(กดฟังเพลงเข้ากับบรรยากาศ)
บทที่14
“สีขาว?”
“ใช่ครับสีขาว ธารเขาชอบทุกอย่างที่เป็นสีขาวครับ เขาเคยบอกว่าสีขาวเป็นสีที่เป็นตัวแทนของความ ‘บริสุทธิ์’ ไม่สกปรกถ้าเปื้อนนิดเดียวเราก็จะรู้ได้ทันที แล้วเขาเป็นคนที่รักษาของดีมากเพราะอย่างนั้นของใช้ของเขาจึงดูใหม่อยู่ตลอดเลยครับ”
วารินแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าพักหลังมาธาราธารชอบแต่งห้องโทนขาวตัดกับน้ำตาลน่าจะเป็นเพราะตัวเขาเคยบอกไว้ว่าชอบ
“แต่ถ้าขาวล้วนไปหมดมันจะไม่สวยนะทราย แบบนี้เป็นไงขาวน้ำตาล ไม่ก็ขาวตัดดำ”
ทัตพลแตะมือที่หน้าจอแทปเลตเลื่อน ๆ ให้วารินลองเลือกดู ตัวอย่างชุดเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินโทนขาวเป็นเมนหลัก มีพนักงานจากบริษัทออกแบบอีกสองคนนั่งลงรายละเอียดแปลนช่วยกันที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากคุยรายละเอียดหลักๆกันแล้ว วารินลองดูเลเอาท์คร่าวๆ แล้วบอกในจุดที่ควรปรับเปลี่ยน ใช้เวลาไม่นานภาพโพสเปคทีฟก็ขึ้นรูปหมุนไปมาอยู่ที่หน้าจอใหญ่ วารินอดคิดไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยเสียจริง ปรับเปลี่ยนทุกอย่างได้อย่างใจนึกไม่ต้องมานั่งขึ้นรูปโมเดลแบบสมัยก่อนเมื่อตอนเรียน โปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆช่วยได้เยอะ
“หิวไหม ข้าวเที่ยงกินนิดเดียวเอง ทานนี่ก่อนสิ”
พนักงานของบริษัทตกแต่งลุกออกไปแล้ว ทัตพลเลื่อนจานผลไม้สดที่เพิ่งเอาเข้ามาเสิร์ฟส่งให้วาริน
“จะเอาเป็นนมหรือน้ำผลไม้คั้นดี”
เขายังถามต่ออีกอย่างเอาใจ วารินลูบท้องแล้วยิ้มอย่างดีใจเพราะหิวนานแล้ว คุยเรื่องงานมาตั้งแต่เช้า พอเที่ยงทานพอได้นิดหน่อยก็ต้องลุยรายละเอียดกันต่ออีก กระทั่งตอนนี้เวลาล่วงเลยไปบ่ายแก่ ๆ แล้ว
“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะพาเธอขับเรือชมวิวดีไหม ตอบแทนที่อุตส่าห์อดทนเพื่อฉันและธาราธารมากขนาดนี้”
เขายิ้มอย่างอบอุ่น แล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่สบายใจ
“ขอบคุณครับ ได้ยินว่าเกาะแถวนี้สวยมากถ้าคุณทัตจะกรุณาก็เยี่ยมเลย”
วารินยิ้มร่า ในดวงตาฉายแววความสุข ทัตพลบอกให้คนตัวเล็กขึ้นไปเอาเสื้อคลุมที่ห้องก่อน เดี๋ยวจะพาไปดูรีสอร์ทเล็กๆที่เขาสร้างไว้ให้ธาราธารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก
เมื่อวารินกลับมาถึงทัตพลก็รออยู่ที่รถกอล์ฟไฟฟ้าสีเขียวอ่อนคันเล็ก “ทรายจะขับไหม เดี๋ยวฉันบอกทางให้” เขาถามเมื่อวารินกระโดดขึ้นไปนั่ง
“ไม่ดีกว่าครับ เอ๊ะหรือว่าคุณเหนื่อยถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผม....”
“เปล่า ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” เขารีบโบกมือปฏิเสธไปมา “ฉันแค่อยากให้ทรายได้ลองอะไรใหม่ๆดู ยังไม่เคยขับรถแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เคยหรอกครับ แต่เมื่อวานตอนขึ้นมาทางมันค่อนข้างอันตราย..” วารินทำหน้าแหยๆ แค่ตอนนี้เขาขับเลี้ยวออกมาจากรีสอร์ทคน ก็เริ่มเอียงซ้ายเอียงขวาแล้ว ทางมันค่อนข้างวิบากจริง ๆ
ใช้เวลาไม่นานรถก็มาจอดลงที่รีสอร์ทเล็กๆแทบจะเรียกว่าติดกับที่เดิมเลยด้วยซ้ำเพียงแต่เขาพาวารินขับอ้อมมาด้านหลัง กว่าจะทะลุมาจอดถึงหน้าหาดวารินต้องยึดราวรถไว้จนมือชาไปหมด
“ฉันกำลังให้คนปรับพื้นที่ทำถนนใหม่ แล้วก็ตกแต่งภูมิทัศน์ใหม่ทั้งหมดลงต้นลีลาวดีไว้เยอะเลยนะ”
วารินยกมือกันแสงแดดที่ส่องใบหน้า พร้อมกวาดตามองไปรอบๆเห็นบ้านพักส่วนหนึ่งที่ก่อสร้างจวนจะเสร็จเรียบร้อยอยู่ห้าหกหลัง อีกส่วนหนึ่งที่หน้าหาด กำลังขึ้นโครงก่อสร้างประมาณสี่ห้าหลัง เป็นบ้านทรงไทยเล็กๆยกพื้น ส่วนด้านในเป็นตึกสองชั้นโมเดิร์นเล่นระดับสวยงามมาก
“รูปแบบของการตกแต่งภายในจะเป็นไปอย่างที่เธอออกแบบให้ทั้งหมดนะ เธอคิดว่าธารเขาจะชอบรึเปล่า”
ทัตพลเดินนำชมทุกส่วนของรีสอร์ท วารินตื่นตาตื่นใจไม่มีวี่แววความเหน็ดเหนื่อยให้เห็น
“กลับกันดีกว่า ที่นี่ไม่มีอะไรให้กินหรอก” เขาแอบแขวะยิ้มๆ เมื่อได้ยินเสียงท้องของคนตัวเล็กร้องประท้วงโครกคราก วารินได้แต่ลูบต้นคอตัวเองแล้วยิ้มแฮ่ ๆ แก้เขิน
...ขายขี้หน้าจริง ๆ เลย...
พอกลับมาถึงที่พัก ทัตพลสั่งให้เด็กเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตให้ วารินเลิกคิ้วสงสัยเมื่อเอื้อมมือไปรับเถาปิ่นโตและตะกร้าขวดน้ำจากน้องพนักงานที่ยื่นมาให้
“เดี๋ยวไปกินกันบนเรือ หรือว่าอยากไปปิคนิคที่เกาะ ทรายหิ้วท้องรอไหวไหม”
เขาเดินไปหยิบกุญแจเรือที่เคาน์เตอร์แล้วเดินนำวารินไปที่สะพานไม้เล็กๆซึ่งทอดตัวออกไปยาวเหยียด เพื่อขึ้นเรือเร็วขนาดสองที่นั่งสีฟ้าขาวที่จอดเทียบรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
มือใหญ่ยื่นมาให้จับ เมื่อเห็นคนตัวเล็กเก้ ๆ กัง ๆขณะจะก้าวลงเรือ ทัตพลขับเรือเองวารินเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เขา เสียงเรือยนต์ดังขึ้นพร้อม ๆ กับแสงแดดที่ค่อยหุบตัวลง บรรยากาศยามเย็นมาพร้อมกับกลิ่นไอท้องทะเลสีเขียวมรกต ดวงตากลมฉายแววตื่นเต้นเต็มที่ วารินกวาดเก็บเอาความสวยงามของทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวใส่ไว้ในหัวใจดวงน้อย
“ลืมไปเลยใช่ไหมว่าตัวเองหิวข้าว”
เขาหันมาพูดยิ้ม ๆ วารินเองก็ยิ้มกว้างกลับไป รู้สึกขอบคุณเขามากที่พามาเที่ยวในที่สวยงามแบบนี้ มือเล็กคว้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปสวย ๆทั้งซ้ายทั้งขวา
“มีเกาะสวยๆอยู่ที่หนึ่ง เดี๋ยวฉันจะพาไปดู”
เขาพูดพร้อมหักหัวเรือไปอีกทาง เรือเร็วยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆไม่นานนักวารินมองเห็นเกาะเล็กๆ อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ตรงโน้นเหรอครับ” ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นเพื่อให้เห็นวิวได้ชัด
“ใช่ เดี๋ยวจะพาขับวนดูรอบๆ ก่อน หาดสวยมากเลยนะไม่ค่อยมีคนรู้จักหรอก”
เขาพาวารินวนรอบเกาะช้า ๆ กินบรรยากาศยามเย็น สักพักเสียงท้องคนตัวเล็กร้องประท้วงขึ้นอีก เขาหันมาหัวเราะเบา ๆ วารินยิ้มจนตาหยีแล้วหันไปคว้าเถาปิ่นโตมาเปิด
มีข้าวแค่ชั้นเดียว แล้วก็มีช้อนสั้นแค่หนึ่งคัน ส่วนกับข้าวสมบูรณ์แบบมาก วารินรีบหันมองเขาทันที แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
“อ้าว ทำไมไม่กินล่ะทราย” เขาหันมาถามเมื่อเห็นวารินนิ่งไป
“ค...คือคุณทัตจะทานด้วยรึเปล่าครับ”
วารินอยากจะตบปากตัวเองจริง ๆ ถามออกไปได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทัตพลเองก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเหมือนกัน เขาหันมามองด้วยแววตาฉงนแต่ก็คลี่รอยยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่บนตักของวาริน
“ไม่เป็นไรทรายทานเถอะ เดี๋ยวกลับไปฉันค่อยกินก็ได้”
“ม..ไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจเราทานด้วยกันเลยก็ได้”
วารินพูดแล้วก็ยื่นกับข้าวไปด้านหน้าเขา ทัตพลหันมองอย่างง ๆ เห็นว่าวารินตักกับข้าวราดให้เรียบร้อยเหลือแต่ตักขึ้นมาทานเท่านั้น
“ไม่เป็นไร ทรายกินเถอะ” เขายังยิ้มให้อย่างเคย แต่วารินกลับขมวดคิ้วจนเป็นปม “คุณรังเกียจจริง ๆ สินะครับ”
“ไม่ใช่นะทราย คือ...”
“ผมยังไม่ได้กินหรอก ให้คุณกินอิ่มก่อนก็ได้เดี๋ยวผมทานทีหลัง”
น้ำเสียงของวารินแสดงความผิดหวังนิด ๆ ทัตพลรีบชี้แจงทันที “เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ฉันตักไม่ได้ต่างหากเพราะขับเรืออยู่ไงล่ะ ไม่ได้รังเกียจทรายเลยนะ”
มือเล็กตักข้าวพอดีคำยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากเขา ทัตพลหันมองอย่างชั่งใจแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่นเขาก็อ้าปากรับอย่างยินดี
วารินป้อนเขาบ้างทานเองบ้างสลับกันไป จนอาหารพร่องปิ่นโต “ทรายจะถ่ายรูปไหม เดี๋ยวฉันถ่ายให้ได้นะ”
“ขอบคุณครับ”
วารินยื่นโทรศัพท์มือถือให้อย่างไม่เกรงใจ โพสท่าทางประหลาดๆใส่กล้อง ภูวดลชอบบอกว่าวารินไม่เหมือนใครเวลาถ่ายรูปชอบทำท่าทางที่ตัวเองขี้เหล่ไม่เคยแอคท่าสวยๆเลยสักครั้ง ไม่รู้ทัตพลจะคิดเหมือนกับพี่ชายเขารึเปล่า
“อ่ะนี่ ถ่ายให้ฉันบ้าง” เขายื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้วาริน “ถ่ายรูปพวกเราสองคนนะเป็นที่ระลึกเธออุตสาห์มาเที่ยวทั้งที” วารินเอียงศีรษะไปใกล้ไหล่ของเขาแล้วชูสองนิ้วหันหลังมือในแนวนอนพร้อมยิงฟันเพิ่มความทุเรศทุรัง ทัตพลถึงกับหัวเราะร่าในความบ้าบิ่นของวาริน มือเล็กจิ้มปุ่มบันทึกภาพทันที และอีกสองสามช็อตแล้วแต่คนตัวเล็กจะสรรหาท่าทางประหลาด ๆ มาทำกับเขา
....เขารู้สึกมีความสุข....ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ไม่ได้มีความสุขแบบนี้.....
“ไปไหนกันต่อดีครับ หรือว่าจะกลับกันเลย” เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนทุ่มกว่า ทัตพลตัดสินใจพาวารินมุ่งหน้ากลับที่พัก ขับเรือตอนกลางคืนคงไม่ดีแน่ ๆ
“วันนี้จะเปิดแชมเปญฉลองนะ ดื่มกันที่ไหนดี” เขาถามขึ้น พร้อมส่งตะกร้าใส่ขวดน้ำและเถาปิ่นโตให้คนงานเอาไปเก็บ โยนกุญแจเรือส่งให้เด็กอีกคนและบอกให้เติมน้ำมันไว้ด้วยเพราะเขาใช้จนเกือบจะหมดแล้ว
“เนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ” วารินถามซื่อ ๆ เดินตามหลังเขาไปตามสะพานเล็กมาลงที่หน้าหาด ทรายสีขาวต้องกับแสงไฟสีส้มจากร้านอาหารของรีสอร์ทสะท้อนเป็นสีทองระยิบระยับยามค่ำคืน
“ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทรายทำให้ ทั้งให้ลูกชายฉันแล้วก็ตัวฉันเองด้วย เธอเป็นเด็กดีนะทราย” วารินเผลอยิ้มกว้างทันทีที่ถูกชม ยกมือเกาศีรษะเล็กแก้เขิน
“เดี๋ยวฉันอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วจะขึ้นไป เราดื่มกันที่ระเบียงหน้าห้องเลยก็ได้วันนี้ลมไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ ขอเคลียร์งานต่ออีกหน่อยนิดนะ ระหว่างนั้นทรายพักผ่อนรอไปก่อน”
เขาให้เกียรติวารินมากแม้จะพักห้องเดียวกันแต่กลับลงมาอาบน้ำแต่งตัวที่ออฟฟิศทุกครั้ง เขาเดินมาส่งวารินถึงเชิงบันไดแล้วขอตัวแยกไปอีกทาง วารินรีบเดินขึ้นห้องพร้อมถ่ายรูปทิวทัศน์ข้างทางต่ออีกหน่อยไหน ๆ วันนี้ก็กลายเป็นช่างภาพจำเป็นไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังขณะวารินนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ ลุกออกมาควานหาแทบไม่ทัน
“กวนทำไมเนี่ย อาบน้ำอยู่” วารินแหวใส่ปลายสาย ธาราธารถึงกับผงะ เขายิ้มร้ายโทรได้จังหวะดีจริงๆ
“พี่โป๊รึเปล่า อยู่กับใครน่ะ”เขาแกล้งทำเสียงขู่
“โป๊ดิ่ แต่ตอนนี้อยู่คนเดียว” วารินยกผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดผม เขาว่าจะเดินออกไปคุยที่ริมระเบียงทว่ากลับมองเห็นโต๊ะดินเนอร์ถูกเซ็ทไว้ที่มุมด้านหน้าของระเบียงกว้าง แก้วแชมเปญสองใบถูกวางไว้ข้างกันพร้อมแก้วดอกไม้สดและแก้วเทียนไขที่ยังไม่ถูกจุด
“แล้วไป ถ้าอยู่กับคนอื่นผมไม่ยอมนะเนี่ย” ปลายสายยังแกล้งเย้าวารินไม่หยุด ธาราธารถามวารินว่าวันนี้ไปไหนมาบ้างเขาจึงตอบไปว่านั่งเรือเล่นชมเกาะโน่นเกาะนี่
“แล้วได้ถ่ายรูปไว้ไหมล่ะ”
“ถ่ายสิเยอะด้วย ใช้กล้องมือถือนั่นแหละง่ายดี” วารินหัวเราะคิกคัก เขามาเที่ยวแต่ดันไม่พกกล้องถ่ายรูปมากลับใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายแทน
“ส่งรูปมาให้ดูดิ๊ อยากเห็นไปกับใครบ้างเพื่อนๆพี่อ่ะผมยังไม่เคยเห็นเลยสักคนนะ” เสียงพลิกหน้าหนังสือทำให้วารินรู้ว่าธาราธารคงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นแน่ เขาเรียนหมอเพราะอย่างนั้นต้องทุ่มเทมากกว่าอย่างอื่นเป็นเท่าตัว
วารินชะงักนิดหนึ่ง วางผ้าเช็ดผมลงเดินไปหยิบเสื้อและกางเกงจากในตู้แล้วค่อยสวมลง “จะดูอะไร้ มีแต่คนแก่ๆทั้งนั้น เดี๋ยวกลับไปค่อยดูนะ”
“พี่ทราย ผมว่าพี่แปลกวะครับ”
เสียงปิดหนังสือดังตุ๊บ วารินรู้ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ธาราธารเรียกเขาว่า ‘พี่ทราย’ แปลว่าเริ่มมีอะไรข้องใจเขาแล้ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นวารินรีบไปส่องดูเมื่อเห็นเป็นเสื้อฟอร์มพนักงานมาพร้อมกับอุปกรณ์จัดแต่งโต๊ะอาหารก็เปิดประตูให้
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว แล้วจะให้ธารดูนะครับ พี่ขอคัดรูปสวยๆก่อน” วารินหาทางเลี่ยง แต่ทางนั้นยังคงแกล้งเง้างอนต่อรอง วารินจึงจำใจส่งรูปเดี่ยวที่ถ่ายบนเรือใบให้ดูรูปหนึ่ง ธาราธารจึงค่อยพอใจกลับมาคุยร่าเริงได้อย่างเก่า
“พี่ต้องวางแล้วนะเดี๋ยวจะกินข้าวแล้ว ไว้เจอกันนะครับ...พี่รักธารนะ” วารินตั้งใจพูดอย่างนั้นจริง ๆ ธาราธารส่งเสียงเย้เฮดมาตามสายจนวารินอดจินตนาการท่าทางกระโดดดีใจของเด็กเจ้าปัญหาไม่ได้
“...ผมก็รักพี่...”