*************
ค่ายพักผู้ลี้ภัยสงคราม ชายขอบเมืองเหลียง ต้าซาง "ไฟไหม้! หมายความว่ายังไงที่ว่าไฟไหม้ตำหนักของท่านพี่!" เสียงตวาดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังก้อง ตามมาด้วยเสียงถ้วยชาที่ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย เสียงที่แผดลั่นนั้นเรียกให้ทหารซึ่งกำลังเดินตรวจตราถึงกับหันมามองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อพบว่าต้นเสียงมาจากกระโจมหลักที่ใหญ่ที่สุดก็พากันยืดตัวตรง แล้วเดินทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ภายในกระโจมนั้น อินอ๋องหลิวช่างอิ่นกำลังโกรธจนหน้าแดงก่ำ ในมือมีสาส์นลับที่พวกในเมืองหลวงแอบส่งมาให้ ฝ่ายนายทหารผู้โชคร้ายคุกเข่าตัวสั่นงันงกแบบหวาดกลัว
ข่าวที่ได้รับมาล่าสุด แจ้งเกี่ยวกับเพลิงไหม้ที่วังตะวันออก ตอนนี้ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่เป็นผู้สั่งการได้ ร้ายที่สุดคือตอนไฟเริ่มไหม้ องค์รัชทายาททรงติดอยู่ข้างในแม้จะมีคนไปช่วยออกมา แต่อาการนั้น เป็นตายไม่แจ้ง
หลิวอิ่นหลิง หรือก็คือ อินอ๋องนั้นเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง องค์ชายทั้งสองถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน รัก สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนที่เมืองหลวงถูกยึด องค์ชายรัชทายาทถูกจับเป็นตัวประกัน อินอ๋องถึงกับไม่สนความปลอดภัยของตนเอง บุกเข้าไปเพื่อช่วยพี่ชายของตนเองกลับมา
"ทำไมข่าวนี้เพิ่งมาถึงข้า ข้าสั่งไว้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านพี่ให้แจ้งมาด่วนที่สุดไม่ใช่รึ!"
"ระ เรียนท่านอ๋อง หลังจากเกิดเรื่อง พวกต้าเสียงก็เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรายิ่งขึ้น สายของเราจึงส่งข่าวมาไม่ได้ขอรับ"
"ส่งข่าวมาช้า แถมท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างก็ยังสืบไม่ได้! พวกเจ้ายังตั้งใจทำงานกันแน่หรือเปล่า!" คราวนี้เสียงตวาดดุดันกว่าครั้งแรกมาก นายทหารสะดุ้งเฮือกทันที รีบก้มลงโขกศีรษะครั้งแล้ว ครั้งเล่า
"ข้าน้อยสมควรตาย! ขอท่านอ๋องลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"
"ใช่! พวกเจ้ามันน่าตายนัก!" อินอ๋องตะคอกกลับเสียงเย็นชา ขณะที่อยากจะเงื้อดาบมาฟันอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์ ม่านหนาหนักของกระโจมก็ถูกเลิกเปิดออกพร้อมร่างของใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
"ตี้ชุน!" อินอ๋องสลัดความคิดที่จะเงื้อดาบฟันคนทิ้งทันที รีบก้าวเข้าไปหาอย่างว่องไว ตามด้วยการรัวคำถามชนิดไม่หยุดพักหายใจ "ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ไม่ใช่ว่าท่านต้องคอยดูแลท่านพี่อยู่ที่นั่นรึ แล้วสรุปท่านพี่เป็นเช่นไรบ้าง!"
เหอตี้ชุนยังคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"องค์ชายใหญ่ส่งข้ามาขอรับ"
"ท่านพี่ปลอดภัยงั้นหรอ!"
"ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วขอรับ เลยส่งข้ามาหาท่านก่อนจะทำอะไรบุ่มบ่ามอีก"
"...ท่านพูดแบบนี้ แสดงว่าท่านพี่คงปลอดภัยแล้วจริงๆ ข้าจะไม่วู่วามก็ได้" อินอ๋องอ่อนข้อให้อย่างง่ายดาย สร้างความประหลาดใจให้นายทหารโชคร้ายที่ยังนั่งมองอยู่ไม่น้อย จนถูกหลิวอิ่นหลิงถลึงตาใส่นั่นแหละ ถึงจะถอนสายตาแล้วรีบออกไป
ไล่ตัวเกะกะออกไปได้ หลิวอิ่นหลิงก็ถึงกับต้องถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เรียบง่ายตัวหนึ่ง หยิบกาน้ำชาออกมารินชาแล้วส่งให้ร่างสูงซึ่งยังยืนนิ่งเป็นตะปูที่ถูกตอกติดกับพื้นอยู่ที่เดิม
"ท่านมาเหนื่อยๆ จิบชาสักหน่อยแล้วค่อยคุยงานกันเถอะ พี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง"
เหอตี้ชุนยังไม่ได้ตอบคำถามทันที สอดมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วก้มลงประคองจดหมายส่งให้เด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม อินอ๋องเลิกคิ้วสูง รับจดหมายมาคลี่เปิดอ่านทันที ลายมืองดงามบนกระดาษราคาแพงแผ่นนี้คือลายมือของหลิวฟางหลิน พี่สาวคนโตที่แต่งให้กับบุตรชายคนโตของสกุลเหอ หรือเหอตี้ชุนที่เป็นคนคุกเข่าให้เขาในขณะนี้
ซึ่งคนเป็นอ๋องเห็นแล้วขัดตายิ่งนัก อ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจแล้วบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำตัวตามสบายเถอะ จนร่างสูงยันตัวขึ้นมาแล้วก็อดบ่นพึมพำไม่ได้
"ข้าบอกแล้วบอกอีกแท้ๆ ว่าท่านเป็นพี่เขยข้า จะมากพิธีไปเพื่ออะไร ดูอย่างพี่เขยรองสิ รายนั้นยังทำตัวตามสบายได้เลย"
ได้ยินอินอ๋องพาดพิงถึงบุคคลที่สาม สีหน้าของเหอตี้ชุนก็ตึงขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแข็งว่า
"ข้ามิอาจกลายเป็นคนไร้มารยาทเยี่ยงเขาได้"
อินอ๋องมองสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ยักไหล่ หยิบจดหมายอีกฉบับที่วางไว้บนโต๊ะมายื่นส่งให้
"ท่านลองอ่านดู แล้วบอกข้า ว่าท่านคิดอย่างไร"
จดหมายฉบับที่อินอ๋องยื่นให้เป็นจดหมายที่ถูกส่งมาจากทางเหนือ แจ้งข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่างต้าเสียงและแคว้นเสอ ในรายงานบอกเล่าอย่างละเอียดว่าบัดนี้ต้าเสียงยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดศึกเต็มรูปแบบ มีเพียงการปะทะเพื่อทำลายหน่วยที่ขนถ่ายเสบียงเท่านั้น
"ต้าเสียงยังไม่ต้องการเปิดศึกสองทางตอนนี้" อ่านจดหมายจบ ร่างสูงก็เสนอความคิดออกมาสั้นๆ เห็นสีหน้าสงสัยของท่านอ๋องแล้วจึงค่อยขยายความ "ต้าเสียงยึดเมืองหลวงของเราไปได้แล้วก็จริง แต่รอบด้านโดยเฉพาะทางเหนือยังกำราบไม่ได้ทั้งหมด อีกทั้งทหารพวกนั้นยังกร่ำศึกหนักต่อเนื่องมานาน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหนื่อยล้า พูดง่ายๆก็.."
"พวกต้าเสียงกำลังถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่พักผ่อน ก่อนจะบุกขึ้นไปทางเหนือสินะ" เมื่ออีกฝ่ายเว้นระยะ อินอ๋องก็สรุปอย่างรวบรัด สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย "พวกนั้นคงให้ทหารของมันแต่งชุดของเราเพื่อหลอกให้ข้าศึกตายใจ คิดว่าทัพใหญ่ของต้าเสียงยังไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเคลื่อนไหว รอจังหวะเหมาะสมจนทหารพักฟื้นแล้วถึงค่อยจัดทัพออกไปปราบในคราเดียว..."
"ถูกแล้วท่านอ๋อง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด" คราวนี้ม่านหนาถูกเลิกขึ้นอีกครั้ง ชายร่างสูงใหญ่ที่ไว้หนวดรกครึ้มดูดุดันก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เดินมาถึงตรงหน้าก็ยกมือประสานทำความเคารพอย่างหนักแน่น
"ไม่ใช่ทั้งหมด? หมายความว่าอย่างไรรึแม่ทัพกัง"
"ไม่ใช่ว่ายังไม่เคลื่อนทัพ แต่ทัพย่อยที่ควบคุมหัวเมืองทางใต้ก่อนหน้านี้เคลื่อนทัพออกมาตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว" แม่ทัพกังตอบเสียงเคร่ง หมุนตัวไปหยุดหน้าแผนที่ผืนใหญ่ ชี้มือไปยังเครื่องหมายเมืองสิบเมืองที่ถูกยึดไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน คำพูดนี้ทำให้อีกสองชีวิตในกระโจมตัวแข็งทื่อ
"เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!" อินอ๋องขมวดคิ้วแย้งเสียงเข้ม ส่วนเหอตี้ชุน แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าแสดงความกังขาออกมาอย่างชัดเจน แม่ทัพกังมองทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่นแม้แต่นิด
"เป็นไปแล้ว ที่ข่าวเพิ่งมาเพราะพวกมันควบคุมการเข้าออกของข่าวอย่างแน่นหนา คนของเราเพิ่งส่งออกมาได้เมื่อไม่กี่วันมานี้นี่เอง"
"พวกมันกล้าละทิ้งเมืองไปได้อย่างไร ยึดเมืองหลวงได้มิใช่สามารถหยุดทั้งต้าซาง" ครานี้เป็นเหอตี้ชุนถามขึ้นมาด้วยคิ้วขมวดมุ่นจนกลายเป็นปมแน่น
"พวกมันเรียกทัพเสริมมาพร้อมๆกับขุนนางปกครอง เริ่มจัดระเบียบตั้งแต่สี่เดือนก่อน นี่มิใช่เรื่องแปลก ต้าเสียงมีวิธีกลืนกินของต้าเสียง สิบเมืองนั้นเดิมทีมิใช่ของเราแต่เป็นของซานฉี ชาวเมืองไม่สนอยู่แล้วว่าผู้ปกครองจักเป็นใคร อย่างไรก็ไม่ใช่เจ้าชีวิตเดิมของตนเอง"
คำอธิบายนี้ราวกับคมหอกฟาดลงกลางใจ คนหนุ่มทั้งสองมิอาจแย้งผู้อวุโสได้อีก เหม่อมองไปยังแผนที่ทางทิศเหนือ หลิวอิ่นหลิงก็หลี่ตาลง..
"เห็นทีหัวเมืองทางเหนือคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว"
"เป็นเช่นนั้นท่านอ๋อง" แม่ทัพกังย้ำชัด รอยยิ้มเย็นจึงปรากฎบนใบหน้าอย่างชัดเจน
"รักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษา ส่งม้าเร็วกับนกพิราบสื่อสารไป ให้เจ้าเมืองสุ่ย เฉา เว่ย เยี่ย โจว เฉียว ถาน เป้า เหล่ยให้เตรียมพร้อม" น้ำเสียงของหลิวอิ่นหลิงเย็นชาถึงขีดสุด สายตาเลื่อนไปจรดที่เครื่องหมายสีดำทางตะวันออกเฉียงเหนือของแผนที่
"มันอยากได้เมืองก็ให้เมืองมันไป ชาวเมืองส่วนใหญ่ลี้ภัยไปที่ค่ายเฮยเซ่อ(สีดำ) นานแล้ว เหลือเพียงทหารกับพวกขุนนางบุ๋นบู๊บางส่วนเท่านั้น ก่อนที่พวกสารเลวนั่นจะไปถึง สั่งให้พวกเขาทิ้งเมืองแล้วตามไปสมทบกับพวกชาวเมืองซะ ห้ามปะทะเด็ดขาด" เว้นสูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อเสียงหนักแน่น
"ท่านพี่มิต้องการให้ทหารกล้าของเราหลั่งเลือดโดยเปล่าประโยชน์ ออกจากเมืองแล้วกระตุ้นให้กับดักเริ่มทำงาน เฮยเซ่อเป็นค่ายลี้ภัยที่ท่านพี่เริ่มสร้างตั้งแต่เริ่มสงครามกับต้าเสียง ชาวเมืองที่หลบหนีไปที่นั่นไม่ต่ำกว่าสิบหมื่น ทหารถอนกำลังละทิ้งเมืองเยี่ยงนี้คนฉลาดอย่างลู่ซือเหยียนต้องไม่ไล่ตามทันทีแน่ ถ่วงเวลาจนทหารจากทุกเมืองไปรวมกันที่นั่นแล้ว ต่อให้ทัพใหญ่ขึ้นมาเองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่น คนนำทัพย่อยบุกเมืองอย่างไรก็ไม่ใช่แม่ทัพลู่คนนั้น ข้ามิคิดว่าแค่หาแผนถ่วงเวลาสละคนส่วนน้อย ปกป้องหมากตาสุดท้ายของต้าเสียงจะเกินความสามารถของเหล่าขุนนางทหารที่เหลืออยู่ เหอตี้ชุน แม่ทัพกังรับคำสั่ง!"
เหอตี้ชุนและแม่ทัพกังคุกเข่าลงเสียงดังตึง
"ขอรับ!"
"ข้าให้พวกเจ้าคุมกองทัพสองหมื่นแยกเป็นสองสาย ขัดขวางการเดินทัพของต้าเสียงไว้ให้นานที่สุด หากเก้าเมืองด้านหลังยังอพยพไม่เรียบร้อย ข้าไม่อนุญาตให้ถอนทัพเด็ดขาด!"
คำพูดเด็ดขาดที่หลุดออกจากปากของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเบื้องหน้า เลือดของผู้มากอาวุโสกว่าทั้งสองก็เดือดขึ้นจนแทบพล่าน ความรู้สึกท้อถอยในตอนแรกกลับลบเลือนหาย แทนที่ดวยความหวังที่ผุดขึ้นมาอย่างท่วมท้น
ต้าซางยังมิไร้ความหวัง หากยังมีองค์ชายน้อยตรงหน้าอยู่ล่ะก็...
โชคดี ต้าซางช่างโชคดี แม้จะถูกโจมตีหนักหน่วงขนาดไหนก็ยังมีองค์ชายทั้งสองที่ทุ่มเทให้กับแผ่นดิน!
แม่ทัพทั้งสองบัดนี้ประสานมือคารวะเต็มพิธีการ ขานรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้องกังวานด้วยความภักดี
"ขอรับ!!"
ท่านพี่ ข้าจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย แผนการเพื่อต้าซางที่ท่านพี่วางไว้ ไม่ถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต ข้าไม่มีวันยอมแพ้พ่ายให้โจรที่มาปล้นแผ่นดินของเราไปเด็ดขาด!
*************
เมืองหลวงเลี่ยงหรง ต้าซาง ภายในห้องที่กลายมาเป็นห้องพักส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงนั้น มีกลิ่นยาและกำยานหอมลอยกรุ่นอยู่ในอากาศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โจวจั่วชิงกำลังฝังเข็มลงบนข้อแขนเรียวขาวของอดีตรัชทายาทผู้สูงศักดิ์แห่งต้าซาง ซึ่งบัดนี้ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาสักครั้งตั้งแต่ถูกช่วยออกมาจากกองเพลิง ใบหน้าขาวซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด ขับให้ร่างบนเตียงยามนี้ดูเปราะบางกว่าทุกครา เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึมออกมาบนใบหน้าของท่านหมอชรา นิ่งอยู่ถึงสองเค่อ มือเหี่ยวย่นจึงค่อยขยับดึงเข็มออกอย่างบรรจง
"เรียบร้อย..."
"เขาเป็นอย่างไร ท่านหมอ" ลู่ซือเหยียนก้าวขึ้นมาด้านข้างเตียง มองสำรวจร่างที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนนั้นด้วยสายตานิ่งสงบ มิรู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
"ไม่ดี ไม่ร้าย พิษที่เขาได้รับก่อนหน้านี้จริงๆสงบลงแล้ว แต่ถูกความร้อนกระตุ้นขึ้นมาอีก ร่างกายจึงอ่อนแรง ข้าจึงฝังเข็มควบคุมเอาไว้ ที่เหลือก็ต้องดื่มยาต้มของข้าใหม่อีกครั้ง" หมอชราเสียบเข็มกลับไปที่ห่อ ยกผ้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าตนเอง ก่อนลูกศิษย์ข้างกายจะเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น ลู่ซือเหยียนเพียงมองส่งไปด้านหลัง
รอจนท่านหมอลับสายตาไป เฉินฟู่หลิงรองแม่ทัพคนสนิทจึงเดินขึ้นมาเคียงข้างผู้เป็นนาย
"ท่านแม่ทัพ ท่านหมอฝังเข็มเสร็จแล้ว ข้าจะย้ายเขาไปที่ห้องอื่นนะขอรับ"
ดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องคนพูดอย่างดุดัน จนมือที่กำลังจะแตะร่างบนเตียงชะงักไปเล็กน้อย มิกล้ายื่นมือเข้าไปอีก ทั้งยังมิทราบว่าตนเองทำอะไรผิด ผู้เป็นนายถึงได้หันมามองด้วยสายตาเช่นนี้
"ผู้ใดสั่งให้เจ้าย้าย?"
เฉินฟู่หลิงถึงกับอึ้งไป สายตาของรองแม่ทัพท่านนี้ฉายแววงุนงงอย่างชัดเจน
"อะ เอ่อ...มะ ไม่มีขอรับ"
"ในเมื่อไม่มีผู้ใดสั่ง เจ้าก็ออกไปได้แล้ว" ลู่ซือเหยียนมิได้นำพากับความสงสัยของรองแม่ทัพของตนเลยแม้แต่น้อย กล่าววาจาขับไล่จบก็นั่งลงข้างเตียงปัดมือที่ยื่นมาของเฉินฟู่หลิงออก การกระทำแปลกประหลาดนั้นทำให้คนโดนปัดเบิกตาเล็กๆ แล้วรีบเก็บไม้เก็บมือของตนให้เรียบร้อย
"จะ จะให้เขาอยู่ที่นี่หรือขอรับ?"
"แล้วมีอันใดไม่ได้ ทหารที่เจ้าจัดการให้ดูแลที่คุมขังเดิมทำงานผิดพลาด ข้ายังไม่ได้เอาความ มาตอนนี้ข้าจะเป็นคนจับตามองตัวประกันเอง มันไม่ถูกต้องตรงไหน"
ประโยคนี้ไม่มีทางเป็นประโยคคำถามเด็ดขาด เฉินฟู่หลิงรู้ดีแก่ใจ รองแม่ทัพยืดตัวตรงตอบเสียงขึงขังว่าไม่มีอันใดไม่ถูกต้องขอรับ แล้วรีบหมุนตัวจากไปจัดการงานอื่นๆของตัวเองก่อนจะถูกโบยจนทำงานไม่ได้
จะถูกโบยจนต้องนอนรักษาตัวทั้งที ขอเฉินฟู่หลิงทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ จักให้นอนพักตอนงานยังคั่งค้าง คนบ้างานอย่างเขาจะอัดอั้นจนช้ำในตายเอาได้
เมื่อไล่คนอื่นออกไปแล้ว ลู่ซือเหยียนก็หันเหความสนใจกลับมายังร่างบนเตียงอีกครั้ง มือหยาบจากการจับดาบยื่นเข้าไปเกลี่ยไรผมให้พ้นจากใบหน้า นิ้วแตะลงบนผิวแก้มคนหลับเบาๆ ก่อนจะไล้สัมผัสผิวเนียนอย่างเผลอตัว ผิวขาวของคนต้าซางนั้นแตกต่างกับผิวของคนต้าเสียงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสัมผัสยังเรียบลื่นจนน่าประหลาดใจ
ไม่ทันรู้ตัว มือที่ยื่นไปแตะก็ลากไล้มาตามแนวกรอบหน้า ลงมายังลำคอขาว เคลื่อนไปหยุดตรงสาบเสื้อของคนหลับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ กำลังจะขยับมือแหวกออก ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะได้สติขึ้นมา รีบชักมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน
เมื่อครู่เขาจะทำอันใดกัน... ลู่ซือเหยียนสีหน้าดำทะมึน มิใช่ไม่เข้าใจตนเอง ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนทำสงครามมาตลอดสองปีกว่ามิเคยแหกระเบียบทัพแม้แต่ครั้งเดียว ความต้องการของบุรุษเพศแน่นอนว่าย่อมสะสม แต่การสัมผัสแตะต้องคนหลับที่เป็นบุรุษเช่นกันทั้งยังเป็นตัวประกันอันสูงค่าแบบนี้ มองอย่างไรก็ผิดปกติ...ผิดปกติมากทีเดียว!
ลู่ซือเหยียนยันตัวลุกออกห่างจากที่นอนอย่างรวดเร็ว รู้ตัวว่ามิอาจอยู่ตรงนี้ได้อีก ตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรก ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งมาก็ยิ่งสะสมมากขึ้นทุกที
ดวงตามืดบอด กลับไม่ยอมสิ้นหวัง แผ่นหลังที่ยังยืดตรงอย่างถือตัวและความแข็งแกร่งของจิตใจอีกฝ่ายสะกดให้เขามิอาจละสายตาได้ เมื่อริมฝีปากได้กดลงบนเรียกปากบาง ทุกวันยังต้องเดินออกจากที่พักเพื่อไปยืนมองเงียบๆโดยไม่เอ่ยวาจาใด
ตอนแรกเขายังหาข้ออ้างให้ตนเองได้ว่าเพราะอีกฝ่ายเคยเป็นถึงศัตรูคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันในสนามรบมานาน กว่าจะจับตัวคนๆนี้ได้ก็ยากเย็นเขาย่อมไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตายก่อนจะได้ใช้ประโยชน์ ทว่าหลังจากเสี่ยงชีวิตไปช่วยอีกฝ่ายออกมาจากกองเพลิง ลู่ซือเหยียนก็มิอาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตาย ทั้งมิต้องการให้ใครมาแตะต้อง...
เขาพลาด พลาดเสียแล้ว ควรจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไปตั้งแต่แรก มิควรเข้าไปใกล้ถึงเพียงนี้ มาตอนนี้ความรู้สึกที่มิควรจะเกิดก่อตัวขึ้นแล้ว เงียบเชียบอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังผิดบาปอย่างยิ่ง
อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทของดินแดนต้าซาง แม้จะไม่มีต้าซางอีกต่อไป อย่างไรก็เก็บอีกฝ่ายไว้ข้างตัวไม่ได้...
เพียงแค่นึกว่าต้องส่งตัวอีกฝ่ายให้คนอื่น ความเดือดดาลก็พุ่งสูง จนต้องชักดาบข้างเอวฟาดฟันไปยังฉากกั้นไม้สลักลายมังกรด้านข้างจนขาดในดาบเดียว ก่อนจะต้องปล่อยดาบคู่ใจให้หล่นลงสู่พื้น
"บัดซบ!"
*************************
มาต่อเรียบร้อยแล้วค่า! ขอบคุณคอมเม้นก่อนหน้าทุกตอนนะคะ อ่านแล้วชุ่มชื่นหนักมาก พลังปั่นแทบล้นเลย 555
ตอนในเปลวเพลิงนี้แท้จริงไม่ได้หมายถึงไฟที่ไหม้ตำหนักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังหมายถึงไฟสงคราม และไฟที่อยู่ในใจของท่านแม่ทัพลู่ของเราด้วย ฮา
ลงมาหลายตอนไม่รู้ว่าตอนนี้ช่วยกู้หน้าของท่านแม่ทัพได้บ้างไหม ผู้อ่านหลายคนคง รู้สึกว่าเนื้อหาของเรื่องอาจจะค่อนข้างหนัก นี่เป็นความตั้งใจของผู้เขียนเองค่ะ ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นองค์ชายกับแม่ทัพ ที่สุดแล้วยังไงก็ต้องมีหน้าที่ของตัวเอง มีสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย ไม่อาจเน้นไปที่แค่เรื่องของคนสองคนแน่นอน
ตอนล่าสุดนี้ต่อช้าเพราะตอนค่อนข้างยาว เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งเขียนเพราะกลัวจะเก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ ต่อไปความถี่ในการอัพจะเป็นสามสี่วันอัพที ไม่ใช่อัพวันเว้นวันแบบตอนแรกๆ ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะคะ ยังไงเรื่องนี้ก็จะแต่งให้จบแน่นอนค่า
ติดขัดตรงไหนก็ติดชมกันได้ นักเขียนเป็นคนหัดเขียนมือใหม่ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรก็มาพูดคุยกันได้ค่ะ ^^
ปล.ยัดไม่พอเรปเดียวอีกแล้ว