12th Sunday #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์
นรินทร์เคยคิดว่าการทำงานภายใต้หัวหน้าที่เนี้ยบแบบกฤตินั้นเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้เองเขารู้แล้วว่าการจีบหัวหน้าคนเฮี๊ยบนั้นยากยิ่งกว่า
หลังจากที่ไปดูฉลามกันครั้งนั้น น้องนิ้งก็ปิดเทอมเลยไปอยู่บ้านของแฟนใหม่เนตร ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้เจอหน้าลูกเลย มีเพียงแค่โทรศัพท์คุยกันสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งนรินทร์เองก็ขาดคนช่วยทำคะแนนกับหัวหน้า ประกอบกับเลขาของคุณกฤติท้องแก่เกินจะทำงานได้ เขาเลยได้รับการเสนอตำแหน่งเลขาให้ ซึ่งแน่นอนว่าคนขี้เกียจคุยกับลูกค้าอย่างนรินทร์นั้นกระโดดรับข้อเสนอนี้แทบจะทันที
จริงอยู่ที่มันออกจะเป็นเรื่องที่คิดหนักในช่วงแรก แต่พอลองคิดจริงจังแล้ว ตัวชายหนุ่มเองก็อยากลองหน้าที่ใหม่ดูบ้าง ตำแหน่งเซลล์โคฯที่ทำอยู่ในปัจจุบันไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น งานที่ทำอยู่ทุกวันมันเริ่มอิ่มตัวจนกลายเป็นความเคยชินมากกว่าความท้าทายไปหลายปีแล้ว
หลังจากที่ถ่ายงานจากสุปราณีเลขาเก่าของกฤติเป็นเวลาหลายสัปดาห์ พอดีกับช่วงที่นรินทร์จะต้องโอนหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้กับคนใหม่ที่เพิ่งมา เพียงแค่พริบตาเดียว พวกเขาก็มางานเลี้ยงอำลาคุณสุปราณีที่ร้านอาหารแถวที่ทำงาน แล้วตื่นขึ้นมาบนคอนโดฯของหัวหน้าเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้จะผ่านมาร่วมปีจากที่นอนด้วยกันครั้งแรก และผ่านมาหลายเดือนสำหรับการหยอดเช้าเต๊าะเย็น แต่สถานะของพวกเขาก็ไม่ได้ขยับไปใกล้กว่าเดิมสักเท่าไหร่ หากเป็นสมัยมัธยมเขาคงครวญครางทั้งวัน แต่เมื่อเติบโตขึ้น ในชีวิตของทุกคนมีอะไรมากกว่าความสัมพันธ์ชวนใจเต้นกันทั้งนั้น
การจีบกฤติในทุกวันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก หากโชคดีเขาก็จะได้เห็นท่าทางเขินอย่างไม่ยอมรับของหัวหน้า และหากโชคไม่ดีก็แค่โดนแฟ้มปาใส่ก็เท่านั้น
‘ก๊อกๆ’
“ครับ”
เสียงรับคำจากด้านในทำให้โน้ตกล้าเปิดประตูเข้าไป คุณกฤติที่ตอนนี้นั่งขมวดคิ้วจ้องคอมพิวเตอร์อยู่ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจการมาของเขานัก
“ที่ไปประชุมสิ้นเดือน คุณจะบินช่วงเช้าหรือบ่าย ผมจะได้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน”
กฤติเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ นรินทร์ที่เขาคุ้นเคยเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อที่มักจะแสดงอารมณ์ต่างๆ อยู่ตลอดนั้นเรียบนิ่งเมื่อเป็นเรื่องงาน นี่เป็นหนึ่งในข้อดีไม่กี่ข้อของชายหนุ่มที่เขาเจอ ก็ลองนรินทร์งานไม่เป็นงานสิ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวภาระเยอะแค่ไหนกฤติก็เขี่ยทิ้งได้ทั้งนั้น
“ทางลูกค้าเขาอยากได้เวลาไหนครับ?”
“เขาสะดวกทั้งวัน ให้ทางเราเลือก”
“งั้นผมขอไฟล์ทเช้าสุด”
“โอเคได้ครับ” นรินทร์รับคำ ใบหน้าหล่อเริ่มมีรอยยิ้มที่กฤติคุ้นเคยปรากฏให้เห็นอีกครั้ง… รอยยิ้มกวนประสาท “งั้นบินตีสาม”
“บินไปตีหัวคุณเหรอครับ?”
“โอ๊ย เจ็บหัวใจ”
ผู้ชายตัวใหญ่ทำหน้าตาเหมือนกับโดนมดกัดพร้อมกับเอามือกุมอกข้างซ้ายเอาไว้ ซึ่งมันกวนประสาทมากกว่าน่ารัก แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากด่าอะไรออกไป นรินทร์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“คุณ วันนี้ผมต้องไปรับน้องนิ้ง”
“ถ้าจะออกก่อนเวลา ก็เอาคอมกลับบ้านไปด้วยนะครับ”
“ไม่ใช่สิ” นรินทร์ที่ถือวิสาสะก้าวเท้าเข้ามาในห้องตอนไหนก็ไม่รู้พูดขึ้น พร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า มองไปมองมาก็คล้ายกับสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังดีใจอยู่เหมือนกัน
“ผมหมายถึง เราไปรับน้องนิ้งด้วยกันนะครับ” กฤติที่กำลังอ่าน memo ฉบับล่าสุดที่แอดมินส่งหาทุกคนในบริษัทละสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ มองหน้าคนที่ยังคงยิ้มอยู่ นัยน์ตาหลังแว่นเรียบนิ่งไม่สื่ออารมณ์อะไรทั้งที่หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ เหมือนกลัวว่ากฤติจะปฏิเสธ คุณพ่อเลยเสริมต่อ
“ไปรับลูกกับผมนะ”
ดูมันใช้คำ!
หัวหน้าแผนกยังคงหน้านิ่ง หากแต่ใบหูของเขาขึ้นสีระเรื่อ เพียงเท่านี้ นรินทร์ก็รู้คำตอบของตัวเองแล้วล่ะ
------- Sunday In Bed -------
19.30 น.
การมารับลูกของนรินทร์คือมาที่โรงเรียนสอนพิเศษภาษาอังกฤษในห้างสรรพสินค้า กฤติเดินตามเลขาหนุ่มเข้ามาในโรงเรียนสอนภาษาชื่อดัง ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาช่วงค่ำแต่คนยังเยอะพอสมควร มีตั้งแต่เด็กที่เล่นกันบริเวณมุมหนังสืออ่านเล่นของโรงเรียน และผู้ปกครองที่นั่งคุยกันอยู่ไม่ไกล
กฤติรู้จักที่นี่ทั้งที่เป็นโรงเรียนเน้นสอนเด็กมากกว่าผู้ใหญ่วัยทำงาน เพราะว่าเขาเองก็เคยถูกพ่อจับเรียนที่นี่สมัยช่วงวัยอนุบาลประถมเช่นเดียวกับที่น้องนิ้งกำลังเรียนอยู่
น้องนิ้งเรียนพิเศษมากพอๆ กับกฤติสมัยประถม ซึ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้นถือว่าเยอะมาก แต่นรินทร์บอกว่าสำหรับตอนนี้มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กประถมจะเรียนพิเศษถึงสองสามทุ่ม
‘ผมน่ะไม่อยาก แต่เนตรเขาอยากให้ลูกเข้ามอหนึ่งโรงเรียน... เขาบอกว่ามันก็ต้องทำแบบนี้แหละ’
‘แล้วคุณก็ยอม?’
‘เราถามความเห็นน้องนิ้ง’ นรินทร์พูดออกมา ใบหน้าหล่อนิ่งเหมือนกับทุกครั้งที่คุยเรื่องครอบครัว ‘ลูกดูสนุกกับการเรียน ผมก็ทำอะไรไม่ได้ สองต่อหนึ่ง ยังไงก็แพ้’อันที่จริงกฤติไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปวุ่นวายกับครอบครัวคนอื่น
สมัยเด็กนั้น กฤติเป็นเด็กที่ต้องเรียนหนักระดับที่เพื่อนร่วมชั้นต่างส่ายหน้าถ้าจะให้เรียนพิเศษเหมือนเขา อันที่จริงวัยเด็กของกฤตินั้นอยู่กับอาจารย์สอนพิเศษมากกว่าพ่อแม่เสียอีก
ซึ่งมันไม่ใช่ชีวิตที่เขาอยากเห็นน้องนิ้งเป็น
ชายหนุ่มค่อนข้างถูกชะตากับเด็กหญิง นิ้งเป็นเด็กน่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย แม้กระทั่งกฤติที่ไม่ใช่คนแสดงออกเก่งยังยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมดเวลาที่อยู่กับลูกสาวนรินทร์
พอมาคิดดูแล้วล่ะก็ เขาไม่ได้เจอน้องนิ้งมานานมากเกินไป
เขาคิดถึงน้องนิ้งและรอยยิ้มเต็มแก้มของเจ้าตัวจัง
“คิดไรอ่ะคุณ”
“...”
“คิดถึงผมป้ะ?”
“...”
“ผมเด็ดนะ อู้วๆ”
อู้วบ้าอะไร!
ลูกสาวน่ารักนะ แต่เกลียดตัวพ่อมันจริงๆ
ยังไม่ทันที่กฤติจะฟาดปากเลขาด้วยฝ่ามืออย่างที่ใจคิด เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเด็กหลายคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านขวามือของพวกเขา ซึ่งเป็นซอยที่แบ่งห้องเรียนเอาไว้หลายห้อง ซึ่งที่ผนังมีรูปสดใสของกิจกรรมที่นักเรียนเคยทำมาติดเอาไว้ให้ผู้ปกครองดู
ยังไม่ทันที่กฤติจะได้ชื่นชมทัศนียภาพรอบตัว โดยมีนรินทร์ที่นั่งยิ้มแห้งกับผู้ปกครองสาวด้านข้างไปมากกว่านี้ เสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยก็ดังขึ้น
“คุณพ่อสวัสดีค่ะ!”
น้องนิ้งที่เดินถือกระเป๋าใบใหญ่ออกมายกมือไหว้คุณพ่อของเธอ เด็กสาวที่กฤติเอ็นดูมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าน่ารักเหมือนเคย ไม่ดูเหนื่อยล้าทั้งที่ตอนนี้ควรจะเป็นเวลาเข้านอนของเด็กประถมได้แล้ว
“น้องนิ้งสวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนแน่ะ คิดถึงมากเลยนะคะ”
“นิ้งก็คิดถึงคุณพ่อค่ะ”
คุณพ่อของเธอรับไหว้ พร้อมกับยืนขึ้นเพื่ออุ้มเด็กสาวขึ้นมาไว้บนอ้อมแขน ทำให้ใบหน้าของเด็กน้อยหันมาทางกฤติที่นั่งอยู่ด้านข้างพอดี
“สวัสดีครับน้องนิ้ง”
ชายหนุ่มคิดว่าเขาตาฝาด แต่เมื่อครู่น้องนิ้งทำหน้าเหมือนกับเห็นปีศาจในชั่วขณะที่เราสบตากัน
“สวัสดีค่ะ…อากฤติ”
เด็กน้อยพูดขึ้นมาในที่สุด ก่อนจะฉีกยิ้มแห้งให้เขา แล้วหันหน้าหนีไปกอดคอคุณพ่อของเธอ พร้อมกับอวดว่าวันนี้ตัวเองสอบได้คะแนนดีแค่ไหนในการเล่นเกมในห้องเรียนเมื่อสักครู่
ประหลาด
น้องนิ้งที่ตามปกติติดเขาแจมากพอๆ กับคุณพ่อของเธอนั้น ตีตัวออกห่างกฤติอย่างเห็นได้ชัด ตลอดทางกลับบ้านเด็กน้อยหลับอยู่ข้างหลัง ขนาดพวกเขาแวะทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหาร เด็กหญิงยังพูดกับเขานับคำได้ ทั้งที่ล่าสุดที่ทานข้าวกันน้องนิ้งยังตักอาหารที่เธอชอบให้เขาอยู่เลย
“นิ้งคิดถึงคุณพ่อมากเลยค่ะ”
เด็กหญิงพูดขึ้นมาขณะที่พวกเขากำลังรอคิดเงิน กฤติมองจานข้าวสวยของตัวเองที่เหลือเกือบทั้งจาน ทั้งที่ตัวเองดีใจที่ได้เจอกับเด็กหญิงอีกครั้ง แต่เหมือนน้องนิ้งไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน
“คุณพ่อก็คิดถึงนุ้งนิ้งค่ะ” นรินทร์ที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อย “อากฤติเองก็คิดถึงหนูเหมือนกัน ใช่มั้ยคะอากฤติ”
“ครับ คิดถึงมากเลย”
“ค่ะ” เด็กหญิงรับคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มประหลาด “หนูก็คิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่เหมือนกันค่ะ”
ทั้งโต๊ะเงียบลงทันทีหลังจากสิ้นเสียงน้องนิ้ง ในขณะที่กฤติได้แต่ฉาบรอยยิ้มใจดีไว้บนใบหน้า นรินทร์ที่ตอนนี้กำลังเลิ่กลั่กพยายามกู้สถานการณ์กลับมาด้วยการดึงหัวหน้าเข้ามาในบทสนทนาอีกครั้ง
“แล้วอากฤติล่ะคะ?”
“... หนูมีการบ้านเยอะมากเลยค่ะ เรากลับบ้านกันได้มั้ยคะคุณพ่อ?”
บรรยากาศบนรถไม่ได้ดีกว่าบนโต๊ะอาหารเลยแม้แต่น้อย ถึงน้องนิ้งจะหลับทันทีที่ขึ้นรถ แต่การงอแงจะนั่งข้างคุณพ่อ ทั้งที่ทุกครั้งที่กฤติขึ้นรถมาพร้อมกับเด็กหญิง ไม่เคยสักครั้งที่น้องจะนั่งข้างหน้าแบบนี้
มันประหลาด
แต่ไม่ไร้สาระ จนจะต้องปัดตกจากความคิด
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว กฤติใช้เวลาเงียบๆ บนรถในการคิดทบทวนว่าตัวเองทำอะไรให้เด็กน้อยไม่พอใจ มันมืดแปดด้าน รับมือยากกว่านโยบายงี่เง่าของบอร์ดบริหาร ก่อนจากกันครั้งสุดท้ายกับวันที่เจอกันครั้งนี้ทำไมน้องนิ้งถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน?
เขาทำอะไรผิดงั้นหรือ?
“คุณ…”
กฤติออกจากภวังค์ของตัวเองเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเรียกตัวเอง คุณพ่อคนเก่งพูดเบาๆ เพราะกลัวว่าลูกจะตื่นขึ้นมา คนขับรถมองสบตาหัวหน้าตัวเองผ่านกระจกมองหลัง แววตาของอีกคนดูเจ้าชู้เสียจนกฤติแอบเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ
“เดี๋ยวผมเอาลูกนอน แล้วเราไปแข่งกันที่ห้องคุณนะ”
“แข่งอะไร?”
“แข่งอะไรก็ได้ แต่ผมมีหางกระต่าย กับส้นสูงอยู่หลังรถ”
“...”
“เมื่อคืนผมฝันว่าคุณเอาส้นสูงเหยียบลิตเติ้ลโน้ต ผมอยากทำให้ฝันเป็นจริง”
“...”
บางทีกฤติก็ไม่อยากให้นรินทร์หน้าตาหล่อตรงสเป็คตัวเองมากนัก เขาจะได้ไม่ต้องหลวมตัวยุ่งกับไอ้บ้ากามนี่ตั้งแต่แรก
คุยกันได้ไม่เท่าไหร่นรินทร์ก็พารถตัวเองมาถึงบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรชื่อดังที่เขาเคยมาครั้งหนึ่ง กฤติมองไปรอบๆ เขาเคยอยากมีบ้านเมื่อช่วงประถมมัธยม เพราะทุกคนพูดเหมือนการซื้อบ้านสักหลังคือนิพพานสูงสุดของชีวิตมนุษย์ที่หารายได้เป็นของตัวเอง
“น้องนิ้งคะ ตื่นได้แล้วนะคะ ถึงบ้านอาเอิร์ธแล้วค่ะ”
“...ค่ะ”
คุณพ่อคนเก่งลูบหัวลูกเบาๆ เมื่อเห็นว่าลูกยกแขนขึ้นมาบิดขี้เกียจ พอเด็กน้อยเริ่มหายงัวเงียแล้ว เธอก็เอ่ยปากถามผู้เป็นพ่อที่กำลังจะอุ้มลงไปจากรถ
“คุณพ่อเอาหนูมาที่บ้านอาเอิร์ธทำไมคะ? หนูนึกว่าเราจะกลับบ้านกันซะอีก”
“เดี๋ยวคุณพ่อมีธุระต่อกับอากฤติค่ะ น้องนิ้งนอนกับอาเอิร์ธแล้วก็คุณแม่ไปก่อนนะคะ”
ใบหน้าเด็กสาวเปลี่ยนเป็นฉงนชั่วครู่ ก่อนจะขมวดคิ้วคล้ายกับไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“คุณพ่อไม่ไปกับคนอื่นไม่ได้เหรอคะ?”
“คนอื่นที่ไหนกันคะ นี่อากฤติไง”
“อากฤติไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่คุณพ่อ คุณแม่ อากฤติคือคนอื่นค่ะ”
คนอื่นงั้นหรือ?
หลังจากคำพูดของเด็กหญิง กฤติรู้สึกคล้ายกับว่าเขาถูกตบหน้าด้วยความจริงบางอย่างที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
สุดท้ายแล้วกฤติก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดี
“ทำไมน้องนิ้งพูดแบบนี้ล่ะคะ? ไม่น่ารักเลยนะ”
นรินทร์ดุเด็กน้อยที่ตอนนี้ทำหน้าคล้ายกับไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม เด็กน้อยหน้าเสียนิดหน่อยซึ่งกฤติไม่โอเค แต่ยังไม่ทันที่กฤติจะได้พูดแก้สถานการณ์อะไร นรินทร์ก็พูดต่อ
“ขอโทษอากฤติเดี๋ยวนี้เลยนะคะ น้องนิ้งพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“ขอโทษค่ะ”
เด็กหญิงพูดขอโทษทันทีคล้ายกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ แต่กฤติไม่ได้ถือสาอะไร อาจจะเพราะเขากำลังคิดว่าตัวเองทำอะไรให้เด็กน้อยไม่พอใจ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า ‘เหตุผล’ นั้นคืออะไร
“หนูขอโทษอากฤติแล้ว คุณพ่อไม่ไปกับอากฤติแค่สองคนได้มั้ยคะ?”
ถึงแม้เด็กน้อยจะพยายามลดเสียงลง แต่กฤติก็ยังคงได้ยินชัดเจนเกินไปอยู่ดี
“คุณพ่อขอเหตุผลค่ะ”
นรินทร์พูดกับลูกสาว ตามปกติแล้วน้องนิ้งเป็นเด็กที่มีเหตุผลเสมอในการกระทำ และครั้งนี้เขาไม่รู้ว่าทำไมลูกที่ดูจะชื่นชอบคุณกฤติถึงได้ขอร้องแบบนี้
“หนู…”
น้องนิ้งพูดแล้วนิ่งเงียบไป บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด จนกระทั่งกฤติเริ่มขยับตัว นรินทร์มองตามหัวหน้าที่ตอนนี้เขยิบเข้ามาใกล้ลูกสาวเขามากขึ้น ชายหนุ่มยื่นมาออกมากุมมือเด็กน้อยเอาไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติ
“น้องนิ้งครับ อากฤติทำอะไรผิดเหรอครับ?”
เด็กสาวกัดริมฝีปากคล้ายกับไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเองออกมา แต่เมื่อหันไปมองที่ผู้ปกครองตัวเองนั้น สายตากดดันของคุณพ่อก็ทำให้เธอยอมพูดออกมา
“ไม่ได้ทำค่ะ” เด็กสาวสั่นหน้า พยายามจะเอามือออกจากการเกาะกุม หากแต่หัวหน้าหนุ่มไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เขายังคงกอบกุมมือน้อยเอาไว้แน่น พร้อมทั้งเขย่าเบาๆ
“งั้นบอกอากฤติหน่อยได้มั้ยครับว่าทำไมถึงไม่อยากให้อากฤติไปกับคุณพ่อ?”
เด็กน้อยเงียบเหมือนกำลังใช่้ความคิดอยู่กับตัวเอง จนสุดท้ายก็ยอมเปิดปากพูดออกมา
“หนูก็ชอบอากฤตินะคะ… แต่หนู…หนูไม่อยากเป็นตัวประหลาดที่มีแม่เป็นผู้ชาย”
“...”
“หนู… ไม่เอาอากฤติเป็นแม่ ไม่อยากได้”
“...”
“หนูยอมเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่รักกันดีกว่าที่จะมีแม่เป็นผู้ชายแบบอากฤติค่ะ”ต่อข้างล่างนะคะ