หลงตะวัน : 10
หลุดปากขอแต่งงานได้ยังไง... แม้แต่แหวนสักวงยังไม่มี
แล้วอีกอย่าง ประเทศไทยแม่งไม่มีกฎหมายรองรับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอีกต่างหาก... ทำไมวะ?
ผมไม่สนใจกฎหมาย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าทะเบียนสมรสมันสำคัญ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนสองคนที่รักกัน ถึงไม่สามารถแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันโดยชอบธรรมได้ เพียงเพราะเรามีเพศสภาพที่เหมือนกัน
ถึงอย่างนั้นผมก็อยากแต่งงาน... อยากมีอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกมันมาไกลขนาดนี้ ถลำลึกขนาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร ยิ่งใกล้ชิด ก็ยิ่งพบว่ามันคือความสุขที่ยากจะสรรหาได้จากที่ไหน... เป็นครั้งแรกเลยที่คนที่พอใจกับการใช้ชีวิตไปวันๆ ล่องไปลอยมาอย่างผม จะคิดถึงการมีอนาคตร่วมกับคนอื่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาเป็นความธรรมดาในชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้
ถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายรอบว่าทำไม... มันก็ไม่มีคำตอบอื่น นอกจากผมอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับไอ้ตี๋ มีมันอยู่ข้างๆ แบบนี้ต่อไป ไม่ต้องตลอดกาลก็ได้ แค่ทุกวัน... จนกว่าจะแก่ตาย
แต่ผมใจร้อนเกินไป เอาแต่ใจถามออกไปโดยลืมว่ามันยังมีปัจจัยอีกหลายเรื่องที่ต้องเอามาคิดก่อนตัดสินใจ
เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมคิดถึงเป็นเรื่องแรกเลย คือครอบครัว... ผมมัวแต่คิดว่าความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคนจนลืมไปว่าในความเป็นจริงเรายังมีคนอื่นรอบตัวที่มีความสำคัญเกินกว่าจะมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาไป
จริงอยู่ว่าครอบครัวผมไม่ใช่พวกซีเรียสอะไร ป๊ากับแม่ไม่เคยมาก้าวก่ายชีวิตรักของผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้บอก และไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะคิดยังไงที่อยู่ๆ ผมก็หันมาคบกับผู้ชาย แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือครอบครัวไอ้ตี๋... ผมไม่เคยถาม จึงไม่รู้พื้นเพเลยสักนิดว่าครอบครัวมันเป็นแบบไหน... ผมยังจำได้เรื่องที่พ่อไอ้ตรีไม่ยอมให้มันคบผู้ชาย กว่ามันกับพี่เชนจะฝ่าฟันมาได้ก็ถึงขั้นแตกหักกันไปทีหนึ่ง... พอคิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ถ้าหากว่ามีครอบครัวของเราคนใดคนหนึ่งเกิดรับไม่ได้ล่ะ... จะเป็นยังไง
ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนพี่เชน ไม่ได้อดทนเก่งเหมือนไอ้ตรี ไม่รู้วิธีจัดการแก้ปัญหายากๆ ในชีวิตเลยสักนิด ติดจะเป็นคนขี้ขลาดด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาหลายๆ ปัญหาผมมักจะเลี่ยงการเผชิญหน้า ตีหน้าเฉไฉ ใช้การกระณีประนอมเข้าว่าจนบางทีก็คาราคาซังกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวตามมาทีหลัง
แต่คราวนี้ผมจริงจังเกินกว่าจะปล่อยผ่าน...
ผมอยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน อย่างน้อยถ้ามันจะเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ผมต้องฝ่าฟัน ผมก็อยากรู้และหาวิธีรับมือกับมัน
“โช...” ผมส่งเสียงเรียกงัวเงียเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้าของตักที่ใช้หนุนต่างหมอนก่อนนอนหายไป
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยลืมตาลุกขึ้นมากวาดสายตาไปทั่วห้องนอนที่ตอนนี้ไม่มีสัมภาระอื่นนอกจากเตียง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเงาของคนที่มองหา ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนอนมาทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา
เป็นไปตามคาด ไอ้ตี๋อยู่ข้างนอกจริงๆ ผมหลุดยิ้มออกมาแล้วลากเท้าบิดขี้เกียจเข้าไปหาเจ้าของร่างเล็กที่กำลังง่วนกับการเดินไปเดินมาแถวชั้นวางของในห้องนั่งเล่น
“ทำอะไร” เอ่ยถามพลางคว้าเอวบางมากอดไว้ สูดกลิ่นกาย ซุกหน้าลงกับไหล่แบบที่ชอบทำ
“หือ? ตื่นแล้วเหรอครับ” คนในอ้อมแขนส่งเสียงประหลาดใจก่อนจะหมุนตัวกลับมาตอบคำถาม “ผมกำลังจะแพ็คกล่องสุดท้าย เลยลองมาเช็คดูว่าลืมเก็บอะไรหรือเปล่า”
ผมเลิกคิ้ว มองไปยังกล่องกระดาษที่ตั้งเรียงอยู่ในห้องรับแขกแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จำได้ว่าก่อนผมจะอิดออดขอนอนพักมันยังเหลืออีกประมาณสามสี่กล่องที่ยังแพ็คไม่เสร็จ แต่ตอนนี้ทุกกล่องถูกปิดเทปกาวและวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมสำหรับขนย้าย อาทิตย์นี้เรามาขลุกอยู่ในห้องผมตอนกลางวันเพื่อเก็บของกัน เหนื่อยก็พัก หยิบหนังสือมาอ่าน หลับสักงีบก่อนไปทำงานที่ร้าน แล้วกลับไปนอนห้องไอ้ตี๋ วนอยู่แบบนี้ทั้งอาทิตย์จนถึงกำหนดย้ายออกในวันพรุ่งนี้
“หนีมาแพ็คของเนี่ยนะ” ผมบ่น
น่าตีว่ะ แทนที่จะรอกัน ผมขอหลับแป๊บเดียวเอง
แต่พอเห็นผมงอแงคนตรงหน้ากลับหัวเราะ “แพ็คเสร็จก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ไม่ชอบเวลาตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าอ่ะ” ผมอ้อน รัดอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางโน้มตัวแตะหน้าผากลงไปกับหน้าผากใส ถูจมูกตัวเองเข้ากับปลายจมูกโด่งจนคนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วตีหน้ายุ่งเหมือนทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้
รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเขิน แต่หนีไปไหนไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะฟัดแก้มนิ่มๆ สักที แต่แกล้งได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นว่ามือที่ยกขึ้นมาดันอกผมกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ ก้มลงมองก็พบว่ามันคือซองบุหรี่ยี่ห้อโปรดที่ซื้อมาตั้งนานแล้วแต่ใช้ไปเพียงไม่กี่มวน
“ซันยังใช้อยู่มั้ย?” เงยหน้าขึ้นมาถามทั้งที่ดวงตาเรียวฉายคำตอบที่ตัวเองต้องการออกมาชัดเจน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแย่งซองบุหรี่มาโยนใส่ถุงขยะที่อยู่ไม่ไกลแล้วส่ายหน้า
“เลิกแล้ว” ผมไม่ได้ติด อันที่จริงระยะหลังมานี่ไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ เพราะมีอย่างอื่นให้สนใจเกินกว่าจะนึกถึงมัน
แล้วอีกอย่างที่สำคัญกว่านั้น คือผมเป็นห่วงสุขภาพของไอ้ตี๋ “พอดีคนแถวนี้ป่วยง่ายอ่ะ ไม่อยากเพิ่มควันพิษ”
พอได้ยินเหตุผล ‘คนแถวนี้’ ที่ว่าก็ตีหน้าบึ้งกลับมาทันที
“ควรเลิกเพราะห่วงสุขภาพตัวเองดีกว่านะครับ” เป็นประโยคที่โคตรน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง พลางดันหลังร่างเล็กเข้าไปติดเคาน์เตอร์วางของข้างทีวีที่ตอนนี้ว่างเปล่า
“โอเค...” อุ้มขึ้นไปนั่งบนนั้น แทรกตัวอยู่ระหว่างขาเรียวพลางเงยหน้ามองใบหน้าใสที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูงกว่าแล้วเปลี่ยนคำตอบใหม่
“เลิกเพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งตาย ไม่ทันได้เห็นคนแถวนี้ตอนแก่ดีมั้ย” ช้อนตามองด้วยสายตาของลูกหมาที่กำลังขอรางวัลจากเจ้านาย
อยากจูบแทบตาย แต่เพราะเผลอใช้โควต้าของตัวเองไปแล้วตั้งแต่เช้าเลยได้แค่คลอเคลีย ไล้จมูกไปกับแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อทั้งที่เจ้าตัวกำลังทำหน้าเหนื่อยหน่ายกับลูกอ้อนที่ผมหยิบมาใช้จนอีกฝ่ายรู้ทัน
“นิสัยเสียจริงๆ” แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังหลุดขำ บ่นพึมพำก่อนจะจับหน้าผมให้อยู่นิ่งๆ แล้วทาบริมฝีปากลงมา
เราตกลงกันไว้ว่าห้ามผมจูบเกินวันละครั้ง... แต่กรณีที่คุณเขาเป็นฝ่ายจูบก่อนผมไม่นับ ดังนั้นผมไม่ได้ทำผิดกติกา
“หึ” หลุดหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ ขณะดึงคนตัวเล็กเข้ามาแนบกายพร้อมกับเผยอริมฝีปากล่อลวงให้เรียวลิ้น
ร้อนล่วงล้ำเข้ามาง่ายๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว
สัมผัสแผ่วเบา เจือไปด้วยความเขินอาย แต่ทว่าหวานล้ำจนทำให้หัวใจผมเต้นเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังเร็วกว่าเข็มวินาที...
และคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ริมฝีปากแตะกันนานกว่านี้ เมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงขีดกำจัดความอดทนจึงถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง มองริมฝีปากบางที่ผมอยากครอบครองซ้ำๆ คลี่ยิ้มหวาน ขณะที่หน้าผากยังแตะกัน ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ยังทาบอยู่บนหน้าเกลี่ยแก้มผมเบาๆ พลางกดปลายจมูกลงมาหยอกล้อกับปลายจมูกผม คลอเคลียไปมาอยู่นานจนกระทั่งผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ ก้มหน้าลงซุกกับไหล่บางพลางบ่นพึมพำ
“หิวแล้วอ่ะ ไปกินข้าวกัน”
เฉไฉแดกข้าวไว้ก่อนแล้วกัน ก่อนจะตบะแตกเผลอแดกอย่างอื่นขึ้นมาจริงๆ
กินข้าวเย็นเสร็จก็เพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ พวกเราเลยไปที่ร้านก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง ไอ้มิ่งยังไม่ออกกะด้วยซ้ำ แต่พี่โมดูเหมือนจะมีธุระ ตรงเคาน์เตอร์เลยมีไอ้ตัวเสนอหน้ามาทำแทน
“เฮ้ย พี่ซันมาพอดี” พอเห็นหน้าผมมันก็ทักเหมือนกำลังรออยู่ทันที ผมเลยเลิกคิ้วตีหน้ากวนกลับไป
“อะไร?” มือข้างหนึ่งยังจับมือบางไว้ ดึงให้เดินตามมานั่งที่โต๊ะว่างหน้าเคาน์เตอร์เพราะรู้ว่ามันกำลังหนีไปทำงานทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา
“มีคนมาหาพี่อ่ะ” ไอ้นายพยักหน้าไปทางโต๊ะหนึ่งด้านหลังที่ผมไม่ทันสังเกตตอนเข้ามาว่ามีใบหน้าของคนคุ้นตานั่งอยู่ และตอนนี้มันก็กำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาคล้ายกับมีบางอย่างอยากจะบอก
“ไอ้ตรีอ่ะนะ...” กำลังนึกสงสัยว่าถ้าไอ้ตรีมาหาจะบอกทำไม แต่ไม่ทันไรก็ต้องหยุดชะงัก รู้แล้วว่าคนที่ไอ้นายหมายถึง
ไม่ใช่ไอ้เพื่อนสนิทที่โผล่หัวมานั่งแช่อยู่ในร้านแทบทุกวัน
“ไม่ใช่ ผู้หญิงที่อยู่กับพี่ตรีดิ”
ไม่ต้องเอ่ยย้ำก็รู้ เมื่อ ‘ผู้หญิง’ คนที่ว่าหันกลับมายิ้มให้ ใบหน้าแสนคุ้นเคยที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ยังคงฉายแววสดใส ทว่าดูเจ้าอารมณ์ไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เจอ
“คุณนาย...” เผลอหลุดสรรพนามคุ้นปากออกมา ในขณะที่รับรู้ได้ว่าฝ่ามือของอีกคนที่กุมไว้ ค่อยๆ ถูกดึงออกไปพร้อมกับร่างเล็กที่ถอยห่างพลางยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับ”
เพราะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ไอ้ตี๋จะรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร ถึงได้รักษาระยะห่างระหว่างผมไว้... เหลือเพียงสถานะเพื่อนคนหนึ่งของลูกชาย
ป๊ากับแม่ผมแต่งงานเร็วและวางแผนมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะอยากคุยกับลูกได้เหมือนเพื่อนมากกว่า แต่หลังจากมีพี่ชายคนโตกับพี่สาวคนรองผมก็ไม่ได้คุมกำเนิด อีกสิบปีให้หลังเลยมีผมขึ้นมา... เรียกว่าผิดแผนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ความผิดพลาด
ออกจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำเพราะการเป็นลูกคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ๆ เป็นสิบปี ทำให้ผมได้รับการประคบประหงมเหมือนมีพ่อแม่สี่คน ได้รับความรักจากครอบครัวจนล้น ถูกตามใจสารพัดมาตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็แค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวก็ได้ แทบไม่เคยถูกขัดใจเลยตั้งแต่เกิดมา
ครั้งเดียวที่ร้ายแรงจนถึงขั้นจำได้ก็คือตอนที่คุณนายไม่ยอมให้ผมเรียกแม่เพราะไม่อยากแก่ เป็นเรื่องไร้สาระที่ทุกคนในบ้านมองว่ามันขำ แต่ผมกลับเถียงหน้าดำหน้าแดง ก่อนที่สุดท้ายผมจะประชดเรียกคุณนายว่าคุณนายจนติดปากชินหูมาจนถึงทุกวันนี้
“เหมือนรู้เลยอ่ะว่ากำลังอยากเจอ” ว่าพลางกอดเอวบางไว้ ดันร่างผู้ให้กำเนิดเข้าไปในห้อง ขณะที่แม่กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์โล่งๆ ที่ได้มาตั้งแต่ตอนเช่า
“อยากเจอแล้วทำไมไม่ไปหาล่ะ”
“คุณนายกับป๊านั่นแหละเที่ยวเพลินจนไม่ติดต่อมา”
หลังจากโยนกิจการที่มีอยู่ให้พี่ทั้งสองคนป๊ากับแม่ก็วางแผนเที่ยวรอบโลกกันทันที ช่วงไหนเดินทางก็จะหายหน้าหายตาเป็นเดือนๆ เหมือนไม่รู้ว่าโลกนี้เค้ามีโซเชียลมีเดียให้ติดต่อกัน ถึงจะเป็นห่วง แต่พวกเราสามพี่น้องก็ลงความเห็นกันว่าจะแค่ตามอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ป๊ากับแม่เที่ยวอย่างสบายใจ ขอแค่ให้ส่งข่าวเป็นระยะ หรือคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็ติดต่อกลับมาบ้างก็พอ
“แล้วป๊าไม่มาด้วยเหรอครับ” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ปกติสองคนตัวติดกันจะตาย ทำตัวเหมือนข้าวใหม่ปลามันทั้งๆ ที่อยู่กินกันมาหลายสิบปี
“ดูหลานอยู่บ้านนู่น” แม่ตอบ “ฉันมาหาเพราะซีกับแซนด์บอกว่าซันจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่รีสอร์ต”
ซีคือพี่ชายคนโตของผม คนที่ตอนนี้เป็นทั้งพี่ใหญ่ และคุณพ่อของลูกชายวัยเก้าขวบคนหนึ่ง ส่วนแซนด์คือพี่สาวคนรองที่นอกจากจะเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของผมแล้ว ยังเป็นแม่จริงๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามขวบและกำลังจะมีลูกสาวอีกคนในอีกสี่เดือน
“แล้วนี่เก็บของเสร็จหรือยัง” กวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้ง เหมือนสำรวจของตกค้างเหมือนที่ใครอีกคนเพิ่งทำ
ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้า “หมดแล้วครับ มีคนมาช่วย” แม่เลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ถามว่าใคร กลับหันมามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
“ซันจะหางานทำเองจริงๆ เหรอ”
ทุกคนในบ้านเข้าใจแบบนั้นตั้งแต่ผมหันมาเรียนสายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารโรงแรมอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร ป๊ากับแม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำตามใจ และคอยซัพพอร์ตให้เท่าที่จำเป็น
“ครับ” ผมตอบ พลางทิ้งตัวลงนอนบนตักที่แสนคิดถึง กอดเอวซุกหน้าลงกับหน้าท้องนุ่มๆ แล้วถูไปมา “คุณนายไม่ต้องห่วงเลย ซันดูแลตัวเองได้”
“รู้แล้ว เข้าใจตั้งแต่มาขออนุญาตทำงานร้านกาแฟแล้ว” แม่หัวเราะ พร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ขยี้ลงมาบนหัวแรงๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
ผมหัวเราะบ้าง ผละหน้าออกมานอนมองเจ้าของใบหน้าต้นแบบของตัวเองที่ชราตามวัย แต่กลับมีดวงตาที่สดใสเหมือนสาวสะพรั่งแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง รู้สึกอุ่นใจจนคิดว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายวัน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด
ไม่มีทางเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะรับไม่ได้ในสิ่งที่ผมเป็น
“คุณนาย... ถ้าซันไม่เหมือนคนอื่น คุณนายจะผิดหวังมั้ย” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ก็ตัดสินใจลองเชิงถามออกมา
“หือ?” แม่เลิกคิ้ว มองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยขำๆ “ซันเคยเหมือนใครด้วยเหรอ”
“โห่ คุณนาย~” ผมลากเสียงงอแง แม่หัวเราะพลางลูบหัวผมเบาๆ
“มีอะไรก็ว่ามา”
คงเพราะจับได้ว่าผมมีบางอย่างอยากจะพูดจึงเปลี่ยนเป็นถามด้วยน้ำเสียงใจดี ผมเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดสิ่งที่คิดไว้
“แม่... ซันมีคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตแล้วนะ”
ลุกขึ้นนั่งเพื่อสบตาให้รู้ว่ากำลังจริงจัง “แต่ถ้าไม่ใช่คนที่แม่กับป๊าหวัง จะเป็นไรมั้ย”
ถึงจะคิดเอาไว้ว่าคงไม่ถูกต่อต้านอะไร แต่ก็อดเผื่อใจไว้ไม่ได้ ว่ามันอาจไม่ง่ายอย่างที่ต้องการ
“ซันอยากแต่งงานกับเค้า แต่ซันมีหลานให้แม่แบบพี่ซี พี่แซนด์ไม่ได้นะครับ”
“...”
“คนที่ซันรักเป็นผู้ชาย”
แม่จ้องหน้าผมนิ่งสักพัก ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ พลางถอนหายใจ “ว่าแล้วเชียว”
“หือ?” ผมเลิกคิ้วกับปฏิกิริยาของแม่เมื่อได้ยินคำสารภาพของผม
ว่าแล้วเชียว? หมายความว่าไง
“ซีบอกหมดแล้วเรื่องข่าวลือที่ซันคบผู้ชาย ตอนเจอตรีก็เลยลองถามดู แต่ตรีบอกให้มาถามซันเอง แต่แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง”
“อ้าว...” ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน
“คนที่เดินมาด้วยกันที่ร้านกาแฟใช่มั้ย” แม่เลิกคิ้ว ในขณะที่ผมยังไม่เลิกประหลาดใจ
“รู้ได้ไง”
“โอ้โห ก็ลูกชายเล่นเดินจับมือกันมาซะขนาดนั้น คิดว่าฉันไม่เห็นหรือไง” แกล้งเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูอ่อนโยนอีกครั้ง “ซันจริงจังใช่มั้ย”
“อื้อ” ผมพยักหน้ารัวๆ ขยับเข้าไปใกล้ กอดเอวแม่ไว้ แล้วถามเสียงอ้อน “แม่ไม่ว่าเหรอครับ”
“ตกใจ แต่ไม่ว่า” ดวงตาของแม่ยังคงอ่อนโยน ขณะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ “แต่ตกใจกว่า ที่ซันพูดออกมาว่าอยากแต่งงาน"
"..."
"ดูซันจะรักคนนี้มาก”
“ครับ รักมาก” ผมยิ้ม แล้วทิ้งตัวลงหนุนตักแม่อย่างผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไปด้วยดี “อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตเหมือนป๊ากับคุณนาย”
พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ลูบหัวผมไปมาแล้วเริ่มถามต่อ
“ชื่อโชกุนใช่มั้ย” ผมพยักหน้า ตอนอยู่ในร้าน ไอ้ตี๋มีโอกาสได้แนะนำตัวสั้นๆ แล้วขอปลีกตัวไปทำงาน ส่วนผมกับแม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระกับไอ้ตรีต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะพาออกมาเพราะแม่ถามว่าเก็บของเสร็จหรือยัง
“อยากคุยด้วยสักหน่อย แต่ซันก็ลากออกมาก่อน”
ผมหัวเราะ แล้วแกล้งพูดติดตลก “กลัวถ้ารู้ว่าเป็นแฟน คุณนายจะวีนใส่มันไง ห้ามแตะเชียว คนนี้หวงมาก”
จำได้ดีว่าสายตาที่มองมายังผมกับแม่เป็นระยะ เต็มไปด้วยความกังวล คงเพราะผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพื่อบ่งบอกสถานะระหว่างเรา ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากบอกแม่ด้วยตัวเองก่อน ยังไม่อยากให้ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เพราะถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ คนที่จะเจ็บตัวที่สุดคงไม่พ้นไอ้ตี๋
ผมอยากแน่ใจก่อนว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้โดยไม่ทำร้ายจิตใจมัน
“คบกันมานานหรือยัง” แม่เปลี่ยนคำถามหลังจากแกล้งย่นหน้าหมั่นไส้ใส่ผม
“เพิ่งคบกันครับ แต่รู้จักมานานแล้วนะ มันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับซันด้วย” ถึงตอนมัธยมแทบเรียกไม่ได้ว่ารู้จักก็เถอะ
“เดี๋ยวจะโชว์รูปสมัยมัธยมให้ดู คุณนายต้องตกใจแน่ ไม่เหมือนตอนนี้เลย” ผมว่าพลางล้วงกระเป๋าตังค์หยิบรูปถ่ายเก่าๆ ที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งใบออกมายื่นให้แม่ดู
“คนนี้เหรอ?” แม่เบิกตากว้าง ชี้ไอ้ตี๋ที่อยู่ไกลๆ
ผมหัวเราะ “ใช่ ไม่เหมือนเลยเนอะ”
แม่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะยื่นรูปกลับมา
“มันพยายามแทบตายเลยนะกว่าจะเหลือตัวเท่านี้” ผมบอกกลั้วหัวเราะ นึกถึงนิสัยจุกจิกกับการกินของมันแล้วนึกขำ
เดี๋ยวจะขุนจนกลับไปอ้วนเหมือนตอนนั้นให้ดู
“แล้วที่ซันชอบเขานี่ เพราะเขาดูดีขึ้นงั้นเหรอ”
“หึ ไม่เกี่ยวเลย” ผมส่ายหน้ารัว “ไอ้ตี๋เป็นคนดี”
“เป็นคนน่ารักมาก จนอยากจะรู้จักให้เร็วกว่านี้” ผมมองรูปในมือ มองดวงตาเป็นประกายของไอ้ตี๋แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
เคยคิดว่าถ้าได้เห็นมันมองใครแบบนี้อีกครั้งจะทำให้สมหวัง... ไม่ทันคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นตัวเองที่ถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้องมา
ดวงตาที่ทำให้ผมมีความสุขจนไม่อยากจะแบ่งปันให้ใคร
“อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว ไม่น่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าตั้งหลายปี”
“บางทีคนที่ใช่ ก็ต้องมาในเวลาที่เหมาะด้วย เหมือนฉันกับป๊าไง กว่าเราจะรักกันได้ก็คลาดกันอยู่ตั้งนาน...”
“พอเลยคุณนาย” ผมแย้ง ก่อนแม่จะเริ่มเล่ามหากาพย์ความรักของตัวเองให้ฟังเป็นรอบที่ล้าน “วันนี้คุณนายต้องฟังเรื่องของซัน ห้ามเล่าเรื่องตัวเอง”
แม่ทำหน้าหมั่นไส้ใส่ผมอีกรอบเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะก้มหน้ามองผมด้วยสายตาจริงจังทว่าเจือไปด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง
“ตอนนี้ซันมีความสุขใช่มั้ย” มือบางขยับลูบหัวผมไปมา
“ครับ” พอได้ยินคำตอบ แม่ก็พยักหน้าพอใจ
“ดีแล้ว... ไม่ว่าเรื่องอะไร แม่อยากให้ซันมีความสุข รู้ใช่มั้ย” ผมยิ้มบ้าง เมื่อสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองของแม่เปลี่ยนไป
“ไม่ต้องถามเลยว่าแม่กับป๊าจะผิดหวังมั้ย เพราะซันไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”
“...”
“ซันเป็นลูกชายที่ดีที่สุดเท่าที่ในชีวิตแม่คนหนึ่งจะมีได้ เข้าใจมั้ย” ผมยิ้มกว้าง พยักหน้ารัวๆ รู้สึกเหมือนหัวใจได้รับสารอาหารเต็มอิ่มขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดแบบนี้
กับบางครอบครัวมันอาจเป็นเรื่องแปลกที่มานั่งพูดหวานๆ ใส่กันแบบนี้ แต่กับครอบครัวเรา มันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราต่างเชื่อว่าคำพูดดีๆ การแสดงออกว่ากำลังภูมิใจในตัวกันและกัน เป็นสิ่งง่ายๆ ที่เติมพลังชีวิตได้ดีกว่าวิตามินใดๆ
“ถ้าเข้าใจก็พาโชกุนไปที่บ้านได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกให้ป๊าเลื่อนทริปเนปาลไปอีกสักสามสี่เดือน”
คราวนี้ผมหัวเราะลั่น กอดเอวแม่ไว้ ถูหน้าไปมา แล้วเอ่ยเอาใจ
“แม่ใคร ทำไมทั้งสวยทั้งใจดี”
หลังจากคุยกันอีกสักพัก ผมก็พาแม่ไปส่งที่รีสอร์ต เพราะไหนๆ ก็มาเลยถือโอกาสไปตรวจความเรียบร้อยด้วยซะเลย ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง เลยไม่ทันได้บอกไอ้ตี๋ว่าวันนี้จะค้างกับแม่ แถมคุณนายก็เอาแต่เม้าท์มอยเรื่องไปเที่ยวให้ผมฟังจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เช้าวันใหม่เข้าไปแล้ว
ผมลาแม่แล้วกลับมาที่หอไอ้ตี๋ตอนหกโมงเช้าพอดี เข้าใจว่าป่านนี้ไอ้ตี๋คงหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีแสงไฟในห้องรับแขกลอดออกจากช่องใต้ประตูเข้ามาที่ทางเดิน พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าร่างของคนที่กำลังคิดถึงนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาในสภาพชุดทำงาน แถมยังสวมแว่นตาไว้อีกต่างหาก
ทำไมมานอนนี่วะ...
หรือว่ารออยู่?
ผมเลิกคิ้วกับตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ใบหน้าใส ดึงแว่นตาออกให้อย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้ตื่น
“กลับมาแล้วเหรอครับ” แต่สุดท้ายไอ้ตี๋ก็รู้สึกตัวจนได้ มันถามเสียงงัวเงียพลางขยี้ตา
รออยู่จริงๆ ด้วยอ่ะ
ผมหัวเราะเบาๆ วางแว่นที่เพิ่งถอดให้ ก่อนจะปีนขึ้นไปเบียดตัวบนโซฟาแคบๆ สอดแขนให้หนุนต่างหมอนแล้วกดจูบลงที่หน้าผากเบาๆ
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าจะนอนค้าง” ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบผม เกลี่ยไปทั่วใบหน้าง่วงงุนที่ดูน่ารักเกินไปจนใจสั่นไปหมด
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงงัวเงียตอบกลับมา พยายามลืมตาทั้งที่มันดูหนักอึ้งจนเหมือนจะปิดลงทุกที
ท่าทางจะเพลียน่าดู ยิ่งช่วงใกล้สอบ ไอ้ตี๋ก็ยิ่งยุ่ง ทั้งเรื่องอ่านหนังสือ เรื่องร้าน แถมมันยังต้องมาช่วยผมแพ็คของเก็บห้องทั้งวันอีก
“แล้วแม่ซัน...” ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมา แต่ว่าไม่ทันจบก็ชะงัก คิ้วขมวดนิดๆ ด้วยสีหน้ากังวลแบบที่ผมเห็นในร้าน
ผมรู้ว่ามันจะถามอะไร ถึงได้ยิ้ม จรดหน้าผากลงกับเจ้าของหน้าผากใสที่ใกล้หลับเต็มที คลอเคลียปลายจมูกไปมา ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ปิดเทอมนี้จองตัวนะครับ” มองสีหน้างุนงงปนงัวเงียแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะงับปลายจมูกคนน่ารักเบาๆ แล้วบอกความตั้งใจ “จะพาไปบ้าน”
“...!?” พอดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ผมก็หลุดหัวเราะออกมา
“ไปนะ” แกล้งอ้อนถาม พลางกดจูบหนักๆ ลงไปบนแก้มทั้งสองข้าง
“...”
“นะ” พอเห็นว่ามันยังไม่หายตะลึงก็แกล้งงับปลายจมูกอีกรอบ แล้วเลื่อนไปที่หน้าผากหนึ่งที
“นะๆๆ” กลับมาคลอเคลียปลายจมูกเข้าด้วยกัน พลางส่งสายตาออดอ้อน จนกระทั่งเห็นดวงตาเรียวฉายแววเข้าใจ แล้วอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ผมจึงยิ้มกว้างไล่ริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง
“ไปหาป๊ากับแม่กัน”
หยุดคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปาก รั้งรออยู่สักพัก จนเจ้าของดวงตาเรียวค่อยๆ หลับตาลงอย่างฝืนความง่วงไม่ไหว จึงทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังทิ้งรอยยิ้มไว้บางๆ
ไม่ได้ล่วงล้ำหรือตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจเหมือนเคย เป็นเพียงจูบแผ่วเบา เพื่อบอกให้สบายใจ... ไม่มีอะไรต้องกังวล
แค่อยู่ในอ้อมกอดผม แล้วหลับฝันดีก็พอ
---------------------------------------------------------------
เวลาเขียนนิยายอีกเรื่องที่สนุกคือการคิดปูมหลังตัวละคร
ตั้งแต่คิดคาร์แร็กเตอร์ ก็ต้องคิดไปถึงว่าเค้าเกิดมาในครอบครัวแบบไหนทำไมถึงเป็นคนแบบนี้
อย่างคาแร็กเตอร์ซัน เราว่าถ้าเขามีครอบครัวแบบนี้คงน่ารักดี สำหรับเรามันสมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นแบบนี้
เพราะได้รับความรักมามาก ก็เลยแบ่งปันคนอื่นได้มาก ถูกใส่ใจมามาก ก็เลยใส่ใจคนอื่นมากๆ เหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันก็ขี้งอแงเอาแต่ใจมากๆ ด้วย 55555
อาจไม่ใช่คาแร็กเตอร์พระเอกในฝัน แต่เชื่อว่าคนอ่านก็คงเอ็นดูนางเหมือนกันใช่มั้ย เนอะ
อีกสองตอนจะจบแล้วว
รอหน่อยนะ ช่วงนี้วุ่นๆ ไม่ค่อยมีเวลาเขียนเลย
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่ะ