆ ที่ช่วงหลังมีงานคู่สองคนนี้แทบจะเป็นบัดดี้กัน เพราะผมตัวขี้เกียจอยู่กับเฌอจะได้โดนตามจี้ได้

“อื้ม ไลน์มาว่าอยู่หน้ามอแล้วกำลังวนรถเข้ามา”

“ขอให้ผ่านไปได้นะมึง ยังไงผู้ใหญ่เขาก็คงมีทางออกให้” สายตาเฌอดูเป็นห่วงและเธอส่งให้กำลังใจผ่านดวงตากลมคู่นี้มาให้อย่างเปี่ยมล้น ผมได้แต่ยิ้มรับ

“มีอะไรก็โทรมานะ พี่ใบชากูก็พอจะคุยกับนางได้ นางไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่ดึงหน้าเก่ง” อาโปพูด และเช่นเคยแทบไม่มองหน้าเมฆเลย ทั้งที่เมฆมองอาโปแทบจะตลอดเวลา

“ขอบคุณพวกมึงมากนะ กูคิดว่ามันจะต้องมีทางออกที่ดี” ยิ้มให้เพื่อนทุกคน ก่อนสายตาจะมองไปเห็นบีเอ็มคันคุ้นตาจอดเทียบที่ริมฟุตบาธหน้าคณะ เลยโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วขึ้นรถคันเดิมที่นั่งมาตอนเช้า

มองผ่านกระจกไปก็ยังเห็นเพื่อนทั้งสามคนยืมมองรถจนลับสายตา ถึงจะแยกย้ายกันไป

ตลอดสามปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้สนใจว่าเพื่อนจะสำคัญกับเรามากขนาดไหน เพราะสนใจแต่เกม สนใจแต่ตัวเอง จนครึ่งปีที่ผ่านพ้น เมื่อมีปัญหาก็จะมองเห็นสามคนนี้อยู่รอบตัวเสมอ ค้นพบแล้วว่าจริง ๆ เพื่อนไม่ใช่แค่คนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แชร์เรื่องราวในชีวิตกัน แต่คือคนที่เราจะสามารถทำตัวอ่อนแอ ห่าเหว เหลวแหลกในชีวิต และจะไม่ไปในวันที่เราทุกข์แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนยืนอยู่ด้วยกัน



อาคารสูงตระหง่านข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ไม่ต่างจากศาลพิพากษาในคดีที่มีผมและสารถีตกเป็นโจทย์ที่เราต้องไปให้ปากคำ ที่เป็นโจทย์ก็คือเราไม่ได้ทำความผิด คนที่ผิดคือคนปล่อยคลิปบ้า ๆ นั่นเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง เราต้องเข้าไปแก้ต่างและหาวิธีแก้ปัญหาก่อนมันจะลุกลามสร้างความเสียหายให้คนอื่นและตัวเราเอง

เราสองคนขึ้นลิฟตืบริเวณไฮโซนอันเป็นสถานที่ที่พี่ใบชาส่งแมสเสจมาบอก ชั้นของผู้บริหารมักจะเงียบเหงาเสมอเพราะมีคนทำงานแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผลักเข้าห้องประชุมก็เจอผู้ใหญ่คุ้นหน้าในวันแคสติ้งทั้งคุณติณณ์ คุณพิภพและพี่กะรัตฝ่ายสื่อสารองค์กร ป๋าเจี๊ยบ พี่นาย พี่ผู้ช่วยผู้กำกับสองคน กระทั่งคุณอบเชยก็เข้าร่วมประชุมด้วย

“นั่งก่อนสิคุณหมอ ศิ” เสียงทุ้มของคุณติณณ์เชิญเราสองคนนั่งประจำที่ ถัดจากที่หัวโต๊ะซึ่งนั่นคือคนเชิญนั่นเอง  “เริ่มเลยนะครับ”

“คุณหมอ น้องศิ ที่วันนี้เราต้องเรียกคุณสองคนมาไม่ได้อยากจะมาต่อว่าหรืออะไรนะ เราแค่ต้องหาวิธีรับมือ หากมันเกิดเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายกว่านี้”

“หมายถึงอะไรที่เลวร้ายครับ?” พี่ดิมตั้งคำถามกลับด้วยเสียงจริงจัง

“ถ้าคลิปที่ว่านั่นมันหลุดออกมาจริง ๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างของเพจ เพราะผมสอบถามคุณเจี๊ยบแล้ว ว่าเหตุการณ์นี้จริงหรือไม่ ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง” ประธานที่ประชุมประสานมือตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “ซึ่งเหตุการณ์ที่มันจะเป็นไปได้ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่การที่พวกคุณเป็นคู่จิ้นอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่พวกคุณต้องรับแรงปะทะจากสังคมจากความสัมพันธ์ของคุณ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับตัวคุณและนักแสดงคนอื่น ๆ”

“แค่เพราะเรารักกันน่ะหรอครับ”

“พี่ดิม..” คำพูดเหมือนเพ้อที่ออกมาจากปากของผม หลังจากได้ยินคนรักพูดคำนี้ต่อหน้าทุก ๆ คนที่อยู่ในห้อง ปฏิกิริยาของคุณติณณ์และคนอื่น ๆ นอกจากทีมงานกองถ่าย ดูจะอึ้งไปไม่น้อย

“นี่พวกคุณ…” คุณติณณ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของหลานชาย พี่ดิมเล่าให้ฟังแล้วว่าได้เบอร์ผมมาจากคุณอาเขานี่แหละ

“ครับ เราคบกัน”
“แล้วผมก็คิดว่ามันไม่มีอะไรเลวร้าย เพราะเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผมจะสามสิบ น้องก็บรรลุนิติภาวะแล้ว”

เสียงเย็นยะเยือกของคุณหมอใช้งานได้ดีเหมือนทุกครั้ง เพราะคำพูดเขาเหมือนฟรีซทุกคน และยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“ขออนุญาตนะคะ คุณหมอคะ คุณก็ทราบดีว่าฐานคนดูซีรีส์เราส่วนใหญ่คือผู้หญิงและสาววาย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะรับความรักแบบชายรักชายได้”

“ครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะนั่งแถลงข่าว ถ้าทุกคนเห็นสมควรว่าความสัมพันธ์ของผมกับน้องยังไม่พร้อมเปิดเผย และในเมื่อคลิปนั่นมันอาจจะไม่มีจริงก็ได้ ซึ่งถ้ามีจริง ๆ เราจำเป็นต้องยอมรับหรอครับ สมมติถ้าเราเบี่ยงเบนประเด็นไป ผมว่าคนดูและแฟนคลับเขาคงจะจิ้นหนักกว่าเดิม ซึ่งผมว่ามันดีกับทางการตลาด หรือคุณใบชาคิดยังไงครับ” ยอมรับว่าพี่ดิมพูดแรงทั้งที่ไม่มีคำหยาบ มันเหมือนการประชดประชันพี่ใบชาในหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบอยู่

พี่ใบชามองหน้าพี่ดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่อย่าลืมความลับไม่มีในโลกนะคะ ยังไงพวกเขาก็จะสืบจนรู้”

“ผมทราบดี เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายคนไปเฝ้าผมถึงโรงพยาบาล แต่นั่นมันก็เกินความสามารถที่เราจะจัดการได้หรือเปล่า และผมกับน้องก็ไม่ได้อยากปิดบังใคร ถ้าถามกันตรง ๆ” บทจะดื้อดึงพี่ดิมก็ทำได้อย่างไม่ไว้หน้าใคร ยังคงรักษาน้ำเสียงสุภาพ แต่คำพูดนั้นเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมใครสุด ๆ

“แล้วนักแสดงคนอื่นล่ะคะ กลัวจะมีผลกระทบกับพวกเขาค่ะ” พี่ใบชาหันไปพูดกับคุณติณณ์ ท่านได้แต่กอดอกอย่างใช้ความคิด ทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉย

“ผมไม่ได้ห้ามให้พวกคุณรักกัน อย่างที่บอกว่ามันต้องหาทางป้องกันถ้ามันเกิดเรื่องที่เราคาดไม่ถึงกว่านี้”

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ” คุณอบเชยเสนอความเห็น เขายิ้มให้ผมก่อนที่จะพูดต่อ “อย่างที่หมอดิมบอก ในเมื่อคลิปที่ว่าก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีจริงมั้ย และถ้ามันมีจริงและถูกปล่อยออกมา ก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเขาหรือเปล่า เราก็ใช้กระแสนี้ทำให้เป็นเหมือนพวกเขาจริง ๆ ไปเลย ดีเสียอีกคนจะได้อยากดูซีรีส์ของเรามากขึ้น คนก็จะเริ่มจับผิดว่าพวกเขาเป็นคู่จริงมั้ย ที่สำคัญถ้าสมมติมีอะไรที่เลวร้ายแบบที่คุณติณณ์กังวล เราก็ควรจะสนับสนุนให้เขารักกันมากกว่าปิดกั้น คงได้ใจ LGBT ทั่วเอเชียนะคะ”

คุณอบเชยพูดจบทุกคนต่างเงียบราวกับใช้ความคิดและคิดตามที่คุณอบเชยเสนอ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณในใจที่คนสร้างนิยายเรื่องนี้ และทำให้ผมได้มาเจอกับพี่ดิมอีกครั้ง จะเข้าใจเรามากกว่ากลัวผลงานของตัวเองที่ปั้นแต่งขึ้นมากับมือเสียหาย เพียงเพราะผมและพี่ดิมรักกัน

“ผมต้องขอโทษพี่ ๆ ทุกคนนะครับที่ทำให้วุ่นวาย” ผมยกมือไหว้ทุกคน พี่ดิมหันมามองคงไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ ผมจะพูดขึ้นมา ทั้งที่เขาจับมือผมไว้บนตกและผมรู้ตัวว่าตัวเองสั่นมากแค่ไหน แต่ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ สถานการณ์มันอาจจะเลวร้ายเหมือนที่คุณติณณ์พูด ในที่นี้หมายถึง พี่ ๆ ทุกคนจะมองพี่ดิมไม่ดี

“แต่เราแค่รักกันในฐานะของผู้ชายธรรมดา ๆ สองคน และผมไม่รู้ว่าจะทำให้เพื่อน ๆ นักแสดงคนอื่นลำบากขนาดนี้ ถ้ายังไงผมจะไปขอโทษพวกเขาล่วงหน้าครับ”

“เอ่อ...พี่ไม่ได้กีดกันที่น้องศิกับคุณหมอรักกันนะคะ พี่แค่..”

“ครับผมเข้าใจว่าพี่ใบชาทำตามหน้าที่” สีหน้าหม่นลงของผู้หญิงสวยจัดกับผมสีดำขลำม้วนลอนสลวย เธอคงไม่ได้อยากมากำหนดกฏเกณฑ์อะไรในชีวิตคนอื่น แต่ทว่าหน้าที่ของเธอจำเป็นที่ต้องตั้งคำถามกับทุกอย่างที่จะกระทบกับองค์กรที่ทำงานให้

“คุณพิภพว่ายังไงครับ” คุณติณณ์ที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิมถามผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร

“จากที่ฟังมา ผมว่าข้อเสนอของคุณอบเชยดีทีเดียว เราปล่อยให้มันคลุมเครือไปแบบนี้ดีกว่า ไม่ต้องแถลงข่าว มิเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเรายอมรับ ที่สำคัญเราต้องหาต้นตอของคลิปเสียงที่ว่าถ้ามีเกลือเป็นหนอนเราอาจจะลำบากในเรื่องอื่นอีก”

“ผมลองถามทีมงานผมแล้ว ทางทีมตัดต่อบอกว่ามีการอัพฟุตเทจของเทปที่ถ่ายวันนั้นขึ้นคลาวน์บนอินเทอร์เน็ต ไม่แน่อาจจะมีความผิดพลาดตรงนั้น” ผู้กำกับพูดขึ้น

“ผมต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นไม่ได้เช็กให้ดีว่ากล้องมันเร็กคอร์ดอยู่ด้วย และไม่ได้ทำการลบครับ” พี่ผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งพูดขึ้น

“เอาล่ะ ๆ ผมไม่โทษใครหรอก เท่าที่ฟังดูมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ยังไงรบกวนคุณพิภพให้ทีมกฏหมายตรวจสอบอีกทาง เพราะถ้ามีคนจงใจปล่อยออกไป เราคงต้องมีมาตรการลงโทษเพราะเจตนาไม่ดีแน่”

พูดจบคุณติณณ์มองหน้าเราสองคนแล้วยกยิ้มให้บาง ๆ และสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อสักครู่หายไป

“ผมไม่ให้คุณเลิกกันหรอก น้องศิเลิกทำหน้ากลัวผมได้แล้วนะ คุณหมอก็อย่าทำหน้าเหมือนโกรธผมด้วย”

พี่ดิมยกยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาของพูดแทงใจที่ว่าเขารู้สึกโกรธจริง ๆ มีบางช่วงที่พี่ดิมบีบมือผมเพราะเขากำลังระงับความโกรธของตัวเอง

“ยังจำวันที่คุณหมอเดินเข้าห้องประชุมมาขอให้แคสต์ศิได้อยู่เลย อะไรกันนี่ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว พรหมลิขิตหรือไง”

พี่ ๆ คนอื่นเริ่มยิ้มตามจากคำแซวของประธานที่ประชุม หลังจากคร่ำเคร่งกับหัวข้อการรประชุมมานาน

“เรื่องเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ผมให้พวกคุณคุยกันเองแล้วกัน เห็นว่าจะมีงานเลี้ยงปิดกล้องวันที่ออนแอร์วันแรกใช่มั้ย เคลียร์กันเองนะ ผมว่าพวกเขารู้ก่อนผมอีกมั้งเนี่ย” คุณติณณ์พูดติดตลก

“แค่สงสัยน่ะครับ ยังไม่มีใครรู้นอกจากพูลล์กับอาโป” เพราะผมและพี่ดิมเห็นว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเรื่องของเรามันอาจจะกระทบกับงานของพวกเขาด้วย อย่างไรเราก็ควรบอก เพื่อแสดงความจริงใจที่เรามีให้






มีต่อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“งั้นก็เอาตามนี้ ใช้ชีวิตปกตินะ เรื่องอื่นมันเป็นหน้าที่ที่ผมและทีมงานต้องจัดการ ขอบคุณที่กล้าพูดความจริง แล้วก็ยินดีด้วยกับความรักครับ” ผู้อำนวยการยิ้มให้ ผมถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ และยกมือไหว้ขอบคุณเขา

ผมและพี่ดิมยกมือไหว้คุณติณณ์กับพี่ ๆ คนอื่นในที่ประชุม แทนคำขอบคุณและความเข้าใจ คุณติณณ์เดินมาตบบ่าผมและพี่ดิมพร้อมยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป ป๋าก็พยักหน้าทักทายก่อนจะขอตัวไปดูตัดต่อ เหลือแค่พี่ใบชาที่ยังยืนอยู่ภายในห้อง เหมือนรอคุยกับพวกเราส่วนตัว

“พี่ไม่ได้…” พี่ใบชาพูดกับพี่ดิม ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เธอคงกลัวเราเข้าใจผิดว่าเธอกีดกันความสัมพันธ์ของเรา

“ผมต้องขอโทษคุณใบชาด้วยที่ใช้คำพูดไม่ดี ผมเข้าใจว่าคุณทำตามหน้าที่”

“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ น้องศิอย่าโกรธพี่นะคะ”

“ไม่เลยครับ ผมเข้าใจดี”

“แล้วก็อยากให้รู้ว่าพี่สนับสนุน LGBT นะคะ”

“ผมยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า แต่แค่รักผู้ชายคนนี้เท่านั้นเอง” พี่ดิมพูดและมองหน้าผม โดยที่ไม่คิดเลยว่าการพูดอะไรทำนองจะทำให้ผมเขินจนอยากหายตัวไปจากตรงนี้

พี่ใบชายิ้มเขินเหมือนกัน “เห็นใจคนโสดด้วยค่ะหมอ ไปทำงานให้รวย ๆ ดีกว่าค่ะจะได้เอาเงินไปซื้อ ยินดีด้วยอีกครั้งนะ”

“มีอีกเรื่องที่ผมต้องแจ้ง คือ อีกสองวันสมาคมที่ผมร่วมทำวิจัยจะมีงานแถลงข่าว MOU ความร่วมมือวิจัยกับทีมแพทย์ต่างประเทศ ผมต้องไปในฐานะแพทย์ที่ให้ข้อมูลกับสื่อ แจ้งพี่ใบชาไว้นะครับ”

“ให้เออาร์ไปดูแลมั้ยคะ พี่จะประสานให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่งานใหญ่อะไร”

“โอเคค่ะ งั้นพี่ขอตัวนะ”

เราสองคนยกมือไหว้เธอ ผู้หญิงคนสวยและไม่น่าเชื่อว่าจะยังโสด เดินออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื่นกว่าตอนที่นั่งประชุม บรรยากาศที่เราคิดว่ามันจะแย่ขนาดที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการฟ้องร้องกลับมลายหายสิ้นด้วยความเข้าอกเข้าใจ จากความโอบอ้อมอารีของผู้ใหญ่ที่เราต่างนับถือ

ความโชคดีคงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่เป็นแบบเรา แต่มันเกิดขึ้นกับเราแล้ววันนี้



พี่ดิมเดินกอดคอผมออกจากห้องประชุม ผมบอกว่าจะแวะซุปเปอร์ทำอาหารเย็น พี่ดิมอยากกินต้มยำกุ้งและไข่เจียวหมูสับ ขณะที่กำลังจะกดลิฟต์เพื่อลงชั้นจอดรถ เราก็เจอคุณอบเชยเธอเหมือนกำลังยืนคอยใครอยู่

“คุณอบเชยยังไม่กลับหรอครับ” ผมถามและเธอก็ยิ้มให้ เดาไม่ยากว่าเธอกำลังยืนรอพวกเราอยู่แน่นอน

“ค่ะ รอคุณหมอกับน้องศิ ยินดีด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ทำให้นิยายของอบมีชีวิตขนาดนี้”

“ผมก็ต้องขอบคุณคุณอบที่ทำให้ผมได้เจอศิครับ” นายแพทย์อาคิรานี่เมื่อไหร่จะเลิกหยอดผมต่อหน้าคนอื่นสักทีนะ บอกกี่ทีแล้วมันไม่ชินๆ

“รู้มั้ยคะ อบแอบคิดเองคนเดียวว่า มันจะสมบูรณ์แบบแค่ไหนถ้านิยายของอบทำให้คนรักกันจริง ๆ”
“คุณสองคนทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว”

เธอยิ้มกว้างให้พวกเรา สาวใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผมยาวประบ่า สวมแว่นทรงทันสมัย และแต่งหน้าเล็กน้อย เธอดูน่ารักและเรียบร้อยในวัยสามสิบต้น ๆ ถ้าใครได้อ่านนิยายที่เธอแต่งจะเห็นความคิดของเธอชัดเจนว่าเป็นคนมองโลกสีเทา ไม่ตีตราใคร ไม่แปะป้ายใคร รักความยุติธรรม และศรัทธาในความรักอย่างล้นเหลือ แม้ปัจจุบันเธอจะยังไม่แต่งงาน แต่แฟนหนุ่มวิศวกรของเธอนั่นโชคดีเหลือเกินที่จะมีว่าที่ภรรยาที่เข้าใจโลกและพร้อมจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ

เธอผู้ที่ทำให้ความรักของผมเป็นจริง


“ผมขอกอดพี่อบได้มั้ยครับ” เสี้ยววินาทีที่แล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจจะพูดมันออกไป เพราะไม่รู้จะมีวิธีที่จะแสดงออกขอบคุณเขาได้ดีเท่ากับมอบกอดของตัวเองเพื่อบอกว่าผมรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าไม่มีคุณอบเชย

ผมคงเป็นแค่พระจันทร์ที่เดินคาบขนานกับพระอาทิตย์อย่างไม่มีวันบรรจบ


เราสองคนสวมกอดกันความรู้สึกมันเหมือนได้กอดพี่สาวทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยรับรู้ว่าความรู้สึกได้กอดพี่สาวเป็นอย่างไร แต่คิดว่าถ้าตัวเองมีพี่สาวเวลากอดกันคงรู้สึกแบบนี้

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ”

“ขอบคุณเหมือนกันค่ะ” 

มองหน้าผู้ชายที่มองผมและคุณอบเชยสวมกอดกัน เขายกยิ้มให้เหมือนเคย และเราต่างก็ทราบดีว่าคำว่าขอบคุณสำหรับเธอนั้นมันไม่พอจริง ๆ




กล่าวลาคุณอบเชยและนัดแนะเจอกันอีกครั้งวันเลี้ยงฉลองปิดกล้อง ถนนสุขุมวิทรถติดเหมือนเคย เลยได้ถามรายละเอียดงานอีเวนท์ที่พี่ดิมจะไปเข้าร่วม ได้ความว่าเป็นงานที่สมาคมที่พี่ดิมเข้าร่วมทำงานด้วยจะมีการร่วมทำงานวิจัยกับโรงพยาบาลดังจากหลายประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เพื่อคิดค้นวิจัยหาวิธีรักษาโรคในอนาคต ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่ามีทั้งโรคเบาหวานกลายพันธุ์ โรคมะเร็ง กระทั่งโรคจิตเวช ซึ่งอันหลังนี้พี่ดิมบอกว่ามีแนวโน้วที่ประชากรโลกจะประสบมากขึ้น จากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง

เป็นงานไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็กระตุ้นความสนใจในวงการสาธารณะสุขบ้านเราได้ไม่น้อย เพราะแทบไม่เคยมีการร่วมมืออะไรแบบนี้มาก่อน พี่ดิมเล่าด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เพราะได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมวิจัย แม้จะเป็นตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์หมอก็ตาม ซึ่งความร่วมมือไม่ใช่เพียงชั่วคราว แต่จะนานหลายปี ซึ่งสมาคมที่พี่ดิมทำงานจะเป็นตัวแทนของอาเซียนวิจัยจากกลุ่มประชากรแถบนี้ โรงพยาบาลอื่น ๆ ก็ทำวิจัยในภาคพื้นของตนเอง ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดชุดความรู้ใหม่ ๆ เสนอต่อองค์กรอนามัยโลกก็เป็นได้

รู้สึกว่าแฟนตัวเองเหมือนเป็นหนึ่งในทีมอเวนเจอร์ช่วยโลกเลยแฮะ

น่าภาคภูมิใจสุด ๆ


@ห้องประชุม โรงแรม C

ห้องประชุมขนาดใหญ่ดูเล็กลงไปขนัด เมื่อเหล่านักวิชาการ ทั้งศาสตร์ตราจารย์ ด็อกเตอร์ และเหล่าแพทย์ผู้เข้าร่วมงานวิจัยรวมตัวอยู่ในงานวันนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่จัดงานนี้ขึ้น ซึ่งทุกสองปีจะมีการจัดงานเช่นนี้เวียนกันไป เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ และบอกว่าถึงการดำเนินงาน รวมไปถึงการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในประเทศภูมิภาคที่จัดงาน

ผมในฐานะผู้ให้ข้อมูลด้านภาษาไทยและภาษาอังกฤษกับสื่อมวลชน ซึ่งขณะนี้มีสื่อสายสุขภาพ นักศึกษาแพทย์ที่ขอเข้าร่วม รวมถึงนักประชาสัมพันธ์ขององค์กรสาธารณสุขจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาร่วมงานแล้ว อีกประมาณห้านาทีพิธีการบนเวทีก็จะเริ่มขึ้น

“คุณหมอดิมคะ คือว่าตอนนี้มีนักข่าวบันเทิงจะขอสัมภาษณ์คุณหมอน่ะค่ะ”

“ครับ? นักข่าวบันเทิง พวกเขารู้ได้ยังไงครับ ทางออกาไนซ์เชิญด้วยหรอครับ” ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น

“ไม่มีนะคะ ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร”

“รบกวนไปแจ้งพวกเขาว่ารอจบงานผมจะออกไปสัมภาษณ์นะครับ”

“ได้ค่ะ”

พอมาคิดดูก็ไม่แปลกใจที่พวกเขารู้ว่าผมจะมางาน เพราะหมายเชิญคงระบุรายชื่อสำหรับคนที่จะให้ข้อมูล และคงได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้เพราะมีวิดีโอพีอาร์กระจายตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ปัญหาตอนนี้ผมไม่ได้กลัวที่จะต้องถูกสัมภาษณ์ แต่นี่คืองานระดับชาติไม่ใช่งานเปิดตัวสินค้าหรืองานแฟชั่นโชว์ ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำงานตามคำสั่ง แต่นี่ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเอาเสียเลย

“ขณะนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมลงนามความร่วมมือได้เลยครับ”  พิธีกรในงานประกาศกำหนดการสุดท้ายก่อนจะถ่ายรูปร่วมกัน และเชิญทุกคนรับประทานอาหารและจะมีเสวนาต่อช่วงบ่าย

อาจารย์หมอที่ผมร่วมงานด้วยเดินลงจากเวที ผมจึงเดินเข้าไปคุยกับท่านกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“อาจารย์ครับ พอดีว่ามีนักข่าวบังเทิงมารอสัมภาษณ์ผมตอนนี้รออยู่ข้างนอก”

“อ้าวหรอ คุณไปสร้างเรื่องอะไรล่ะพระเอก เขาถึงมารอน่ะ”

“นี่แหละครับผมก็อยากรู้ว่าเรื่องอะไร ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ ผมไม่ทราบมาก่อนจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร ๆ ผมรู้ว่าคุณเก่งพอที่จะรับมือได้ ไม่ต้องเกรงใจ เขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา”

“ครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมยกมือไหว้อาจารย์หมอ ท่านตบบ่าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปร่วมรับประทานอาหาร

ผมโชคดีจริง ๆ ที่พบเจอแต่คนที่เข้าใจ แม้สถานการณ์มันไม่ควรที่จะเข้าใจด้วยซ้ำ

และเมื่อผมปรากฏตัวหน้าแบ็กดรอปแสงแฟลชและเสียงรัวช็อตเตอร์ก็กระหน่ำใส่ใบหน้าทันที ผมยกมือไหว้สื่อมวลชนตามมารยาทที่ดี

ทีมงานออกาไนซ์จัดแจงพื้นที่สำหรับการสัมภาษณ์ และตอนนี้ไมค์จากหลายสำนักจ่อที่ริมฝีปากผม

“ต้องขอบคุณพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกคนที่ให้ความสนใจนะครับ แต่ผมขออนุญาตให้สัมภาษณ์สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลทางวิชาการ และสื่อต่างประเทศก่อนนะครับ ต้องขออภัยพี่ ๆ ด้วยครับ” ผมรู้ว่าที่ผมทำเช่นนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับสื่อสายบันเทิงที่จะมาถามเรื่องข่าวของผม แต่ผมต้องให้เกียรติงานที่เชิญผมมา และผมมาในฐานะนี้

ไมค์เกินครึ่งลดลงเหลือเพียงไม่กี่สำนักข่าวเท่านั้นที่ต้องการทราบรายละเอียดความร่วมมือในครั้งนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่มา ผมให้เวลาสัมภาษณ์เกือบชั่วโมงได้ ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ดีใจที่หลายท่านทำการบ้านมาดีและอยากทราบรายละเอียดเจาะลึกมากกว่าแค่เนื้อหาตามข่าวแจกที่ให้ในงาน

“คุณหมอคะ ใกล้หรือยังคะดีทางพี่ ๆ นักข่าวเขา…” ทีมออกาไนซ์มากระซิบขณะที่ผมพาสำนักข่าวต่างประเทศชมนิทรรศการในงาน

“ครับ บอกเขารออีกห้านาที”

“ค่ะๆ”



ผมปรากฏตัวที่แบ็กดรอปบริเวณที่จัดงานอีกครั้ง และกล่าวขอโทษที่ทำให้รอนาน

“ถ้าพี่ ๆ ใจดีอย่าลืมประชาสัมพันธ์งานผมให้ด้วยนะครับ” เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยเรื่องเย้าแหย่เพื่อไม่ให้ตึงเครียดเกินไป

“เข้าเรื่องเลยนะคะ คลิปเสียงที่หลุดออกมา คุณหมอได้ฟังหรือยังคะ แล้วคิดว่าใช่ตัวเองหรือเปล่า”


“อืมมม จริง ๆ ก็ยังไม่ได้ฟังนะครับ พี่ ๆ ได้ฟังแล้วหรอครับ แชร์ผมบ้างสิจะได้รู้ว่าใช่ผมมั้ย บอกไม่ได้ครับเพราะผมยังไม่ได้ฟังเลย ทำไมพี่ ๆ คิดว่าเป็นผมล่ะครับ”

“จากเพจเจ๊หยกซอยหกเก้าอะค่ะ”


“เขาระบุชื่อเลยหรอครับว่าใคร”

“...”

“อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้มั้งครับ ฮ่า ๆ”

“ทางค่ายทราบข่าวหรือยังคะ”

“อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะยังไม่เห็นมีใครติดต่อมาครับ ช่วงนี้ผมก็ยุ่ง ๆ เรื่องงานวิจัยด้วย น่าเสียดายถ้าผมรับงานอีเวนท์ได้พี่ ๆ จะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงงานวิชาการแบบนี้” นี่แหละโลกมายา การโกหกเป็นเรื่องธรรมชาติ

“แล้วคุณหมอคิดยังไงกับการมีแฟนเป็นเพศเดียวกันคะ”

“ผมว่าการที่เราจะรักใครสักคนมันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาจะเป็นใคร สัญชาติอะไร ศาสนาไหน แค่เรารักกันก็พอแล้วครับ”

“หมายความว่าคุณหมอมีแฟนเป็นเกย์ได้หรอคะ”

“ครับ เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศนะ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ”


เสียงฮือฮาจากนักข่าวและช่างภาพดังขึ้นเมื่อผมพูดจบประโยค ไม่ได้ตอบเอาหล่ออะไร แต่ตอบตามความคิดของตัวเอง ผมรู้ว่าจุดประสงค์ที่เขาถามเพราะข่าวแบบนี้มันขายได้ เพราะคนไทยชอบเรื่องความลับ รสนิยมความส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว

“ฝากผลงานหน่อยค่ะคุณหมอซีรีส์จะออนแอร์แล้ว”


“ขอบคุณที่มีคำถามนี้ครับ ผมแอบรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปงานอีเวนท์โปรโมทซีรีส์เลย ครับยังไงก็ฝากซีรีส์อาทิตย์คลาดพระจันทร์ด้วยนะครับ อีกสองอาทิตย์ก็น่าจะได้ชมกันแล้ว ทางพีพีมีเดียนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ คุณหมอยิ้มให้กล้องหน่อยค่ะ กล้องนี้ด้วยค่ะ กล้องนี้ครับ”

ผมไม่รู้ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร ผมจะถูกมองแบบไหนจากสายตาคนในสังคม จะบอกว่าไม่แคร์ก็คงไม่ได้ในเมื่องานของตัวเองกำลังจะออกสู่สายตาสาธารณชนในไม่ช้า ทำได้แค่ในแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ไฟท์จนตัวเองและคนอื่นลำบาก และไม่ยอมจนตัวเองและคนอื่นลำบากเช่นกัน

นี่แหละครับวิถีดารา

ดีที่เป็นผม ถ้าเป็นศิ หรือน้อง ๆ นักแสดงที่ยังไม่มีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้คงโดนสาวไส้จนเละเทะ ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งที่จะรับมือได้ แต่ผมแค่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับพวกเขา เอาง่าย ๆ หาตัวผมที่จะมาให้สัมภาษณ์อะไรแบบนี้ยากจะดีกว่า เขาเลยจำใจยอมอดทนรอ ถ้าเป็นดาราคนอื่นที่เล่นตัวแบบนี้ นักข่าวคงกลับสถานีไปแล้ว ก็เพิ่งเห็นข้อดีของการที่งานเยอะจนไม่มีเวลาไปออกงานอีเวนท์



บ่ายคล้อยการเสวนาเสร็จสิ้นและผมกำลังจะกลับคอนโด วันนี้ต้องไปนอนที่คอนโดศิเพราะม๊าศิขู่มาว่าถ้าเอาลูกเขาไปขลุกที่ที่คอนโดตัวเองจะให้ศิย้ายไปอยู่บ้าน แม่ก็คือแม่ ปากบอกว่ายอมรับแต่อย่างไรก็ห่วงลูกอยู่ดี แต่ไม่เป็นไรผมไปนอนคอนโดน้องได้สบายมาก เตียงอาจจะเล็กกว่าหน่อยแต่ยังไงก็หนุนหมอนใบเดียวกันอยู่ดี

ครืดดด ครืดดด

[My Si]

“ครับหนู พี่กำลังกลับ”

(พี่ดิม!! มีข่าวพี่ดิมเต็มไปหมดเลย ที่งานเชิญนักข่าวบันเทิงด้วยหรอ)

“ข่าวออกไวจังว่าจะกลับไปเล่าให้หนูฟังแต่ไม่น่าจะทัน เขามากันเองพี่ก็ไม่รู้ เกรงใจเจ้าของงานมาก ๆ แต่เขาก็มากันแล้ว”

(อาจารย์ไม่ว่าอะไรหรอ ถ้าเป็นศิต้องแย่แน่ ๆ เลยอะ)

“ก็ต้องขอโทษอาจารย์ไปแต่ท่านก็ใจดีไม่ได้ว่าอะไร แล้วข่าวว่ายังไงบ้าง”

(ส่วนใหญ่ก็ดีนะ พี่ดิมจะขับรถหรือยัง ใส่หูฟังด้วยนะ ศิจะอ่านให้ฟัง)

“กำลังจะถึงรถครับ จริง ๆ ไว้พี่อ่านเองที่คอนโดก็ได้มั้ง”

(ไม่เอา ศิตื่นเต้นจะเล่าเลย)

“ครับ ๆ ใจร้อนจริงหนู”




Thirut ยังอุบเงียบ “ดิม อาคิรา” ปัดยังไม่ได้ฟังคลิปเสียง เผยโอเคมีแฟนเป็นเพศเดียวกัน

ข่าวสดชื่น พระเอกยันความคิด “หมอดิม” ยอมรับมีแฟนเป็นเพศเดียวกันได้ อึกอักคลิปเสียงปริศนา

The Mattar “เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ” นายแพทย์อาคิรา ชานยกาญจ์ธำรงค์ สัมภาษณ์พิเศษคุณหมอไทยหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยระดับนานาชาติ และความร่วมมือที่จะเป็นตำนานวงการสาธารณสุขโลก

ใต้ถุนวงการบันเทิง  “ผมว่าการที่เราจะรักใครสักคนมันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาจะเป็นใคร สัญชาติอะไร ศาสนาไหน แค่เรารักกันก็พอแล้วครับ เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศนะ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ” กรี๊ดมากกกกกกกกกกก ยกให้เป็นสามีแห่งชาติทั้งหน้าตา ความสามารถ แล้วก็ความคิด วี๊ดมากกกกกก จะเป็นลมมมมม #ใต้คลิปเสียงปริศนา #ใต้ว่าที่สามีแห่งชาติ #ใต้คุณหมอไทยระดับอินเตอร์ #ใต้งานMOU


“เอางี้นะ นักข่าวคือเหมือนโดนหมอแซะตลอดเวลาเว่ออออออ และคำตอบหมอคือหล่อเว่ออออออออ โอ้ยรักมากกกกกกกกกกก” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“งานนั้นเหมือนเป็นงานวิชาการมาก ๆ แล้วนักข่าวบันเทิงไปคือ? แล้วไม่มีข้อมูลงานนั้นเลยคือ? โคตรไม่ให้เกียรติ แต่หมอก็ใจดี๊ดียังให้สัม” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“คือกูอยากรู้รายละเอียดงานระดับชาติที่หมอทำมากกว่าคลิปเสียงที่ยังไม่รู้ว่าใช่หมอมั้ยอะ” #ใต้คลิปเสียงปริศนา
   Reply : นี่จ้าตัวเอง The Mattar ทำไว้ดีมาก http://the-mattar-article-news-mou/
   Reply : ขอบคุณจ้าาาา /ไหว้ย่อ

“นี่ดูจากเว็บเพจนึงนางไลฟ์ ตอนแรกที่หมอดิมออกมาพวกนางก็เตรียมจ่อไมค์เลย แต่หมอบอกว่าขอให้สัมฯ กับสื่อที่ต้องการข้อมูลภายในงานก่อน หน้าแตกไม่แตก” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“หมอคือสมบัติของชาติแล้วอะ คนอะไรจะเก่งไปหมดทุกอย่าง ไหนจะความคิดที่ positive มาก ๆ อีก เฮ้ย นี่ไม่อยากรู้แล้วนะว่าเขาจะมีแฟนเป็นใคร อยากรู้ว่าเขากินอะไรถึงเก่งแบบนี้” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“ชั้นคิดไว้แล้วค่ะว่าลูกเราเลือกคู่ครองไม่ผิด และชั้นก็น้อยใจในโชคชะตาค่ะ ลุ้นให้เขารักกัน เขารักกันจริง ๆ แล้ว แต่ดิชั้นก็ยังนก สาจ๋าาาาาาาาา แพรขอชาร้อน ๆ แบบไฟนรก ราดที่หน้าแพรทีจ้ะสาาาาาาาาา”

“Don’t touch my husband” #ใต้คลิปเสียงปริศนา
   Reply : เพราะหล่อนไม่มีผมสินะอิหลวงเจ้
   Reply : แกต้องเป็น house maid ตลอดไปนังสาจ๋า





-----------------------to be continued-------------------------




สาจ๋าาาาาาาาาา แพรบอกแล้วไงว่านิยายเรื่องนี้ไม่เอาไว้อ่าน เอาไว้โชว์
5555555555555 อินกับคุณแพรวาทานิกานะช่วงนี้ เลิฟมาก
ไงล่ะคูมหมอฟาดนักข่าวแบบนิ่ม ๆ หล่อ ๆ ไปเลย อิอิ
น้องศิก็ได้ผู้ชายดีเด่ระบบอินเตอร์เนชั่นแนลไปครองสวย ๆ แบบไม่ต้องตบตี
แล้วพวกเธอล่ะมีเขาคนนั้นเป็นของตัวเองหรือยัง
จะมีได้ยังไงก็ในเมื่ออ่านนิยายชั้นอยู่เนี่ย!

รักเหมียนเดิม

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx







CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คุณหมอสติดีมาก และเหน็บได้ดีมากๆ 5555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ใจพี่หมอหล่อเหมือนหน้าตา  o13

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
หลงรักคุณหมอหมดหัวใจ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สมน้ำหน้าพวกนักข่าว จัดการมันเลยค่ะคุณพรี่  :angry2:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.21 หมดหนทาง X MHEK
[/size]

Maybe I came on too strong, Maybe I waited too long



กว่าสามปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ความหวัง ไร้ทิศทาง และไร้ซึ่งจุดหมายเท่าวันนี้มาก่อน ภาพเมื่อไม่กี่วินาทีที่ Porsche Panamera ปีล่าสุดตีไฟเลี้ยวออกจากริมฟุตบาธคณะ พร้อมด้วยตุ๊กตาหน้ารถที่นั่งไปด้วย ตุ๊กตาที่ผมคิดมาตลอดว่าจะไม่มีวันที่เขาจะเป็นของคนอื่น จะรอให้ถึงวันที่ตัวเองพร้อมสำหรับขอความรักจากผู้ชายคนนี้ที่เป็นรักแรกและรักเดียวของผมอีกครั้ง

แต่แล้วมันก็ช้าไป
ไม่สิ
สายไปแล้ว


เฌอลักษณม์มองหน้าผมเหมือนขอคำอธิบายในความสัมพันธ์ที่มันดูจะยุ่งเหยิงของผมและเพื่อนเธออีกคน แต่แล้วก็ทำได้แค่บอกลาแล้วขึ้นรถตัวเองไป ความลับที่คิดว่าไม่ควรบอกใครเพราะคงทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้งสี่คนของเราแปรเปลี่ยน ตอนนี้มันเหมือนเป็นกรงที่ขังผมไว้อย่างแน่นหนา และตัวเองก็โยนกุญแจทิ้งไปเสียแล้ว

[APO]
[ถ้าเลือกแล้วก็บอกเราหน่อย]
[เราจะได้พยายามมากกว่าเดิม]

เวียนส่งข้อความแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แต่ก็ไร้การตอบรับและไม่ได้รับเกียรติกระทั่งเปิดอ่าน เจอหน้ากันที่มหาวิทยาลัยอีกฝ่ายทำตัวเหมือนปกติดี แต่จะสนทนากับผมแค่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น พอจะเริ่มพูดเรื่องอื่นก็เอาแต่กดโทรศัพท์และปิดการรับรู้ไป

หมดหนทางที่จะเรียกความเชื่อมั่น เชื่อใจ และไร้โอกาสแก้ตัว แม้กระทั่งความเป็นเพื่อนอีกฝ่ายก็คงตัดขาดได้ไม่ยาก หากผมยังทำตัวไร้สติ เอาแต่ใจ และคิดเอาแต่ได้แบบนี้

ไม่อยากเล่าเรื่องราวในอดีตเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองในปัจจุบัน เพราะผมมีเวลามากมาย มากกว่าคน ๆ นั้นที่เพิ่งเข้ามาไม่นาน แต่แล้วก็ไม่ทำอะไร ได้แต่รอเพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ ไม่พอที่จะทำให้เรื่องราวในอดีตถูกลบไปได้ เพราะตัวเองทำเรื่องเลวร้ายมากเหลือเกิน

ทำไปทั้งที่รู้ว่าอาโปจะเสียสูญ เสียใจ และเสียความเป็นตัวเอง ไม่พอยังตามมาเป็นตัวรุงรังในชีวิตในรั้วมหาลัย และคนจิตใจดีอย่างอาโปก็ไม่แม้แต่จะแสดงความรังเกียจ โกรธแค้น หรือผลักไส ทั้งที่ผมทำเขาไว้เจ็บแสบขนาดนั้น

“ครับแม่..ครับ...กำลังกลับ...ที่ไหนครับ...ครับได้”

เหมือนคุณแม่รู้ตารางเรียนผมว่าวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวัน และคนติดบ้านอย่างผมอาจจะไม่ได้ไปไหนนอกจากกลับบ้าน เลยให้แวะเอาชุดที่สั่งตัดที่ห้างแถวบ้าน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ผมหายจากบ้านบ่อย ๆ เพราะตามรับตามส่งอาโป ไม่สิ เขาไม่ได้ให้ตามแต่ผมเองที่ขืนใจเขาให้ทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่แม้แต่ชายตามองด้วยซ้ำ

“เมฆ! เมฆ!” กำลังจะเดินเข้าตัวห้างก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากไกล ๆ ผู้ชายตัวสูงโปร่งที่เรียกผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

“เฮ้ย! เมฆจริง ๆ ด้วย”

“อ้าวจิม”

“เออกูเอง”

“กลับจากเมกาเมื่อไหร่วะ” จิมเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน มันไปเรียนต่อที่อเมริกาตั้งแต่จบม.6 ตอนนั้นยกโขยงกันไปส่งทั้งห้องเลย

“ยังไม่กลับถาวร แค่ที่นู้นซัมเมอร์เลยกลับมาพักว่ะ มึงเป็นไง ทำไมดูโทรม ๆ วะ ก๊งบ่อยหรอวะ”

“ไม่ใช่ กูแค่เซ็ง ๆ กับชีวิต” อาการประดักประเดิดแสดงออกชัดเจนระหว่างผมกับจิม ทั้งที่เราเคยสนิทกันมาก ๆ แต่เรื่องราวครั้งนั้นมันทำให้มิตรภาพสั่นคลอน

“เฮ้ยงั้นคืนนี้ไปจอยกันดิ กูนัดเพื่อนที่ร้านแถวบ้านมึงพอดี”

“เออเอาดิ เบื่อ ๆ พอดี”

พูดคุยกันนิดหน่อยก็แยกย้ายไปทำธุระ มันก็มาทำธุระให้แม่เหมือนกัน นัดแนะสี่ทุ่มคืนนี้เจอกันที่ร้านเหล้า


@U bar

เสียงดนตรีสดเล่นสอดรับกับเสียงนักร้องหญิงที่กำลังขับขานบนเพลงแสนไพเราะเพื่อนักดื่มที่มาสังสรรค์ในค่ำคืนนี้

ร้านนี้ผมผ่านบ่อยแต่ไม่เคยได้แวะเข้ามา มองจากข้างนอกบรรยากาศดี และภายในก็ดีอย่างที่คิด แสงไฟสลัวที่ตกแต่งรอบร้าน ประกอบกับโทนสีอุ่นของวอลเปเปอร์ และหลังคาโปร่ง ทำให้บรรากาศในร้านเหมือนคาเฟ่มากกว่าร้านเหล้า แต่ก็ชวนให้เมาดีเหมือนกัน

“เฮ้ยเมฆทางนี้ ๆ”

จิมตะโกนเรียกจากโต๊ะตัวในสุดของร้าน ซึ่งผมคิดว่าดีเหมือนกันเพราะไม่ค่อยชอบเสียงดังจากวงดนตรีเท่าไหร่

รอบโต๊ะมีแต่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมอปลายนับแล้วห้าคน แต่เชื่อไหมว่าผมแทบไม่เคยมารสังสรรค์พบปะกับพวกมันนี้เลยตั้งแต่เรียนจบ เหตุผลก็เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมต้องจำใจเลิกกับอาโป และผมก็ละอายใจบวกกับความรู้สึกผิดหลาย ๆ อย่าง เลยคิดว่าไม่มาเจอให้เสียดหัวใจกับเรื่องเดิม ๆ ดีกว่า

แต่ที่วันนี้มาก็เผื่อว่าตัวเองจะได้หลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง ไม่รู้สิ มันเป็นแค่ลางสังหรณ์บ้า ๆ บอ ๆ ของคนไร้สติอย่างผมก็ได้

“เชี่ยเมฆ ไม่เจอมึงนานโคตร หล่อฉิบหายเหมือนเดิม แต่ทำไมดูซึม ๆ วะ สาวเทงี้”  ณัฐถามขึ้น

ผมเลือกที่จะไม่ตอบได้แต่กระดกแก้วที่มีน้ำสีอำพันไม่ผสมมิกเซอร์ลงคอ ความร้อนผ่าวของดีกรีแอลกอฮอล์รับรู้ได้ว่ามันไหลไปส่วนใดของร่างกาย ถ้าหัวใจอยู่ใกล้กระเพาะตอนนี้ก็คงแสบสันอยู่เหมือนกัน

“ไม่ถามเรื่องหญิงก็ได้ สงสัยคงช้ำมา” ว่าที่นายสัตวแพทย์เปลี่ยนเรื่อง
“กูถามเรื่องอาโปได้ป่าววะ กูเห็นรูปในไอจีมึงมีแต่มัน สรุปคือคบกันอยู่หรอ?”

“เออนั่นดิ ไหนตอนนั้นว่าเลิกกันแล้ว” ธีร์เพื่อนที่เคยสนิทอีกคนถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามพวกนี้อย่างไร ไม่โทษใครทั้งนั้นเพราะถ้าย้อนกลับไปความผิดอยู่ที่ผมคนเดียว

“อืมคบกัน”

“เหี้ย! จริงป่ะเนี่ย” จิมอุทาน ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ดูจะตกใจเหมือนกัน

“แบบเพื่อน”

“อ้าวไอ้เมฆ”
“ห่าตกใจหมด”
“เออมึงแม่ง”

คำพูดจากเพื่อน ๆ รอบโต๊ะ ทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พวกมันก็ไม่เคยเข้าใจและยอมรับความรักในแบบของผมกับอาโปได้

หมดคำถามที่พวกมันอยากรู้ต่างคนก็ต่างเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน โดยที่ผมนั่งฟังเงียบ ๆ มีหลายเรื่องที่กำลังคิดวนอยู่ในหัว ถ้าผมบอกไปว่าผมยังรักอาโปตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้บรรยากาศจะยังครึกครื้นเฮฮาแบบนี้ไหม หรือเพื่อนจะมองผมเป็นตัวประหลาดสำหรับพวกมันกันแน่


ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ทว่าตอนนี้สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะพ่ายแพ้ให้กับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปขนัด เพื่อนหลายคนก็ไม่ต่างกัน บ้างก็ลุกขึ้นเต้น ไปพาสาวสวยมาเป็นแขกในวงเพิ่มบ้าง ดนตรีที่บรรเลงเป็นจังหวะบีทหนัก ๆ กระแทกกระทั้นต่างจากตอนที่มาถึง คล้ายจะกระตุ้นและมอมเมาสมทบกับดีกรีแอลกอฮอล์ไปในที

ไม่นานไฟในร้านก็เปิดสว่างขึ้นดนตรีภายในร้านก็หรี่เสียงลง เป็นสัญญาณว่าปาร์ตี้วันนี้ต้องเลิกราและแยกย้ายกลับเคหะสถานของใครของมัน

“เฮ้ยเมฆไหวป่ะวะ” ตะวันเพื่อนอีกคนถามขึ้น ดูมันเมากว่าผมอีกยังจะมาถามว่าไหวมั้ย

ผมพยักหน้าเพราะหยุดดื่มไปก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงและอัดน้ำเปล่าไปเยอะพอสมควรเพราะกลัวขับรถกลับไม่ไหว

“ไหว”

จู่ ๆ เพื่อนทุกคนก็นั่งล้อมวงมองหน้ากันเหมือนนัดแนะอะไรสักอย่าง อาการเมามายเมื่อครู่ดูจะหายไปดื้อ ๆ  แล้วก็เป็นว่าที่นายแพทย์ทะเลถามขึ้น

“เมฆ กูถามมึงจริง ๆ นะ ที่มึงไม่มาเจอพวกกูเลยตั้งแต่เรียนจบ เกี่ยวกับเรื่องตอนนั้นหรือเปล่า เพราะพวกกูใช่มั้ยที่ทำให้มึงกับอาโป…”

“ไม่เกี่ยวหรอก”
“ทุกอย่างมันอยู่ที่กู”

บรรยากาศภายในโต๊ะดูเงียบขึ้น เพื่อนส่งแขกสาว ๆ กลับไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมและเพื่อนสนิทวัยเด็กนั่งล้อมโต๊ะกันเท่านั้น

“พวกกูคิดกันมาตลอดว่าที่มึงเฟดตัวออกไปเพราะโกรธพวกกู ที่มีส่วนทำให้มึงเลิกกับอาโป” จิมเดิมมานั่งข้าง ๆ และโอบไหล่ผมไว้ แม้จะเริ่มสร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่สายตากับพร่าเลือนเพราะน้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้ นี่สินะที่ว่าแอลกอฮอล์ทำให้อารมณ์อ่อนไหว “มึงด่าพวกกูก็ได้ เพราะตอนนั้นยอมรับว่าการกระทำพิเรนทร์ของพวกกูแม่งเหี้ยจริง ๆ”

ภาพเมื่อวันวานสมัยวันรุ่นแบ่งบานของผมและเพื่อนก็ย้อนกลับเข้ามา…



โรงยิมชั้นสองที่กว้างขวางแคบไปขนัดตา เมื่อมีการแข่งขันบาสระดับชั้นมอปลายคู่ชิงชนะเลิศ บรรดาเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำต่างขยันโชว์ทักษะและเทคนิคในเกมการแข่งขันที่กำลังดุเดือด สองทีมคละผู้เข้าเล่นจากนักเรียนมอปลาย ตัวผมและผู้ชายร่างโปร่งในฐานะคนรักเล่นคนละฝ่าย เขามีทักษะการเล่นกีฬาที่ดีจนเป็นหนึ่งในทีมบาสของโรงเรียน ส่วนผมคงได้แค่ส่วนสูงและทักษะการเล่นนิดหน่อยที่ได้เขาฝึกซ้อมให้ที่สนามกีฬาหลังเลิกเรียนพิเศษ

เราแอบยิ้มให้กันขณะเลี้ยงลูกและวิ่งไล่ส่งบอล เพราะบังเอิญที่ผมและเขาเล่นตำแหน่งปีขวาเหมือนกัน เกมในสนามทีมเป็นรอง แต่ถ้าเป็นเกมจ้องตาผมชนะเขาราบคาบ

ไม่เคยมีครั้งไหนที่อาโปจะจ้องตาผมได้เกินสามวิ ความเขินอายของผู้ชายคนนี้มันน่ารักเหลือเกินสำหรับผม

จบเกมแน่นอนทีมผมแพ้และเป็นทีมอาโปที่ฟอร์มดีจนเป็นแชมป์สมัยที่สอง

บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์ที่แสนวุ่นวายเมื่อครู่ ขณะนี้เงียบสงบเหลือเพียงผมและอาโปที่เป็นเจ้าของมัน

“คุณไม่ออมมือให้ผมเลย” ผมเย้า ขณะที่ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้เขา เรายืนในซอกมุมที่ลับพอที่จะไม่มีใครสังเกตหลังล็อกเกอร์

“ในสนามคุณคือคู่แข่ง ทำไมต้องออมมือ” คนตัวบางกว่ายกยิ้ม ผมชอบที่เวลาเขายิ้มแล้วตาโต ๆ ของเขามันหรี่ลงเหมือนยิ้มไปด้วย

“แต่เราเป็นแฟนคุณนะ” หมัดของคนตรงหน้าชกที่ท้องผมเบา ๆ นี่แหละอาการเขินของผู้ชายสูง 178 เซนติเมตร

จู่ ๆ เขาก็โผเขากอดผมทั้งที่ร่างกายของเรามีแค่ผ้าขนหนูปกปิดส่วนล่าง ไม่พอยังกดจูบที่ต้นคอเบา ๆ ด้วย นี่ยั่วกันชัด ๆ

“คิดถึงจัง ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เลย”

“คุณกำลังลดความยั้งใจของเรานะ”

“ก็ไม่ต้องยั้ง” เขาเคลื่อนใบหน้าจากต้นคอหันมาสบตา ก่อนที่จะเสมองที่อื่น ก็บอกแล้วว่าเขาแพ้ผมเวลาสบตาเสมอ คนที่ปากเก่งแต่สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อผมเลื่อนมือพาดที่เอวของเขา ท่าทางล่อแหลมของเราตอนนี้ไม่ต่างจากฉากหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เคยดู ความรักในความลับหลังล็อกเกอร์ที่โรงเรียน

“เหยดดดดดดดดด”
“ณัฐมึงถ่ายได้ป่ะวะ”
“หัวหน้าห้องคิงกับนักกีฬาบาสประจำโรงเรียนพลอดรักหลังล็อกเกอร์ว่ะ”
“ฮิ้วววววววววว”
“เรื่องนี้ต้องขยาย”

เสียงเอะอะมะเทิงจากล็อกเกอร์ฝั่งตรงข้าม ฉากที่ว่าเลยไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

คลิปและภาพของผมกับอาโปถูกส่งต่อผ่านช่องทางสื่อสารให้คนอื่น คนส่งสารพวกนั้นคือเพื่อนในกลุ่มของเราเอง โดยที่พวกมันยังสนุกและหัวเราะแบบไม่ได้สนใจว่าผมและอาโปจะรู้สึกอย่างไร และสิ่งที่ทำให้เส้นความอดทนขาดลงก็คือ

‘เฮ้ย อย่าเครียดน่า ขำ ๆ มึงได้กันยัง ข้างหลักมันป่ะ’ คำพูดจากปากเพื่อนที่คิดว่าสนิทที่สุดอย่างจิมทำให้ผมผลักอกมันแล้วต่อยเข้าที่หน้าเต็มแรง ไม่ได้โกรธที่มันดูถูกผมแต่โกรธที่มันดูถูกอาโปซึ่งเป็นเพื่อนของมันอีกคน ทำไมถึงพ่นคำพูดสามานย์ขนาดนี้ออกมาจากปากได้

‘เชี่ยมึงต่อยกูทำไมเนี่ย’

‘หมาในปากมึงจะได้สงบเสงี่ยมบ้าง’

‘เหี้ยเมฆ!’

หลังจากวันนั้นเหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้าย เพราะเพื่อน ๆ ต่างพากันแบนผม คำพูดที่พวกมันใช้อย่างสนุกปากแต่งแต้มเรื่องราวใส่ไข่ให้กับอาโปต่าง ๆ นา ๆ และเหตุผลที่มันเล่นงานอาโป เพราะอาโปเพิ่งเข้ามาในกลุ่มตอนมอปลายมันเลยโทษเขาที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป ซึ่ง ณ จุดนั้นผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย พยายามหาทางออกกับเรื่องนี้ว่าควรทำอย่างไร ยอมรับว่าเครียด กลัว และขี้ขลาดเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา คิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ไม่ให้อาโปโดนคนอื่นเอาไปพูดอย่างสนุกปาก คิดกระทั่งชวนอาโปย้ายโรงเรียน แต่เรื่องพวกนี้มันถูกกระจายไวอย่างกับเชื้อโรค ไปที่ไหนก็คงตามติดตัวเราไปทุกที่

สุดท้ายก็คิดโง่ ๆ คือออกจากชีวิตของอาโปเพื่อปกป้องไม่ให้เขาโดนใส่ร้ายและด่าทออีก

‘เราไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายตลอดไปได้’

นี่คือคำพูดบอกเลิกเดียวที่ผมพอจะนึกออก และใช่มันโหดร้ายกับอาโปมากถึงมากที่สุด ผู้ชายที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายได้ กลับค่อย ๆ เรียนรู้จักความรักจากผู้ชายอย่างผม ยอมกระทั่งเสนอว่าเราไม่ต้องเจอกันที่โรงเรียน ยอมไม่ไปไหนมาไหนข้างนอก และยอมให้ตัวเองอยู่ในความลับตลอดไปได้

ขอแค่ให้ผมอยู่กับเขา

และสุดท้ายผมก็ใจร้ายมากพอที่จะเพิกเฉยกับคำขอของคนที่รักมากที่สุด


อาโปขาดเรียนไปสองวันเต็ม ๆ ซึ่งในหัวใจผมร้อนรนถึงไปแอบไปดูเขาถึงบ้าน แอบมองเขายืนรดน้ำต้นไม้ด้วยสภาพอิดโรย ใต้ตาคล้ำ และบวมแดง คงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ชินจังหมาพันปอมเปอเรเนียนวิ่งคลอเคลียไม่ห่าง ร่างโปร่งนั่งยองยองลงแล้วอุ้มสุนัขเข้ามากอดแนบอก ผู้ชายตัวสูงขณะนี้ตัวเล็กลงไปอีก ไหล่บางสั่นกลั้นสะอื้น หัวใจของผมเหมือนโดนบีบขย้ำและกระชากออกไปจากร่าง ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้ายกับคน ๆ ไว้มากมายแค่ไหน

อาโปเฟดตัวออกจากกลุ่มไป ผมก็ยังใช้ชีวิตกับเพื่อนกลุ่มเดิม ในความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ขณะนั้นผมไม่เหลือความจริงใจและความรักในมิตรภาพให้พวกมันอีก แต่ที่ยังอยู่ก็เพื่อทำให้พวกมันคิดว่าผมเลือกพวกมันและยังคงเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง จะได้เลิกยุ่งกับอาโปสักที

พวกมันก็พยายามเป็นพ่อสื่อให้ผมกับเด็กคอนแวนต์โรงเรียนข้างกัน ปล่อยข่าวลือต่าง ๆ นานา กลบข่าวที่พวกมันเป็นตัวต้นเรื่องทำร้ายผมและอาโปอย่างคึกคะนอง ภาพจำของอาโปในเทอมสุดท้ายเขาแทบไม่สุงสิงกับใคร และเรื่องฉาวก็เงียบหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

ความเห็นแก่ตัวของผม คืออยากมีอาโปในชีวิตไม่ว่าจะอย่างไร ก็เลยสืบจนรู้ว่าเขาสอบตรงที่ไหนบ้าง เลยเลือกสอบคณะและสาขาเดียวกัน จนสุดท้ายติดที่เดียวกับอาโปจนได้ แม้ว่าวันที่ผมได้เจอกับศิ เฌอ และอาโป ในวันเฟิร์สเดต สายตาของอาโปจะว่างเปล่าไม่มีกระทั่งเงาของผมในนั้นก็ตาม

แต่ความสบายใจเดียวคืออย่างน้อยผมก็ยังอยู่ในชีวิตของเขาบ้างก็ดีเกินพอแล้ว ความใจดีของผู้ชายคนนี้คือยังส่งยิ้มให้ ทักทาย เสมือนเราทำความรู้จักกันใหม่ในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนอย่างแท้จริง

เจ็บเหมือนจะตาย
แต่ก็คงยังไม่ได้ครึ่งที่อาโปเจ็บ

สุดท้ายเลยเลือกที่จะเฟดตัวเองออกจากกลุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่มอต้น ทั้งที่มีไลน์กลุ่ม มีเฟซบุ๊ก แต่ผมไม่เคยปรากฏตัวในการสนทนาของพวกมันเลยตลอด 3 ปี เพราะรู้สึกยังติดค้างในใจ และไม่สามารถมองพวกมันเป็นเพื่อนที่จะคอยพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันได้ สุดท้ายเลยมีเพื่อนจริง ๆ แค่ศิ เฌอ และอาโป…


เวลาผ่านไป ทัศนคติ และวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น ทำให้เรามองโลกคนละแบบกับตอนที่เรายังเด็ก เคยคิดว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเพื่อน แต่จริง ๆ แล้วเป็นเพราะผมเองที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาเลยต่างหาก แม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่กำลังจะเสียอาโปไปจริง ๆ ก็ยังคงใช้อารมณ์อย่างไร้สติ มากกว่าใช้เหตุผลคุยกัน

“พวกกูขอโทษนะเว้ยที่ทำให้เรื่องของมึงจบแบบนั้น” ตะวันพูดเจือด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ

“พวกกูรู้สึกผิดมาตลอด” จิมพูดพร้อมตบบ่าผมแรง เสียงเขาสั่น น้ำตาของผมรินไหลเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน ๆ ที่อึดอัดใจไม่ต่างกัน

“มึงยังรักเขาหรอวะ” ทะเลถามขึ้น

ผมพยักหน้ารับ

“จนถึงตอนนี้?”

“อืม”

“มึงกับอาโปเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ทั้งที่มึงยังรักเขามาตลอดหรอวะ” ว่าที่คุณหมอถามแทนใจ

“กูทำได้แค่นั้น”

ความเงียบเข้าควบคุมบรรยากาศการพูดคุย ทุกคนราวกับใช้ความคิดและนึกถึงอดีตที่มันแสนเจ็บปวด การกระทำไม่คิดขณะที่เรายังเด็กส่งผลต่อปัจจุบัน ตอนนั้นเราไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริง แต่วันนี้เราเรียนรู้มัน ตั้งรับกับมัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เจ็บปวด เพียงแต่เรารู้ว่าเวลาเราเจ็บเราแสดงออกไม่ได้ว่าเราเจ็บ แต่ความสบายดีของเราจะส่งผลต่อความสบายใจของทุกคนต่างหาก นี่แหละชีวิตของผู้ใหญ่

“พวกกูขอโทษจากใจจริง ๆ ตอนนั้นกูคิดว่ามึงกับอาโปแค่เผลอใจ พวกกูตั้งรับไม่ทัน ยอมรับว่ารับไม่ได้ แต่เห็นสภาพมึงเป็นแบบนี้ มึงจะให้พวกกูทำอะไรก็ได้ ให้กูไปขอโทษอาโปก็ได้ ให้พวกกูชะล้างความผิดของพวกกูบ้างก็ยังดี” คำพูดจากจิมสั่นเครือและกลั้วน้ำตา ทะเลเสมองไปทางอื่น ส่วนณัฐก้มมองกระเบื้องที่พื้น ตะวันนั่งหลับตาทั้ง ๆ ที่น้ำตายังคงไหล ธีร์ยกบุหรี่ขึ้นมาจุดทั้งที่ในร้านห้าม

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ผมและอาโปที่เจ็บปวด แต่พวกมันเหมือนเนื้อร้ายที่เกาะกินใจมาโดยตลอด ไม่ต่างจากนักโทษกลับใจและมองเห็นความผิดของตนเองว่าสร้างความเสียหายแค่ไหน ส่งผลถึงใครบ้าง และนั่นแหละคิดได้เมื่อสายไปแล้ว

“ช่างมัน เขาเริ่มใหม่ไปแล้ว มีแต่กูที่ยังอยู่ที่เดิม” จิมกอดคอผมแน่นขึ้น ผมใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองลวก ๆ ก่อนจะชวนทุกคนกลับ

“กูไม่โกรธพวกมึง แค่ละอายใจกับเขาเกินกว่าจะมีความสุขได้” ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำเหมือนติดต่อพวกมันเสมอ หลายครั้งโกหกว่าไปสังสรรค์กับเพื่อนมอปลาย แต่จริง ๆ นอนอยู่บ้าน ดีที่ไม่ใช่คนติดโซเชียลเลยทำให้อาโปเชื่อได้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้มาสนใจจุดนี้เลยด้วยซ้ำ

“มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ กูอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย”  ใบหน้าอมทุกข์ของเพื่อนที่เดินมาส่งผมที่รถแสดงออกว่าพวกมันไม่ได้สบายใจแม้จะเอ่ยคำขอโทษแล้วก็ตาม

“มึงยังมีพวกกูนะ แม้พวกกูจะเคยเป็นเพื่อนที่ห่าเหวในชีวิตมึง แต่ตอนนี้จะเป็นเพื่อนที่ดีขึ้น” ตะวันตบบ่าผมเบา ๆ

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ พวกกูเต็มใจช่วยมึงทุกเรื่อง” จิมที่ยืนกอดอกพิงรถผมพูดขึ้น

“อืม ขอบใจพวกมึงมาก ดีใจที่วันนี้ได้มาเจอพวกมึง โล่งอกเหมือนกัน”

ผมส่งรอยยิ้มที่คิดว่าฝืนได้ดีที่สุดให้พวกมัน ก่อนจะกล่าวลาแล้วขึ้นรถตัวเองไป ถ้าถามว่าวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของเราสามารถกลับไปเฮฮาสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนได้หรือยัง ก็คงต้องตอบว่ายัง สามปีที่หายไปมันเพิ่มระยะห่างมากอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ดีขึ้น โล่งใจและหายใจออกบ้าง ก็หวังว่ามันจะค่อย ๆ ดีขึ้น





มีต่อ



ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
เส้นทางที่ผมกำลังเดินทาง ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมรู้ดี แต่ในหัวคิดอะไรวกวนจนสุดท้ายมาจอดรถที่หน้าคอนโดของผู้ชายที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ฝนโรยปรายลงมาทั้งที่ก่อนหน้าไม่มีวี่แวว นี่แหละคนบาปหนาอะไรก็ไม่เป็นใจ จอดรถริมฟุตบาธหน้าคอนโดบอกยามว่าจะขึ้นไปหาเพื่อน และนิติบุคคลจำผมได้ดีเลยปล่อยให้ขึ้นมาง่าย ๆ ไม่ได้สนใจว่าจะเดินฝ่าสนตกหนักในค่ำคืนนี้

ไม่ได้มาเหยียบที่นี่นานในความรู้สึก ก่อนที่อาโปจะแคสต์ซีรีส์ผ่าน ผมมาที่นี่แทบจะทุกอาทิตย์เพราะคอนโดอาโปใกล้มหาลัย และเราทั้งสี่คนมักจะคลุกตัวอยู่ที่นี่บ้าง ไปคอนโดศิบ้างสลับกัน

ยกนาฬิกาดูเวลาเข้าวันใหม่เกินมาสองชั่วโมง แต่ในหัวคิดแค่ขอได้เห็นหน้าเขาสักห้าวินาที หากเขาปิดประตูใส่ก็ไม่เป็นไร

ติ๊ง ต่อง ติ๊ง ต่อง

ไม่นานผู้ชายร่างโปร่งเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตู ซึ่งแน่นอนเขาดูตกใจที่เห็นแขกในยามวิกาลคือผมเอง แต่แล้วสิ่งที่คิดไว้กลับไม่เกิดขึ้น เขาเปิดประตูกว้างคล้ายกับเชิญผมเข้าห้อง สงสัยเวทนาสภาพเปียกปอนเหมือนตกน้ำมาของผม ไหนจะกลิ่นเหล้าคลุ้งอีก

ระหว่างถอดรองเท้าก็สังเกตว่ามีรองเท้าคู่ใหญ่วางอยู่นอกชั้น ซึ่งไม่ใช่ของอาโปแน่ ๆ ได้แต่ภาวนาในใจว่าไม่ให้เป็นอย่างที่ตัวเองคิด

สำรวจห้องชุดที่แสนคุ้นเคย ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนครั้งที่เคยมา อาโปที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนเจ้าระเบียบใช้ได้ ดูได้จากข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกจัดวางเขามุม เป็นระเบียบ ไม่รกตา ห้องโทนสีขาวที่เขาชอบก็ทำให้ที่นี่โล่งโปร่งและหายใจสะดวกดี

“ดื่มมาหรือไง ทำไมเหม็นกลิ่นเหล้าขนาดนี้”

“อืม”

“นั่งรอแป๊บแล้วกัน เราจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”

“ครับ”

ขนาดทำเลวร้ายใส่เขาสารพัด ไหนจะสร้างความปั่นป่วนให้ในช่วงที่ผ่านมา อาโปก็ยังใจดีด้วยเสมอ

แกร๊ก

ประตูห้องนอนอาโปถูกเปิดออกโดยผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำไม่ใส่เสื้อ และนั่นแหละสิ่งที่ผมภาวนาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่มีใครฟังขอจากคนเลว ๆ อย่างผม

“ใครมาหรอโป”

“เพื่อนน่ะครับ”


เสียงฟ้าร้องดังจากข้างนอก แต่ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อมอย่างจัง ตัวชาคล้ายกับโดนไฟหมื่นโวล์ช็อตจนขยับตัวไม่ได้ อยากจะบังคับสายไม่ให้มองภาพตรงหน้าแต่เหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้ อาโปเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ชื่อเพทายก่อนจะดึงแขนเขาเข้าไปในห้องโดยที่ผมไม่รู้ว่าอาโปจะบอกกับเรื่องผมที่มาดึกดื่นกับเขาว่าอย่างไร

นั่งนิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่กล้าขยับตัว จากที่เคยคิดว่าตัวเองใกล้สูญเสียเขาไป ตอนนี้ได้เสียเขาไปแล้วจริง ๆ อย่างเป็นทางการ

“อะนี่เสื้อผ้า ไปเปลี่ยนซะเดี๋ยวไม่สบาย” รับเสื้อผ้ามาจากผู้ชายในเสื้อสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น เป็นชุดนอนสุดสบายที่เขาชอบ นั่นหมายถึงว่าเขาสบายใจมากพอที่จะใส่ชุดแบบนี้นอนในห้องเดียวกับผู้ชายคนนั้น “เราจะไปหาอะไรอุ่น ๆ ให้กิน”

“เลือกเขาแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย”

“....”

“เราไม่มีหวังแล้วใช่หรือเปล่า”

“...”

“หึ นั่นสิเนอะเราไม่น่าถามคุณทั้งที่คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” ขามันเหมือนไม่มีแรงเลยทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าที่ผมถืออยู่เป็นชุดที่มาลืมไว้ เขายังเก็บไว้อีกทั้งที่ทิ้งไปคงดีกว่า

ร่างโปร่งนั่งตรงข้ามกัน เขาไม่ได้พูดอะไร และผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ความเงียบที่เกาะกุมบรรยากาศ แต่กลับทำให้ความจริงเสียงดังชัดขึ้น และเป็นผมที่ต้องยอมรับความจริงสักที ไม่ว่าจะดึงดัน ดื้อรั้นสักเพียงใด ทุกอย่างก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า ผมกลับยังจมปลักอยู่ที่เดิม

“เรารู้ว่าที่ผ่านมาเราทำความลำบากใจให้คุณ”
“เราขี้ขลาดที่ปล่อยให้มันนาน...ขนาดที่ขอโอากาสไม่ได้แล้ว”
“ขอบคุณที่ไม่เกลียดเรา เราจะพยายามเป็นเพื่อนที่ดีเหมือนที่คุณทำ”
“และจะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีก”

เหมือนจะรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดคำพูดพวกนี้กับเขา เลยพูดแบบไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าพูดตามความรู้สึกภายในใจของตัวเอง และไม่แน่ใจว่าทำไมน้ำตามันไหลอีกแล้ว เป็นคนร้องไห้ง่ายขนาดนี้เลยหรอวะ

“เราขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“และเราก็ค้นพบแล้วว่าอะไรคือสิ่งเลวร้ายในชีวิตของคุณ”
“ก็คือตัวเราเอง”

“ไม่…”

“คุณดีกับเราจนเราละอายแก่ใจว่ะ ตอนแรกวันนี้เราแค่อยากเห็นหน้าคุณ แต่ไม่คิดว่าเลยว่าจะต้องบอกลา”

“จะ...ไปไหน”

“เปล่าไม่ได้ไปไหน แค่บอกลาคุณจากความรู้สึกตัวเอง” เงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไม่หยุดไหล ใช้หลังมือเช็ดมันออกลวก ๆ เพราะอยากมองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าให้เต็มที่ ก่อนที่จะไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ในความรู้สึกเดิมอีก

“เขาดีกับคุณมั้ย”

“อื้ม”

“ครับดีแล้ว งั้นเราขอเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว จะไม่รบกวนแล้วแหละ” ลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำ แต่น้ำเสียงสั่นเครือของเขาก็ทำผมหยุดชะงัก

 “อยู่จนฝนซาก่อนก็ได้นะ”

มันทำให้น้ำตาที่ถูกเช็ดไปเมื่อครู่ไหลบ่าออกมาอีก พยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ตัวของผมสั่นเหมือนวันที่ยืนร้องไห้ข้างกำแพงรั้วบ้านของเขาในวันนั้น แต่วันนี้มันเจ็บกว่าวันนั้นแบบเทียบไม่ติด เจ็บเหมือนจะตายเลย

“ฮึก เดี๋ยวเราไปเอาอะไรอุ่น ๆ มาให้นะ” ไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำว่าเขาร้องไห้ ซึ่งมันจะวกกลับมาที่ผมทำให้เขาร้องไห้อีกแล้ว

ยอมรับว่าแว้บหนึ่งรู้สึกอุ่นวาบในใจที่รับรู้ว่าเขาเองก็เสียใจ มันอาจจะเป็นเพราะเรามีสายใยบาง ๆ ผูกพันกันเอาไว้ แม้จะไม่ใช่ในฐานะคนรัก แต่เมื่อมันจะต้องตัดขาดเขาก็คงใจหายเหมือนกัน

ตัดสินใจเลือกที่จะเดินเข้าห้องน้ำและรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มองหน้าตัวเองในกระจกใช้เวลากลั่นน้ำตาออกมาให้หมดแล้วล้างหน้าล้างตาเดินออกมา เพื่อไม่ทำให้คนที่รออยู่ข้างนอกหนักใจเหมือนที่รับปากกับเขาไว้

แก้วมัคสีน้ำเงินเข้มคือสีที่เขาชอบ
ชาพีชที่เขาชอบ
ฝนตกในตอนกลางคืนที่เขาชอบ
คงมีแค่ผมอย่างเดียวที่อยู่ตรงนี้แล้วเขาไม่ชอบ
ตลกร้ายชะมัด

“ขอบคุณครับ”

ทั้ง ๆ ที่ชาค่อนข้างร้อนแต่ผมใช้เวลาไม่นานในการดื่ม ไม่ใช่เพราะอากาศเย็นมาก แต่เพราะความร้อนของชามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรเลยมากกว่า คงเป็นระบบรับรู้ความรู้สึกของผมมันอาจจะตายไปแล้วก็ได้

ลุกขึ้นหยิบถุงเสื้อผ้าเปียกติดมือและกำลังจะกล่าวลา แต่ผู้ชายตรงหน้าก็พูดขึ้นก่อน

“ฝนยังไม่ซาเลย จริง ๆ..”

“อย่ายื้อเลย” ดวงตาและจมูกแดงก่ำของเขาบอกให้รู้ว่าเมื่อครู่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาไม่ต่างกัน และขณะนี้น้ำใส ๆ ก็ปริ่มที่หัวตาเขาอีกแล้ว ต้องรีบตัดบทก่อนที่จะทำให้เขาร้องไห้อีก เขาควรพอสำหรับการร้องไห้เพื่อผม ผมไม่มีค่าขนาดที่เขาจะมาเสียน้ำตาให้อีก

“...”

“ไม่ว่าจะสงสารหรือเวทนา แต่อย่าเลยนะ”
 “ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ”

ทั้ง ๆ ที่มีอีกคำที่อยากพูดกับเขา แต่กลืนมันลงคอไปเพราะรู้ว่าไม่ควรพูดมันออกมา แม้ว่ามันจะเป็นแผลติดอยู่ในใจไปตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร ดีกว่าให้เป็นตราบาปในชีวิตของเขา

“ขอบคุณที่ให้เข้ามา” ในชีวิตนะ

คำพูดประโยคเต็มที่อยากบอกเขา แต่เกรงว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกดีที่มีผมในชีวิตเท่าไหร่ ก็เลยตัดบทด้วยรอยยิ้มที่ดีที่สุดในชีวิตส่งให้เขา

เรารักคุณ

พร้อมฝากความรู้สึกอันมากล้นในหัวใจของตัวเองเอาไว้ตรงนี้ ที่นี่ กับคน ๆ นี้

สุดท้ายมันก็กลายเป็นการจากลาที่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นสักที




พอประตูปิดลงตอนนั้นแหละที่รู้เลยว่าความเข้มแข็งของหัวใจและร่ายกายมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว ไม่รู้หรอกว่าการหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะตายก็คงรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้ง

อ่อนแอ เปราะบาง นี่สินะที่เขาว่ากัน

ยืนหลบมุมเพื่อมองประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมา จ้องที่ลูกบิดประตู คิดในใจถ้าเขาเปิดประตูออกมาเพื่อมองหาก็คงต่อชีวิตตอนนี้ได้อีกหน่อย แต่นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วยังไร้วี่แวว สุดท้ายการหลอกตัวเองของผมแม่งก็พ่ายแพ้ให้กับความจริงที่ต้องยอมรับ

มึงแพ้แล้วเมฆ มึงแพ้ให้กับตัวมึงเอง

นี่แหละโทษทัณฑ์ที่ผมควรได้รับมานานแล้ว ผมยื้อมานานมันก็เลยโคตรเจ็บ แต่ถ้าย้อนกลับไปก็คงเลือกที่จะทำเหมือนเดิม เพราะเมฆคนนั้นก็คือตัวผมเอง เมฆที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เมฆที่ไม่ยอมแพ้ เมฆที่คิดว่าตัวเองเก่งจัดการได้ทุกอย่าง เมฆที่มั่นใจในตัวเอง แต่กลับกันเมฆในตอนนี้มันสูญสลายหายไปต่อหน้าผู้ชายที่ชื่ออาโปเมื่อครู่ มันไม่เหลือเมฆคนนั้นอีกต่อไป


(ฮะ ฮัลโหล)

“ศิ กูไปหาได้มั้ย”

(ฮื้อ เมฆหรอ มีอะไรมั้ย)

“ฮึก กู กูไม่ไหว”

(อื้อมาเลย เราจะโทรบอกนิติให้ ขับรถดีดีนะ ให้เราไปรับดีมั้ย)

“ไม่ ฮึก เป็นไร”

(งั้นเมฆไม่ต้องวางสายนะ)

“อะ อื้อ”




นั่งจ้องตึกรามบ้านช่องที่ระเบียงห้องศิมานานขนนาดไหนไม่แน่ใจ บุหรี่หมดเกือบซองแล้ว ไอ้เพื่อตัวเล็กที่ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปนอนในห้องนอน หลับบนตักคนรักหลังจากที่ร่วมร้องไห้กับผม เมื่อรับรู้เรื่องราวที่ผมเรียบเรียงให้ฟัง

“เจ็บว่ะพี่หมอ”
“มียาฉีดแล้วลดความเจ็บปวดข้างในมั้ย”

“ก็พอมี แต่เคสต์เมฆพี่สั่งฉีดยาแบบนั้นไม่ได้หรอก” เสียงทุ้มพูดอย่างใจเย็น เขายิ้มให้ซึ่งผมคิดว่าเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนกำลังคุยกับพี่ชาย

“งั้นก็ฉีดยาให้หลับตลอดไปเลยได้มั้ย”

“ไม่อยากเจอเขาแล้วหรอ”

“...” ทำไมจะไม่อยากเจอล่ะ อยากสิ อยากเห็นเขามีความสุข สุขให้สมกับที่เขาทุกข์ใจมาตลอด

“ความเจ็บตอนนี้มันหนักหนา มันสาหัส จนเราคิดว่าเราทนไม่ได้ แต่พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น มะรืนดีก็ดีขึ้นได้อีก เดือนหน้า ปีหน้ามันก็จะยิ่งดีขึ้น”

“...”

“เมฆบอกเขาเดินไปข้างหน้า แล้วเมฆไม่อยากเดินไปข้างเหมือนกันหรอ”

“แต่มันไม่มีประโยชน์เลยว่ะพี่ มันไม่มีจุดหมาย เป้าหมายในชีวิตมันไม่มีแล้วไง ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร” เพราะเขาเป็นทั้งความหวัง เป็นทั้งเป้าหมาย เป็นแทบจะทุก ๆ อย่างที่ผมอยากให้เกิดขึ้นในอนาคต แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรเลย

“เพื่อตัวเองไง”

“...”

“ให้โอกาสตัวเองบ้าง ไหนเมฆบอกว่าตัวเองได้รับโอกาสจากเขามานานแต่ก็ยังไม่เคยใช้โอกาสนั้นทำให้เขากลับมารักได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ชีวิตเพื่อให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้ที่จะเจ็บปวด ผิดหวัง สมหวัง และความสุข”
“อย่างน้อย ๆ ก็ให้โอกาสเพื่อนคนนี้ของเมฆได้แอบไปด่าพี่เวลาโกรธพี่หน่อยก็ดี”

“หึ”

“ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่เป็นหมอ ใช้จิตวิทยาพูดกับเด็กเรียนเอกจิตวทยาอย่างผมจนรู้สึกว่าความคิดที่ไม่อยากอยู่แม่งโง่มาก”

“ใครก็โง่ทั้งนั้นแหละถ้าเป็นเรื่องความรัก”

นั่นสิเนอะ ความรักไม่ผิดหรอก ผิดที่เราใช้มันเป็นเครื่องมือรองรับความล้มเหลวชีวิตรักของเราทั้งนั้น ดูอย่างไอ้ศิกับพี่หมอ ผ่านทุกรสชาติของความรัก แต่ก็ยังประคับประคองและเขียนรูปแบบของรักของตัวเองด้วยความเข้าใจ ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ อยู่บนพื้นฐาน “รักที่มีให้กัน” 

นั่งคุยกับพี่หมอจนท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสี ได้แต่ขอโทษขอโพยที่ทำให้เขาอดหลับอดนอน ซึ่งเขาก็ใจดีบอกไม่เป็นไรเพราะบางทีควงเวรเวลานอนก็สวิงปกติอยู่แล้ว

เรานั่งเงียบมองท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นรุ่งอรุณวันใหม่ ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออกเหมือนทุก ๆ วัน เช่นกันกับชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันหลังตื่นจากนิทรา แม้เมื่อวานจะพลาดพลั้ง ล้มเหลว สิ้นเรี่ยวแรง เพียงวันนี้เรายอมรับและพร้อมแก้ไข จะได้รู้ว่าโลกมันไม่ได้โหดร้ายใส่เราขนาดนั้น

ลาก่อนเมื่อวานที่แสนเจ็บปวด

สวัสดีวันนี้ที่จะดีขึ้น



---------------To be continued----------------


บันทึกเป็นสถิติที่ดีที่สุดของตัวเอง เขียนนิยายจบตอนภายในวันเดียว /ปรบมือแบบหลีดจุฬา
หรือจริง ๆ เราเขียนดราม่าเก่งไม่แน่ใจ55555555555555
เห็นใจเมฆบ้างมั้ย เออบางทีชีวิตมันก็ยากแบบนี้แหละเนอะ

พี่กบจ๋าาาาา ขอกระทิงแดงให้แพรสิบขวดนะจ๊ะ จะเอาไปชุบชีวิตน้องเมฆของพรี่
ฮืออออออออออ เศร้าาาาาาาาาา

อยากอ่านเมนท์จ้าพี่สาจ๋าาาาาาา ฮ้องไห่นำกันแน่จ้าาา

ฮักเด้อ

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx







ออฟไลน์ meepoohyoyo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอติดตามค่าาาา
เนื้อเรื่องน่ารักมากๆเลย :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด