บทที่ 192 March
“เสร็จพ่องงง” เฟี๊ยตย้อนมาอย่างหงุดหงิด
“ไม่สิตี๋ เสร็จกู ไม่ใช่เสร็จพ่อกู ฮ่าฮ่าฮ่า” ธันยังคงยียวนอย่างสบายใจ
“สัด!” เฟี๊ยตสบถออกมาก่อนจะตัดบทอยู่เพียงเท่านั้น
“ทำไมมึงถึงรู้ว่าเราไม่สามารถโจมตีสองพี่น้องนั้นด้วยอาวุธทางกายภาพได้วะ”
เฟี๊ยตเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปทางกันต์ เพื่อนของเขาแจกคำใบ้ตั้งแต่ต้นว่าการโจมตีด้วยลูกปืนนั้นทะลุผ่านศัตรูไปเฉยๆ ราวกับจะบอกว่าให้หาทางรับมือด้วยวิธีอื่นไว้ได้เลย
“มันมีอุปกรณ์สำหรับป้องกันตัวน้อยเกินไป กูก็แค่ลองสุ่มดูตามสันชาตญาณ และมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดด้วย” กันต์ตอบออกมาโดยตรง
ตัวเฟี๊ยตเองนั้นใช้จิตสัมผัสได้ตั้งแต่ต้นแล้วสองพี่น้องนั้นไม่มีชี่ ซึ่งแปลโดยตรงว่ามันเป็นเพียงแค่การ์ดภายในเกมเท่านั้น แต่การ์ดแต่ละใบก็มีรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างออกไป การจะมาฟันธงว่าการ์ดใบไหนควรจะเอาชนะด้วยวิธีใดนั้นก็เห็นว่าจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
“แล้วพวกมึงรู้ได้ไงว่าต้องเอาชนะฮันเซลด้วยอาหารและเอาชนะเกรเทลด้วยไฟ”
คราวนี้กันต์ถามกลับมาบ้าง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นบ่งบอกว่าประโยคเหล่านี้เป็นไปในทางการชวนคุยมากกว่าต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
“โห่ยยย ใครก็เคยอ่านนิทานฮันเซลกับเกรเทลมั้ง แหม่” ธันตอบมาอย่างขำๆ
“ไม่ดิ รู้ได้ไงว่าฮันเซลต้องอาหาร เกรเทลต้องไฟ ความจริงตอนสองพี่น้องหลงป่าก็มีนี่ ถูกปะ ทำไมไม่เสกป่าขึ้นมาหละ” กันต์ถามต่อ
“ลักษณะภายนอกไง ความจริงการเอาชนะฮันเซลกับเกรเทลด้วยเหตุผลทางความรู้สึกของการหวาดกลัวค่อนข้างเฉพาะตัวมาก ถ้าเกมไม่มีคำใบ้ให้ไว้บ้างก็อาจจะยากเกินไปที่จะเอาชนะได้” เฟี๊ยตตอบตามเหตุผลของตน
“บิกินี่กับความร้อน ความอ้วนกับอาหาร” ธันตอบพร้อมยักคิ้วน้อยๆ
กันต์เองไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากรอยยิ้มน้อยๆ เท่านั้น ความจริงสิ่งที่เฟี๊ยตพูดก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเกมได้มีคำใบ้ไว้ให้มากพอสมควร แต่สองคนตรงหน้าเขานี่ก้าวข้ามไปอีกขั้นโดยสามารถใช้สติในการแก้ปัญหาในช่วงเวลาแค่นิดเดียว เฟี๊ยตและธันถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากจริงๆ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งคือ ทั้งสองคนดูมีทักษะในการรับมือกับการ์ดได้ดีมากก็จริง แต่ยังดูมีความสามารถรับมือกับการจู่โจมจากผู้เล่นด้วยกันเองน้อย ถ้าต่อไปทั้งสองคนมีระดับในเกมที่สูงขึ้นและต้องเจอกับผู้เล่นมากหน้าหลายตายิ่งกว่านี้ ถึงเวลานั้น ความลำบากอาจจะมาถึงคนทั้งคู่นี้เอง
“ว่าแต่ดูเหมือนว่าลุงจะส่งเรามาใกล้เมืองมีนาคมตามคำพูดจริงๆ” กันต์พูดพร้อมยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบไปคนละชั่วอึดใจหนึ่ง
“หือ?” ธันพูดในลำคออย่างงงๆ
กันต์ไม่พูดคำใดออกไป นอกจากชี้นิ้วไปทางด้านหลังของเพื่อนชายทั้งสองคนนั้น เฟี๊ยตและธันกลับหลังหันไปมอง ก่อนจะพบความหมายที่เพื่อนร่วมทีมหมายความถึง
เบื้องหน้าของชายทั้งสามคนในเวลานี้ปรากฏเห็นเป็นเมืองขนาดใหญ่ต่างจากเมืองก่อนๆ ที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง มีนาคมน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ถอดแบบมาจากเมืองอนาคตในจินตนาการอย่างแท้จริง ในขอบเขตของดินแดนแห่งนั้นประกอบไปด้วยตึกรามบ้านช่องขนาดสูงเสียดฟ้ามากมาย แต่ละสิ่งก่อสร้างนั้นดูเต็มไปด้วยโออ่าและทันสมัย ตึกส่วนใหญ่มีรูปทรงที่โดดเด่นทางสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นทรงโค้งมน ตึกที่มีส่วนต่อขยายด้านข้างสยายออกไปคล้ายปีกที่กำลังโบยบินอยู่กลางท้องฟ้ากว้าง มันดูล้ำสมัยราวกับเป็นภาพแห่งอนาคต
ขอบเขตของเมืองนั้นเป็นกำแพงสูงหนาขนาดใหญ่ตัดกับพื้นที่ภายนอกอย่างชัดเจน ในขณะที่ดินแดนภายนอกเป็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ภายในกำแพงนั้นกลับมีความเคลื่อนไหวของระบบคมนาคมที่ดูก้าวหน้าและวุ่นวาย รางรถไฟลอยฟ้าที่แล่นอย่างรวดเร็วบนรางไฟฟ้าที่ฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนอากาศ ยานบินที่มีลักษณะกึ่งเครื่องบินกึ่งเฮลิคอปเตอร์บินเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างตึกสูงเหล่านั้น และเมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าใจกลางของเมืองนั้นเป็นตึกสูงรูปทรงดาบหันคมเข้าหากันสี่ตึก ศูนย์กลางนั้นน่าจะมีลักษณะเป็นลานกว้างหรือหากจะเป็นสิ่งก่อสร้างก็คงจะมีความสูงไม่มาก เพราะไม่อาจสังเกตได้โดยจากดินแดนภายนอกเลย
เมืองมีนาคม เมืองแห่งทุนนิยมสมบูรณ์แบบ!
“โลกอนาคตชัดๆ” เฟี๊ยตรำพันออกมาอย่างเผลอตัว
“สวย สวยมาก”
ถ้าจะพิจารณาว่าใครตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้านี้ที่สุด เห็นทีว่าจะไม่พ้นธัน เด็กหนุ่มมองเมืองใหญ่ตรงหน้านี้อย่างหลงใหล เด็กหนุ่มมีความรู้และสนใจโดยตรงในเชิงสถาปัตยกรรม แต่แน่นอนว่าหลายครั้งภาพในแผ่นกระดาษก็ยากที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นสิ่งก่อสร้างได้ ทั้งด้วยเหตุผลทางด้านต่างๆ มากมาย แต่ภาพตรงหน้านี้เหมือนได้ฉีกออกจากกฎแห่งวิศวกรรมและความเป็นจริงทั้งมวล มันดูสวยงาม น่าค้นหา ราวกับว่ากฎแห่งฟิสิกส์ธรรมดาใดๆ จะผิดเพี้ยนจากสมการไปเสียหมดเมื่ออยู่ในขอบเขตประเทศสถานแห่งนั้น
“ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งทุนนิยมสมบูรณ์แบบ”
กันต์พูดพร้อมกับผายมือไปทางเมืองใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้ ในความเป็นจริงจุดที่พวกเขาออกมาจากโลกใต้ดินนั้นเรียกว่าใกล้เมืองมีนาคมมาก และพวกเขาควรจะมองเห็นเมืองใหญ่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว หากแต่เพียงว่าพวกเขาโดนดักจู่โจมจากสองปีศาจฮันเซลเกรเทลนั่นเสียก่อน เมื่อโดนบ้านขนมหวานครอบอยู่ ทัศนียภาพของเมืองตรงหน้านั่นก็หายไปหมดสิ้น
“ทุนนิยม?” เฟี๊ยตทวนคำอย่างสงสัย
“เมืองมีนาคมเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง ชีวิต ชัยชนะ หรือแม้กระทั่งความถูกต้อง เมืองนี้ไม่มีกฎหมายหรอกนะ เพราะที่นี่ใครมีเงินถูกต้องเสมอ” ชายชุดดำพูดอย่างเรียบๆ
“มึงเคยมาแล้วเหรอวะ” ธันเอ่ยปากถามอย่างสงสัย
“เคยดิ ความจริงเมืองมีนาคมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงของเกมเลยนะ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ สะดวกสบาย และใช้ชีวิตง่าย ขอแค่มีเงินเท่านั้น”
“ยิ่งถ้าเป็นนักเล่นใหม่ๆ แทบจะมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้เป็นเมืองแรกตั้งแต่เข้าเกมทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมใช้เงินเริ่มต้นทั้งหมดที่ได้มาซื้อไพ่เคลื่อนย้ายมาที่นี่เลย” กันต์พูดต่อ
“มันมีอะไรดีวะ”
เฟี๊ยตถามด้วยความสงสัย ความจริงเมืองแต่ละเมืองต่างก็มีไพ่สูงสุดกระจายให้เก็บแตกต่างกันไป รวมไปถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องค้นหาอีก เขาไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะมุ่งหน้ามาที่เมืองเดียวแบบนี้เลย
“คนบางคนเขาไม่ได้เล่นเกมเพื่อหวังจะชนะหรอกนะ เขาแค่อยากจะมีความฝันแบบที่เขาอยากมี อยากที่จะกำหนดความฝันได้ แต่ถ้าจะให้ออกไปผจญภัยข้างนอกนั่นก็คงจะอันตรายมาก คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะหลบอยู่ในเมืองมีนาคม เพราะที่นี่ ขอแค่มีเงิน ผู้เล่นก็จะปลอดภัย” กันต์ตอบคำถาม
“แต่อยู่ในเมืองนี้ต้องใช้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ อยู่ได้พักเดียวเงินก็หมด แล้วต้องทำยังไงต่อวะ จะให้ออกไปรับภารกิจหาเงินข้างนอกก็คงลำบากอยู่ดี” ธันแย้งขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
อันที่จริงแล้ว เฟี๊ยตกับธันอาจจะถือได้ว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ของเกมนี้อยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะในแง่ของการหาข้อมูลข่าวสาร ซึ่งต่างกับกันต์อย่างเห็นได้ชัด เพราะเห็นได้ว่าชายหน้าคมคนนี้ให้ความสำคัญกับข้อมูลมาก ราวกับว่ามันเป็นอาวุธสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่เขาต้องหมั่นลับคมให้พร้อมต่อการใช้งานอยู่เสมอ
เมื่อมาถึงคำถามนี้ กันต์กลับมีท่าทีเหมือนตัดสินใจลำบากอยู่หลายครั้ง วงสนทนานั้นเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ชายหนุ่มทำท่าเหมือนอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ตัดสินใจกลืนคำนั้นลงคอพร้อมกับถอนลมหายใจออกมาสั้นๆ กันต์ตัดสินใจไม่ตกอยู่หลายครั้ง ในขณะที่เฟี๊ยตและธันต่างก็ดูเหมือนจะจับสังเกตตรงจุดนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางใดออกมา
“ความจริงแล้วเงินในชีวิตจริงสามารถซื้อเงินในเกมนี้ได้” กันต์พูดออกมาอย่างตัดสินใจได้ในที่สุดหลังจากอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง
“ตลาดมืด?” ธันเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงคำถาม
“ประมาณนั้น”
‘ไบเบิ้ล’ เฟี๊ยตเอ่ยเรียกสหายอีกคนหนึ่งดังขึ้นในความคิดของตน
“นายท่าน”
เสียงตอบนั้นดังกลับมาแทบจะทันทีทันใดบริเวณตุ้มหูของเขา ระดับเสียงของมันไม่น่าจะดังเกินกว่าที่จะได้ยินคนเดียวได้
‘เกมนี้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างเงินจริงกับเงินในเกมด้วยเหรอ’ ความคิดของเขาดังขึ้นเป็นคำถาม
“ในกติกาของเกม ไม่มีบริการในส่วนนี้ นายท่าน” ไบเบิ้ลเอ่ยตอบกลับมาอย่างฉะฉาน
‘แล้วแบบที่ไม่ใช่กติกาของเกมหละ’
“มีคนแอบซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินกันจริงนายท่าน”
‘ใครและด้วยวิธีการใด’
“คำถามข้อนี้เห็นทีว่าไบเบิ้ลจะจนปัญญาเสียแล้ว เหล่าผู้รังสรรค์เกมนี้ต่างพยายามค้นหาคำตอบสองข้อนี้มาตลอด แต่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังทำไม่สำเร็จลงได้เสียที”
‘พอจะรู้อัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ไบเบิ้ล’
“แสนต่อล้าน นายท่าน”
‘หนึ่งบาทจริงต่อสิบเหรียญเกม?’
“แสนต่อล้าน นายท่าน หนึ่งแสนบาทไทยแลกได้หนึ่งล้านเหรียญเกม อัตราเริ่มต้นอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าอยากแลก ต้องเริ่มที่หนึ่งแสนบาทเท่านั้น นายท่าน!”
ติดตามการอัพเดตตอนใหม่ :
www.facebook.com/allornonetheauthor