Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 25
“เกาะนี่น่ะเหรอที่สายข่าวบอกมา” พิชช์ฌานพึมพำในลำคอพลางกระชับเสื้อโค้ทตัวใหญ่ที่สวมอยู่ มือขวาคนสนิทละสายตาจากกล้องส่องทางไกลหันมาหาเจ้านาย
“ใช่ครับ สายข่าวจากทางตำรวจสากลบอกมาว่าเรือต้องสงสัยเข้าไปจอดเทียบท่าที่เกาะแห่งนี้เมื่อคืน แต่ไม่แน่ใจว่ามีคุณอัยย์อยู่ในเรือด้วยหรือเปล่าครับ เพราะเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจค้นรายงานว่าไม่มีอะไร เป็นแค่เรือหาปลาธรรมดา”
“ก็ต้องลองดู” นักการเมืองหนุ่มพูด ดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ
“คุณฌานจะไปด้วยจริงๆเหรอครับ”
“คิดว่าฉันจะนั่งรอฟังข่าวอยู่บนนี้เฉยๆหรือไง”
“แต่ว่ามันอันตรายมากนะครับ ผมว่าไม่คุ้ม...มันอาจเป็นกับดักหรือข่าวลวง”
“หลอกฉันไปฆ่าอย่างนี้น่ะเหรอ...หึๆ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “คิดว่าฉันจะกลัวไหม” พูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกน้องอีกคนก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูเจนภพเบาๆ สีหน้าของคนสนิทเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมทันที “มีอะไรอีกรึ”
“ข่าวบอกว่าท่านนายกฯไปสนามบินครับ อาจจะมุ่งตรงมาที่นี่”
พิชช์ฌานลอบถอนหายใจอย่างหนักอก ไม่รู้ว่าท่านนายกฯไตรคุณเพียงแค่เป็นห่วงบุตรชายเรื่องระเบิดหรือว่าทราบข่าวเรื่องอาคิราห์หายตัวไปกันแน่ ขอให้เป็นเรื่องแรกทีเถอะ
“เราต้องเร่งมือหน่อยแล้ว ทีมตำรวจมาหรือยัง...เราจะปล่อยให้ตำรวจเข้าไปก่อน แล้วเราค่อยตามเข้าไปหาคนของเรา จำเอาไว้ว่าห้ามฆ่าใครเด็ดขาด เพราะถ้ามีการพิสูจน์หลักฐานเกิดขึ้นแล้วรู้ว่าไม่ใช่กระสุนของตำรวจ เราจะลำบาก” ชายหนุ่มสั่งการณ์ลูกน้อง งานนี้จะยอมให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเขาแทรกแซงอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ อาศัยหมายตรวจของตำรวจบังหน้าเพื่อให้คนของเขาขึ้นฝั่งไปตามหาอาคิราห์ได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้น
เจนภพพยักหน้ารับ เขาพยายามทัดทานเจ้านายหลายครั้งแล้วให้เจ้าตัวรออยู่แค่บนเรือที่จอดอยู่นอกชายฝั่งแต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง
ผู้ชายเกือบยี่สิบคนในชุดสีดำปลอดกลมกลืนกับความมืดแฝงเร้นกายขึ้นฝั่งตามหลังทีมตำรวจที่ขึ้นเคลียร์ทางให้ก่อนแล้วจนโล่งสบาย พิชช์ฌานเร่งฝีเท้าตามหลังจนกระทั่งถึงจุดนัดพบที่ปลอดภัย เจนภพหันกลับมาด้วยท่าทางละล้าละลัง
“รีบตามพวกตำรวจไป ฉันจะรอฟังข่าวอยู่ที่นี่”
“ผมเป็นห่วงคุณฌาน”
“อาคิราห์น่าเป็นห่วงกว่า” พิชช์ฌานตอบเรียบๆ “ฉันไว้ใจนายนะเจนภพ ช่วยอาคิราห์ให้ได้”
“ครับคุณฌาน” เจนภพสบตาเจ้านายแล้วก้มศีรษะลงต่ำ จากนั้นก็ส่งสัญญาณกับลูกทีมที่เหลือขยับตัวเร้นหายไปในความมืดของตรอกซอยรอบตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตามหลังทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปบุกตรวจค้นยังที่ๆข่าวบอกมาว่าเป็นแหล่งค้ามนุษย์
พิชช์ฌานทนนั่งสงบจิตสงบใจรอฟังข่าวจากทีมได้ไม่นานก็ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่มีข่าวจากเจนภพติดต่อกลับมาเลย
“ทำไมถึงเงียบจริงๆ ลองติดต่ออีกทีซิ” เขาหันไปสั่งลูกน้องที่นั่งคุ้มกันอยู่เคียงข้าง ครู่ใหญ่เจนภพก็ติดต่อกลับมา
“เป็นยังไงบ้าง บุกค้นหรือยัง” เขากรอกเสียงลงไปทันที
“บุกแล้วครับ แต่ว่าไม่เจอใครเลย เจอแต่ร่องรอยว่ามีคนเคยอาศัยอยู่เท่านั้น” ลูกน้องตอบกลับมา คนฟังกำมือแน่น
“ขอตำแหน่งหน่อย ฉันจะไป”
“ไม่ได้ครับคุณฌาน อันตรายครับ”
“ขอพิกัดด้วยเจนภพ” พิชช์ฌานย้ำ อีกฝ่ายถึงได้ยอมตอบกลับมาสั้นๆ
ชายหนุ่มเดินแกมวิ่งตามหลังลูกน้องไปอย่างเงียบเชียบ ในใจแทบลุกเป็นไฟด้วยกลัวว่าจะสายเกินไป ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายที่เป็นอาคารร้างเก่าๆเขาก็ยิ่งเครียด ชายผ้าห่มสีเข้มปลิวไสวห้อยลงมาจากหน้าต่างด้านบนเห็นผ่านแสงไฟข้างทางที่มืดสลัวเป็นตัวอักษรสากลขอความช่วยเหลือ
“คุณฌานครับ” เจนภพปราดเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว “ทีมตำรวจกำลังสะกดรอยตามต่ออยู่ครับว่าพวกมันไปที่ไหน คงจะได้รายละเอียดเร็วๆนี้”
“พาฉันขึ้นไปข้างบน” พิชช์ฌานสั่งสั้นๆ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ไม่ได้ครับ ตำรวจล้อมเอาไว้เป็นเขตห้ามเข้าเพื่อเก็บหลักฐาน แต่ว่าผมแอบได้สิ่งนี้มา” มือขวาพูดเสียงเบา ส่งของสิ่งนั้นให้พิชช์ฌานรับเอาไว้
มันคือผ้าพันคอของเขาที่เจ้าบู้บี้ยึดเอาไปใช้นั่นเอง ....หัวใจของพิชช์ฌานเต้นแรงขึ้น สภาพของมันเปื้อนโคลนและคราบสกปรกต่างๆแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ แต่ว่ากลิ่นคุกกี้รสนมอ่อนๆของคนใช้ก็ยังแฝงอยู่ให้ได้กลิ่นจางๆ
“ของอาคิราห์...แสดงว่าเขาอยู่ที่นี่แน่” ชายหนุ่มคำรามในคอ รู้สึกมีความหวังมากขึ้น เขากำผ้าพันคอผืนนั้นเอาไว้แน่น กวาดตามองรอบเมืองที่เงียบสงัด...ได้แต่หวังว่าจะได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
ขอร้องล่ะอาคิราห์...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะ
......................................................................
“คุณ...” คนที่พิชช์ฌานกำลังตามหาอยู่นั้นกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับคนๆหนึ่งในห้องรับรองที่เหมือนห้องนอน ผู้ชายคนนั้นหันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้อาคิราห์แทนคำทักทาย
“ไม่เจอกันนานนะครับ..คุณอัยย์” เสียงทุ้มๆดังลอดออกมาจากริมฝีปากประกอบด้วยหนวดเคราครึ้ม เขาดูโทรมกว่าตอนแรกที่เคยเจอกันมากทีเดียว อาคิราห์คิดในใจพลางก้าวถอยหลังไปสามก้าว แปลกใจมากจริงๆที่เจออีกฝ่ายในห้องนี้
นึกว่าจะเป็น ‘ท่าน’ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนเสียอีก
“คุณจักรกฤต”
“เป็นเกียรติจริงๆที่คุณอัยย์ยังจำชื่อของผมได้อยู่นะครับ” อดีตนักการเมืองร่วมพรรคของพิชช์ฌานพูดขึ้นยิ้มๆ มองดูอาคิราห์ด้วยสายตาที่เหมือนหมาป่ามองลูกแกะ “เชิญนั่งคุยกันก่อน ดีไหมครับ” ชายหนุ่มผายมือไปยังเตียงใหญ่กลางห้อง อาคิราห์ส่ายหน้า เหลือบตามองหาทางหนีเอาตัวรอด
ห้องนั้นเป็นห้องทึบที่ไม่มีหน้าต่าง ถ้าไม่ได้เครื่องปรับอากาศก็คงอุดอู้หายใจไม่ออกเป็นแน่ นอกจากเตียงกลางห้องกับโต๊ะที่วางเทียนประดับแล้วก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรให้พอใช้เป็นอาวุธได้อีก
“ผมจะยืนคุยตรงนี้ คุณมีอะไรก็ว่ามา”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ผายมือออกกว้างแล้วทิ้งมือลงข้างตัวพลางหัวเราะเบาๆ
“โอเค คุณคงไม่ไว้ใจผมกระมัง อาจจะแปลกใจว่าทำไมถึงได้เจอผมที่นี่...ใช่ไหมครับ”
“ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ คนเลวแบบคุณก็ดูเหมาะกับที่นี่ดีอยู่แล้ว” อาคิราห์หลุดปากออกไป สายตาของอีกฝ่ายเป็นประกายวูบขึ้นมาทันที
“หึ...คิดดีแล้วหรือที่จะว่าผมแบบนี้ ระวังจะเข้าตัวสามีของคุณเอานะครับ” จักรกฤตพูด ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย คนฟังขมวดคิ้ว
“คุณต้องการอะไรกันแน่ พาตัวผมมาทำไม” อาคิราห์ถามเสียงห้วนขึ้น
“จะให้ผมบอกตามตรงหรอครับว่าต้องการอะไร” คนพูดกวาดตาลงมองต่ำที่กลางลำตัวของร่างโปร่งบางที่มีเพียงผ้ากั้นเอาไว้ชั้นเดียวอย่างจาบจ้วง “คุณอยากรู้จริงเหรอ”
อาคิราห์ถอยกรูดไปยืนพิงประตูเอาไว้ ลูกบิดถูกล็อคจากด้านนอกไม่มีทางเปิดออกไปได้แน่ เขาครุ่นคิดอย่างตื่นกลัว ท่าทางของจักรกฤตไม่ได้บอกว่าพูดเล่นเลย
แต่จะหาทางหนีออกจากห้องนี้ก็คงไม่ง่าย ถึงเขาจะต่อสู้ป้องกันตัวเป็นแต่อีกฝ่ายสูงกว่าเขาเป็นฟุต ถ้าสู้กันหนักๆคงมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่นับว่าฝ่ายนั้นอาจจะมีอาวุธอะไรซ่อนเอาไว้อีกด้วยนะ
“เอาอย่างนี้ เราคุยกันก่อน ...ตกลงกันก่อนได้” เขารีบพูดขึ้น ตั้งสติเข้าไว้อาคิราห์ “คุณเป็นเจ้าของที่นี่งั้นหรือ”
“คิดว่ายังไงล่ะ” จักรกฤตยักไหล่
“โอเค ...งั้นคุณพาตัวผมมาที่นี่คงไม่ได้มีจุดประสงค์แค่เรื่องบนเตียงหรอกใช่ไหม เรื่องนั้นมันเรื่องเล็กน้อยมาก ไว้ ‘คุย’ กันทีหลังก็ยังได้”
“คุยกันตอนนี้เลยดีมั้ย”
“ไม่...คือว่า...คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมจู่ๆผมถึงขึ้นเรือมาที่นี่” อาคิราห์พูด
จักรกฤตชะงักไป เลิกคิ้วมองหน้าเขาอย่างครุ่นคิด
“น่าสนใจ...ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างคุณอาคิราห์ อลันไตรจะขึ้นเรือหนีออกนอกประเทศมาทำไม” ชายหนุ่มถอยกลับไปยืนคุมเชิงไม่ห่างนัก “แล้วยังไงต่อครับ ผมกำลังฟังอยู่”
อาคิราห์คิดหาเหตุผลเร็วรี่
“ผมมีข้อแลกเปลี่ยน” คิ้วของคนฟังขมวดมุ่น อาคิราห์เลยรีบพูดต่อเนิบๆ “จาก ‘ท่าน’ ตัวจริง”
คราวนี้แววตาของจักรกฤตเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้จะวูบเดียวแต่ก็มองเห็นได้จากสายตาที่จ้องจับอยู่ อาคิราห์ได้ใจ พยายามรักษาท่าทางสงบเนิบนาบเอาไว้
“ท่านไหน ประเทศเราก็มีหลายท่านอยู่นี่นะ”
“ก็ท่านที่คุณพยายามติดต่อไงล่ะ” เขาตีขลุมหน้านิ่งทั้งที่มือเย็นเฉียบ “ท่านให้ผมมาต่อรองกับคุณ”
“งั้นรึ” จักรกฤตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า “แล้ว ‘ท่าน’ ว่าอย่างไรบ้างล่ะ” ชายหนุ่มพูดต่อมาด้วยท่าทางสนใจขึ้นเล็กน้อย
“ท่านสนใจที่จะร่วมงานกับคุณ” อาคิราห์พูดเสียงเรียบ นึกภาวนาในใจให้อีกฝ่ายเชื่อทีเถอะ “และก็มีข้อเสนอดีๆรอให้คุณติดต่อกลับไปพร้อมกับผม”
“พร้อมกับคุณหรือ....นายจักรกฤตคนนี้มีค่ามากขนาดยอมส่งคุณอาคิราห์มาต่อรองเลยงั้นเชียว”
“ท่านให้เกียรติคุณมาก คุณก็ควรจะให้เกียรติท่านเช่นกัน” คนฟังพยักหน้าเนิบๆ
“แล้วสามีของคุณล่ะ เขาไม่ว่าหรอที่เมียมาเที่ยวต่อรองนอกเกมลับหลังเขาแบบนี้”
“เขาไม่รู้” อาคิราห์กระซิบ “และถ้าคุณสนใจล่ะก็ ..ผมมีความลับของเขามาแบ่งปันอีกด้วย”
“คุณคิดว่าผมจะเอาความลับของพิชช์ฌานมาทำอะไร ในเมื่อผมออกจากวงการเมืองแล้ว”
“ถ้าคุณออกจากวงการการเมืองจริงก็คงไม่พาผมมาที่นี่...คุณแค้นเขาไม่ใช่เหรอ เอาไว้จัดการเขาสิ”
“คุณหักหลังสามีตัวเองงั้นเหรอ” จักรกฤตผิวปากยาว “น่าสนใจ ...น่าสนใจมาก”
“ผมไม่เคยหักหลังใคร ผมแค่มีแนวทางของผม...ถ้าคุณสนใจจะรับข้อเสนอของท่านและข้อเสนอพิเศษของผม เราก็มาคุยกันในสภาพที่..ดีกว่านี้ ดีไหมครับ ....ผมไม่ชอบชุดนี้เอาเสียเลย”
“หึๆ” คนฟังหัวเราะ “แต่ผมชอบชุดนี้ของคุณนะ ชอบฝีปากของคุณด้วย ถ้าคุณคิดจะเป็นนักการเมืองล่ะก็ อาจจะไปได้รุ่งทีเดียว...” โอเมก้าตัวเย็นเฉียบด้วยความลุ้นระทึก จักรกฤตก้าวเข้ามาหาเขาจนเกือบชิด อาคิราห์เกร็งตัวแต่ฝืนเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วคล้ายไม่สนใจ “..แต่ว่าถ้าคิดจะเป็นนักต่อรองล่ะก็ ...ยังห่างชั้นนัก”
“คุณอยากได้อะไรอีกงั้นหรือ ผมมีข่าวเด็ดของพิษฌานเพียบเลยนะ” เขาพูดรัวเร็ว
“ได้ข่าวว่าไอ้พิชช์ฌานมันหลงโอเมก้าหัวปักหัวปำไม่ใช่หรือ ผมก็ชักอยากรู้แล้วสิว่าจะ ‘เด็ด’ สมคำร่ำลือหรือเปล่า” นัยน์ตาเรียวยาวเจ้าเล่ห์จับจ้องแทะโลมไปทั่วร่างที่สวมชุดล่อแหลม ยิ่งอีกฝ่ายเผลอแสดงความกลัวออกมาให้เห็นเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
“เราไปต่อรองกันบนเตียงน่าจะดีกว่านะ” จักรกฤตพูดกลั้วหัวเราะ คว้าแขนเรียวบางเอาไว้แน่นลากไปที่เตียงอย่างไม่ปรานีปราศรัย อาคิราห์อุทานขืนตัวเอาไว้เต็มที่แต่ก็สู้แรงที่มากกว่าของอัลฟ่าไม่ได้
“ข่าวเด็ดก็คงสู้คลิปเด็ดของเมียมันไม่ได้หรอกจริงไหม”
“อย่านะ...อย่ายุ่งกับผม ปล่อยผมนะ” เขาถูกเหวี่ยงขึ้นไปนอนบนเตียงตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่ตามขึ้นมาคร่อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว อาคิราห์กลัวจับใจ ยกมือขึ้นต่อยไม่ยั้งทว่าอีกฝ่ายกลับรับเอาไว้ได้สบายๆ เขาเสียเปรียบทั้งเรื่องรูปร่างและตำแหน่งที่ถูกกดเอาไว้กับเตียงทั้งตัว
กลิ่นเหล้าและบุหรี่ผสมกับกลิ่นตัวทะลักเข้าจมูกจนสำลัก อาคิราห์กรีดร้องออกมาพร้อมกับดิ้นรนอย่างแรง เขาอาศัยทีเผลอจิ้มนิ้วใส่ลูกตาของจักรกฤตจนอีกฝ่ายอุทานผงะถอยไปด้วยความเจ็บปวด เจ้าโอเมก้ารีบลุกขึ้นอย่างตะลีตะลานลงจากเตียง แต่แล้วก็ถูกมือใหญ่คว้าปลายกระโปรงยาวเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรง มันขาดดังแควกติดมือของจักรกฤตไป
ช่วงล่างเปลือยเปล่าสีน้ำผึ้งสว่างเนียนทำเอาคนมองตาพร่า อัลฟ่าหนุ่มคำรามลั่นกระโจนลงจากเตียงมาหาด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าแล้วก็ลากร่างแบบบางกลับไปที่เตียงนอนตามเดิม อาคิราห์ทั้งทุบทั้งตีเต็มที่ ขาก็ถีบเตะไม่หยุดไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำได้ดั่งใจ เสียงหอบหายใจปนกับเสียงร้องตะโกนดังลั่นทั่วห้อง
“ปล่อยนะ”
“โอ๊ย!” เจ้าโอเมก้าก้มลงงับที่หูของอัลฟ่าจมเขี้ยวแล้วกระชากออก รสคาวจัดของเลือดติดที่ปลายลิ้นของเขาแต่อาคิราห์ไม่มีเวลามาสนใจอีก เขาตะเกียกตะกายลงจากเตียงอีกครั้ง
จักรกฤตร้องโหยหวนด้วยความเจ็บ เขาเลือดขึ้นหน้าเพราะความเจ็บปวด ก้าวพรวดเดียวกระชากร่างทั้งร่างขึ้นมาตบเปรี้ยงเข้ากกหูจนหูลั่นกริ่ง อาคิราห์เซวูบเกือบล้มลงกับพื้น อีกฝ่ายก็กระชากคอเสื้อเอาไว้แล้วยกมือขึ้นจะต่อยหน้าท้องของอาคิราห์
โอเมก้าใจหาย รีบทิ้งตัวลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นแทบเท้าของอัลฟ่าที่โกรธจัด
“อย่าทำผมเลย ผมท้อง...อย่าทำผม”
คำว่าท้องทำให้อัลฟ่าชะงักไปทันที จักรกฤตเบิกตากว้างอย่างงุนงงแกมตกใจ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขากระชากหลังคอเสื้อของโอเมก้าให้ลุกขึ้นมายืนตรงหน้า
“คุณอาคิราห์ตั้งท้องงั้นหรือ”
“ชะ...ใช่” อาคิราห์ไม่แน่ใจแล้วว่าการบอกออกไปทำให้เรื่องเลวร้ายลงอีกหรือเปล่า น้ำตาร้อนๆไหลลงอาบสองแก้มด้วยความกลัว กลั้นสะอื้นเอาไว้ในลำคอ “คุณคงไม่ทำอะไรคนท้อง มันบาป”
“คิดว่าผมจะเชื่อไหม”
“ผมท้องจริงๆ สาบานได้” อาคิราห์ยกนิ้วขึ้นมาสาบาน “คุณจักรกฤต ผมรู้ว่าถึงคุณจะเป็นอย่างไรก็ไม่รังแกคนท้องหรอก จริงมั้ย”
อีกฝ่ายหรี่ตาลง ปล่อยมือจากคอเสื้อของอาคิราห์แล้ววางฝ่ามือแนบลงที่กลางท้องของโอเมก้า
“ในนี้...มีลูกของไอ้พิชช์ฌานอยู่แน่ใช่มั้ย”
“ใช่” อาคิราห์พยักหน้ารับ ใจมาเป็นกองที่เห็นท่าทางอีกฝ่ายอ่อนลง แต่แล้วก็กลับซีดเผือดเมื่อรอยยิ้มย่องบนใบหน้านั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองขนลุกไปทั้งตัว ...มันเป็นรอยยิ้มที่วิปริตจนน่าตกใจ
“คนท้อง...ท้องอยู่เสียด้วย” จักรกฤตพูดซ้ำ ประคองกึ่งบังคับให้ร่างโปร่งบางเดินไปที่เตียง “คนท้องก็ต้องเบามือหน่อยถูกไหม ไม่อย่างนั้นท้องน้อยๆจะช้ำเสียหมด” มือหนักๆกดที่หลังของอาคิราห์บังคับให้ก้มลงกับเตียง พอโอเมก้าขัดขืนก็เปลี่ยนเป็นรัดรอบคอเอาไว้ “คุณอาคิราห์คงไม่ทราบว่าผมมีความเมตตาต่อคนท้องเป็นพิเศษ”
“หมายว่ายังไง” อาคิราห์พูดอย่างยากลำบากเพราะถูกแขนรัดรอบคอเอาไว้แน่นเข้า เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดมาจากด้านหลังพร้อมกับมือหยาบกร้านที่ลูบไล้แผ่นหลังของเขาลงไปยังบั้นท้ายเปลือยเปล่า อาคิราห์ขนลุกซู่ด้วยความรังเกียจ ขยับจะยกขาขึ้นเตะข้างหลัง ร่างสูงใหญ่ก็เข้าประชิดอย่างรู้ทันจนขยับตัวไม่ได้เพราะโดนล็อคเอาไว้ทุกทาง
รู้สึกถึงริมฝีปากและหนวดที่ซอนไซ้อยู่ที่หลังคอ มืออีกฝ่ายก็วนเวียนอยู่แถวขาอ่อน อาคิราห์หนีบขาเข้าหากันแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“อย่าทำผม ปล่อยผมเถอะ ฮึก...อย่าทำผม” เขากรีดเสียงออกมา ในใจนึกถึงใบหน้าคมเข้มของพิษฌานขึ้นมาเป็นคนแรก “พิษฌาน...อยู่ไหนฮึก อ๊ะ ..อย่า” ความขยะแขยงพุ่งสูงขึ้นจนอาคิราห์เข่าอ่อนทิ้งตัวลงกับที่นอน ท่อนแขนที่รัดรอบลำคอแน่นมากทำให้หายใจลำบาก อาคิราห์หน้ามืดเหมือนคนใกล้จะเป็นลม ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว
“ไหนดูซิ มุมนี้จะเห็นหน้าโอเมก้าคนสวยชัดพอหรือเปล่านะ” จักรกฤตพูด แลบลิ้นเลียแก้มเนียนไร้สีเลือดของอาคิราห์ “นุ่มนิ่มไปทั้งตัวแบบนี้นี่เอง ไอ้พิชช์ฌานถึงได้หลงนัก” ไม่พูดเปล่า จักรกฤตกระชากกระดุมเรียงเม็ดด้านหลังชุดออกเผยให้เห็นแผ่นหลังนวลเนียนและเอวคอด รับกันดีกับสะโพกที่ผายออกได้รูป “เซ็กซี่เป็นบ้า” ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างพอใจ ฟาดมือลงไปบนผิวเนื้อแน่นกลมกลึง
อาคิราห์สะดุ้งเฮือก เมื่อครู่นี้เขาหมดสติไปพักหนึ่งเหมือนคนเป็นลม ใบหน้าและลำตัวท่อนบนแนบอยู่กับเตียง ช่วงล่างคุกเข่าอยู่ที่พื้นโดยมีไอ้จักรกฤตกำลังยืนปลดตะขอกางเกงของตัวเองอย่างเร่งรีบ
โอเมก้านึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือขึ้นมาตามด้วยใบหน้าของพ่อแม่พี่ชายฝาแฝด เขาไม่โทษใครนอกจากตัวเองที่หาเรื่องจนกระทั่งต้องมาถูกกระทำเช่นนี้ ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา อาจมีคนสมน้ำหน้าในความโง่งม หวังว่าพ่อจะยกโทษให้ลูกชายโอเมก้าที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ แม่คงจะไม่รู้สึกอะไรต่อให้เขาอยู่หรือจากไปก็ตาม อาจจะมีแค่อคินทร์ที่น่าจะร้องไห้ถ้าเขาไม่อยู่แล้ว
ความหมดหวังเข้าครอบงำจิตใจ อาคิราห์ตระหนักในวินาทีนั้นว่าเขาเป็นคนที่เฝ้ารอความช่วยเหลือจากคนอื่นมาตลอด ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรก็มักจะมีคนคอยช่วยโอบอุ้มชี้แนะจนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งตอนนี้...ตอนที่กำลังจะถูกข่มขืนอยู่ที่เกาะห่างไกลกลางทะเล เขาก็ยังคาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยอยู่นั่นเอง
แต่สุดท้าย...ก็ไม่มี ไม่มีใครช่วยเขาได้นอกจากตัวเอง ...นัยน์ตาคมเข้มปรากฎขึ้นในความคิด พิชช์ฌานคงไม่ได้ตามหาเขาอย่างที่เขาคิดหวัง หรือถึงตามก็คงไม่มีทางเจอ
อาคิราห์กัดริมฝีปากด้านในจนได้รสคาวเลือด ทิ้งตัวลงกับที่นอนเหมือนคนไม่ได้สติ รอจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอเพราะคิดว่าเขาไม่รู้สึกตัว จักรกฤตขยับเข้ามาชิดพลางเอื้อมมือมาสัมผัสที่กลางกาย อาคิราห์นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วก็รวบรวมแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดกระแทกตัวไปทางด้านหลังเต็มแรง
...ถ้าเขาหนีออกไปไม่สำเร็จ เราคงไม่ได้เจอกันอีก
................................................................................
“เจ้านายครับ” เจนภพกระซิบเรียกชายหนุ่มที่นั่งกอดอกนิ่งรอฟังข่าวอย่างเคร่งเครียดอยู่นั้น พิชช์ฌานหันขวับมาทันที “เจอตัวแล้วครับ อยู่ที่ตึกถัดไปไม่กี่บล็อกนี่เอง”
นักการเมืองหนุ่มลุกขึ้นยืน
“จริงหรือ ใช่อาคิราห์หรือเปล่า”
“คิดว่าน่าจะใช่ครับ จากรูปลักษณ์ที่ข่าวบอกมา ตอนนี้ทางตำรวจกำลังเตรียมแผนบุกเข้าไปอยู่ครับ”
“ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเป็นอาคิราห์” พิชช์ฌานพึมพำ “ถ้าข่าวออกไปว่าเป็นอาคิราห์จะยิ่งไปกันใหญ่ ...เจนภพ เราต้องพาตัวอัยย์ออกมาก่อนที่ตำรวจจะบุกเข้าไปเจอ”
“ได้ครับคุณฌาน ผมจะจัดการเอง”
“แต่เราต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้ด้วย” ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น “ฉันคิดว่านายกฯน่าจะรู้ข่าวแล้วถึงได้มาด้วยตัวเอง เชื่อเลยว่านักข่าวต้องได้กลิ่นแล้วแห่กันมาแน่ ...เจนภพ เอาอย่างนี้ดีกว่า เปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด...” หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านพูดช้าๆ อธิบายแผนการใหม่ล่าสุดให้คนสนิทฟังอย่างละเอียด งานนี้เขาจะพลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
เพราะนอกจากชีวิตของอาคิราห์แล้ว ยังหมายถึงชีวิตนักการเมืองของตนเองด้วย
เจนภพกับทีมแฝงกายเข้ามาประชิดอาคารเป้าหมายตามข่าวที่แอบดักฟังมาจากตำรวจ มันเป็นตึกแถวสามชั้นที่ด้านหน้าเปิดเป็นร้านอาหารธรรมดา ยังได้ยินเสียงพูดคุยเฮฮาแว่วมาเป็นระยะ ส่วนข้างหลังติดกับตรอกซอยเล็กๆดูเงียบเชียบตรงข้ามกับด้านหน้า ประตูปิดสนิทไม่มีคนเฝ้าให้ผิดสังเกต
ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนรออย่างใจเย็น เสียงเครื่องดักฟังบอกว่าตำรวจเริ่มภารกิจกันแล้ว เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นสายตำรวจทำทีเดินมาเคาะเรียกประตูข้างหลัง สักพักก็มีคนเปิดออก
คนเปิดประตูเปิดเพียงแค่แวบเดียวก็รีบกระชากปิดคล้ายรู้ตัวว่าหลงกล ทว่าไม่ทันแล้วเพราะถูกเจ้าหน้าที่ที่ซุ่มรออยู่บุกเข้าไปอย่างรวดเร็ว เจนภพนิ่งฟังเสียงต่อสู้และเสียงปืนพักหนึ่งแล้วก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องบุกตามเข้าไปตามแผน