12
ไม่จบ
นิทานหวาดกลัวกับคำกล่าวของรามิลและไอศูรย์ เขาก้มหน้า คิดไม่ตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาควรจะทำยังไง
“ฉัน ฉันอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ในที่สุดเขาก็กล้าพูดออกไปจนได้
“พวกเราคิดว่าคุณควรจะนอนพักอีกสักนิด”ไอศูรย์กล่าว
“ฉันจะกลับ”
ถ้าเขายังอยู่ที่นี่นานกว่านี้ สติของเขาคงได้เลือนหายไป เขาคงจะฟุ้งซ่านจนไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง เขาจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาต้องหาวิธีพาทั้งสองคนให้หลุดไปจากที่นี่ให้ได้
“ถ้าท่านประธานยอมพักผ่อน พวกเราจะไปส่งท่านประธานแน่นอนครับ”
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
นิทานคิดว่าเขาต้องหาลงจากเตียงนี้ให้ได้ อย่างน้อยก็ไปให้ไกลจากเตียง แล้วค่อยคิดต่อว่าควรจะทำอย่างไร
“ได้สิครับ เดี๋ยวผมพาไป”ไอศูรย์เสนอตัว
ชายหนุ่มประคองประธานบริษัทตัวเล็กให้เดินไปยังห้องน้ำ นิทานมองซ้ายมองขวา เขาต้องหาวิธีที่จะหนีไปให้ได้ กายเล็กโดนจับประคองมาถึงห้องน้ำ
“อ๊ะ”
คัตเตอร์ตัดกระดาษที่อยู่ไม่ไกลจากมือ ถูกนิทานพุ่งเข้าไปหยิบหลังจากที่เขาผลักไอศูรย์
เขารีบดันใบมีดให้มันเลยออกมาจากตัวพลาสติก ชายหนุ่มยื่นคัตเตอร์ไปตรงหน้าราวกับต้องการขู่ให้ทั้งรามิลและไอศูรย์ได้หวาดกลัว ดวงตาคู่สวยจ้องมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่ชิงชัง
คงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้ผู้ชายมาข่มขืนตัวเอง….
“พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“ท่านประธานคิดจะใช้คัตเตอร์แทงพวกเราเหรอครับ”
รามิลยังคงอารมณ์ดี เขาเดินเข้ามาใกล้นิทาน ท่านประธานตัวน้อยได้แต่หน้าซีด แล้วกลั้นใจตอบไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ใช่!”
“งั้นคัตเตอร์แค่นั้น ก็คงสู้สิ่งนี้ไม่ได้”
ในมือของไอศูรย์มีมีดเล่มใหญ่อยู่ เดาได้ว่าเขาน่าจะไปหยิบมาจากในครัวระหว่างที่นิทานกำลังขู่ราวกับเป็นลูกแมวตัวน้อยขนฟูฟ่องเพราะกลัวเสือตัวใหญ่ทั้งสอง
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่คิดจะใช้มันทำร้ายคุณ เพราะผมไม่ใช่ฆาตกรโรคจิต”
ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ใบหน้าที่นิ่งเฉยของไอศูรย์ก็ทำให้นิทานหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เขามีแค่คัตเตอร์อันเล็ก จะไปสู้มีดเล่มใหญ่และกำลังของผู้ชายตัวใหญ่ได้อย่างไร ความคิดตื้นๆที่จะให้คัตเตอร์ขู่ให้ทั้งสองปล่อยเขาไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“ฉันอยากกลับบ้าน ให้ฉันกลับเถอะ”
คนตัวเล็กหมดแรงจะสู้ เขาลดระดับคัตเตอร์ลง ดวงตาคู่สวยสั่นไหว เขาเหนื่อยล้าทั้งกายทั้งใจ ผู้ชายสองคนนี้หลอกลวงเขา เล่นกับความเชื่อใจกับเขา ทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องล้อเล่น แล้วจะให้เขาอยากอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าชีวิตจะต้องเจออะไรบ้าง นิทานไม่อยากจะเสี่ยงอีกแล้ว เขาอยากจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย
“พวกเราบอกแล้วไงครับ ว่าท่านประธานนอนพักจนดีขึ้นแล้ว พวกเราจะพากลับ”
รามิลพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนนิทานไม่คิดจะฟังใดๆทั้งนั้น เขาคงจะสติแตก หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไป
“ไม่! ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้ ให้ฉันกลับเดี๋ยวนี้!”
ไอศูรย์และรามิลมองหน้ากัน นิทานยังคงยืนกรานว่าจะกลับให้ได้ เขาไม่อยากจะฟุ้งซ่าน เขาไม่อยากเห็นหน้าของทั้งคู่ ไอศูรย์วางมีดลง แล้วอาศัยจังหวะที่นิทานกำลังคุยกับรามิล เขาแอบเข้าไปทางด้านหลัง แล้วจับล็อกเข้าที่ข้อมือเล็ก บิดข้อมือนั้นจนนิทานต้องปล่อยคัตเตอร์ให้หลุดร่วงลงพื้นห้อง ก่อนจะจับมือเล็กทั้งสองให้ไพ่หลัง
“ปล่อยฉัน! ปล่อยนะ ปล่อย”
พอได้ทานข้าว กำลังที่หายไปก็เริ่มจะกลับมา นิทานดิ้นสุดแรง แต่เขาก็สู้แรงของไอศูรย์ไม่ได้ ท่าทางที่ดิ้นทุรนทุรายราวกับโดนน้ำร้อนสาด ทำให้ไอศูรย์ตัดสินใจช้อนร่างเล็กอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว เดินตรงไปที่เตียง
“ปล่อยฉันนะ คนสารเลว ไอ้ชั่ว ฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน ฉันจะไล่พวกนายออก”
คนตัวเล็กดิ้นไม่หยุด ทั้งทุบ ทั้งตี ใบหน้าหล่อก้มต่ำลง เสียงทุ้มเข้มเปล่งออกเพียงแค่คำเดียว แต่ก็ทำให้นิทานหยุดชะงัก
“เงียบ!”
คนตัวเล็กสั่นระริกราวกับลูกหมาตกน้ำ ทั้งสายตาและน้ำเสียงของไอศูรย์ดูน่ากลัวไม่ต่างจากยักษ์มารที่ใจคอโหดร้าย อีกฝ่ายคงพร้อมจะกลายร่างเป็นฆาตกรได้ทุกเมื่อถ้าเขาไม่ยอมเชื่อฟัง
“มามะ มานอนเถอะครับท่านประธาน”
รามิลฉีกยิ้มหวาน แต่นิทานไม่ได้รู้สึกสบายใจ เพราะมันเหมือนยิ้มร้ายของพวกโรคจิตเสียมากกว่า เขาได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก หวาดหวั่นความปลอดภัยของตัวเองเหลือเกิน
“ฉะ ฉันอยากกลับบ้าน”
คราวนี้ได้แต่พูดเสียงแผ่วเบา ใจยังโหยหาที่จะออกไปจากที่นี่ ไอศูรย์วางร่างของท่านประธานตัวน้อยลงบนเตียงกว้าง แล้วค่อยๆผละออก ทั้งซ้ายและขวา ที่ทั้งไอศูรย์และรามิลขนาบข้าง เป็นดังกำแพงที่ขวางกั้นไม่ยอมให้เขาหลุดออกไปไหนได้ นิทานอยากจะร้องไห้โฮ
“ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะ”
เมื่อไม้แข็งต่อต้านใช้ไม่ได้ นิทานก็พยายามฝืนบอกเสียงอ่อน ทั้งที่น้ำเสียงนั่นสั่นเครือด้วยความกลัว ฝ่ามือร้อนผ่าวของไอศูรย์ที่ลูบบนศีรษะของเขาทำให้นิทานสะดุ้งเล็กน้อยอย่างตกใจ
“นอนพักนะครับท่านประธาน”
ไอศูรย์ในตอนนี้ไม่ต่างกับเลขานุการคนดีที่ทำงานให้เขาอย่างตั้งใจ มองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร พลางลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน แต่นิทานไม่ลืมเลือนว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้แปลงเป็นปีศาจร้ายไปเสียแล้ว
“ตื่นมาแล้วจะพากลับนะครับ”
รามิลบอกอีกเสียงแล้วก้มลงจูบแก้มนิ่มอย่างแผ่วเบา แต่นิทานก็ไม่อาจจะลืมลิ้นอุ่นร้อนที่เลยลากเลียที่แก้มของเขาได้
“แต่ว่า…ฉัน”
อยากจะพูดสิ่งที่ต้องการออกไป แต่ทั้งไอศูรย์และรามิลก็จับจ้องเขาราวกับเตือนว่า ถ้าไม่อยากเดือดร้อนไปมากกว่านี้ ก็นอนพักเสียเถอะ นิทานจึงต้องจำใจปิดเปลือกตาลง ทั้งที่คิดว่าตัวเองน่าจะนอนไม่หลับ เพราะมีผู้ชายตัวใหญ่แถมเป็นคนร้ายโรคจิตนั่งคุมอยู่ แต่สุดท้ายนิทานก็เผลอหลับโดยไม่รู้ตัว
เขาลืมตาตื่นนอนมาอีกที ก็เกือบจะห้าโมงเย็น นาฬิกาที่วางอยู่ไม่ไกลจากตัวเขานั้นได้บอกเวลาไว้ นิทานค่อยๆขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ไม่มีเงาของชายทั้งสอง เขาตัดสินใจค่อยๆก้าวลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าของร่างกายหายไปมากพอสมควร ถ้าไม่ติดว่ายังคงระบมที่บาดแผลเพราะโดนรุกรานจากความใหญ่โตและแข็งขืนนั้น นิทานคงไม่ลำบากในตอนเดินขนาดนี้
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
คนตัวเล็กสะดุ้ง เมื่อกำลังจะไปเปิดตู้เสื้อผ้า เขาพบรามิลที่เดินออกมาจากห้องน้ำ นิทานหน้าเสียไปทันที
“นั่งลงก่อนสิครับ หมอนั่นออกไปซื้อบะหมี่เกี๊ยว ท่านประธานชอบไหมครับ เจ้านี้น่ะ อร่อยสุดยอดเลยนะครับ”
คนตัวเล็กแปลกใจ ที่รามิลยังพูดกับเขาได้หน้าตาเฉย ทั้งที่อีกฝ่ายก็กล้าทำเรื่องเลวร้ายกับเขาถึงเพียงนั้น
รามิลเข้ามาประคองนิทานให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหยิบแก้วมารินน้ำเปล่าให้
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมครับ”
“อืม”
เพราะอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นิทานเลยไม่รู้ควรจะทำอย่างไร ชีวิตจริงไม่ใช่ละคร ที่นางเอกพอโดนข่มขืนแล้วจะได้จบแบบสมหวังกับพระเอก เขาเป็นผู้ชาย แถมยังโดนผู้ชายที่รู้จักและไว้ใจทำแบบนี้ นิทานก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นแบบไหน
“ดื่มสิครับ”
นิทานเริ่มมองอย่างหวาดระแวง จะไม่ให้เขาระแวงได้อย่างไร ในเมื่อผู้ชายตรงหน้าเขา ถึงจะมีรอยยิ้ม แต่ก็ดูอันตรายเหลือเกิน
“กลัวว่าผมจะใส่ยาเหรอครับ ถึงใส่จริงๆ ก็ไม่มีอันตรายต่อชีวิตหรอกครับ”
ท่าทีพูดเล่นทีพูดจริงที ไม่ได้ทำให้นิทานสบายใจ แถมยังจ้องหน้ารามิลตาเขม็ง รามิลหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี ดันเก้าอี้แล้วหย่อนกายนั่งใกล้ๆกับนิทาน
“ท่านประธานคงจะกระหายน้ำ ดื่มได้ครับ ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย”
หากรามิลจะวางยาเขาจริงๆ คงไม่จำเป็นต้องใส่ลงในน้ำให้เขาดื่ม อีกฝ่ายคงจะจับกรอกเข้าปากเขาได้อย่างสบาย
นิทานรู้สึกกระหายจึงยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างระมัดระวัง รามิลได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูกับท่าทางเด็กกลัวผู้ใหญ่
“ฉันจะถามตามตรงนะ”
ด้วยความที่อายุของเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ อีกไม่นานก็จะเบญจเพส เขาไม่ใช่ผู้หญิง ที่จะได้เสียความบริสุทธิ์ ถึงแม้เขาจะโดนข่มขืน แต่เขาก็เป็นผู้ชายอยู่ดี
“ท่าทางจริงจังนะครับ”
รอยยิ้มสวยประดับบนใบหน้าหล่อ นิทานหงุดหงิดเล็กน้อย ที่เห็นแบบนั้น เพราะมันเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาจะพูด
“นายต้องการอะไร”
“เอ๊ะ”
“นายทำกับฉันแบบนี้พวกนายต้องการอะไร วางแผนอะไรไว้กันแน่”
หลังจากที่คิดไตร่ตรองทุกอย่าง ที่พอคิดออกแล้ว นิทานก็ถามออกไปตามที่คิดทันที เขาไม่ต้องการอ้อมค้อม เขารู้สึกเสียใจและสิ้นหวังเรื่องที่โดนข่มขืนก็จริงอยู่ แต่ชีวิตเขาก็ต้องก้าวเดินต่อไป เพราะอย่างไรเสีย เรื่องทุกอย่างมันก็จบไปแล้ว เขาจะคิดเสียว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย
“ผมไม่เข้าใจที่ท่านประธานถาม”
“ฉันถามว่าพวกนายข่มขืนฉันทำไม!”
“แน่ใจเหรอครับ ว่าโดนข่มขืนจริงๆ”
เสียงทุ้มที่นิทานคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ไอศูรย์กลับมาแล้ว นิทานเม้มปากแน่น หัวใจเขากำลังเต้นผิดจังหวะ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ฉันคงคุยกับพวกนายไม่รู้เรื่อง”
พอไอศูรย์กลับมา เขาก็เริ่มจะหมดแรง ลำพังรามิลที่ส่งยิ้มมาให้ตลอด ยังทำให้เขาพอทำใจสู้ได้ แต่ถ้าต้องต่อกรกับใบหน้าเย็นชาและท่าทางที่ดุดันเพิ่มด้วยอีกคน นิทานคงจะไม่ไหว
“งั้นก็ทานบะหมี่ก่อนนะครับ”
เขาได้แต่มองไอศูรย์ที่เดินไปเทบะหมี่เกี๊ยวใส่ถ้วย สำหรับคนสามคน กินหอมลอยมาแตะจมูก จนเรียกน้ำย่อยให้กระเพาะให้ทำงานอย่างรุนแรง
“ให้ฉันกลับบ้าน”
“กินก่อนนะครับ ผมรู้ว่าท่านประธานเองก็หิว”
รามิลดูเหมือนจะรู้ทัน เพราะนิทานไม่ได้ทานอะไรมาหลายชั่วโมง แน่นอนว่าที่กินไปก่อนหน้านี้ คงจะย่อยไปหมดแล้ว ถึงแม้นิทานจะไม่อยากทานอาหารของทั้งคู่มากแค่ไหน แต่สายคมกริบทั้งสองที่มองมา ก็ทำให้คนตัวเล็กต้องจำใจหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุบเข้าปากอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้
-------+++++-------
ไอศูรย์และรามิลขับรถมาส่งนิทานที่บ้านตามสัญญา โดยไอศูรย์เป็นคนขับรถ นิทานนั่งอยู่เบาะหลัง เหมือนเจ้านายที่มีเลขาที่แสนดีคอยดูแล แต่นิทานไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เพราะเขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกจับกุมเสียมากกว่า
หลังจากที่เขาทานบะหมี่เกี๊ยวเสร็จ ทั้งคู่ก็ให้เขาอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาอยู่ในชุดเดิมที่ใส่ไว้เมื่อคืน ยังดีที่ทั้งสองไม่ได้ตามเขาเข้ามาในห้องน้ำ ทั้งคู่ทำเหมือนเขาเป็นเจ้านายที่ทั้งสองต้องให้ความเคารพ ทั้งที่เมื่อคืนที่ผ่านมา การกระทำที่แสนเลวร้ายเพิ่งเกิดขึ้น
นิทานโทรบอกคนในบ้านแล้ว ว่าเขาจะกลับมาในช่วงหัวค่ำ รถยนต์หยุดจอดหลังจากที่ขับผ่านประตูรั้วที่เลื่อนเปิดให้ขับเข้ามา
“เชิญครับ”
รามิลเป็นคนลงจากรถเปิดประตูรถให้กับนิทาน ร่างเล็กลงมาจากรถ เขามองมารดาที่เดินออกมาหา
“กลับมาแล้วเหรอลูก แม่เป็นห่วงมากเลย นึกว่าคืนนี้ลูกจะไม่กลับบ้านเสียแล้ว งานเยอะเหรอลูก”
นิสาเอ่ยขึ้น เธอเดินเข้ามาโอบกอดลูกชาย เพราะนิทานเป็นบุตรคนเล็ก ย่อมได้รับการประคบประหงมจากครอบครัว
นิทานไม่รู้ว่าตัวเองจะตอบอย่างไร เขาไม่ได้ทำงาน แถมยังนอนอยู่บนเตียงที่คอนโดของรามิลเสียทั้งวัน
“อ๊ะ นั่นเลขาลูกใช่ไหม”
เมื่อเห็นทั้งรามิลและไอศูรย์ยกมือไหว้เธอ นิสาก็รับไหว้ เธอส่งยิ้ม
“ขอบใจนะจ๊ะ ที่ช่วยดูแลนิทานเป็นอย่างดี”
“ครับ ท่านประธานเป็นคนเก่งและใจดีครับ พวกเราเลยพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อท่านประธาน”
คำตอบนั้นดีเยี่ยม นิทานได้แต่นึกขุ่นเคืองไอศูรย์ ที่ช่างโกหกหลอกลวงได้หน้าตาเฉย รามิลเองก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ตอนแรกที่แม่ได้ยินว่าจะมีเลขาสองคน แม่ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว แม่คิดว่าลูกมีเลขาสองคนก็ดีนะจ๊ะ แม่อยากให้มีคนช่วยลูก ลูกจะได้ไม่เหนื่อยมาก”
หัวอกคนเป็นแม่ ย่อมอยากให้ลูกสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ โดยที่ไม่ต้องเจ็บปวด นิทานได้แต่ยิ้มรับความหวังดี เขายังไม่อยากจะให้มารดารู้เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเขา นิทานไม่อาจจะแสดงท่าทางรังเกียจไอศูรย์และรามิลต่อหน้าทั้งคู่ได้ แม้ในใจอยากจะขับไล่เลขาทั้งสองให้ออกจากบ้านไปมากแค่ไหนก็ตาม
“จริงสิ เข้ามาดื่มน้ำในบ้านก่อนดีไหม”
นิสาชวนชายร่างสูงทั้งสอง รามิลและไอศูรย์มองหน้ากันเพียงเล็กน้อย ท่าทางของนิทานดูก็รู้ว่าคงจะอึดอัดใจ วันนี้พวกเขาสองคนคงจะรุกท่านประธานตัวน้อยมามากพอสมควร ไม่อยากจะให้นิทานสติแตกไปก่อน
“ไม่เป็นไรครับ นี่ก็มืดมากแล้ว พวกผมขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกันนะครับ”
รามิลเอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้ม ชายทั้งสองยกมือไหว้เพื่อร่ำลา นิทานแต่แอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
“ลูกดูเหนื่อยๆนะ เข้าบ้านเถอะลูก”
พอเห็นรถยนต์นั้นเคลื่อนที่ออกจากรั้วบ้านไปแล้ว นิทานก็รีบหมุนกายเข้าบ้านทันที
…จบสิ้นกันเสียที…
นิทานขึ้นมาพักผ่อนบนห้องนอนของตัวเอง เขายังอยู่ในช่วงจิตตกเกินกว่าที่คิดจะดำเนินการใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ทั้งสองจะท้าทายเขาเกี่ยวกับเรื่องไล่ออก แต่นิทานก็ไม่คิดจะหยุดความปรารถนาของตัวเอง
เขาจะต้องไล่เจ้าพวกเลขาสารเลวนั่นให้ออกไปให้ได้
เพียงครู่เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก คงเป็นเกิดจากความรู้สึกเสียใจและผิดหวัง เพราะเขาไม่คิดเลยว่าคนที่เขาไว้ใจจะทรยศเขาได้อย่างเลือดเย็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจเรื่องที่ถูกกระทำทางเพศ เขาทั้งเสียใจและเจ็บใจ แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะไม่ฟูมฟายหรือเสียน้ำตา ของที่เสียแล้วก็เสียไป เขาเอาคืนมาไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ คือต้องสู้ให้ชนะ
นิทานไม่คิดจะยอมให้เจ้าคนเลวสองคนนั่นได้เสนอหน้าที่บริษัทเขาอีก
“เฮ้อ”
เขาเอนกายนอนบนเตียง ครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงเขาจะผ่านเหตุการณ์เลวร้าย แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งหลักฐานใดๆ ไว้ ถ้าสองคนนั้นไปป่าวประกาศ แล้วเขายืนกรานว่าถูกใส่ร้าย นั่นก็จะถือว่ามันเป็นแค่คำโกหก ไม่ใช่ความจริง
นิทานคลี่ยิ้มกับความคิดของตัวเอง
ครืด…
โทรศัพท์ของเขาสั่น นิทานหยิบขึ้นมาดู ในอีเมลล์ส่วนตัวของเขามีอีเมลล์ส่งเข้ามาหนึ่งฉบับ ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไม่เปิดอ่าน แต่ก็กลัวว่าจะเป็นธุระสำคัญเกี่ยวกับงานของบริษัท ชายหนุ่มจึงเปิดดูทั้งที่ทั้งกายทั้งใจเหนื่อยล้าเต็มทน
“!!!”
ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ เมื่อเปิดเห็นไฟล์ภาพ แม้เพียงแค่สองภาพที่ส่งมา ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตาของบุคคลในภาพ แต่จากรูปร่างและเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้น มันคือชุดเดียวกับที่เขาใส่ในตอนนี้
…หรือก็คือชุดเดียวกันกับคืนที่เกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา…
ใจของนิทานเต้นแรงรัว จากมุมภาพ คงไม่ได้ถ่ายระยะใกล้แบบประชิดตัว แต่มันก็ชัดมากพอ ที่ถ้าสามารถเพิ่มเติมภาพขึ้นไป จนทำให้เห็นว่าเป็นใบหน้าของเขา
ร่างกายของเย็นวาบ ถ้าจำไม่ผิด จากในรูปน่าจะเป็นตอนที่เขาโดนไอศูรย์จับเอาไว้ก่อนที่จะรู้ความจริงว่าคนร้ายจริงๆแล้วคือเลขาแสนดีของเขาทั้งสองคน
ไม่จริง…ทำไมมีภาพนี้
พอเลื่อนดูอีกภาพ ดวงตาของนิทานก็ร้อนผ่าว ร่างกายของผู้ชายตัวเล็กเปล่าเปลือย และกำลังอยู่ในท่าคลานเข่า แม้ไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจน แต่สถานที่นั้น แน่นอนว่าคือห้องทำงานของเขา และคือตัวเขาเองที่อยู่ในภาพ
ความอ่อนแอที่เก็บซ่อนไว้ใต้กำแพงที่พยายามสร้างพังทลายในที่สุด น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยไหลลงแก้มนิ่ม ปากของเขาสั่นระริก เสียงสั่นเครือในลำคอ ยกมือขยุ้มเสื้อของตัวเอง
“ไม่จริง ไม่จริง”
จะมีภาพพวกนี้ได้ยังไง ในเมื่อทั้งไอศูรย์และรามิลไม่ได้ตั้งกล้องถ่ายเขาเอาไว้ มันหมายความว่ายังไงกันแน่
ความร้อนใจทำให้นิทานไม่อาจจะทนรอโชคชะตากลั่นแกล้งต่อไปได้ เขาต้องรู้ว่าใครเป็นคนทำ เขาต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นิทานรีบกดโทรหารามิลทันที ในขณะที่ไอศูรย์กำลังขับรถ และรามิลกำลังระบายยิ้มแห่งความสุข เขากดรับโทรศัพท์อย่างใจเย็น
“นายรู้เรื่องรูปที่ส่งมาในเมลล์ฉันหรือเปล่า เป็นฝีพวกนายใช่ไหม!”
[ครับ ท่านประธานรู้ได้ยังไง]
นิทานตัวสั่น หายใจไม่ออกในขณะที่กำลังนั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียง เหงื่อไหลซึมเต็มใบหน้า
“นายโกหกฉัน นายบอกว่าจะไม่ถ่ายฉันไง แล้วรูปพวกนั้นมันมาได้ยังไง”
[ผมก็ไม่ได้เอามาจากกล้องที่จะถ่ายท่านประธานเสียหน่อย]
รามิลตอบหน้าตาย ใบหน้ายิ้มแย้ม ไอศูรย์ระบายยิ้มตาม
“มันหมายความว่ายังไง!!!”
[มันเป็นรูปจากกล้องวงจรปิดน่ะครับ เผื่อท่านประธานอยากได้ ผมเลยส่งให้ แต่ถ้าท่านประธานอยากได้เป็นคลิป ผมก็ส่งให้ได้นะครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์…ของพวกเราสามคน]
สิ้นเสียงรามิล นิทานก็เหมือนกับคนหูอื้อ น้ำตาไหลไม่หยุด หัวใจเขาเหมือนหยุดเต้น ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สมองเหมือนว่าคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว นอกจากคำว่า จะทำอย่างไรดี เขาจะทำยังไง
“พวกนายมันชั่วที่สุด พวกนายส่งรูปพวกนั้นให้ฉันได้ยังไง สารเลว เลวที่สุด”
นิทานด่าเสียงสั่น เขายกมือเช็ดน้ำตา แต่รามิลกับหัวเราะเบาๆในลำคอ
[ผมว่าท่านประธานน่าจะดีใจมากกว่านะครับ ที่มีผมเป็นคนส่งไป เพราะถ้าเป็นคนอื่นส่ง อาจจะเรื่องใหญ่โตมากกว่านี้ก็ได้ ยังไงซะ มันก็คือความลับระหว่างเราสามคนอยู่แล้ว…หรือว่าท่านประธานอยากให้คนอื่นรู้ด้วยครับ]
“ไม่!!! ไม่ได้นะ ไม่ได้ นายจะทำแบบนั้นไม่ได้”
เขาปล่อยโฮออกมาอย่างหวาดกลัว เขาจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้ นิทานยกมือปิดหน้าตัวเอง ทำไมเขาต้องมาพบเจอกับคนเลวๆแบบนี้ด้วย
“พวกนายต้องการอะไร ก็บอกมาสิ ต้องการอะไรก็บอกมา เงินเหรอ หรือว่าอะไร ตำแหน่งงั้นเหรอ อะไรล่ะ บอกมาสิ! แต่อย่าทำกับฉันแบบนี้”
[เปล่านี่ครับ]
“หมายความว่ายังไง”
[พวกเราก็แค่หวังว่าจากนี้ท่านประธานคงไม่ไล่พวกเราออก]
ไม่…ยังไงนิทานก็ไม่อาจจะโง่พอเก็บคนเลวไว้ข้างตัว เขาไม่อาจจะเชื่อใจคนพวกนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“ฉันขอร้องล่ะ เลิกยุ่งกับฉันเถอะ ถ้าพวกนายอยากได้เงิน ฉันจะให้ แต่ฉันให้นายทำงานกับฉันอีกไม่ได้ ฉันอยากให้พวกเราจบกันแค่นี้ ฉันจะไม่เอาเรื่องพวกนาย แต่พวกนายต้องลบคลิป และภาพทุกอย่างทิ้งให้หมด นะ…ฉันขอร้อง”
นิทานพยายามกลั่นกรองคำพูด พร้อมกับคิดอย่างหนักอึ้งเมื่อกล่าวออกไป ในขณะที่รามิลยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตากลับฉายแววร้ายกาจอย่างเต็มที่
[ขอโทษจริงๆนะครับประธาน แต่ผมกับไอศูรย์ไม่ได้ต้องการของพวกนั้นเลย]
“แล้วพวกนายต้องการอะไร!”
นิทานถามกลับไปอย่างรวดเร็วและเสียงดัง ไอศูรย์และรามิลมองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดออกมาพร้อมกันจนนิทานได้ยิน กับประโยคที่ว่า…
[ต้องการคุณ]
100%
รู้สึกสงสารนิทาน
แต่เรื่องราวยังต้องดำเนินต่อไป สู้ๆ กับเลขาทั้งสอง
ฝากเพจด้วยจ้า
https://www.facebook.com/akikoneko17fiction/