INTRO
เสืออู๋รู้สึกพลาด
นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาอย่างไม่น่าให้อภัย และเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง
“ข่าวด่วน!!! โจรหนวดหนาออกอาละวาด กวาดขโมยทรัพย์สินจากบ้านเศรษฐีย่านรัชดา มูลค่าความเสียหายกว่าสิบล้านบาท คาดว่าเป็นคนๆ เดียวกับที่ก่อคดีปล้นบ้านเหล่าเศรษฐีในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา หากผู้ใดพบเห็นโจรผู้นี้โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยค่ะ!”เมื่อครู่ตอนเดินผ่านร้านเหล้า เขาบังเอิญเห็นภาพถ่ายใบหน้าของตัวเองชัดแจ๋วระดับ Full HD 1080p ในรายการข่าวสั้นทันด่วน...พยานซึ่งเป็นสาวใช้ให้การแก่ตำรวจว่าผู้ร้ายปล้นบ้านเป็นชายฉกรรจ์ไม่ทราบอายุ สูงเกือบสองเมตรจนทีแรกหล่อนนึกว่าเป็นเปรตไม่ใช่มนุษย์ ผิวขาวสว่างไม่รู้เอเชียหรือฝรั่ง รูปร่างใหญ่โตบึกบึนเหมือนควายป่าผสมหมีกริซลีย์ ไว้หนวดเคราดกดำครึ้มกินพื้นที่เกือบครึ่งใบหน้าช่วงล่างลามลงไปถึงลำคอ เมื่อได้รับแจ้งตำรวจก็ดำเนินการค้นหาตัวผู้ร้ายทันที
เสือหนุ่มแอบชื่นชมพวกเจ้าหน้าที่ชุดสีน้ำตาลเข้มอยู่ในใจ...ไม่ใช่เพราะความกระตือรืนร้นค้นหาตัวเขาไวเหมือนติดจรวดต่างจากคดีอื่นๆ หรอก แต่เป็นความประจบประแจงเก่งต่างหาก
แหม...นี่ถ้าผู้เคราะห์ร้ายไม่ใช่คุณนายไฮโซเจ้าของทรงผมกระบังลมโป่งพองอันลือลั่นที่ขยันออกรายการบางกอกกระซิบทุกเทปแล้วล่ะก็ มีหรือที่คุณตำรวจกับสื่อมวลชนทั้งหลายจะสนใจ เขาพลาดเองแท้ๆ ที่ไปแหย่หนวดเสือเข้าซะได้ แถมพอข่าวออกก็มีผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายรายติดต่อมาที่สน. ว่าถูกโจรรูปพรรณสัณฐานคล้ายกันนี้ปล้นในระยะหกเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย
เออวะ ให้มันได้อย่างนี้สิ ซวยซ้ำซวยซ้อนฉิบหายแต่ข้าไม่ยอมให้พวกเอ็งจับง่ายๆ หรอกโว้ย! เมื่อคิดว่ามาหนีมาได้ไกลแล้ว เขาก็หยุดพักใต้ต้นไม้หลังอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่งที่ผู้อาศัยปิดไฟเข้านอนกันเกือบทุกห้องแล้ว ก่อนจะเปิดกระสอบดูข้างในสำรวจว่าได้อะไรมาบ้าง ปรากฏว่ามีสร้อยคอทองคำเส้นเท่านิ้วโป้งสามเส้น แหวนเพชรเม็ดเป้งสองวง กำไลทับทิมหนึ่งวง กับเงินสดอีกหนึ่งปึก คาดคะเนโดยสายตาน่าจะประมาณสิบล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความร่ำรวยชนิดนอนตีพุงถลุงเงินไปวันๆ ยันทายาทรุ่นที่สิบก็ไม่หมดของคุณนายผู้เป็นเจ้าทรัพย์
เสียดายว่ะ ได้นิดเดียว ถ้าไม่ติดว่านังคนใช้ต่างด้าวเสือกเข้ามาเจอซะก่อนคงกวาดได้เยอะกว่านี้ชายหนุ่มเม้มปาก คิ้วหนาดกเข้มขมวดเข้าหากันเป็นรอยย่น มือลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราอย่างเคร่งเครียดขณะใช้ความคิด เส้นตายของเขางวดใกล้เข้ามาทุกที แต่ทรัพย์สินที่ขโมยมาได้ยังไม่ถึงครึ่งของที่ต้องการด้วยซ้ำ แล้วจะทำยังไงดี?
ทันใดนั้นเองโจรอู๋ก็เห็นแสงสว่าง...เป็นแสงจากเบื้องบนส่องประกายในความมืดมิด สำหรับเขามันเหมือนแสงสุดท้ายจากปลายอุโมงค์
แสงจากทีวีเล็ดลอดออกมาจากห้องๆ หนึ่งบนชั้นสาม
ริมฝีปากเบื้องหลังหนวดเครายาวเฟิ้มกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเกิดจากความหวัง เขานั่งลงกับพื้น ดวงตาจ้องมองประตูหลังห้องนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
รอจนกว่ามันดับไฟ... แล้วจะเข้าไปขโมยทีวี
“ตัวเอง มาทำกันเถอะ”
คนร่างเล็กสะกิดแขนคนตัวใหญ่กว่าที่นอนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แต่อีกคนกลับมีท่าทีแตกต่าง พอถูกสะกิดก็ทำท่าเบื่อหน่ายแล้วพลิกตัวหันหลังให้
“ไม่เอาเหนื่อย วันนี้ของดละกัน”
“แต่เดือนนี้เรายังไม่ได้ทำสักครั้งเลยนะ...”
“แล้วไง”
“ตัวเองไม่รักเค้าแล้วเหรอ”
“เกี่ยวกันตรงไหน รักก็ส่วนรัก เซ็กส์ก็ส่วนเซ็กส์ พอละอย่าเซ้าซี้ จะนอน ปิดทีวีด้วย แสงแยงตา” ฝ่ายที่หันหลังพูดตัดบทแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปง เขยิบห่างออกไปจนชิดติดข้างฝา
คนตัวเล็กแววตาสั่นไหว... แต่ที่สั่นกว่าคือหัวใจ
หากมองเผินๆ เขาคงเป็นคนที่น่าอิจฉาคนหนึ่ง เพราะแฟนหนุ่มร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดยาวข้างกายคนนี้คือคนเดียวกับที่เพิ่งปรากฏตัวบนป้ายโฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์ดังกับนิตยสารแฟชั่นหลายฉบับ ชื่อของเขาคือ ‘เฟลม-เปรมประกิตติ์ ดุจเทวะ’ ชายหนุ่มผู้ใช้หน้าตาหล่อเหลาเป็นใบเบิกทางสู่วงการบันเทิงที่ใฝ่ฝันโดยเริ่มจากการเป็นเน็ตไอดอลรีวิวครีมก๊อกแก๊กในโซเชียล ก่อนจะมีคนเห็นแววความหล่อออร่าสไตล์โอปป้าเกาหลีชักชวนเข้าวงการอย่างเป็นทางการ
แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังสุดหล่อคนนี้มีแฟนเป็นผู้ชาย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่รักแฟน เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดเผย เพราะกลัวกระทบกับงานที่กำลังเรืองรุ่งพุ่งทะยานแค่นั้นเอง
“ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนเฟลม ที่นายเย็นชาแบบนี้เพราะ กำลังนอกใจเราใช่ไหม”
ตัวเล็กเขย่าตัวคนที่อยู่ในม้วนผ้าห่ม สรรพนามเปลี่ยนจากโหมดออดอ้อนเป็นโหมดจริงจัง อีกทั้งคำพูดตัดพ้อก็ทำให้อีกคนถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อย่ามาหาเรื่องกันนะแสงเทียน!”
“ก็นายเปลี่ยนไปอย่างนี้ จะให้คิดว่าไงล่ะ!”
พอถูกตะคอกใส่ แสงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระชากเสียงตอบกลับบ้าง ไม่ต่างกับการราดน้ำมันเข้ากองไฟที่อยู่ในตัวทั้งสองคน เฟลมคือเปลวไฟที่โหมแรงสมชื่อ ส่วนแสงเทียนก็รุ่มร้อนเช่นกัน ถึงจะมีอานุภาพน้อยกว่า แต่ยังไงก็คือไฟ ปะทะกันทีไรก็มีแต่เผาไหม้กันจนพังพินาศ
ทั้งคู่รู้นิสัยตัวเองดี ตลอดสามปีที่คบกันมาก็ทะเลาะกันบ้างประปราย แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมโอนอ่อนให้กันเสมอเพราะคำว่ารัก
ทว่าหลังจบปีสาม พ่อเปรมประกิตต์ก็ดรอปเรียนเอาดื้อๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากทำงานให้เต็มที่ซะก่อน ทำให้แสงเทียนผิดหวังและโมโหสุดๆ เพราะอีกแค่ปีเดียวก็จบแล้ว แม้เฟลมจะอ้างว่า ‘ไอดอลเกาหลีหลายคนก็ไม่เห็นจะจบมหา’ลัยกันเลย’ แสงเทียนไม่เถียงว่าหน้าตาแฟนตัวเองสูสีกับโอเซฮุนจริง แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีไหม? สองคนเลยมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น กองไฟที่สะสมในใจมานานก็เริ่มเล่นงานทั้งคู่จนนับวันก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ถ้าเปรียบความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นป่าสักผืน ป่านนี้ก็คงถูกเผาราบจนเหลือต้นไม้แค่สองสามต้นเท่านั้นล่ะมั้ง
ยิ่งช่วงนี้เฟลมกำลังดัง ก็ยิ่งมีเรื่องระแคะระคายเข้ามากวนใจแสงเทียนบ่อยเป็นเงาตามตัว ไหนจะเรื่องไม่มีเวลาให้, นิสัยเปลี่ยนไป, สังคมใหม่ๆ กับผู้คนมากมายที่พยายามกลืนกินแฟนเขา ยารักษาความสัมพันธ์ขนานเอกใดๆ ก็เยียวยาบาดแผลที่เริ่มลุกลามนี้ไม่ไหว
“เราเปล่านอกใจ! นายก็รู้ว่าวันๆ เราทำงานหนักแค่ไหน เราเครียด เหนื่อย ไม่มีอารมณ์ จบป้ะ!” เฟลมเถียง
“แล้วนายคิดว่าเราไม่เหนื่อยรึไง!”
“นายเรียนอย่างเดียวไม่เหนื่อยเท่าเราหรอก แล้วนายก็มีความต้องการมากเกินไปจนเราสนองให้ไม่ไหว หัดยับยั้งชั่งใจซะบ้าง ทำไม่ได้ก็ไปห้องน้ำนู่น” เฟลมพูดจบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่แสงเทียนรั้งตัวไว้
“อะไรอีก!” นายแบบหนุ่มตวาดอย่างคนสติขาด
“ตอนนายออกไปซื้อข้าวเย็น มีเบอร์แปลกโทรเข้าเครื่องนายด้วย”
“....” รูม่านตาของเฟลมขยายกว้างเหมือนแมวตกใจเมื่ออันตรายกำลังจะถึงตัว
“เขาบอกว่าชื่อมาร์ค เป็นนายแบบรุ่นพี่ในสังกัดกับนาย เราถามว่าโทรมาทำไม แต่เขาดันถามเรากลับว่าเราเป็นอะไรกับนาย ทำไมต้องยุ่ง” แสงเทียนจ้องหน้าเฟลมเขม็งเหมือนจะทะลุทะลวง “เขาไม่รู้เหรอว่านายมีแฟนแล้ว?”
“ไร้สาระน่า” เฟลมหลบตา สายตาวอกแวก
“นายนอกใจเรา!” แสงเทียนหยิบหมอนขว้างใส่ตัวแฟน
“ไม่ได้นอกใจ!” อีกฝ่ายขึ้นเสียง ทั้งโกรธทั้งละอาย
“แล้วทำไมไม่บอกคนอื่นว่าเราเป็นอะไรกัน!”
“อย่างี่เง่าได้ปะ เราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะ” เฟลมพยายามรักษาระดับเสียงไม่ให้ดังและรุนแรงกว่านี้ เพราะรู้ว่าอาจจบเห่ได้
“คุยหลายรอบ แต่ก็ไม่รู้เรื่องซักรอบ” แสงเทียนแขวะ “ตกลงกับมาร์คคือยังไง ตอบมาตรงๆ หรือจะให้เราโทรกลับไปถามเขาเอง”
คนพูดจ้องอีกฝ่ายเขม็ง จนคนถูกจ้องเหมือนโดนต้อนจนมุม
“เออก็ได้ เราไม่ปฏิเสธว่าคุยกับพี่เขาจริง แต่ก็เพราะเรื่องงาน ตอนนี้พี่เขาดังสุด งานเยอะสุด ส่วนเรามันเด็กใหม่ คบพี่เขาไว้เพราะผลประโยชน์แค่นั้น”
“คุยหรือว่านอนด้วยกันแน่ งานนายถึงได้แน่นขนาดนี้น่ะ”
“แสงเทียน!!!” เฟลมเงื้อกำปั้นขึ้นอย่างน่ากลัวจนอีกฝ่ายสะดุ้งตัวหดหลับตาปี๋ แต่นายแบบหนุ่มก็ลดกำปั้นลงแล้วลุกจากเตียง
“จะไปไหน” คนตัวเล็กถามตามหลัง
“ไปสงบสติอารมณ์ ขืนยังคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ เรากลัวทำนายเจ็บตัว”
เฟลมเก็บมือถือ กระเป๋าตังค์ สะพายเป้ออกไปจากห้องภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ก็เพื่อหลบหนีความผิดอันน่าละอาย ไม่ใช่สงบสติห่าเหวอะไรทั้งนั้น
เสียงประตูกระแทกบานพับอย่างแรงคือเสียงสุดท้ายที่แสงเทียนได้ยินจากแฟน ถัดจากนั้นร่างเล็กก็เอนตัวลงนอนหงาย ร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแฟนเขาจะไปไหน ก็ไปหาไอ้พี่มาร์คเหี้ยคนนั้นไง จะใครซะอีก
อุตส่าห์ระแวงพวกนางแบบสวยๆ เซ็กซี่ตั้งนาน ดันลืมไปว่าหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ นั่นแหละตัวดี
มันคงจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วสินะ สามปีที่คบกันมาคงไม่มีค่าถ้าเทียบกับเงินทอง ชื่อเสียง ความสบาย และผู้ชายโคตรหล่อที่กำลังถาโถมถล่มทลายเข้ามาในชีวิตของนาย สิ่งเหล่านั้นเป็นความต้องการของนายมาแสนนาน...สิ่งที่เราไม่สามารถเติมเต็มให้ได้แต่ถึงยังไง...เราก็ไม่อยากเลิกกับนายนะเฟลมเสืออู๋รออยู่ข้างล่างจนกระทั่งห้องนั้นเงียบ จากการแอบฟังคนในห้องน่าจะมีสองคน พวกเขาทะเลาะกันเสร็จแล้วคนหนึ่งก็ออกไปจากห้อง...หรือไม่ก็ออกไปทั้งคู่ ห้องจึงเงียบกริบ โทรทัศน์ก็ถูกปิดด้วย
แต่จะกี่คนช่างมัน อู๋ไม่สน อู๋จะเอาทีวี
ข้างตึกมีต้นมะขามต้นใหญ่เป็นสะพานชั้นดีให้เขาปีนขึ้นไปชั้นสามของตึกได้อย่างง่ายดาย ภายในเวลาไม่นานชายหนุ่มก็ก้าวมายืนอยู่ที่ระเบียง ประตูหลังห้องที่หมายปองเปิดอ้าราวกับต้อนรับการมาเยือน
หนุ่มหนวดเยอะใช้ฝีเท้าเบาราวกับตีนแมวก้าวเข้าไปในห้องที่มืดสนิท แต่นั่นไม่เป็นปัญหา สายตาของเขามองเห็นได้ดีในความมืดจากการทำงานโดยไร้แสงไฟจนชินชากว่าครึ่งปี สิ่งแรกที่สะดุดตาจอมโจรคือบางอย่างสีขาวๆ วางยาวอยู่บนเตียง เขายื่นหน้าไปพินิจพิเคราะห์ใกล้ๆ และพบว่ามันเป็นอะไรที่สวยงามมาก
มนุษย์ตัวเล็กบอบบาง ผิวขาวเนียนเรียบไร้ขน ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนตัดหน้าม้า ขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่งปลายเชิดรั้น ริมฝีปากเล็กๆ น่ารักจิ้มลิ้ม...เกือบคิดว่าเป็นผู้หญิง ถ้ามองไม่เห็นลูกกระเดือกซะก่อน
ผู้ชายบ้าอะไรสวยสัดขนาดนี้วะ...ราคาทีวีเครื่องละไม่ถึงหมื่น แต่คนๆ หนึ่งแถมสวยมากอาจขายได้ราคาสูงลิบ ไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยากก็รู้ว่าควรขโมยอะไร ไม่รอช้าชายหนุ่มเอาเชือกกับสก็อตเทปออกจากกระเป๋า
จับร่างเล็กขาวบางพับแขนพับขา
ปิดปากปิดตา
เอาเชือกมัด
ยัดใส่กระสอบ
แล้วหอบออกไปจากห้อง
ตุบ!!!ชายหนุ่มโยนกระสอบลงบนพุ่มไม้หนาที่อยู่ข้างล่างอย่างแม่นยำ สาเหตุที่ไม่แบกลงไปเนื่องจากกระสอบหนักอาจปีนต้นไม้ลำบาก ดีไม่ดีกิ่งจะหักเอา
ในตอนนั้นเองคนที่อยู่ในกระสอบเริ่มรู้สึกตัว แสงเทียนเจ็บระบมทั้งร่างเหมือนถูกโยนลงจากที่สูงกระแทกกับอะไรสักอย่างที่แหลมเหมือนเข็ม ตอนแรกนึกว่าฝันเพราะลืมตาแล้วเจอแต่ความมืด แต่พอออกแรงขยับตัวก็รู้ว่าไม่ใช่ มือสองข้างของเขาถูกมัดไพล่หลัง เท้าสองข้างถูกมัดติดกัน มีผ้าปิดตากับปิดปากแน่นสนิท ทำให้ไม่สามารถขยับตัวหรือส่งเสียงได้
ชัดเจน...
มันคือการลักพาตัว!!!!
แสงเทียนเดาว่าตัวเองอยู่ในถุงกระสอบฟางเพราะสัมผัสของมันสากๆ คันๆ จากนั้นถุงก็ถูกยกขึ้นสูง... หนุ่มน้อยตกใจสุดขีด คนที่ไหนจะแบกน้ำหนักตัวหกสิบกิโลของเขาได้อย่างสบายเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ผีหรือยักษ์!
หัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ทะเลาะกับเฟลมแล้วร้องไห้จนหลับทั้งที่ไม่ได้ปิดประตูห้อง ที่ทำอย่างนั้นเพราะเขาเป็นคนขี้ร้อน แถมแอร์ก็เสือกเสีย เลยต้องเปิดให้ลมพัดเข้ามา และด้วยความที่ห้องอยู่ตั้งชั้นสาม จึงมั่นใจว่าไม่มีมนุษย์ที่ไหนปีนขึ้นมาได้ หรือถ้าจะปีนต้นไม้ กิ่งที่ใกล้ที่สุดก็ห่างจากระเบียงตั้งเป็นเมตร คนธรรมดาไม่มีทางก้าวเข้ามาได้แน่... เว้นเสียแต่ว่าขายาวโคตรๆ
และเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ไอ้หัวขโมยก้าวไวมาก นั่นหมายถึงขาของมันยาวมากเช่นกัน มันเดินเร็วจนแสงเทียนจำไม่ได้ว่าเลี้ยวไปทิศทางใดบ้าง ผ่านไปเกือบสิบห้านาทีมันก็หยุดเดิน จากนั้นเขาก็ถูกวางลง ตามด้วยเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ แล้วรถก็แล่นออกไปด้วยความเร็วที่ทำให้คนในกระสอบหวาดเสียวเยี่ยวแทบราด
แสงเทียนกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน สักพักรถก็หยุดลง กระสอบถูกยกขึ้นอีกครั้ง มีเสียงไขกุญแจ... เสียงเปิดประตู... เสียงปิดประตู... หนุ่มน้อยรู้โดยลางสังหรณ์ว่าตนได้มาอยู่ในรังโจรเรียบร้อยแล้ว
โจรเดินขึ้นบันได ก่อนจะเปิดประตูอีกครั้งและโยนกระสอบลงกับพื้นซีเมนต์อย่างไร้ความปราณี เหมือนลืมไปแล้วว่ามีมนุษย์อยู่ข้างใน คนโดนลักพาตัวเจ็บหลังอย่างสาหัสเหมือนกระดูกจะร้าว นอนตัวงอสาปแช่งไอ้โจรอยู่ในใจถึงขั้นให้มันจู๋หด
พอโจรเปิดปากกระสอบ คนที่อยู่ข้างในก็ได้สัมผัสกับกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์ลอยมากับอากาศหนาวเย็นภายในสถานที่แห่งนี้ ทั้งกลิ่นเหม็นอับชื้นจากเชื้อรา กลิ่นขยะ กลิ่นกายของผู้ชาย กลิ่นเหล้า เคล้ากลิ่นบุหรี่
โจรเทกระสอบ ส่งผลให้ร่างของแสงเทียนร่วงลงกระแทกพื้นเป็นอย่างแรก ตามด้วยเครื่องประดับและเงิน หนุ่มน้อยเจ็บมากเหมือนร่างจะแหลก แต่ก็ส่งเสียงร้องไม่ได้สักแอะ
“ตุ๊กตายาง” โจรพูด “สวยอย่างกับตุ๊กตายาง”
ตุ๊กตายางพ่อง!!!โจรตบหัวแสงเทียนเต็มแรงเหมือนจะปลุก ก่อนจะสั่งด้วยเสียงแหบห้าว ฃ
“เฮ้ย ตื่นดิวะ!”
แต่แสงเทียนยังคงนอนแน่นิ่ง ทว่าข้างในสั่นสะท้ายด้วยความเจ็บและแค้น ไอ้โจรขมวดคิ้วอย่างงุนงงแล้วตบหัวอีกรอบ
“ทำไมมึงไม่ตื่น!”
ตื่นแล้วโว้ยไอ้ควาย แต่โดนปิดปากปิดตามัดแขนขาอย่างนี้ จะให้กูตอบมึงได้ไง!!!โจรหนุ่มมองร่างเล็กของแสงเทียนอย่างใช้ความคิด
“หรือว่าเป็นตุ๊กตายางจริงๆ นิ่งได้นิ่งดี”
เดี๋ยวนะ มันคิดว่าเราเป็นตุ๊กตายางงั้นเหรอ? ถ้างั้นแกล้งทำนิ่งเป็นตุ๊กตาไปก่อนแล้วกัน เผื่อจะได้หาทางหนีทีหลัง!โจรดึงสก็อตเทปออกจากปากของเหยื่อแบบย้อนแนวขนจนหนวดอ่อนถูกถอนเกลี้ยง ก่อนจะดึงสก็อตเทปที่ตาด้วยท่าเดียวกันจนขนตาที่ยาวหนาเป็นแพหลุดหายไปหลายเส้น แต่ถึงอย่างนั้นผู้เคราะห์ร้ายก็อดทนไม่ส่งเสียง นอนนิ่งท่าเดิม...จะตบตาเสือทั้งที ต้องนิ่งที่สุด!
โจรยังไม่หมดข้อสงสัย เอานิ้วจ่อใต้จมูกเหยื่อเพื่อทดสอบลมหายใจ แต่อีกฝ่ายกลั้นไว้เรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย ตุ๊กตาจริงเหรอวะ”
เสียงใหญ่ทุ้มแสดงความแปลกใจ แสงเทียนได้ยินเสียงมันเกาหัวแกรกๆ จากนั้นมันก็ดึงตัวเขาขึ้นจากพื้น หนุ่มน้อยเบิกตาโพลงเหมือนตุ๊กตาเปิดปิดตาเวลาล้มลุก ทำเอาโจรตกใจ
แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของกันและกัน คนที่ตกใจมากกว่ากลับเป็นแสงเทียน
โจรเป็นชายร่างใหญ่บึกเหมือนหมี สูงพอๆ กับแป้นบาส ผิวขาวเกือบซีด ผมดกดำยุ่งไม่เป็นทรง คิ้วเข้มหนาเหมือนทางด่วน ดวงตาทรงพลังปานเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสันคมแทบจะใช้หั่นเนื้อได้ ไว้หนวดเครายาวครึ้มดั่งป่าดงพญาไฟ แต่งกายด้วยเสื้อกล้ามโชว์รอยสักรูปมังกรที่ต้นแขนขวา สวมทับด้วยเสื้อกั๊กหนังเทียมสีเลือดหมู กางเกงยีนขายาวขาดๆ เน่าๆ กับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่น่าจะได้จากการขโมย กลิ่นกายเป็นกลิ่นเครื่องดื่มชูกำลังผสมกลิ่นบุหรี่
นี่มันไม่ใช่โจรแล้ว...
ผู้ก่อการร้ายชัดๆ!!!
นอกจากใบหน้าของโจร แสงเทียนยังมองเห็นสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ว่าเป็นห้องสภาพโทรมๆ เท่ารูหนู ผนังด้านหนึ่งมีกล่องกระดาษลังวางเรียงกันสูงเกือบถึงเพดาน รูขาดๆ ทำให้มองเห็นด้านในว่าใส่อาหารและเสื้อผ้า พื้นห้องเลอะเขรอะไปด้วยฝุ่น เศษขยะ คราบฉี่หนู และขี้ตุ๊กแก...สภาพแย่ยิ่งกว่าบ้านร้างผีสิง
โจรดันแสงเทียนนอน ดึงขึ้นมานั่ง ดันลงนอน ดึงขึ้นนั่ง หลายต่อหลายครั้งราวกับจะทดสอบว่าเขาเป็นตุ๊กตาจริงหรือไม่ ซึ่งแสงเทียนก็เปิด-ปิดเปลือกตาเหมือนตุ๊กตาล้มลุกจริงๆ ทำเอาโจรถึงกับเกาหัว ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกห่างจากตัวหนุ่มน้อยเหมือนยอมแพ้
แสงเทียนมีความหวังว่ามันจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว แต่กลับผิดหวังเมื่อโจรใช้มือหยาบหนาและใหญ่ปานมือเปรตบีบรอบคอเล็กๆ ของหนุ่มน้อยอย่างโหดเหี้ยมแทน ตอนแรกแสงเทียนคิดว่ามันจะฆ่าเขา แต่ได้ยินมันบ่นกับตัวเองว่า ‘ใช้ไฟฟ้าหรือถ่านวะ’ ก็รู้ว่ามันกำลังตรวจสอบการทำงานของตุ๊กตายางต่างหาก
เหยื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ ดวงตาสั่นระริก หน้าซีดเผือด เย็นเยือกไปทั้งตัว หากยื้อไว้นานกว่านี้เขาคงขาดใจตายจริงๆ
สุดท้าย...
“แค่กๆ!” เขาแสดงต่อไปไม่ไหว ต้องไอออกมา
“เฮ้ย!!!!” โจรตะโกนเสียงดังอย่างผวาสุดชีวิต ปล่อยมือออกจากคอเหยื่ออย่างเร็ว “ทำไมไอได้!”
“ก็เป็นคนไง!”
“คนเหรอ!?”
“เออ คน!” แสงเทียนพูดเสียงแหบ สูดอากาศเข้าทางปากและจมูกยาวๆ “คุณจับผมมาทำไม!”
โกรธเกลียดแค่ไหนก็ต้องสุภาพไว้ก่อน เพราะมันถือไพ่เหนือกว่า ขืนหยาบคายพูดกูมึงใส่อาจทำให้มันยิ่งโมโห
“จะเอาไปขาย” โจรตอบหน้าซื่อ
“ขาย!?” แสงเทียนหูผึ่ง “ผมเป็นคน ไม่ใช่สินค้า จะเอาไปขายได้ไง มันผิดกฎหมายนะครับ ปล่อยผมไปเถอะ!”
“ไม่ได้ ขืนปล่อยเอ็งไปข้าก็ถูกจับสิวะ”
“ไม่หรอก ผมจะไม่แจ้งความ ไม่เอาผิดคุณเลย...จริงๆ” แสงเทียนทำหน้าออดอ้อนน่าสงสาร “เอางี้ๆ คุณอยากได้เงินเท่าไหร่บอกมา ผมจะเอามาให้ แต่คุณต้องปล่อยผมนะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เพราะเดี๋ยวข้าเอาเอ็งไปขายก็ได้เงินอยู่แล้ว”
แสงเทียนหน้าแหย หัวสมองคิดหาแผนการเอาตัวรอดฉับไว
“อย่าเอาผมไปขายเลยนะ ผมเป็นเสาหลักของบ้าน ต้องทำงานหาเงินส่งเสียเลี้ยงดูพ่อที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แม่เป็นอัลไซเมอร์ น้องชายเป็นเอ๋อ กับน้องสาวพิการ คุณจับผมมาอย่างนี้ ไม่ใช่ชีวิตผมคนเดียวที่จบเห่ แต่ครอบครัวของผมก็ด้วย... เมตตาผม ปล่อยผมเถอะนะครับพี่สุดหล่อ”
มือสองข้างที่ไพล่หลังไว้ไขว้นิ้วทั้งคู่ กล่าวขอโทษพ่อแม่และน้องๆ ในใจที่ถูกใช้ปู้ยี้ปู้ยำเป็นเครื่องมือเอาตัวรอด
ทว่าโจรอู๋เหมือนจะรู้ทันว่าเขาโกหก หรือไม่ก็ไม่สนใจชีวิตแสนรันทดของคนอื่น
“ไม่ปล่อยโว้ย” โจรพูดเสียงเหี้ยม
“ผม...” พยายามคิดหาคำพูดโน้มน้าวใจที่รุนแรงที่สุด “ผมเป็นเอดส์!!! คุณเอาไปขายไม่ได้! ถ้าลูกค้ารู้คงไม่ซื้อตัวผมหรอก!”
“ช่างแม่งสิ เรื่องอะไรข้าจะบอกว่าเอ็งเป็นเอดส์ พอข้าเอาเอ็งไปขายแล้วข้าก็ชิ่งหนี ส่วนมันกับเอ็งจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เกี่ยวกะข้า”
ทำไงดี มันไม่ยอมหลงกลเลย“แต่...” ไอ้โจรคุกเข่าลงตรงหน้าแสงเทียนด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “คิดดูก็สงสารลูกค้าเหมือนกัน ถ้าเขารู้ว่าเอ็งมีโรค”
“งั้นปล่อยผมสิ” แสงเทียนส่งเสียงเว้าวอน
“ไม่เอา คนเป็นโรคร้ายเก็บไว้ก็เป็นภัยต่อสังคมเปล่าๆ ข้าว่า...” โจรล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงมาจ่อคอผู้เคราะห์ร้าย “...ฆ่ามันทิ้งเลยดีกว่า”
หัวใจของหนุ่มน้อยแทบจะหยุดเต้น เมื่อรู้ว่าวัตถุเย็นๆ ที่จอใต้คางคือปืน!!!
“หยุดก่อน อย่ายิง! ผมไม่ได้เป็นเอดส์! อย่าฆ่าผมเลย!!!”
แสงเทียนเกือบจะร้องไห้ ไอ้โจรหัวเราะอย่างชั่วร้ายแล้วเก็บปืนไว้ที่เดิม จากนั้นผลักร่างเล็กนอนลงกับพื้นแล้วขึ้นคร่อมกลางลำตัว หนุ่มน้อยใจหายวาบราวกับรับรู้ชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
“จะ... จะทำอะไร” เหยื่อถามด้วยเสียงสั่นรัว ทั้งที่พอจะเดาได้
“เล่นตุกติกดีนัก ข้าจะสั่งสอนว่าผลของการเล่นกับโจรเป็นยังไง”
ไม่เท้าความให้ยืดยาว คนข้างบนโน้มตัวลงมาซุกไซ้ซอกคอคนข้างล่างอย่างหื่นกระหายรุนแรงทันที แสงเทียนร้องลั่นด้วยความรังเกียจและขยะแขยงแทบขาดใจ ตำแหน่งที่โดนกัดจูบเจ็บเหมือนโดนเสือขย้ำไม่มีผิด อีกทั้งหนวดเครายาวหยาบของผู้กระทำก็ครูดบาดผิวบางของเขาจนแสบคันไปหมด
ขณะที่ถูกคุกคาม แสงเทียนก็คิดถึงและร่ำร้องเรียกร้องหาคนๆ หนึ่งอย่างสิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าเสียงนี้ไม่มีวันดังไปถึง หรือต่อให้คนๆ นั้นมาจริง ก็คงจะรังเกียจสภาพที่เต็มไปด้วยมลทินของเขาจนไม่อยากแม้แต่จะเหลือบหางตามองด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังหวัง“ช่วยเราด้วย... เฟลม”