เสน่หา...รักเอย ๒๖
“ผกาหนึ่งพึงงามเมื่อยามสด สุคนธรสแรกรักมักหอมหวาน
ครั้นแหนงหน่ายบ่ายหนีมิชื่นบาน ทิวาวารผันผ่านมานผันแปร"
“กานต์ลูก ไปกันเถอะ”
เสียงรพินทร์เรียกขานบุตรชายหลังช่วยกันตระเตรียมข้าวของใส่ตะกร้าเพื่อไปถวายเพลที่วัดละแวกใกล้ ๆ รพีกานต์ผัดแป้งหน้านวลเดินออกมาจากห้อง มือเรียวลูบท้องนูนด้วยความเคยชิน ได้รับปฏิกิริยาตอบรับจากชีวิตเล็ก ๆ ในท้องก็อมยิ้ม
“ไปทาแป้งมานี่เอง หน้านวลผ่องเชียว นึกว่าหายไปไหน” รพินทร์บีบแก้มนิ่มด้วยความเอ็นดู ทั้งคู่กุลีกุจอถือของออกมาจากบ้านซึ่งพอคนขับรถเห็นก็รีบปราดเข้ามาช่วย รถแล่นออกจากบ้าน รพีกานต์วางมือไว้ที่ท้อง สายตามองเหม่อออกไปข้างนอก
“คิดอะไรอยู่ เงียบเชียว” รพินทร์ส่งเสียงทักคนท้องที่ดูเงียบกว่าปกติ
“สามแฝดทักทายกานต์อยู่บ่อย ๆ กานต์เลยอดคิดไม่ได้ว่าตอนกานต์อยู่ในท้อง แม่ของกานต์จะรู้สึกผูกพันกับกานต์บ้างไหม หรือคิดว่ากานต์เป็นตัวปัญหา จะฆ่าก็กลัวใจไม่แข็งพอเลยเลือกที่เอากานต์มาทิ้ง” รพีกานต์หลุดความคิดออกมาด้วยหัวใจวูบโหวง สายตายังคงทอดมองออกไปข้างนอก
“กานต์...” รพินทร์อ้ำอึ้งตกใจเมื่อได้ยินความคิดจากปากบุตรชาย
“กานต์แค่อยากรู้ ว่าเก้าเดือนที่มีเด็กอยู่ข้างในท้อง แม่ของกานต์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือครับ สามแฝดดิ้นในท้องกานต์ กานต์ยังรู้สึกรัก รู้สึกผูกพันกับแกเลย”
“กานต์...ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราสงสัยแล้วเราจะได้คำตอบ บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะรู้ก็น่าจะสบายใจกว่า จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็ทำให้เราได้พบกัน กานต์รู้แค่นี้สบายใจกว่านะลูกนะ” รพินทร์ประโลม ในตอนนั้นเขาเองคิดเพียงว่ามารดาของรพีกานต์คงตั้งครรภ์ทั้งที่ไม่พร้อม จึงได้นำเด็กมาทิ้งเพื่อตัดปัญหาให้พ้นตัว
“เพราะกานต์ได้เจอพ่อ กานต์ถึงรู้สึกขอบคุณที่แม่ทิ้งกานต์ กานต์จะเลี้ยงสามแฝดให้ดีครับ” รพีกานต์หันมาสวมกอดบิดาพลางซบบ่าหาไออุ่น รพินทร์ลูบศีรษะบุตรชายเอ่ยปากถาม
“แล้วถ้าวันหนึ่งลูกถามถึงพ่อล่ะ กานต์เตรียมคำตอบไว้ให้แกหรือยัง ยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึงตอนที่ลูกของกานต์ออกไปเผชิญกับโลกภายนอก เขาก็คงจะอยากรู้อย่างที่กานต์เคยถามหาแม่กับพ่อนั่นแหละ” คำถามทำเอานิ่งไป คำถามเดียวกันกับที่รพีกานต์เคยถามบิดาในวัยเยาว์ ในตอนนั้นบิดาก็คงลำบากใจที่จะตอบเช่นเดียวกับรพีกานต์ตอนนี้
“เอาไว้ให้วันนั้นมาถึง กานต์คงคิดออกครับ” รพีกานต์พิงศีรษะซบไหล่บิดา มือลูบท้องกลมพลางอมยิ้ม บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องรู้...
วัดที่แวะมาถวายเพลเป็นวัดเล็ก ๆ ยังไม่เจริญเท่าวัดในเมืองใหญ่หากแต่สงบร่มรื่นตามอัตภาพ สองพ่อลูกถวายเพลเสร็จ อยู่สนทนากับพระท่านอีกครู่จึงลากลับ บ่ายนี้คนท้องยังไม่นึกง่วง รพีกานต์หยิบหนังสือเล่มหนึ่งไปนอนอ่านในเปลริมลำธาร กลีบดอกไม้คุ้นตาลอยละล่องมาตามสายน้ำไหล รพีกานต์มองกลีบดอกไม้ มือลูบท้องกลมอย่างช่างใจ ก่อนตัดสินใจวางหนังสือไว้ในเปลแล้วเดินทวนทางน้ำขึ้นไป กะว่าจะไปเยี่ยมมองดูเฉย ๆ เพียงเท่านั้น
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะสนใจนายขึ้นหรือยังไงต้นน้ำ เลิกทำตัวงี่เง่าเสียที ! อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับนายไปมากกว่านี้” เสียงหนึ่งดังเกรี้ยวกราดด้วยความหัวเสีย รพีกานต์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน
เอ๋ ? คนทะเลาะกันหรือ ?
บุคคลที่สามพึมพำขณะหยุดฟังเงียบ ๆ ลังเลว่าจะเป็นการเสียมารยาทไปไหมที่มายืนฟัง ขณะที่ละล้าละลังตัดสินใจอีกเสียงก็สวนขึ้นด้วยความเผ็ดร้อนไม่ต่าง
“แล้วผมเคยเรียกร้องให้คุณมาสนใจผมหรือครับคุณอัษศดิณย์ ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม คุณนั่นแหละที่ก้าวก่ายชีวิตคนอื่น” อีกฝ่ายเถียงสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาคมกริบฉายประกายเด็ดเดี่ยววาบวับพร้อมต่อกรเช่นกัน
“นี่นาย ! คิดว่าฉันอยากยุ่งด้วยนักหรือ ถ้าไม่เพราะฉันรับปากกับพ่อไว้ แม้แต่หน้าหรือใช้ลมหายใจร่วม ฉันก็ไม่อยากจะเจอ” ชายหนุ่มเค้นน้ำเสียง มือกระชากคอเสื้อ ตาลุกวาวเคียดขึ้งด้วยความเกลียดชัง
“งั้นก็ไปเสียสิ คุณจะมายืนเถียงกับผมอยู่ทำไม หรือไม่ คุณก็ปล่อยผมไปจากที่นี่ ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“หึ คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ถึงร่ำร้องจะไปให้ได้ ปล่อยนายไปอย่างนั้นหรือ มันคงง่ายไปหน่อย สู้ขังเอาไว้ที่นี่ดูนายทุรนทุรายอยากตะเกียกตะกายออกไป สนุกกว่าเยอะ เหมือนที่มีคนเคยเผชิญกับมันมาแล้วยังไงละ ฉันจะให้นายได้ลิ้มรสชาติความทรมานนั้นที่นี่ ยอมลงทุนตกนรกอยู่กับสิ่งที่เกลียดชังเพื่อฉุดให้นายดิ้นรนไปไหนไม่ได้ยังไงละ” น้ำเสียงเยาะเย้ย สายตาถากถาง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงหน้าเขียว เปลวโทสะแห่งความเกลียดชังเต้นระริกในดวงตา เขาก็ยิ่งสาแก่ใจนัก
“โรคจิต !” ฝ่ายถูกกระชากคอเสื้อถลึงตา น้ำเสียงห้วนจัดดังขึ้น
ผลัวะ !
รพีกานต์สะดุ้งกับเสียงซัดกำปั้นหนักหน่วงลงบนใบหน้าของเรือนร่างสูงใหญ่จนหน้าสะบัด ร่างเล็กรีบก้าวเข้าไปหลบหลังต้นไม้ก่อนชะเง้อหน้าออกมามองดูเหตุการณ์ด้วยใจลุ้นระทึกไปด้วย มือเรียวรีบกุมปากตะคุบเสียงร้องอุทานของตัวเอง เมื่อเหตุการณ์ถัดมาคือชายร่างใหญ่โตจนบังอีกคนแทบมิด กระชากคอเสื้อคนปล่อยหมัดจนปลายเท้าลอยจากพื้นแล้วโยนละลิ่วลงไปในลำธารเสียงดังตูมอย่างไม่ปรานีปราศัย รพีกานต์ยืดคอชะเง้อมอง ใครคนที่โปรยกลีบดอกไม้เป็นฝ่ายถูกทุ่มลงไปในลำธาร กำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาฮึดฮัดอยู่ในน้ำ สายตาพิฆาตฟาดฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อส่งขึ้นมาให้ใครอีกคนที่ยืนกอดอกมองดูอยู่บนฝั่งอย่างไม่สะทกสะท้าน เรือนร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น มองเห็นเพียงไรหนวดเขียวจางตรงสันกรามที่โผล่พ้นหมวกคาวบอยออกมา เจ้าของผิวคร้ามแดดยืนมองอีกเพียงไม่นานก็หันหลังผละไป ทิ้งไว้เพียงอีกคนที่ยังคงแช่อยู่ในน้ำมองตามตาเขียว ก่อนฟาดกำปั้นหวดน้ำอีกหลายโครมระบายอารมณ์เดือดดาล
ชายหนุ่มพาร่างเปียกโชกขึ้นจากน้ำแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกผึ่งแดด รพีกานต์ตาโตกับคนเปลือยล้อนจ้อน ไม่เพียงเท่านั้น เหมือนถูกจับได้ว่าแอบมอง ชายหนุ่มยังจงใจหันด้านหน้าขวับมาให้ผงะแบบจัง ๆ ถึงจะมีเหมือนกัน แต่เจอแบบนี้ก็มีสะดุ้ง
“เล่นน้ำด้วยกันไหมถ้ำมอง” ถามพลางยักคิ้วยั่วล้อ น้ำเสียงเย้าหยอกไร้แววขุ่นเคืองอย่างเมื่อครู่เมื่อหันมาเจอคนหน้าตื่นแอบหลบผลุบ ๆ โผล่ ๆ เป็นกระรอกอยู่หลังต้นไม้ ‘ศิรวัฒน์’ อารมณ์สงบลง หายจากอาการขุ่นมัวเมื่อเหลือบสายตาเห็นคนตัวเล็กที่อยู่ฟากไร่ติดกันกำลังยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ โผล่มาเพียงศีรษะทุยสีหน้าปั้นยาก แต่ก็อยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา
“มะ ไม่ได้ถ้ำมองนะ แค่ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันเลยเดินมาดู แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นชีเปลือย ไม่รู้จักอายเจ้าป่าเจ้าเขา” รพีกานต์โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมหันหลังให้ ใจไม่กล้าพอจะยืนประจันหน้าคุยกับชีเปลือยซึ่งยังคงโล่งโจ้งไม่สะทกสะท้าน
“อ้อ อย่างหรอกนั้นหรือ อุตส่าห์หลบมาปลีกวิเวกท้ายไร่ยังมีหมาบ้าตามมาหาเรื่อง แถมมีถ้ำมองมาแอบดูเราเองแท้ ๆ แล้วยังมีหน้ามากล่าวหาว่าเราหน้าไม่อาย” ศิรวัฒน์พยักหน้าขึ้นลงรับรู้ด้วยอาการล้อเลียนพลางสัพยอกคนกล่าวหาตนเอง
“ก็บอกว่าไม่ได้แอบดู เอ๊ะ นายนี่ ใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม จะยืนเปลือยคุยหรือไง” รพีกานต์หันขวับตั้งท่าจะลับฝีปากด้วย แต่พอเจอคนล่อนจ้อนก็รีบหันหลังกลับทันควัน ศิรวัฒน์ยิ้มขำกับใบหูแดงของคนมองเองอายเอง ไม่วายกวนกลับ
“ชุดมันเปียก ตากแดดรอแห้งอยู่นี่ไง”
“ก็หาใบไม้หรืออะไรปิดไว้ก่อนซี หรือถ้ายังไงเราให้ยืมชุดเราก็ได้” รพีกานต์เสนอความช่วยเหลือ อย่างไรเสียก็ดีกว่าสนทนากันแบบยืนห่มลมห่มฟ้าเป็นไหน ๆ ในใจพลางคิดว่า ตาชีเปลือยนี่ก็ไม่รู้จักอายเสียบ้าง เป็นพวกชอบโชว์หรืออย่างไรกันนะ หรือรพีกานต์จะทำใจกล้าหน้าทนด้วยอีกคน หันไปประจันหน้าแล้วบอกว่า เฮอะ ! ก็แค่ ‘ไส้เดือนดิน’ แล้วทำมาโชว์ อึ๋ย ไม่เอาด้วยหรอก แค่คิดก็สะบัดหน้าหวือสลัดความคิดไม่เข้าท่าทิ้งอย่างรับไม่ได้
“หึ ตัวแค่นี้นี่นะ จะให้ยืมชุดใส่ ถึงนายจะลงพุง แต่เราก็ใส่เสื้อของนายไม่ได้อยู่ดี ยืนตากลมให้ตัวแห้งแบบนี้ดีแล้ว โล่งดีออก” ศิรวัฒน์สัพยอกหยอกเย้ายิ้ม ๆ เข้าใจไปว่าคนสูงน้อยกว่ากินจุแล้วลงแต่พุง ไม่ลงตัว เลยมีสภาพพุงนำหน้าอย่างที่เห็น
“งั้นก็เอาใบไม้ใหญ่ ๆ มาปิดกันอุจาดหน่อยเหอะ” รพีกานต์ฮึดฮัดเล็ก ๆ ต่อให้เป็นพี่ณัฐที่สนิทกัน เจออย่างนี้ก็คงไล่ไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไม่ต่าง
“ไม่ละ ฉันร้อน ชอบเปลือย ๆ แบบนี้แหละ ใครไม่อยากมองก็หันกลับไปสิ ทำไมฉันต้องทำตามความต้องการของนายด้วย” ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มยังลอยหน้าลอยตาเท้าสะเอวจังก้าท้าแดดท้าลมท้าทายเสียอีกต่างหาก
“งั้นเราก็จะทำตามความต้องการของเราเหมือนกัน” ใบหน้าเนียนใสเชิดขึ้น รพีกานต์กวาดสายตาแลหาบางอย่างก่อนดวงตาสวยจะฉายแววยินดีระยับเมื่อเจออาวุธกำราบคนโป๊ ศิรวัฒน์รู้สึกไม่ไว้ใจกับดวงตาซุกซนเท่าไร และไม่ต้องคิดนานเมื่อคนตัวเล็กก้มลงเก็บลูกตะขบที่ร่วงอยู่ตามพื้นดินได้ ชายหนุ่มก็ต้องกระโดดเหยงหลบกระสุนตะขบที่ปารัวมาทางเขาทันที
“นี่แน่ะ ! ชีเปลือยหน้าไม่อาย ต้องเจอกระสุนตะขบพิฆาต !” ออกกระบวนท่าวาดลวดลายปล่อยกระสุน คนประทุษร้ายหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ ใบหน้าฉีกยิ้มแป้นเต็มแก้มจนขึ้นก้อนกลม แต่คนกระโดดหลบดูจะไม่สนุกด้วยเท่าไร ศิรวัฒน์กระโดดลงน้ำดำลงลึกหลบอยู่ตรงตลิ่ง รพีกานต์ยั้งมือ คิ้วขมวดชะเง้อมอง เท้าสืบเข้าไปมองดูใกล้ ๆ
แฮ่ ผีหลอก !
ศิรวัฒน์โผล่พรวดขึ้นจากน้ำแลบลิ้นปลิ้นตาทำผีหลอก รพีกานต์สะดุ้งโหยงตกใจ ถอยเท้าหนีอัตโนมัติ ก่อนได้สติเต้นเร่าร้องว่า
“ผีทะเล ! คนผีทะเล” รพีกานต์หน้าเหลอหลาเหลียวหาลูกตะขบ แต่ยังช้ากว่าคนที่ปราดเข้ามาประชิดตัวคว้าข้อมือเล็กรวบดึงเข้าปะทะตัว พลางจ้องตาดุ
“คิดว่าจะยอมให้แกล้งอีกหรือไง หือ ?” น้ำเสียงกดต่ำ ดวงตาคมสีมืดราวห้วงรัตติกาลจ้องมองร่างในอาณัติ ร่างกายเปียกชุ่มแนบชิดร่างอุ่นอีกร่าง รพีกานต์ตะลึงงันกับความใกล้ชิดเกินกว่าปกติ ปากอิ่มเผยอน้อย ๆ ยามประสานสายตากับใครอีกคนที่ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ต่างฝ่ายต่างจ้องตา เนิ่นนานผ่านไปเท่าไรไม่รู้ได้ จนเสียงลูกไม้ร่วงจากต้นลงสู่พื้น สองร่างจึงสะดุ้งผละจากกัน
“ขะ ขอโทษ ที่เราถือวิสาสะแกล้งนาย” น้ำเสียงอ่อย ดวงตาหลุบต่ำหลุกหลิก หลังจากเมื่อกี้เมามันในการกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ถึงจะแกล้งปาแค่เฉียด ๆ แต่ก็ดูเกเรอยู่ดี ศิรวัฒน์มองกระต่ายหูลู่สำนึกผิด เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เห็นอย่างนี้จึงถือสาไม่ลง
“ไม่เป็นไร นาน ๆ ได้เล่นสนุกแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สงสัยกว่าชุดจะแห้งคงต้องแปลงร่างเป็นคนป่าเสียหน่อย” เอ่ยพลางใช้มีดพกฟันฉวัะที่ใบกล้วย ก่อนเฉือนรูดเอาเฉพาะใบตองมาพันกายไปพลาง ๆ รพีกานต์เห็นอย่างนั้นสายตาซุกซนก็เริ่มนึกสนุกขึ้นมาอีก มือขาวดึงเอาเครือเถาวัลย์มาม้วนทำมงกุฎให้
“มงกุฎหัวหน้าเผ่า” บอกพลางเขย่งเท้ายืดตัววางมงกุฎแหมะลงบนศีรษะ แถมขนนกที่เก็บได้จากแถวนั้นเสียบให้อีกที ไม่เพียงเท่านั้น รพีกานต์ยังหักกิ่งไม้ยัดใส่มือหนาพลางมองแล้วฉีกยิ้ม
“หัวหน้าเผ่าชีเปลือย ฮ่า ๆ ๆ ขอถ่ายรูปลงไอจีได้ไหม นี่ถ้าเอาแป้งมาโปะหน้าด้วยนะ ใช่เลย” นิ้วเรียวดีดเปาะอย่างชอบอกชอบใจ เดินวนซ้ายขวาดูผลงานตัวเองด้วยรอยยิ้มแต้
“สนุกใหญ่ เรารู้จักกันหรือ ฮึ” ศิรวัฒน์หรี่ตาน้ำเสียงขึ้นจมูกมองคนแจกยิ้มเรี่ยราด
“เออ ลืมไปเลยว่าไม่รู้จักแฮะ อยากรู้จักเราไหม เราชื่อกานต์นะ” รพีกานต์ทำหน้านึกขึ้นได้พลางเอ่ยแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ
“แนะนำตัวมาขนาดนี้ ถึงไม่อยากรู้จัก ก็ต้องรู้แล้วแหละ เพี้ยนจริง ๆ” ศิรวัฒน์ส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ รอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้เขานึกเอ็นดู
“เราเพี้ยน นายก็ชีเปลือย” บอกอย่างไม่ยอมลง คงเพราะท่าทางใจดีไม่ถือสาของเขาทำให้รพีกานต์กล้าเล่น เป็นความใจดีคนละแบบกับพี่ณัฐ แต่ก็ให้ความรู้สึกน่าคุยด้วยไม่น้อย
“นายยังไม่บอกชื่อเราเลย”
“เราชื่อต้นน้ำ ส่วนหมาบ้าที่เพิ่งไปเมื่อกี้เป็นพี่ชายของเรา ไม่รู้นายทันได้เห็นหน้าหรือเปล่า รายนั้นชื่อพี่ดิน เป็นเจ้าของไร่พิศาลอนันต์ยศที่นี่แหละ ระวังอย่าไปใกล้เชียว หมาบ้าชนิดนี้ไม่มีวัคซีนรักษา บ้าหาเรื่องคนได้ทุกฤดูทุกเวลา” ศิรวัฒน์ทำหน้าตาขึงขังขู่ คนตรงหน้าเหมือนกระต่ายขนฟูที่น่าขู่ให้ตื่นตูมเป็นที่สุด และก็ได้ผลเมื่อดวงตากว้างเรียวคู่สวยมีแววตระหนกตามน้ำเสียงที่เขาบิวต์ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพราะรพีกานต์ยังจำภาพผู้ชายคนนั้นโยนน้องชายตัวเองลงน้ำโครมใหญ่ได้ติดตา
“พี่ชายของนายดุมากเลยหรือ นี่นายไม่ถูกกับพี่ชายใช่ไหม”
“ไม่เชิง แต่เขาทำให้เราอยากเป็นนักบินอวกาศ จะได้ไปอยู่ไกล ๆ นอกโลก ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก” ศิรวัฒน์ตอบเหมือนไม่ยี่หระ มือกวัดแกว่งกิ่งไม้หวดใบไม้เล่นไปตามเรื่อง หากแววตามีบางอย่างที่รพีกานต์มองไม่เห็นซุกซ่อนอยู่
“โห ขนาดว่าไม่เชิงนะเนี่ย อย่างกับเกลียดกันเข้ากระดูกดำยังไงไม่รู้ เราเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง คิดมาตลอดว่าถ้ามีพี่น้องเล่นด้วยกันคงจะดี”
“ถ้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็คงจะอย่างนั้น” น้ำเสียงแผ่วเบาลอดผ่านริมฝีปาก เขารู้ดีถึงสาเหตุความเกลียดชังที่พี่ชายในนามมีให้
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ถนัด”
“ไม่มีอะไรหรอก ขี้สงสัยจริง เป็นเจ้าหนูช่างถามหรือยังไง แล้วนี่ทำไมเราเพิ่งเห็นหน้า” ศิรวัฒน์เปลี่ยนเรื่องทันควัน
“เพิ่งมาอยู่ใหม่น่ะ พอดีคุณพ่อของเราไม่สบาย เลยย้ายมาพักที่ที่อากาศดี ๆ จะได้สดชื่นปลอดโปร่ง หายป่วยเร็ว ๆ” รพีกานต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก บิดามาพักฟื้นก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักเลยจริง ๆ เป็นเรื่องของรพีกานต์เองต่างหาก ตอนนี้ร่างเล็กเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือเปล่าที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เพราะถ้าท้องโตขึ้น...
สัญญาณดิ้นเล็ก ๆ ในท้องแย้มพรายว่าความลับไม่มีในโลก
“เราจะกลับแล้วละ ไปนะต้นน้ำ” ร่างเล็กบอกพลางออกเดินลิ่ว ๆ จากมา ศิรวัฒน์มองตามแผ่นหลังของร่างเล็กกว่า ในดวงตาของคนทั้งคู่ต่างมีความลับเก็บงำซุกซ่อนเอาไว้ในซอกหลืบที่ไม่ปรารถนาให้ใครได้ล่วงรู้ รพีกานต์ไม่ได้หันกลับไป ส่วนอีกฝ่ายก็ถอนสายตาเบนไปยังทิศทางที่ร่างคร้ามแดดเดินจากเขาไป
“หืม ? แกว่าอะไรนะเจ้าวิน” อินทัชละสายตาจากแท็บเล็ตเงยหน้าเลิกคิ้วถามขึ้นด้วยความพิศวงเมื่อได้ยินถ้อยคำบางอย่างจากปากบุตรชายเพียงคนเดียว
“ผมบอกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ผมจะไปช่วยงานพ่อที่บริษัท ทำไมครับ ? หรือพ่อคิดว่าผมมาประจบให้พ่อลดโทษให้” น้ำเสียงขุ่นฉุนกึกฉายแววไม่พอใจไปก่อน อัครวินท์ลนลานโพล่งปากคล้ายวัวสันหลังหวะทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไรปิดบัง การเข้าหาบิดาเพื่อพูดคุยทั้งที่กินแหนงแคลงใจจนปั้นปึ่งกันมาตลอดสร้างความกระอักกระอ่วนแก่เขาไม่น้อย
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรแกเลย ก็แค่ถามทวนดูเผื่อหูเฝื่อนฟังผิด แกจะตีโพยตีพายไปก่อนทำไมเจ้าวิน จากที่ไม่คิดก็จะเริ่มคิดเพราะคำพูดของแกนี่แหละ” อินทัชปรารภอย่างใจเย็นปนระอาเล็ก ๆ จากถามดี ๆ จะกลายเป็นชวนทะเลาะไปเสียได้ สายตาของคนผ่านโลกมาก่อนเหลือบมองร่างเก้กังของบุตรชายอย่างพินิจพิเคราะห์พลางคิดในใจ
โตแต่ตัวจริง ๆ เป็นพ่อคนแล้วแท้ ๆ... คิดแล้วก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจเงียบ ๆ ด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า
“ก็...ผมนึกว่าพ่อคิดอย่างนั้นนี่ เดี๋ยวก็ว่าผมเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออีก” อัครวินท์เสียงอ่อยด้วยรู้ตัวว่าทำเสียกิริยากับบิดาไป ร่างสูงใหญ่หย่อนกายลงนั่งโซฟาตัวข้าง ๆ พลางหันกายเข้าหาเพื่อพูดคุย
“ฉันไม่เคยคิดถึงลูกชายตัวเองในแง่ร้ายไปก่อนที่แกจะก่อเรื่อง แกมันโตแต่ตัว เวลาทำผิดก็มีแต่คนออกหน้าปกป้อง จะถูกตำหนิว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ไม่แปลก แต่ของแบบนี้มันปรับปรุงกันได้ ถ้าแกคิดจะทำ แกเป็นพ่อคนแล้ว อีกไม่กี่เดือนลูกของแกก็จะคลอด ความคิดความอ่านก็ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ได้แล้วนะวิน ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวเสเพล ทำตัวป๋าสายเปย์ไปวัน ๆ อย่างเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้นถึงหาเมียกับลูกของแกเจอ กานต์เขาก็คงไม่ยอมมาด้วยหรอก ดูท่าจะเข็ดขยาดกับแกไม่น้อย” อินทัชพูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม เพราะพฤติกรรมของบุตรชายไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมแม้แต่น้อย ที่ผ่านมาเพราะมีคนถือหาง เจ้าตัวถึงได้เหลิงระเริงจนก่อเรื่อง จนเขาเองก็นึกหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่า สักวันหนึ่งจะมีข่าวไฮโซหนุ่มสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจนถูกพาดหัวข่าว นำความเดือดร้อนมาถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบ้างหรือเปล่า
“พ่อก็...ผมอายุสิบเก้าเองนะ มันก็ต้องมีหลงผิดบ้าง เออแล้วเรื่องกานต์ล่ะพ่อ พอจะได้เรื่องอะไรคืบหน้าบ้างไหม” อัครวินท์หน้าจ๋อยลง จากนั้นจึงตาวาวทอประกายกระตือรือร้นร้องถามหาความคืบหน้าของข่าวคราวคนเงียบหาย
“ไม่มีวี่แวว พ่อไปคุยกับคุณเล็ก คุณอาของกานต์แล้ว แต่ก็ยังเงียบฉี่ ทางนั้นปิดปากเงียบไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น แถมยังบอกอีกว่าสามแฝดทางนั้นเลี้ยงเองได้สบาย ๆ มีหนุ่มวิศวะสุดหล่ออาสาเป็นพ่อให้ ที่เต้นผางเลยเป็นทางนี้ แล้วดูนี่” อินทัชยื่นแท็บเล็ตให้ดู อัครวินท์รีบคว้ามาดูทันที ข้างในเป็นภาพรพีกานต์กำลังเลิกชายเสื้อขึ้น ดวงตากวางจ้องเป๋งยังหน้าท้องนูนของตัวเองในกระจก ดวงหน้าผ่องใสเปื้อนรอยยิ้มกระจ่าง
“รูปนี้รพินทร์ถ่ายส่งมาให้น้องชายดู คุณเล็กบอกว่าท้องโตขึ้นเร็วมาก คุณหมอคลินิกฝากครรภ์ที่ใหม่ยังบอกว่าท้องโตกว่ารายอื่น ๆ ที่ท้องแฝดเหมือนกันเสียอีก คุณพ่อเขาทำของกินอร่อย ๆ ให้น้องกานต์กินทำน้ำหนักเจ้าตัวเล็กในท้องขนานใหญ่ ตอนนี้แก้มเริ่มยุ้ยหน้าชื่นมื่นทุกวัน” อินทัชบอกพลางลอบกลืนน้ำลาย รสมือรพินทร์ไม่บอกก็รู้ว่าจะอร่อยเด็ดขนาดไหน เขาเองกินแล้วยังอยากกินอีกเรื่อย ๆ
“พ่อ ผมอยากเจอกานต์กับลูก” อัครวินท์สีหน้าสลดลงพลางเอื้อมมือไปเขย่าแขนบิดาอาการคล้ายเด็กน้อยร้องขอของเล่น
“ฉันก็พยายามเร่งหาให้อยู่ ปู่แกยิ่งกระวนกระวายหนัก จ้างคนช่วยตามหาอีกแรงแทบพลิกแผ่นดิน ยิ่งเห็นรูปนี้ก็ยิ่งทุรนทุราย เพราะท้องแฝดน่าจะคลอดก่อนกำหนด อีกสักสามเดือนกว่า ๆ ได้ละมั้ง เจ้าสามแฝดก็จะคลอดออกมาแล้ว” อินทัชมีสีหน้ายุ่งยากแกมกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจหนักหน่วงระบายผ่านปลายจมูก ทั้งงานบริษัท งานตามหาคนมะรุมมะตุ้มรุมเร้าเข้ามาทำเอาเหนื่อยไม่น้อย
“เมียแกเข้าใจตั้งชื่อเล่นสามแฝดนะ ‘ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม’” อินทัชอมยิ้มเมื่อนึกถึงชื่อเล่นสามแฝดที่ทางนั้นลองตั้งกันดู
“กานต์บอกว่าคุณพ่อเขาช่วยกันคิดชื่อให้ รู้เพศเด็กแล้วเลยลองตั้งชื่อเล่นกันดูเล่น ๆ โอ๊ย พ่อ ผมอยากเจอกานต์” อัครวินท์เริ่มนั่งไม่ติดที่ กระวนกระวายไม่ต่างจากปู่ของตน อินทัชเองก็จนปัญญาจะสรรหามาให้ทันใจ
“เจ้าวิน พ่อถามแกตรง ๆ นะ อายุแกก็แค่นี้ คิดจริงจังกับใครแล้วหรือ วัยอย่างแกยังรักสนุกอยู่แท้ ๆ”
“ผมต้องการกานต์ ผมรู้แค่นี้ ส่วนลูก ผมดีใจที่กานต์ท้องลูกของเรา อันที่จริงผมก็ยังไม่พร้อมกับเรื่องนี้เท่าไร มันกะทันหันแล้วผมก็คาดไม่ถึงด้วย แต่เพราะพวกแกเป็นลูกของเรา ผมต้องการพวกแกกับกานต์ นะพ่อนะ หากานต์ให้เจอ ท้องแฝดอันตรายกว่าท้องปกติ ผมว่ากานต์ต้องคลอดในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ที่เครื่องมือครบครัน น่าจะโรงพยาบาลเอกชนนะ ไม่แน่ว่าหมออาจให้แอดมิตรอคลอดก่อนวันคลอดจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นเราเช็กตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ได้ไหมพ่อ” อัครวินท์เร่งเร้าคาดเดาถึงความเป็นไปได้ เขาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝดอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงเข้าดูตามพันทิปซึ่งทำให้ทราบข้อมูลจากบรรดาคุณแม่ที่มีประสบการณ์
“รู้แล้ว ๆ แกนี่นะ” อินทัชส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา ผดาชไมเลี้ยงดูบุตรชายของเขาได้นิสัยไม่ผิดเพี้ยนเจ้าหล่อนสักนิด หล่อนใช้ลูกเป็นเครื่องมือทิ่มแทงเขา แต่อินทัชเองก็ไม่เคยถือสาหาความอัครวินท์เลยสักครั้ง อัครวินท์มองบุพการีอย่างช่างใจ ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากัน ลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเอ่ยความรู้สึกบางอย่างออกมา
“ผม...มีบางอย่างที่อยากพูดกับพ่อ ผม...ขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับพ่อทั้งคำพูดและการกระทำทุกอย่างที่ผ่านมา ผม...ตั้งแง่กับพ่อ ทั้งดื้อรั้นดันทุรังทุกอย่าง ผมขอโทษ” อัครวินท์รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาในที่สุด เขารู้ว่าตัวว่าร้ายกาจกับบิดาแค่ไหน ถึงจะเป็นการเรียกร้องความสนใจแบบเด็ก ๆ ที่อยากจะให้บิดามองเห็นเขาสำคัญที่สุดก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็อิจฉาริษยาคนที่อินทัชรักจนถึงขั้นราวีทุกคนที่เข้าใกล้ผู้ให้กำเนิด ไม่เว้นแม้แต่อิษวัตคนนั้น แต่สุดท้ายพอก่อเรื่องก็ไม่พ้นบิดาต้องคอยตามล้างตามเช็ด
“พ่อกับรพินทร์รักกันมาก่อนจะเจอแม่ของแก แต่เพราะปู่กับย่าของแกไม่ยอมรับ เราถึงต้องแยกกัน ยี่สิบปีที่แล้วไม่เหมือนกับตอนนี้ ความรักระหว่างเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ต้องหลบซ่อน เสื่อมเสียในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะกับปู่ของแกที่ห่วงชื่อเสียงกับหน้าตามากที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พ่อหมดรักในตัวรพินทร์ และทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะไม่รักแกนะเจ้าวิน แกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ เป็นอิศวัชร์เต็มภาคภูมิ พ่อดีใจที่มีแกเป็นลูก ถ้าแกจะสำนึกผิดและปรับปรุงตัว มันจะดีต่อตัวแกและคนอื่น ๆ” อินทัชบอกเล่าถึงความขื่นขมในอดีต ทั้งน้ำเสียงและแววตาบ่งบอกความเจ็บช้ำที่ตกตะกอนในก้นบึ้ง เขาถูกบิดาตัวเองแสดงท่าทีรังคัดรังแคและถูกลูกในไส้หยามเหยียดในสิ่งที่เป็น อัครวินท์จับกระแสเสียงนั้นได้ และเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมทำร้ายหัวใจของบิดา เพียงเพราะรู้ว่าพ่อ...เป็นเกย์
“ผม...ขอโทษ” ร่างใหญ่เลื่อนกายนั่งลงบนพื้น มือยกขึ้นกระพุ่มไหว้ก่อนกราบลงบนตักด้วยความสำนึกผิด อินทัชนิ่งอึ้งไป เมื่อได้สติจึงลูบศีรษะบุตรชายแผ่วเบา กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความเต็มตื้น เขาต้องขอบใจรพีกานต์ใช่ไหม ถ้าไม่ได้เด็กคนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อัครวินท์จะเลิกมองเขาด้วยสายตาดูแคลนดั่งเขาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย เพียงเพราะคนที่เขารักเป็นบุรุษด้วยกัน
“พ่อจะพยายามหาเมียกับลูกของแกให้เจอ อะไรที่มันไม่ดีก็พยายามปรับปรุง แกคงอยากให้ลูกได้เห็นตัวอย่างที่ดี ๆ ใช่ไหม”
“ครับพ่อ” อัครวินท์ถือโอกาสหนุนตักอุ่นต่ออีกครู่หนึ่ง หัวใจสัมผัสได้ว่าบิดายังคงรักเขาเฉกเช่นวันเก่า เหมือนหมอกทึบทึมสลายหายไปจากใจ มือใหญ่ของพ่อยังอบอุ่นดั่งเช่นวันวานและความอุ่นนี้ช่วยสมานรอยร้าวในใจของเขา อัครวินท์ได้เรียนรู้ว่าเพียงเปิดใจยอมรับและปล่อยวางทิฐิ เขาก็ได้บิดาที่เคยรักมากมายกลับคืนมาเช่นเก่า
...สามแฝด พ่อจะพยายามปรับปรุงตัวเอง ให้โอกาสพ่อนะลูกนะ ให้พ่อหาแม่ของหนูเจอเร็ว ๆ ด้วยเถอะ...
“พ่อ ผมนึกออกแล้วละ ว่าจะตามหากานต์เจอได้ยังไง” อัครวินท์ยกศีรษะขึ้นจากตัก มุมปากโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากล
-มีต่อด้านล่างค่ะ-