คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๘
ก่อนที่ชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะกลับบ้านนั้นพระชายาของเขาก็ต้องกลับบ้านก่อน
คืนนั้นซูฮวาไม่ได้ค้างที่วังของจินเยว่ หลังจากทำใจเรื่องท่านอาจารย์รับตนเป็นศิษย์เพราะหลงใหลความงามของตนแบบคิดเองเออเองเสร็จแล้วซูฮวาก็ออกมากล่าวลาเจ้าของบ้านและจากไปโดยไม่ได้มองหน้าหยางจินอีกเลย
คนงามก็มีความเจ็บปวดของคนงาม
ในคืนวันนั้นซูฮวานอนไม่ค่อยหลับ แม้ว่าจะวางใจไปได้เปลาะหนึ่งเพราะจินเยว่บอกว่าจะช่วยแถมดูสบายใจจนซูฮวาเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายต้องช่วยตนได้แน่ๆ แต่พระชายาน้อยก็ยังคงวนเวียนความคิดอยู่ที่ท่านอาจารย์
“ข้าอยากให้ท่านเป็นอาจารย์ของข้าจริงๆ นะ” ตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้มาสิบหกปีซูฮวาไม่เคยมีใครที่สามารถนับถือเป็นอาจารย์มาก่อน มีเพียงหยางจินเท่านั้นที่ไม่มัวพะวงว่าตนเป็นถึงลูกเจ้าเมืองหรือพระชายา มีแค่หยางจินที่สอนวิชาดาบให้โดยไม่แบ่งแยกหรือดูแคลนตน
“ท่านอาจารย์... ท่านก็ดูไม่เหมือนคิดเกินเลยกับข้าเลย แล้วทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนั้น” เพราะค้างคาใจเช่นนี้ทำให้ร่างบางนอนคิดวนไปวนมาอยู่ตลอดคืน
กระทั่งพระอาทิตย์จวนจะขึ้นมู่ซูฮวาถึงนอนหลับ แต่ก็นอนหลับได้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นหลี่หมิงก็เข้ามาปลุกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ความจริงเธออยากให้ซูฮวานอนพักผ่อนมากกว่า แต่เธอกลัวว่าพระมเหสีจะเสด็จมาก่อนเวลาทางที่ดีพระชายาน้อยควรเตรียมตัวให้พร้อม
“จะว่าไปตั้งแต่แต่งกับชินอ๋องมาข้าก็ไม่ได้เข้าไปถวายพระพรพระมเหสีอีกเลย พระนางต้องโกรธแน่ๆ” เพราะเคยเข้าไปแล้วโดนแกล้งจนต้องแสร้งเป็นลมซูฮวาเลยเข็ดจนไม่ย่างกรายเข้าไปในวังอีกเลย
หลี่หมิงที่ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เจ้านายอยู่ด้านหลังเองก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน นางสุดแสนจะเป็นห่วงพระชายาผู้ไม่ได้เรื่องของนางอย่างยิ่ง วันนี้นอกจากพระมเหสีจางแล้วก็ยังมีบรรดาขุนนาง ฮูหยินของเหล่าขุนนาง รวมไปถึงพวก เฉินซื่อเข้าร่วมงานด้วย เรียกว่ามีแต่ศัตรูไม่มีมิตร
“ไม่รู้ว่าเทียนชินอ๋องจะมากี่ยามนะเพคะ” จินเยว่นับเป็นมิตรเพียงคนเดียวในงานแล้ว
“ความจริงพระชายาไม่ควรต้องมานั่งรับมือเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ขอเพียงมีหานชินอ๋องอยู่ด้วยเรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว” นี่นับเป็นครั้งแรกที่ หลี่หมิงพาดพิงถึงพระสวามีของผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ้าอย่าลืมความยินดีของพวกเราตอนข้าเข้าเรือนหอคืนแรกไปเสียสิ ตอนนั้นพวกเรากล่าวขอบคุณฟ้าดินที่เขาไม่ยอมกลับวังอ๋อง ยามนี้เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม พวกเราเองก็จะเอาแต่ได้ไม่ได้” ซูฮวากล่าวสั่งสอนบ่าว
หลี่หมิงขานรับด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
และทันใดนั้นเองที่หน้าประตูห้องนอนของซูฮวาก็ปรากฏร่างของแขกไม่ได้รับเชิญ เฉินซื่อในชุดสีชมพูแจ่มสดสวมเครื่องประดับมากมายจนมองแล้วตาลาย ใบหน้าประโคมด้วยเครื่องสำอางจนซูฮวาแอบคิดว่ามากเกินไปหน่อย กรีดกรายเดินเข้ามาในห้อง
เห็นนางวางมาดประหนึ่งว่าวันนี้นางจะได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาแล้วซูฮวาก็ได้แต่กลอกสายตา
สตรีนางนี้โลกแคบเกินไป วางเป้าหมายชีวิตไว้เพียงแค่ตำแหน่งเมียเอกราวกับว่านั่นคือตำแหน่งที่สูงส่งล้ำค่า
“หม่อมฉันถวายพระพรพระชายาเพคะ” เฉินซื่อย่อกายอย่างมีจริต
“เจ้าแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นนกยูงเลยนะ ฮะๆๆ” ซูฮวาตอบเสียงเจื้อยแจ้ว
“แหม พระชายากล่าวชมหม่อมฉันเกินไปแล้ว ไม่ว่าหม่อมฉันจะพยายามขนาดไหนก็สู้พระชายาที่สวมชุดธรรมดา มัดรวบผมขึ้นไปอย่างธรรมดาไม่ได้หรอกเพคะ” ฟังครั้งแรกเหมือนเฉินซื่อกำลังกล่าวชมแต่ความจริงแล้วนางกำลังจิกกัดซูฮวาที่เลือกแต่งชุดสีขาวฟ้าพื้นๆ ส่วนทรงผมก็แค่ถักเปียเส้นเล็กสองเส้นแล้วมัดม้วนเป็นรูปดอกไม้ดอกเล็กๆ ส่วนผมที่เหลือก็ปล่อยยาวสยาย
“เมื่อคืนหม่อมฉันไต่สวนบ่าวรับใช้ที่ติดตามพระชายาออกไปยังป่าไผ่ได้ความว่าท่านกับชายแซ่หยางมีความสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์จริง เห็นทีวันนี้หม่อมฉันคงต้องถือโอกาสกราบทูลพระมเหสีแล้ว” สิ้นคำของเฉินซื่อใบหน้าของซูฮวาก็ฉาบด้วยความหมองคล้ำทันที
ไม่พูดถึงก็แล้วไปแต่พอพูดถึงซูฮวาก็แอบเครียดเล็กๆ
เฉินซื่อจากไปแล้วร่างบางก็ทำผมเสร็จพอดี ซูฮวานำหลี่หมิงมาที่หน้าวัง ร่างบางเดินกระสับกระส่ายชะเง้อคอมองออกไปนอกประตูเพื่อดูว่าเทียนชินอ๋องสหายรักมาหรือยัง “เจ้าคิดว่าจินเยว่จะช่วยข้าได้จริงหรือ”
“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพคะ” บอกตามตรงว่าหลี่หมิงมองไม่เห็นทางที่จินเยว่จะช่วยซูฮวาได้เลย ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะยังเอาตัวเองแทบไม่รอดด้วยซ้ำ แต่กลับมั่นอกมั่นใจว่าตนสามารถแก้ปัญหาให้ซูฮวาได้แน่ๆ
“โอ๊ะ...” ร่างบางร้องโอ๊ะออกมาเมื่อเห็นเกี้ยวตัวเข้ามาใกล้ประตูวัง แต่เมื่อรถม้าจอดเทียบท่าซูฮวาก็ต้องหุบยิ้มเพราะคนที่ลงมาไม่ใช่จินเยว่แต่เป็นใต้เท้าเฉิน บิดาของเฉินซื่อ!
ใต้เท้าเฉินทำความเคารพพระชายาตามพิธี ท่าทางขอไปทีของเขานั้นแม้ดูขัดตาแต่ซูฮวาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเรื่องที่ซูฮวาแอบออกไปพบชายชู้คงไปถึงหูของอีกฝ่ายแล้ว
แล้วหลังจากนั้นเกี้ยวอีกหลายคันก็ทยอยเข้ามาจอด สร้างความแปลกใจแก่ซูฮวานิดหน่อยเพราะดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจมากันก่อนเวลา เรื่องเวลาเริ่มงานไม่น่าจะโกหกเพราะบ่าวในวังตอนนี้วิ่งเตรียมการกันหัวหมุนแสดงให้เห็นว่าเตรียมอาหารไม่ทัน
งานดื่มชาชมดอกไม้ย่อมต้องจัดขึ้นในสวน หากจัดในเรือนก็คงไม่รู้จะชมดอกไม้กันอย่างไร แม้ว่าฤดูนี้จะไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้บานแต่คนของวังชินอ๋องก็มานะพากเพียรในการหาซื้อพันธุ์ไม้ที่ออกดอกในช่วงนี้มาประดับไว้จนในสวนเริ่มมีสีสัน
งานเลี้ยงในครานี้จะปูเสื่อและตั้งโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางสำรับอาหารส่วนตัวของใครของมันเอาไว้ ทุกคนที่มาร่วมงานจึงต้องนั่งกับพื้นโดยที่นั่งตำแหน่งประธานตกเป็นของพระมเหสี และซูฮวาที่มียศรองลงมาได้นั่งทางด้านขวามือของพระนาง
เมื่อเห็นว่าแขกเริ่มมากันเยอะแล้วในฐานะที่มีศักดิ์สูงสุดในวังแห่งนี้ซูฮวาจึงไม่อาจรั้งรออยู่ที่หน้าประตูได้อีกต่อไป ร่างบางเดินหน้าซึมไปยังสวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ แห่งนี้ แล้วพอซูฮวาปรากฏตัวในงานเท่านั้นแหละ บรรดาใต้เท้าก็ผละจากฮูหยินที่พามาด้วยเข้ามารุมล้อมซูฮวาเป็นทิวแถว
“เมื่อครู่เจอพระชายาที่หน้าประตูไม่มีโอกาสได้มองหน้าชัดๆ กระหม่อมได้ยินคำร่ำลือมานานไม่คิดว่าจะงามถึงเพียงนี้” ขุนนางร่างอ้วนคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยแววตากะลิ้มกะเหลี่ย
ร่างบางสืบเท้าถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง “ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”
“ไม่เกินแม้แต่น้อย” ขุนนางทหารอีกท่านหนึ่งรีบเสนอหน้าออกมา “หากไม่ติดว่าพระองค์ทรงเป็นพระชายาในหานชินอ๋องป่านนี้กระหม่อมคงมาสู่ขอพระองค์แล้ว”
“ฮ่าๆๆ พอท่านพูดถึงหานชินอ๋องข้าก็นึกขึ้นได้ ข่าวลือที่เขาไม่ยอมรับท่านและไม่ยอมกลับวังเลยเป็นจริงหรือไม่” คราวนี้คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันพูดถึงเรื่องที่ซูฮวาโดนพระสวามีรังเกียจกันยกใหญ่
“อยู่ที่นี่คนเดียวพระชายาคงเหงาน่าดู” ใต้เท้าท่านหนึ่งกล่าว
“แต่งได้ก็หย่าได้ เหตุใดท่านถึงยังทนอยู่ที่นี่อีกเล่า” ใต้เท้าอีกคนหนึ่งเสริม
“แม้ท่านจะเคยแต่งงานมาก่อนแต่ข้าเชื่อว่าบุรุษทั้งแผ่นดินยังยินดีรับท่านเป็นภรรยา พระชายาไม่ลองมองหาจวนใหม่เป็นที่พักใจเล่า” ใต้เท้าอีกท่านพูดออกมาอย่างไม่กลัวตาย
“พวกท่านจะมากไปแล้วนะ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีพวกมากส่วนตนเองหัวเดียวกระเทียมลีบร่างบางจึงยอมทนฟังอยู่ได้ตั้งนานแต่พูดไปพูดมา ใต้เท้าพวกนี้กลับยิ่งจาบจ้วงไร้มารยาทขึ้นเรื่อยๆ
“จะชั่วดียังไงข้าก็เป็นถึงพระชายาของหานชินอ๋อง พวกท่าน...จะกล่าววาจาอันใดก็ควรให้เกียรติกันด้วย!”
“คนที่ไม่ให้เกียรติหานชินอ๋องก่อนก็คือท่านไม่ใช่หรือ ข้าเตือนท่านเรื่องที่ท่านแอบคบหากับชายชู้แล้วแต่ท่านกลับหนังหนาหน้าด้านปฏิบัติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” ถึงคราวเฉินซื่อออกโรง นางเดินอาดๆ เข้ามานำทัพเหล่าใต้เท้า
ซูฮวาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ใต้เท้าพวกนี้ล้วนเป็นสหายของใต้เท้าเฉินบิดาของเฉินซื่อนี่เอง ส่วนใต้เท้าคนอื่นที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับใต้เท้าเฉินตอนนี้ต่างพากันมองมายังกลุ่มของพระชายาที่กำลังมีข้อพิพาทกันอยู่
ทันทีที่คำว่าชายชู้ถูกโยนเข้ามาในบทสนทนาทุกคนในที่นี้ก็พากันแตกตื่น ความโกลาหลขนาดย่อมมาในรูปแบบของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บางคนก็ไม่เชื่อแต่มีอีกหลายคนที่เห็นว่าเป็นไปได้เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพระชายาไม่มีโอกาสปรนนิบัติหานชินอ๋องเลย
แล้วซูฮวาก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสีอีกครั้งเพราะคราวนี้ไม่ได้มีเพียงบรรดาใต้เท้าและฮูหยินเท่านั้นที่มาก่อนเวลาเริ่มงาน “พระมเหสีเสด็จ!!”
“โอ๊ย จะรีบมาทำไมขนาดนี้นะ!” มือเรียวยกขึ้นกุมหัวตนเอง
ดูก็รู้ว่าที่พวกใต้เท้าทั้งหลายเพื่อนของใต้เท้าเฉินแห่มาก่อนเวลาก็เพราะอยากรุมโจมตีใส่ไข่ซูฮวาล่วงหน้า หลอกชักจูงใต้เท้าคนอื่นๆ ที่บังเอิญมาก่อนเวลาให้คล้อยตาม เมื่อพระมเหสีเสด็จมาใต้เท้าเฉินก็จะมีขุมกำลังมหาศาลบีบบี้ขยี้ขยำซูฮวาจนเละในพริบตา
“ถวายพระพรพระมเหสี ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพจิตใจไหนทุกคนก็รีบหันมาถวายบังคมมารดาแห่งแผ่นดิน ผู้นานๆ ครั้งจะเสด็จออกจากวัง
พระมเหสีจางนั้นเป็นสตรีวัยสี่สิบกลางๆ แม้จะมีริ้วรอยให้เห็น รูปร่างเองก็เริ่มอวบแล้วแต่ทว่าพระนางก็ยังมีเค้าลางแห่งความงามเหลือให้เห็น
พระนางยกมือให้ทุกคนลุกขึ้นก่อนจะตวัดสายตาเย็นชามามองซูฮวาที่ก้มหน้ายืนตัวลีบอยู่
มารดาแห่งแผ่นดินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้ แม้ว่าซูฮวาจะพยายามเข้าไปชวนคุย ทว่าพระนางกลับเพิกเฉยไม่ตอบรับใดๆ สุดท้ายซูฮวาจึงได้แต่เดินนำพระนางไปประทับยังที่นั่งที่คนของวังชินอ๋องจัดเตรียมเอาไว้
“พระชายา” หลังจากพระมเหสีจางนั่งที่แล้วพระนางก็หันมาหาซูฮวาซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านขวามือของพระนาง
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามีของให้เจ้า” ทีแรกพระนางแสดงออกอย่างเย็นชาแต่ยามนี้กลับจะพระราชทานของขวัญ
ใจดวงน้อยของพระชายาฟูฟ่องราวกับลิงโลด หลงนึกดีใจว่าแม่สามีผู้นี้ไม่ได้ใจร้ายกับตนนัก แต่เมื่อนางกำนัลส่วนพระองค์นำของขวัญที่พระนางเตรียมมามอบให้แก่ซูฮวา ทั่วทั้งสวนดอกไม้ก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุม
ของในมือของซูฮวาคือหน้ากากสีขาวปราศจากลวดลาย มีช่องสายตาสองช่องพอให้มองลอดออกมา
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ นี่คือ...” ร่างบางเสียงสั่น
“ตลอดงานเลี้ยงขอให้เจ้าใส่ไว้ ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า” พระมเหสีกล่าว
ทั่วทั้งร่างของซูฮวาชาราวกับโดนฟ้าผ่าใส่ชุดใหญ่ ร่างบางค่อยๆ ยกเจ้าหน้ากากไร้ลวดลายขึ้นมาใส่อย่างไม่อาจขัดขืน พระชายาน้อยได้แต่ถามกับตัวเองในใจว่าในเมื่อไม่อยากเห็นหน้าข้าแล้วท่านจะมาบ้านข้าเพื่ออะไร
“เชิญใต้เท้าทุกท่านตามสบาย งานเลี้ยงในวันนี้ข้าจัดขึ้นเพื่อฉลองให้ หานชินอ๋องและพระชายา แทนคำอวยพรให้พวกเขาครองรักกันตราบชั่วนิรันดร์” น้ำเสียงของสตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เคลือบแฝงด้วยแววจิกกัดไม่แพ้ยามเฉินซื่อสนทนากับซูฮวา
ใต้เท้าทุกท่านรีบยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเพื่อเอาใจพระมเหสี จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างดื่มกินและสนทนาเรื่องสัพเพเหระขณะฟังคณะนักดนตรีบรรเลงบทเพลงกันอย่างมีความสุข เหลือเพียงแค่ซูฮวาที่ไม่อาจดื่มกินอะไรได้เนื่องจากสวมหน้ากากอยู่
ร่างบางทำได้เพียงนั่งตัวตรงอยู่กับที่
ไม่มีใครเข้ามาชวนคุย และไม่อาจกินอะไรได้
งานเลี้ยงแบบนี้จะเรียกว่างานเลี้ยงได้ยังไง
คุณชายน้อยแห่งสกุลมู่ที่เกิดมาท่ามกลางความรักของบิดามารดา ได้รับความเอ็นดูจากพี่ชายทั้งสอง และมีชาวเมืองคอยให้ท้ายมาตลอดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพิ่งเคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
และสถานการณ์ที่ว่าเลวร้ายแล้วกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเก่าเมื่อเฉินซื่อกับบิดาเดินออกมาข้างหน้า นางสั่งคนให้ไปรวบรวมบ่าวไพร่ทั้งหมดในวังชินอ๋องมารวมกันเพื่อเตรียมการแฉพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพระชายา
“กราบทูลพระมเหสี ธิดาของกระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบทูล พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเฉินเปิดประเด็น
“เรื่องสำคัญอันใดที่ทำให้เจ้าลุกออกมาขัดงานเลี้ยงอันรื่นเริงเช่นนี้กัน หืม?” พระมเหสีถาม
ฝ่ามือของซูฮวาชื้นเหงื่อทันที มือบางจิกเล็บลงกับต้นขา ร่างกายตื่นเกร็งจนสติแทบแตก
“หลังจากแต่งเข้าวังหานชินอ๋องแล้วพระชายามู่กลับไม่รู้จักพอ แอบออกไปพานพบชายชู้ในป่าไผ่ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ฟังดังนั้นพระมเหสีก็มีสีหน้าตกใจถึงขีดสุด ดวงตาของนางวาวโรจน์ขณะหันกลับมามองซูฮวาซึ่งนั่งเหงื่อแตกอยู่เงียบๆ พระนางทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาจิกหัวซูฮวาตบโดยที่เฉินซื่อไม่ต้องเรียกข้ารับใช้ออกมาเป็นพยานด้วยซ้ำ
“บังอาจนัก! กล้าดียังไง” พระมเหสีตวาดเสียงดัง ซูฮวาได้แต่หดคอลงด้วยความหวาดกลัว
“กระหม่อมถูกใส่ร้าย” สิ่งเดียวที่ซูฮวาสามารถทำได้ก็คือปฏิเสธข้อกล่าวหา
แต่พระมเหสีไม่สนใจฟังอะไรแล้ว พระนางลุกขึ้นมากระชากแขนของ พระชายาน้อยซึ่งถูกบังคับให้สวมหน้ากากอยู่ลุกขึ้นยืน
ซูฮวาตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำ ใบหน้าที่ถูกหน้ากากสีขาวปิดซ่อนเอาไว้อาบไปด้วยน้ำตา “กระหม่อมถูกใส่ร้าย! เฉินซื่ออิจฉากระหม่อมนางเลยพยายามปรักปรำกระหม่อม! เรื่องนี้เทียนชินอ๋องเป็นพยานได้”
ซูฮวาแทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อพูดถึงเทียนชินอ๋อง
ทุกคนมาก่อนเวลานัดได้แล้วทำไมเทียนชินอ๋องมาก่อนเวลาบ้างไม่ได้ เหลือเวลาอีกสองเค่อกว่าจะถึงเวลาเริ่มงานจริงๆ ไม่ใช่ว่าเทียนชินอ๋องจะมาเอาตอนนั้นเลยล่ะ ป่านนั้นซูฮวาได้โดนโบยจนขาดใจไปแล้วแน่ๆ
แต่พอได้ยินซูฮวาแก้ตัวพระมเหสีก็สงบลง นางปล่อยมือที่บีบแขนของร่างบางเอาไว้ก่อนหันไปหาสองพ่อลูก เฉินซื่อสบโอกาสรีบเสนอหน้าออกมาทันควัน “เรื่องนี้บ่าวรับใช้ในวังสามารถเป็นพยานได้เพคะ พวกเขาล้วนเคยติดตามพระชายาออกไปพบชายชู้มาแล้วคนละครั้งถึงสองครั้ง”
คราวนี้พระมเหสีตวัดสายตาทิ่มแทงใส่ซูฮวาอีกครั้ง
“รอเทียนชินอ๋องมาก่อน” ซูฮวาได้แต่ยกชื่อท่านอ๋องน้อยผู้มีอำนาจเบาหวิวขึ้นมาคุ้มกะลาหัว
“ชายชู้ของเขาเป็นใครมาจากไหน” พระมเหสีจางหันไปถามเฉินซื่อ ดูเหมือนนางจะให้ความเชื่อถือฮูหยินมากกว่าพระชายาแล้วด้วยความที่ชังน้ำหน้าซูฮวาเป็นทุนเดิม
“พวกบ่าวรับใช้ต่างไม่ทราบว่าเขาเป็นใครแต่ได้ยินมาว่ามีใบหน้าหล่อเหลาคมคายมากเพคะ คาดว่าพระชายาคงหวั่นไหวไปกับรูปลักษณ์ของเขา” เฉินซื่อตอบ
“หึ ข้าชักจะอยากเห็นแล้วสิว่าบุรุษผู้นั้นจะหล่อเหลาปานใดถึงได้ทำให้ภรรยาคนหนึ่งอาจหาญนอกใจสามีคบชู้สู่ชายอย่างไร้ยางอาย!” พระมเหสีตวาดพลางผลักซูฮวาที่ยืนหน้าสั่นอยู่ด้านข้าง
ร่างบางแทบหน้าทิ่ม โชคดีที่พวกหลี่หมิงวิ่งเข้ามารับไว้ทัน ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองกอดเจ้านายของตนเองเอาไว้แน่น พยายามคุกเข่าขอความเป็นธรรมจากพระมเหสีแต่ดูเหมือนความอาฆาตจะครอบงำจิตใจของพระนางไปแล้ว
“เอาตัวพระชายาไปโบยที่หน้าประตูวังอ๋องจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด!”
“ได้โปรดรอจนกว่าเทียนชินอ๋องจะมาเถอะ!” ซูฮวาร้องลั่น กอดหลี่หมิงเอาไว้แน่นขณะที่คนของพระมเหสีเข้ามาฉุดกระชากร่างบาง “ข้าไม่ได้คบชู้จริงๆ! ข้าไม่เคยนอกใจหานชินอ๋องสักครั้ง แม้แต่ในฝันก็ไม่เคย!”
ทว่าเสียงของซูฮวากลับส่งไปไม่ถึงใครทั้งสิ้น พระนางหันมาซักเฉินซื่ออีกว่า “เจ้าสามารถลากคอชายชู้คนนั้นมาให้ข้าดูน้ำหน้าได้หรือไม่”
“เพคะ” เฉินซื่อรีบเอาใจมารดาแห่งแผ่นดินโดยไม่ต้องคิด นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าหากนางทำงานชิ้นนี้สำเร็จละก็ นางต้องได้เป็นพระชายาคนใหม่ของ หานชินอ๋องแน่นอน
“ไม่ต้องถึงมือนางหรอก ข้าพาชายคนที่พวกท่านว่ามาแล้ว ฮะๆๆ” และท่ามกลางความโกลาหลนั่นเองเสียงของจินเยว่ก็ดังขึ้น
-----------------------------
ตอนนี้ไม่รู้จะเครียดหรือจะฮาดีนะคะ แต่ละคน ไม่ดูตามาตาเรืออะไรทิ้งสิ้น 5555
#มาลาสุราลัย