...จะไม่มีช่องว่าง ระหว่างเรา...ชิพ&แดน Series <<<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...จะไม่มีช่องว่าง ระหว่างเรา...ชิพ&แดน Series <<<  (อ่าน 430283 ครั้ง)

hasuzz

  • บุคคลทั่วไป
อ่านรวดเดียวจนทันแล้วค๊าฟฟฟ  o7

สองถาคแรกอ่านแล้้วปวดตับเลยทีเดียว - -

ส่วนภาคนี้ก็ดูหวานแหววกันดี (เหรอ ?)

ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านกันน๊า

ออฟไลน์ Doodleberry®

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ในที่สุดก็ตามทันแย้ววววววววววว  :laugh:

ภาคนี้ขอแบบ happy ending นะคะ

อิ อิ

แต่ทำไมเหมือนมีแววว่าจะเศร้าเลย หวังว่าคงไม่หักมุมนะคะ

สังหรณ์ใจตั้งแต่ชิพอ่านเซียมซีแย้วอ่า  :serius2:

YO DEA

  • บุคคลทั่วไป

thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะรู้หัวใจตัวเอง มันจะสายไปรึเปล่านะครับ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหัวใจของแดนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าชิพคิดยังไง

เชื่อหัวใจตัวเองหน่อยนะครับ

 :กอด1:

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
นั่นจิ จบเศร้ามา 2 ภาคแล้ว ภาคสุดท้ายขอจบหวาน ๆ มั่งเหอะ จะเศร้าไปไหน

ออฟไลน์ Arbutis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
วันจันทร์ผมมีสอบด้วย ฮือๆ เอาเป็นว่าพร่งนี้มาต่อตอนต่อไปแล้วกัน อีกแค่5ตอนก็จบแล้วนะครับ :m1:

เรื่องต่อไป คงต้องขอเป็นปีหน้านู่นเลยนะครับ  :a11:

รักทุกคนมาก ขอบคุณอยู่เสมอ ขอบคุณครับ :pig4: :pig4: :pig4:

ปล. ยืนยันคำเดิม นิยายเรื่องนี้จบแบบ... :m13:


บทที่ 21



       วันที่เหนื่อยล้าจากการทำงานได้หมดไปอีกหนึ่งวันแล้ว พร้อมๆกับวันเวลาในการอยู่ประเทศญี่ปุ่นของผมก็เหลือน้อยลงทุกที T-T

      เริ่มตั้งแต่เข้าพบลูกค้าตอนเช้า งานของผมไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ติดสอยห้อยตาม ดูการทำงาน แล้วก็คอยเป็นเลขาฯดูแลเอกสารกับช่วยเรื่องการสื่อสารอะไรเล็กน้อย มีคนไทยของบริษัทเราที่ประจำอยู่ประเทศญี่ปุ่นด้วยสองคน ซึ่งหนึ่งในนั่นเป็นคนจดชวเลขให้ชิพทั้งหมดเพราะผมจดไม่เป็น =_=”

       ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า...ว่าชิพดูเคร่งเครียดกับงาน พยายามเลี่ยงคำพูดกับผม จะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่านะ?

      แต่ตอนเย็นที่เราไปดื่มเบียร์กับลูกค้าเขาก็ยังคงยิ้มหัวเราะ เพียงแต่ยังมีการมองงอนๆมาที่ผมบ้างเป็นบางครั้ง...ช่างเถอะ ผมก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว

       

       เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆ ชิพเดินนำผมขึ้นมาถึงห้องสูทของเรา ร่างสูงเดินเร็วมากจนเกือบตามแทบไม่ทัน...เฮ้อ วิ่งตามออกกำลังกายอีกแล้ว

       เปิดประตูเข้ามา ยังไม่ทันสังเกตว่ากระเป๋าและข้าวของทุกอย่างได้ถูกเก็บลงใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ชิพเดินไปคว้ากระเป๋าของเค้า ผมงงๆ

       “นี่คุณจะไปไหน?”

      ร่างสูงในโอเวอร์โค้ตสีครีมหยุดกึก หันมามองพร้อมทั้งเอ่ยเรียบๆ

       “คืนนี้เราไม่ได้นอนที่โอซาก้า”

      วะ...ว่าไงนะ?

      โอ้ว ไม่นะ!!!!

       ผมกะชวนเขาไปเดินเที่ยว ขึ้นชิงช้าชมวิวแถวๆย่านอูเมดะสักกาหน่อย

       ม๊าย~~~

       “นี่คุณจะบอกผมว่าเราต้องกลับเมืองไทยกันคืนนี้น่ะเหรอ?”

      สีหน้าของผมคงเหว๋อมาก...ก็มันช็อคจริงๆนี่ อุตสาห์ได้มาญี่ปุ่นทั้งทีแบบนี้ ให้กลับง่ายๆได้ยังไงกัน ไม่ยอม ฮึ๊ย~!!

      ชิพเห็นสีหน้าของผมแล้วก็หัวเราะเบาๆ

       “ไม่ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นก็ได้ ผมหมายถึง คืนนี้เราจะไปเกียวโตกัน ผมซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซนไว้เรียบร้อยแล้ว”

      ได้ยินดังนั้น...ไอ้กิเลสที่จะได้เที่ยวต่อก็ทำเอาหูตาลายฟังไม่รู้เรื่องไปสามสิบวินาทีเต็ม นี่หมายความว่าผมจะได้เที่ยวต่อแล้วใช่มั้ย? เย้ ยิบปี้!!!~~~

      “แต่...ทำไมคุณไม่เห็นบอกผมเลย ว่าต้องไปเกียวโต”

      “ก็ ผมคิดว่ามันจะเซอร์ไพรส์คุณ”

      “แล้ว...เราต้องไปทำงานที่นั่นหรือ? ผมไม่ยักรู้ว่าคุณต้องไปพบลูกค้าที่เกียวโต”

      เราก้าวเข้ามาในลิฟต์ ชิพยื่นกุญแจห้องให้ผมเอาไปคืน

       “ว่าไง? คุณต้องไปพบลูกค้าอีกเหรอครับ?”

      “จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่คุณก็ถือซะว่าได้ไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเป็นของแถมแล้วกัน ส่วนผมมีธุระที่ต้องทำนิดหน่อย”

      รถลิมูซีนจอดหึ่งๆรอเราอยู่ข้างนอก ผมรีบทำการเช็คเอ๊าท์แล้วตามไปหาชิพซึ่งนั่งรออยู่แล้ว รถเคลื่อนตัวสู่สถานีรถไฟทันที

       “ที่เกียวโต...มีบริษัทของลูกค้าด้วยเหรอ?”

      บรรยากาศเงียบๆทำให้อดถาม(ซอกแซก)ไม่ได้ ชิพที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไม่หัน แต่ยังคงจ้องออกไปอย่างไร้จุดหมาย

       “เปล่าหรอก เผอิญผมมีเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันอยู่ที่นั่น อีกอย่างงานของเราที่โอซาก้านี่ก็เสร็จแล้ว เลยถือโอกาสให้คุณได้ไปเที่ยวเมืองเก่าๆอย่างเกียวโต-นาราไง ไม่ชอบเหรอ?”

      ไม่ชอบงั้นเหรอ? ฮะๆๆๆ รักเลยล่ะ >.< ได้เที่ยวต่ออีกตั้งหนึ่งวันแหนะ

       “แล้วคุณต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

       ชิพส่ายหน้า “ผมไปทำธุระแปบเดียว เดี๋ยวก็กลับ คุณเที่ยวให้สนุกเถอะ”

      ท้ายเสียงออกแนวประชดเล็กน้อย

       “ชิพ?...”

      ผมเอื้อมไปจับมือเขา โห ทำไมมันเย็นเชียบแบบนี้

       “ผมว่าดีซะอีก...คุณจะได้ไม่มีผมอยู่ใกล้ๆคอยกวนใจเวลาที่อยากอยู่คนเดียว เราสองคนจะได้ทำหน้าที่ให้จบๆก่อนกลับเมืองไทย”

      มันเป็นคำพูดของคนกำลังงอนชัดๆ ในที่สุดเจ้านายของผมก็เผยความรู้สึกออกมาแล้วว่าเขายังคงโกรธเรื่องระหว่างเราสองคนตั้งแต่เมื่อคืนอยู่(ฮือ...)

      ขึ้นรถไฟทันเวลาพอดี แน่นอน ต้องที่นั่งชั้นหนึ่งอยู่แล้ว กว่าจะถึงอีกทีคงเป็นประมาณสี่ทุ่มครึ่ง(มั้ง?) ชิพกำลังเก็บของเข้าที่อยู่เหนือศีรษะ ส่วนผมไม่พูดอะไร ยังคงนั่งนิ่งแบบไม่มีเรื่องพูด จนกระทั่งเขาทิ้งตัวลงข้างๆ

       “ชิพ...ผมรู้ว่าคุณยังโกรธผมอยู่นะ...”   

      ชิพถอนหายใจยาว พยายามกอดอกข่มตาหลับ ไม่ยอมหันมาพูดกับผม

       “ผมขอโทษ…”

      เสียงเครือๆทำให้ชิพหันมา “ช่างเถอะแดน ผมไม่ได้โกรธอะไร ผมเองก็เริ่มคิดว่าขอเวลาให้เราสองคนได้ห่างกันบ้าง...สักเล็กน้อย ผมจะได้ทบทวนสิ่งต่างๆอีกครั้งเหมือนกัน บางทีเราอาจจะต้องพักเรื่องราวต่างๆไว้สักพัก...คุณก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”

      แล้วเขาก็พลิกตัวหันหลังให้ หลับไป...ถ้าผมต้องการแบบนี้ แล้วทำไมมันถึงต้องเจ็บปวดทรมานแบบนี้ด้วยล่ะชิพ?...

       ผม...แค่ต้องการเวลา ไม่ใช่ระยะห่าง...

       ใช่ มันคือความผิดของผมเอง



       เสียงฝนพรำจอกแจกตกกระทบหลังคามุงแบบญี่ปุ่น ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาหนาหนักขึ้น รู้สึกง่วงอยากนอนต่อทว่าอากาศภายในห้องหนาวเหลือเกินจนต้องลุกไปหยิบเสื้อมาสวมทับอีกชั้น

       เช้าแล้ว...และตอนนี้ผมก็พักอยู่ ณ โรงแรมชั้นหนึ่งในจังหวัดเกียวโต คงเป็นฝนหลงฤดูที่กำลังตกปรอยปรายอยู่ข้างนอก ผมตัดสินใจนอนต่อเพื่อฟังเสียงฝนและตักตวงความอบอุ่นอยู่บนเตียงสักพัก

       เมื่อคืนที่รถไฟเทียบสถานีเกียวโตก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆตามคาดหมาย ทว่ากว่าจะเข้าที่พัก อาบน้ำก็เกือบเที่ยงคืน ทำให้ชิพและผมต่างเพลียนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้? ตื่นอีกทีก็เป็นเช้าที่หนาวเหน็บ แถมฝนยังตกอีกต่างหาก ว่าแต่...ชิพหายไปไหน?

      ที่หัวเตียงมีโน๊ตข้อความของชิพทิ้งไว้ว่า

       ‘ผมไปแล้ว คุณอยู่คนเดียวได้นะ? ผมจะรีบกลับ ที่โรงแรมมีบ่อน้ำร้อนอยู่คุณลองไปแช่ดูได้ อย่าลืมแช่เผื่อผมด้วย แล้วออกไปเดินเที่ยวได้ตามสบายเลยนะครับ ผมอาจจะต้องกลับค่ำหน่อย’

      ขมวดคิ้ว ชิพไปไหนของเขานะ? ถึงได้รีบออกไปแต่เช้า แถมยังไม่ยอมปลุกผม...เขาคงมีเหตุผล อีกอย่างผมไม่อยากถกเถียงกับเขาให้มากเรื่องในตอนนี้ เพราะรู้ๆอยู่ว่ากำลังไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร =_=”

      หาวฟอดใหญ่ เฮ้อ~~~ยังเช้ามากอยู่เลย ผมคว้าเอายูคาตะลายสวยจากทางโรงแรมมาสวมทับอีกชั้น เฝ้ามองหยาดฝน แสงแดดมัวสลัวที่พยายามจะสาดส่องลงมาท่ามกลางเมฆหมอกมืดครึ้ม

       จะว่าไป...พอไม่มีชิพอยู่ ผมก็ไม่รู้จะไปไหนกับใคร พูดกับใคร...ใครบอกว่าผมต้องการอยู่คนเดียว เขาพูดเองเออเองทั้งหมด แล้วไอ้ความรู้สึกโหวงเหวงบ้าๆนี่ก็ทำเอาใจผมสั่นไปหมด บ้าชะมัด

       ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตัก กอดตัวเองไว้...อยากได้ไออุ่นของเขาและอยู่ในอ้อมกอดนั้นไว้ ผมต้องต้านทานความรู้สึกเหงาแปลกๆนี่อย่างบ้าคลั่ง ถ้าไม่รีบลุกออกไปทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซะก่อน

       ...โปรแกรมแรกเป็นของบ่อน้ำพุร้อนทางด้านหลังโรงแรมที่ชิพแนะนำ ไปแช่น้ำร้อนตอนเช้าๆนี่ให้หายปวดเมื้อยซะหน่อย เผื่อจะเรียกความสดชื่นคืนมาได้บ้าง

       จริงดั่งความคาดหมาย บ่อน้ำร้อนนี่เป็นสุดยอดแห่งความสุขเลยครับ(ถ้าไม่ติดตรงที่ต้องแก้ผ้าลงอาบนะ...แต่ไม่เป็นไร คนยังน้อย) ความร้อนระดับที่ผิวมีไอจางๆลอยขึ้น ผมลงไปแช่พลางนึกถึงข้อความของชิพ...ที่บอกว่าให้แช่เผื่อเขาด้วย

       นั่นซิ...ตอนนี้เขาจะอยู่ไหนนะ?

      ผมรีบเอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าตัวเองเพื่อไล่ความคิดถึงเขาออกไปจากหัว ไม่อยากทำตัวอ่อนแอเสียน้ำตาโดยไม่ใช่เรื่องอีก...ว่าแล้วก็เสร็จจากการอาบน้ำร้อนที่สบายตัวจริงๆ(เขาห้ามแช่เกินสิบห้านาทีเองครับ =_=”)

       อาบน้ำบนห้องพักอีกรอบ แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายหนาสุดๆ เปลี่ยนมาใส่รองเท้าเดินสบายๆ คว้ากระเป๋ากับกล้องดิจิตอล แล้วเตรียมตัวออกทัวร์เกียวโต-นาราแบบฟรีทามตามใจกระผม -_-

       ฝนหยุดตกพอดี แดดอุ่นๆเริ่มทอแสงจ้า เพียงแต่พื้นถนนยังคงมีย่อมน้ำเฉอะแฉะไปหมด ผมค่อยๆเดินทอดน่องตรงไปยังสถานีรถไฟ ซึ่งใหญ่โตมโหราฬมากขนาดที่หัวลำโพงบ้านเราเทียบไม่ติด(นี่แค่ภายในจังหวัดนะ) กางแผนที่มาดูแล้วควรมุ่งตรงไปยังวัดที่มีชื่อเสียงสักที่หนึ่งก่อน จากนั้นก็หาอะไรกินแถวนั้น แหม อะไรมันจะสุขขีปานนั้น

       แต่รู้มั้ย...ผมอยากให้เขาอยู่ข้างๆด้วยกันตอนนี้

       สถานที่แรกที่ไปก็คือวิหารเฮอัน แวบแรกที่เห็นก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดากับวัฒนธรรมอันแปลกใหม่ ผมยืนถ่ายรูปอยุ่ตรงนั้นนานสองนาน พลางรับแสงแดดอบอุ่นที่อาบไปทั่วสนามโล่ง มองดูผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายต่างพากันเดินทางมาเยี่ยมชม โอโห! ผมเห็นเด็กนักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษาด้วย คงเป็นชั้นมัธยม แต่แปลกนะ พวกเด็กผู้ชายก็ยังไว้หัวเกรียนเหมือนบ้านเรา แต่น่ารักมากๆเลย >///<

       ว่าแล้วก็หิวข้าว ผมหากินอะไรง่ายๆตามแถวนั้น ได้ไปเจอร้านข้าวแกงกะหรี่หมูทอดที่อร่อยเหาะพอดิบพอดี จากนั้นก็เดินลัดมาตามคลองใหญ่เรื่อยๆ ช่วงนี้น้ำแห้งคอด ไม่เหมือนคลองประปาบ้านเราที่ล้นปรี่ตลอดปี(<<<เผื่อบางคนอยากรู้ง่ะ =_=”)

       เที่ยวชมนกชมไม้ ดูชีวิตผู้คนและชนบทไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอวัดซันจูซานเก็นโดะ(Sanjusangendo)เข้า ตอนแรกผมไม่นึกว่าจะมาเจอของดีซะแล้ว แต่อ่านะ...จะเล่าให้ฟังแล้วกัน

       ตัววัดกินเนื้อที่บริเวณไม่มาก แต่โฆษณาไว้ชัดเจนเลยว่าเปิดเป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ ค่าบัตรไม่แพงมากแต่ก็เสียดายตังค่าขนมอยู่เหมือนกัน T-T ตัววัดเป็นอาคารไม้สีน้ำตาลเข้มชั้นเดียว หลังยาวเฟื้อย คนต่อคิวกันตรงที่ถอดรองเท้าเยอะมาก แต่ผมลัดคิวพวกชาวจีนเขาอ่าคับ(เลวเนอะ) เข้าไปข้างในก็ค่อนข้างมืดและหนาวมาก เท้าที่ต้องสัมผัสกับพื้นไม้เย็นๆทำให้ผมหนาวไปหมดทั้งตัว คือมันหนาวไปถึงข้างในร่างกายจริงๆเลยอ่าครับ

       ทางเดินเป็นแถวตอนไป-กลับแคบๆรอบตัวอาคาร ตรงกลางมีรูปปั้นเทพเจ้าพันกรของชาวญี่ปุ่นนับร้อยๆองค์(ลืมไปแล้วว่าจำนวนเท่าไรกันแน่) แต่ผมคิดว่ามันงดงามมากเลยครับ เห็นแล้วน้ำตาจะไหลT-T แถมยังมีหมวกกับดาบซามูไรเก่าที่เก็บไว้ในตู้โชว์ พอเดินไปอีกด้านหนึ่ง ตรงกลางจะเป็นรูปปั้นเทพเจ้าขนาดใหญ่บนดอกบัว มีพันกร สง่างามท่ามกลางพุทธรูปองค์อื่นๆ ทุกองค์ล้วนสร้างมาจากไม้สนญี่ปุ่น และขนาดเท่าตัวคนจริงทั้งหมดเลยครับ(มิน่าล่ะมันถึงได้ชวนขนลุกตะหงิดๆ)

       ประวัติคราวๆก็คือวัดนี้เคยถูกไฟไหม้ และสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง เพื่อให้ทหารนักรบได้เข้ามาสักการะบูชา และยังมีความเชื่ออีกว่าเป็นที่รักษาโรคปวดหัวแก่ทหารอีกด้วย

       เผลอแปบเดียว ดูนาฬิกาอีกทีก็บ่ายโมงแล้ว สงสัยผมจะถ่ายรูปเพลินไปหน่อย เอาเป็นว่ารถบัสเที่ยวต่อไปคงจะจอดเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงเวลามากๆๆ o_O*(เฮ้อ~~~แล้วรถเมล์ไทย...) จากนั้นผมก็นั่งรถไปเรื่อยๆ พอใจตรงไหนก็หยุดลงแวะดูของต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อหรอกครับ มัวแต่ชิมฟรีกับถ่ายรูปของเขามากกว่า แฮะๆ

       รถบัสจอดตรงทางขึ้นวัดคิโยมิซึส(Kiyomizu) ซึ่งก็เป็นการขึ้นเขาที่ยาวนานและเหนื่อยเอาการเลยทีเดียว ทว่าผมก็เก็บภาพมาได้เยอะ ยิ่งไปถึงตรงตัววัดบนภูเขา แล้วมองตามทางที่ทอดลงมาเห็นบ้านเมืองเกียวโตโบราณๆ เป็นภาพที่น่าประทับใจไม่น้อย ผมเลยถ่ายเก็บเอาไว้เยอะพอสมควร โดยหวังว่าหากคนขี้งอนที่งอนผมอยู่ได้ดูภาพเหล่านี้แล้ว...เขาคงจะคลายโกรธผมลงบ้าง

       เข้าไปไหว้ขอพรจากองค์พระประทาน งืมๆ คนเยอะดีแท้น้อ =_=’

       ยอมควักตักตั้งหลายพันเยนเพียงเพื่อแลกกับเครื่องราง ที่สลักชื่อของชิพไว้ เป็นเครื่องรางที่ปลุกเสกจากทางวัดโดยตรง และผมเห็นว่าควรเป็นของฝากชิ้นสำคัญสำหรับเขา นอกเหนือจาก...ขนมล้านแปดที่ผมหิ้วเต็มสองมือ จากร้านของฝากแอนด์ที่ระลึกรอบๆวัด แหม...ก็เวลาชิมไปกินไปผมก็นึกถึงชิพ นึกถึงคนนู่นคนนี้ ขากลับเลยลำบากหน่อย(ซะงั้น) เพราะต้องนั่งรถเมล์ออกมาขึ้นรถไฟกลับโรงแรม

       สงสัยคงเที่ยวเพลินมากไปหน่อย จนเย็นมาก พอกลับถึงโรงแรมเกือบหนึ่งทุ่มตรงพอดี และญี่ปุ่นก็มืดเร็วมากใช่ม่ะคับ? ผมก็กลัวมากว่าชิพที่อาจจะกลับก่อนเป็นห่วงเอา แล้วเดี๋ยวโดนดุอีก ขานี้ยิ่งชอบดุผมเสมอเวลากลับบ้านไม่ตรงเวลา บรือ...

       แต่พอเปิดประตู ห้องกลับเงียบและว่างเปล่า...ไร้ร่องรอยของชิพ

       ผมใจหายวูบเล็กน้อย นึกสะท้อนใจว่า เออน่ะ...ชิพคงกำลังทำธุระส่วนตัวของเขาอยู่ ไอ้ความรู้สึกเป็นห่วงเหล่านี้เขาก็คงเผชิญมาแล้วเวลาที่ผมไม่กลับบ้านตรงเวลา เป็นเหตุให้เขาต้องใช้อารมณ์กับผมทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้กัน

       ...ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกนั้นแล้ว ว่ามันทรมานแค่ไหนที่แต่ละวินาทีผ่านไป...แต่ไม่มีร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าประตูสักที

       โชคดีที่ผมซื้อสตอเบอร์รี่กับของกินสองสามอย่างเข้ามาด้วย ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวัน ล้มตัวลงนอน...เปิดทีวีดูรายการจืดๆของจังหวัดชนบทอย่างเกียวโต ยังพอฟังออกก็ไม่ทำให้ผมฟุ้งซ่านมากเกินไปว่า...ตอนนี้ชิพอยู่ไหน? เขาอยู่กับใคร? ทำอะไรอยู่? จะเกิดอะไรขึ้นกับเขามั้ย?



       ...สัมผัสแผ่วเบาตรงแก้มทำให้ผมสะดุ้งตื่น มึดแล้ว...ไฟที่เปิดไว้ถูกปิดสนิท เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะเท่านั้น

       “ผมกลับมาแล้ว”

       ชิพ!

       ผมชันตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ปรายตามองดูนาฬิกาแล้วต้องตกใจเพราะนี่มันห้าทุ่มกว่าแล้ว

       “นี่คุณเพิ่งกลับเหรอ?”

      ชิพพยักหน้า สีหน้าอิดโรยเหนื่อยล้า นี่เขาไปไหนมาทั้งวัน?

      “ผมมีขนมมาฝากคุณด้วยนะ แล้วก็มี...”

      “ทำไมคุณไปไหนมา ไม่บอกผมสักคำ! แล้วกลับมาตอนนี้ รู้มั้ยว่าใครจะเป็นห่วงมากแค่ไหน?”

      เสียงมันทั้งสั่นทั้งดัง โมโห...แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ด้วยเมื่อเขากลับมาแล้ว

       ชิพน้ำตาคลอ...ยิ้มแปลกๆ

       เขาเป็นอะไรของเขาเนี้ย?

      “ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม”

      ผมจ้องหน้าเขา บ้าแล้วหากไม่เป็นห่วง...มันทั้งร้อนใจ กระวนกระวาย ผมนั่งรอเขาจนต้องเผลองีบหลับไปก่อน รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่ม ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหนทั้งวัน แถมยังไม่บอกผม ปล่อยให้ผมต้องออกไปเดินเล่นคนเดียวทั้งวันโดยที่คิดถึงเขาตลอดเวลา...นี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?

      “แล้วนี่คุณหายไปไหนทั้งวัน...ผมเป็นห่วงมากรู้มั้ย?”

      ชิพถอนหายใจ ส่ายหน้า

      “ที่ผมกลับช้าเนี่ย...ก็เพราะคนที่โอซาก้าติดต่อมาว่าเจ้าของโรงงานลูกค้าของเราเขายังไม่ยอมเซ็นสัญญาที่ตกลงกันเมื่อวาน ผมเลยต้องนั่งรถไฟกลับไปที่โอซาก้าตั้งแต่ตอนเที่ยง...สรุปแล้วผมต้องไปตกลงกับเขาที่นิวยอร์ก”

      ได้แต่อึ้ง...นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

       “แต่...แต่เมื่อวานเราก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว?”

      “ใช่ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น...แต่เป็นเพราะเรื่องภายในของเขาเอง เลยทำให้ต้องเลื่อนการเซ็นสัญญาออกไป ผมก็แค่ต้องการให้มันแน่นอนเลยต้องไปคุยกันแบบตัวต่อตัวที่สำนักงานใหญ่”

      อะไรกัน...สรุปว่าทั้งวันนี้ชิพวิ่งวุ่นเพราะเรื่องงานอย่างนั้นเหรอ?

      มิน่าล่ะ...เขาถึงได้ดูโทรมแบบนี้ คงเหนื่อยมากแน่ ผม...ไม่น่าไปพูดขึ้นเสียงระเบิดอารมณ์กับเขาเลย…

       “ผมคงต้องไปนิวยอร์กภายในสองวันนี้...คุณไปกับผมได้มั้ย?”

      มันเร็ว กระทันหัน จนพูดอะไรไม่ถูกนอกจากยอมตกลง...ผมจะให้เขาไปคนเดียวได้ยังไง

       “ครับ แต่เรื่องเสื้อผ้า…”

      “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่อพาร์ทเม้นท์ของผมยังพอมีเสื้อผ้าอยู่ ผมบินไปบ่อย ถ้าคุณจะซักก็ซักได้เพราะมีเครื่องซักผ้าเรียบร้อย”

      ชิพทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หลับตา ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า...ภาพตอนนั้นทำให้ผมพลอยหนักใจร่วมไปกับเขาด้วย

       “ชิพ...”

      อยากกอดเขา เพื่อคลายความทุกข์เหล่านั้นไป...

       “คุณเข้านอนเถอะ ผมก็จะนอนเหมือนกัน เพลียๆยังไงไม่รู้”

       จู่ๆเขาก็ลุกขึ้น ช้อนตัวผมเข้าอ้อมแขนแล้วอุ้มไปไว้บนเตียง ด้วยความเหว๋อเลยไม่ทันได้โวยวาย =_=” ชั่วอึดใจเขาก็ค่อยๆวางตัวผมลง หลังสัมผัสเตียงที่ตึงเรียบ...เรามองหน้ากัน วินาทีนั้นที่เขาโน้มตัวลงมา ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แสงไฟจากนอกห้องส่องให้เห็นเพียงเสี้ยวแห่งแววตาที่เปี่ยมความหมาย...

       เขาก้มลงมา ผมหลับตา...แต่แล้วเขาก็แค่ค่อยๆวางผมลง แล้วปล่อยให้ผมนอนลงไปทั้งอย่างนั้น

       ง่ะ? =_=”

      ชิพเข้าไปอาบน้ำ...ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับไปแล้ว แต่แอบมองร่างสูงที่เดินเข้ามาที่เตียงโดยไม่...แม้แต่จะมองผมเลย ดูเขาเหนื่อยๆ...หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

       ล้มตัวลงนอนตะแคงข้างให้ผม สักพักผมก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเบาบาง...ทำไมเราถึงต้องทำตัวเหินห่างเย็นชากันแบบนี้ด้วย? ทำไม...

       ได้แต่มองแผ่นหลังกว้าง กับสติข่มใจอยากเข้าไปกอด...

       ค่อยๆขยับตัวเข้าไปหา ผมได้แต่จ้องแผ่นหลังนั้น เขาจะว่าหรือเปล่านะถ้าผมจะ...

       “พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า เครื่องออกสิบโมงตรง...ผมขอโทษด้วยที่ต้องให้คุณลำบาก แต่เราจำเป็นต้องไปจริงๆ...”

      มือของผมชะงักค้างอยู่เช่นนั้น แล้วค่อยๆลดลง...ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมแทนเสียงของชิพ...จริงซินะ เขาต้องทำงาน ผมไม่น่ากวนใจเขาอีก...แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงอยากถูกเขากอดนัก อยากถูกเขารัก...อ๋อ มันเจ็บปวดทรมานแบบนี้นี่เอง กับการที่เราต้องหักห้ามใจ ไม่ให้เผลอใจไปกับความต้องการของตัวเอง...เข้าใจแล้วล่ะ




       โปรดติดตามตอนต่อไป

BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
ค้างอ่ะ  :serius2: พรุ่งนี้ ลง 2 ตอนนะ  :m13:

ไม่งั้น ไม่งั้น จะ จะ   :m16:








 :จุ๊บๆ:

น้อง ALEX     :laugh:

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
5555+

^
^
^
^
^

ไม่ได้หรอกครับพี่ เพราะตอนที่23 มาน...

วันอาทิตย์แล้วกันครับ :oni1:

ผมก็อยาก :จุ๊บๆ: พี่เหมียนกาล อิอิ

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
โหย มันจี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ในใจ  o7 o7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tetjinen

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
 :o ใกล้จบแล้ว

สอบพยายามเข้าน่ะครับ สู้ๆๆ  :a2:

แมววาย

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 23 มาน  มาน.. ทำไมอ่ะ  o12

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
หรือว่าตอน 23 จะ.............................................................. :serius2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
อ่านแล้วเริ่ม ทรมาน  :sad2:

แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :o12:

จบแบบเศร้ามา 2 ภาค แล้ว   :serius2:

แล้ว ภาคนี้อะ

ขอจบแบบ หวานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :m13:

ด้ายมะ  + กราบ งาม ๆๆ ให้ หลายทีเรย

ตอนที่  23  มาน ทาม  มายอ่า 

อย่า บอกนะว่า  จาเศร้า กว่าตอนนี้   :เฮ้อ:

อยากอ่านแบบหวานๆๆ    :m13:  :m13:  :m13:

ตอนนี้ คนแต่ง เรื่อง ในเล้า เปง ไร กันไปหมด  :a5:

เศร้า มาน ทุกเรื่อง  อ่านเรื่องไหก็เศร้า  จรา บร้าตาย    :a6:

 :เตะ1:

marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
คิ ๆ อดเลย อุส่าห์หวังอ่ะดิ :o8:

BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
ไหนบอกว่าจะมาลงตอนใหม่วันนี้ไง  :angry2:

เห็นนะว่าแอบอ่านนิยายอยู่  o12

มาลงเลยๆ   o9

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
คร้าบๆ มาแล้วคร้าบ แฮะๆ อ่านนิยายของท่านอื่นๆเพลินไปหน่อยงิ

ตอนที่23ผมอาจจะเอามาลงให้ก่อนเที่ยงคืนแล้วกันนะครับ แล้วก็คงเป็นอาทิตย์หน้าเลย คงจบปลายๆเดือนนี้ล่ะครับ

ปล.หรือไม่ตอนที่23พร่งนี้เช้าเด้อครับ =_="



บทที่ 22



       นิวยอร์ก...เมืองที่โลกทั้งใบหมุนรอบตลอดเวลา

       ผมมองออกไปยังท้องฟ้าสีดำครึ้มด้านนอก นานเท่าไรแล้วนะ ที่ครั้งสุดท้ายผมได้มองเห็นท้องฟ้าซึ่งมีสีสวยแต่แสนเศร้ามากที่สุดเท่าที่เคยเห็นเยี่ยงนี้...

       ความจริงแล้วผมเกิดที่เมืองนี้ล่ะ พ่อของผมเป็นชาวนิวยอร์กแต่กำเนิด แต่พอผมเกิดก็ย้ายไปอยู่รัฐทางตอนกลางแห่งหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นผมก็มีโอกาสได้มาเดินเที่ยวเล่นที่นี่บ้าง ตอนที่เรียนปริญญาโทก็เคยขับรถมากับเพื่อนๆ เตร่ไปตามถนนตอนกลางคืน มีแต่เรื่องสนุกๆที่คิดถึง

       จริงซิ ผมคงต้องโทรฯบอกแม่ ว่าตอนนี้มาทำงานที่นี่ ไม่รู้ท่านจะร้องให้ผมข้ามฝั่งไปหาหรือเปล่า +-+”

       แต่ถ้าพูดถึงย่านใจกลางเมือง คงต้องให้ชิพเป็นคนแนะนำมากกว่า เพราะเขาเคยมาเรียนและเติบโต คงรู้แหล่งเที่ยวมากกว่าผมเยอะ

       เฮ้อ...หลังจากนั่งเครื่องบินต่อมาอีกหลายชั่วโมง ผมรู้สึกเหนื่อยสุดๆ ไม่ว่าจะเรื่องอากาศที่หนาวกว่าญี่ปุ่นมากกก(จริงนะ o_O”) ไหนจะเรื่องโซนเวลาที่ต้องค่อยๆปรับ ผมจึงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิพ...ขานั้นทั้งเหนื่อยจากการเดินทางและปัญญาเรื่องสัญญาที่วุ่นวายอยู่ ผมเลยให้เขานอนพักก่อนหนึ่งวัน ตอนนี้ได้แต่กรนครอกๆอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ =_=

       ความมืดเริ่มโรยตัว ตามถนนมีแสงไฟเปิดขึ้นทอดตัวยาวไปเรื่อยๆ ผมนั่งอยู่ริมขอบหน้าต่างแล้วเฝ้ามองดูผู้คนเดินไปมาบนถนน ตึกสูงรอบข้างช่างให้บรรยากาศของเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก...ถนนที่ยาวไกลสุดตา รถแท็กซี่คันใหญ่สีเหลืองวิ่งพล่าน ชาวเมืองที่รีบร้อนเดินกันอย่างกับหนีภัยพิบัติ มันช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความวุ่นวาย และมีชีวิตชีวาเสียจริงๆ

       อพาร์ทเม้นท์ของชิพใหญ่โต ก็แน่นอนอยู่แล้ว...ด้วยฐานะทางการเงินของครอบครัวชิพ ซึ่งสามารถซื้อห้องใหญ่และอยู่ในใจกลางเมืองได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้านายของผมคนนี้ล่ะก็ ไม่มีสิทธิแน่ๆ...

       เสียงหว๋อรถดับเพลิง แตรรถ แข่งกันดังลั่นอยู่เบื้องล่าง ผมมองท้องฟ้า...พลางทบทวนถึงเหตุการณ์ภายในวันนี้ทั้งวัน...ตั้งแต่ตื่นเช้ามา ขึ้นเครื่องบิน ชิพพยายามพูดกับผมให้น้อยลง ไม่รู้นะ...แต่มันรู้สึกแบบนั้น เขาเหมือนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวจริงๆ นั่นคือทำเหินห่างไม่เหมือนชิพคนเก่า ที่อบอุ่นแสนดี ห่วงใยผม...เขามองก็มองด้วยแววตาเอื่อยๆ ไม่เปล่งประกาย...สิ่งที่ผมได้รับมันเหมือนกับ...ความเย็นชา? เขาไม่แม้แต่แตะต้องผมเลยด้วยซ้ำ

      มันเจ็บปวดนะ...ที่เวลาคนที่เรารักโกรธเรา หรือมีใครโกรธเราสักคน ก็เพราะตัวเราเองเป็นต้นเหตุ มันยิ่งกว่าสำนึกผิดอีก...ชนิดที่รู้ว่าคำขอโทษอาจจะไม่เพียงพอ แต่อยากให้เขารู้ว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

       ผมมันทั้งแย่ ไม่เอาไหน...ตลอดชีวิตของผมมันเต็มไปด้วยความผิดพลาดมากมาย จนแทบอยากจะหนีไปให้พ้นจากการเป็นคนอ่อนไหว ตัดสินใจช้า แถมยังโลเลขี้กังวลแบบนี้ =_=” (<<<ฮือ T-T นี่แหละผมเอง)

       แต่แม่เคยบอกผมเอาไว้ว่า หากคนเราไม่เคยล้ม ไม่เกิดบาดแผล...เราก็จะไม่เรียนรู้ที่จะเจ็บปวด และไม่สามารถทนอยู่ในสังคมที่โหดร้ายแบบทุกวันนี้ได้

       นั่นซิ...ไอ้เรื่องนั้น ผมน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วไม่ใช่หรือ?



       เสียงเปิดประตูกุกกัก กับคนเดินไปมาทำให้ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่มืดสนิท เพิ่งจะตีห้า...ข้างนอกยังมืดสนิท เอ๊ะ...ชิพไม่อยู่ข้างๆผมแล้ว

       เช้ามาก เขาจะไปไหน ผมรีบลุกขึ้นมาแล้วตามหาเขาในห้องน้ำ เห็นเขากำลังกวาดของใช้พวกยาสีฟัน แปรงสีฟัน เครื่องเป่าผม ทุกๆอย่างลงใส่กระเป๋าใบหนึ่ง ผมรีบเปิดเข้าไป

       “คุณจะไปไหน?”

      ผมเดินงัวเงียเข้าไปถาม แต่สติน่ะเต็มร้อย...ชิพสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่หันมามองพลางหยิบนู่นนี่เสียงดังต่อไป

       “นี่ คุณจะไปไหน?”

      คราวนี้ผมเดินเข้าไปจับแขนเขา แต่ฝ่ายนั้นกลับสะบัดออกแรงๆ ผมตกใจ

       ชิพหันมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบ…เพียงแววตาที่เอ่ยแทนคำขอโทษ

      “อะไร?”

      เจ็บจี๊ด...ก่อนจะเริ่มโมโหแบบหยุดไม่อยู่ ทำไมเขาถึงทำทีท่าแบบนี้?

      “คุณกำลังทำบ้าอะไรอยู่ นี่คุณเก็บของ จะไปไหน?!”

      เสร็จแล้ว เขาก็ทำท่าจะเดินหนีออกมา ผมรีบกั้น เขามองผมแบบให้รีบเปิดทาง

      “ผมมีประชุมตอนเจ็ดโมงเช้า”

      “บ้าเหรอ มีใครเขาประชุมกันตอนเจ็ดโมงเช้าบ้าง แล้วเอาแปรงสีฟันยาสีฟันไปไหน?”

      “ผม...จะเอาไปทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อน มันอยู่ใกล้บริษัท ผมจะได้สะดวก”

      ผมไม่เชื่อ แววตาของเขากำลังโกหก! นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!!!

       “แต่ชิพ นี่คือบ้านของคุณนะ ทำไมคุณไม่กลับมาที่นี้ แล้วผมล่ะ ผมจะอยู่กับใคร?”

      ชิพผลักผมเบาๆแล้วเดินออกมาจนได้ ผมเริ่มน้ำตาคลอ มันทั้งโกรธทั้งงุนงง สับสน น้อยใจ...

       “ชิพ กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

      ฝ่ายนั้นคว้ากระเป๋าเอกสารอีกใบ หยิบโอเวอร์โค้ตมาคลุม

       “คุณก็อยู่ที่นี่...อาจจะต้องอยู่คนเดียวไปก่อน แต่วันนี้ผมคงกลับมา”

      อารมณ์มันใกล้คลั่งเข้าไปเต็มที น้ำตาสายหนึ่งไหลลงมาอาบแก้ม ผมวิ่งเข้าไปรั้งแขนเขาไว้

       “ชิพ...คุณพูดเล่นใช่มั้ย? คุณ...คุณก็มีรถลิมูซีนมารับ-ส่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ผมขอร้อง...คุณอยู่กับผมที่นี่ได้มั้ย นะ?”

      ความปวดลึกในโพร่งอก แน่นปอด จุกในลำคอ...ทั้งหมดนี่มันตื้อขึ้นมาเมื่อชิพค่อยๆปลดมือผมออก...เจ็บแปล๊บ แววตาของเขามีหยาดน้ำตาคลอหน่วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ผมกำลังฝันร้าย นี่มันแค่ฝันใช่มั้ย?

      เพราะอะไร?...

      “ผมต้องไปทำงานจริงๆ...เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะกลับมา”

      เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนอดทนต่อความรู้สึกอะไรบางอย่าง อึดใจเดียวเท่านั้น เขาก็สะบัดหน้าเดินออกไป ประตูปิดลง...พร้อมๆกับเข่าที่อ่อนลงของผม มันรู้สึกหมดแรง เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับผม? ผมทำอะไรผิดหนักหนา เขาถึงได้เย็นชา...ถึงได้วิ่งหนีออกห่างจากผมแบบนี้

       ทรุดตัวลงกับพื้น แล้วในที่สุด...ในที่สุดผมก็หมดความอดกลั้น ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เอาความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมา ไม่ไหวแล้ว...ผมแบกรับมันต่อไปไว้ไม่ไหวแล้ว!

       ในที่สุด วันนี้...วันที่ผมกลัว และแล้วมันก็มาถึง

       ผมคงต้องพูดออกไป...

       วันนี้ที่กลัว มันได้มาถึงซะที... :a5:



       โปรดติดตามตอนต่อไป...

YO DEA

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ astral

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
ชิพ เป็นอะไรไปเนี่ย งง ไปหมดแล้ว  o2 o2

ไม่เอาจบเศร้าน้า ภาคนี้อ่ะ ไม่เอา ไม่เอา  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ Tetjinen

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
มาตามสัญญาแล้วครับ หวังว่าจะสนุกกับการอ่าน ส่วนตัวกระผมนี้ขอไปอ่านหนังสือสอบต่อก่อนน๊า บ๊ะบาย~~~




บทที่ 23



       ท่ามกลางความอบอุ่น บรรยากาศ และเสียงหัวเราะเคล้าดนตรีบลูนุ่มๆเพราะๆในร้านอาหารแห่งหนึ่ง...ผมนั่งอยู่คนเดียว มองดูนาฬิกา แล้วเฝ้ารอคอยการปรากฏตัวของใครคนหนึ่งตามลำพัง

       จากมุมนี้ ทำให้สามารถมองเห็นทั้งคนที่เดินผ่านไปมา และคนที่เข้ามาในร้าน(นั่งติดกระจก) เวลาล่วงเลยไปช้าๆ พร้อมกับความทรมานใจที่เพิ่มขึ้นทุกขณะๆ...

       ผมทบทวน สิ่งต่างๆ ทุกอย่าง ความทรงจำ ที่ผ่านเข้ามา

       การมีเขากลับเข้ามาในชีวิต เติมเต็มหัวใจผม...ทำให้ผมสุขใจและไม่ขอหรือหวังอะไรอื่นนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว...

       ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกัน เขาเป็นไอ้เด็กเกเรในโรงอาหารที่หาเรื่องผมวันนั้น หากไม่สวนกลับไป เราคงไม่ได้รู้จักกัน กลายเป็นเพื่อนกัน ผูกพันกัน...แล้วเกิดเป็นความรักในที่สุด

       ความเจ็บปวดตอนที่เราต้องพรากจากกันถึงสองครั้ง และเมื่อมีเขาอยู่ข้างๆ...ทำให้หัวใจของผมอบอุ่น

       ระหว่างเขากับผม มันมีความรู้สึกดีๆต่อกันมากมายที่ยากจะหาคำใดมาอธิบาย มันคือความผูกพันที่ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้น มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมฝัน...จนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าเวลามันแสนสั้น เพราะความทรงจำต่างๆมันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน จนผมอยากจะหยุดเวลาไว้ให้ได้...

       สาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่...ก็เพราะผมทิ้งข้อความไว้บนอพาร์ทเม้นท์ ถึงเขาเพื่อให้ออกมาพบกัน...ผมมีเรื่องต้องพูดกับเขา ทุกอย่าง...ความรู้สึกของผมที่มีเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง

       แต่นานมากแล้ว...เวลาล่วงเลยไป ยิ่งรู้สึกไม่น่านัดเขามาพบเลย...ให้ตายซิ มีแต่เสียงหัวเราะ ภาพความสุข ความครื้นเครง...แต่จะกลับก็ไม่ได้เพราะกำลังรอเขาอยู่ และผมจะรอ...ไปจนกว่าเขาจะมานั่นแหละ

       หรือว่าเขาไม่ได้อ่าน...ไม่รู้ซิ แต่ผมทิ้งไว้ให้เห็นชัดแล้ว ทว่า...ผู้คนยิ่งเริ่มเบาบางลง ถนนด้านนอกยังคงมีรถราอยู่แต่หลงเหลือผู้คนเพียงแค่ประปราย ไม่เหมือนตอนช่วงหัวค่ำที่พลุกพล่านมากกว่านี้

       ในที่สุด...ก็ถึงเวลาปิดร้าน ผมค่อยๆเดินออกมา อากาศเย็นยะเยือก...ห้อไหล่ก้าวออกมาด้วยความทรมานใจ...คืนนี้เขาคงไม่กลับมาแล้ว แต่...

       เขาไม่กลับมาแล้ว จริงๆน่ะเหรอ

       หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อคลอ ความอ่อนแอแทรกเข้ามาเป็นระลอกคลื่นแห่งความเจ็บปวด ผมสูดหายใจเอาลมเย็นเฉียบเข้าเต็มปอด เพื่อกดความเจ็บปวดบางอย่างไว้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า...ไม่มีดวงดาวสักดวง มีแต่เพียงดวงจันทร์สีเหลืองกลมโตส่องสว่าง สุกสกาวอยู่บนฟากฟ้าตามลำพัง ผมจ้องมองมันนานแสนนาน...

       กัดริมฝีปากเพื่อกลั้นน้ำตาไว้ เจ็บ...จนลิ้มรสเลือดเจือปนออกมา

       แต่แล้ว...เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น

       ผมเบิกตากว้าง ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ในชุดกันหนาวที่ห่อหุ้มแน่นหนาไม่แพ้กับผม เขาค่อยๆเดินข้ามถนนเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ สีหน้าอ่อนล้าและแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

       ใกล้ถึงแล้ว...ในที่สุด เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าผม ขมวดคิ้วแน่น


       “หนาวนะ...”

       ผมพูดไม่ออก เขาเอามือที่ล่วงอยู่ในกระเป๋าออกมาปิดปากกระแอ่มไอ

       “คุณ...คุณไปไหนมา”

      “ผมก็นั่งรอคุณอยู่ฝั่งตรงข้าม ตั่งแต่คุณเข้ามานั่งในร้านแล้ว”

      เราสบตากัน แววตาของชิพแน่วแน่มาที่ผม เราสองคนขยับไม่ได้เหมือนมีพลังบางอย่างสะกดไว้

       “นี่หมายความว่า...คุณเฝ้ามองผมมาตลอดเวลาเลยงั้นหรือ?”

      เขาพยักหน้าช้าๆ

       “ผม...ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณ”

      น้ำเสียงมันสั่น ออกจะแปลกไปหน่อยที่แผนของผมพังไม่เป็นท่า เราต้องออกมายืนคุยกันหนาวๆ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆกันบนถนนข้างนอกที่หนาวเหน็บแบบนี้

       “ผมจะบอกคุณว่า สาเหตุที่ผมยอมรับเงินของย่าคุณเมื่อสิบปีก่อน...ก็เพราะว่าตอนนั้นพ่อของผมป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย แล้วแม่กับผมเราสองคนไม่มีเงินค่ารักษากับตั๋วเครื่องบินไปดูใจพ่อก่อนตาย...ผมก็เลยตัดสินใจรับเงินนั้นไว้ เพราะตอนนั้นผมจนปัญญา ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี...”

      “ผมอยากบอกคุณว่าผมทำลงไป ไม่ใช่เพราะต้องการแก้แค้นหรือทำให้คุณเจ็บปวด คุณย่าของคุณบังคับให้ผมสาบานว่าจะไม่มีวันตามยุ่งกับคุณอีก แต่รู้อะไรมั้ย? สิบปีที่ไม่มีมีคุณมันช่างทรมาน...พอคุณกลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้ง ผมเลยรู้สึกผิดที่ทำตามคำสาบานนั้นไว้ไม้ได้ นั่นก็เพราะ...”

      ตอนนี้ชิพมองผมด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ มีสายหยาดน้ำใสไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม เราจ้องหน้ากันเงียบๆ...ผมก็น้ำตาไหลไปด้วย

       “นั่นก็เพราะ...เพราะผมรักคุณ และไม่เคยคิดจะหยุดรักคุณเลย”

      ชิพยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วเข้ามาโอบเอวผมไว้ จูบซับน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา...

      “ส่วนเรื่องที่กวนใจผมช่วงนี้ ก็เป็นเพราะผมกลัว...กลัวจะเสียคุณไปอีก ผมกลัวว่าหากคุณมีผมแล้วมันจะพลอยทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปจากเดิม ทั้งชีวิตของคุณ ชื่อเสียงหน้าตา การงาน...เพราะผมรู้ว่าตัวผมมันไม่มีค่าอะไร คุณย่าของคุณพูดถูก ผมไม่สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณได้…”

      ชิพเอานิ้วขึ้นมาแตะปากผม ส่งเสียงให้หยุดคำพูดต่างๆ ผมจะจดจำเวลาที่เขามองผมแบบนี้ไว้...ในส่วนลึกของหัวใจให้เนินนานมากที่สุด

       “คุณมีค่าที่สุดสำหรับผม ที่สุดเสมอมา คุณคือดวงใจของผม...หากขาดคุณแล้ว ผมคงอยู่ไม่ได้อีกต่อไป”

      ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าไปกอด...วินาทีนั้น ไออุ่นที่ส่งผ่านมา มันเหมือนได้กลับบ้าน

       ผมส่งเสียงอู้อี้ =_=”

      “หากนั่นคือสิ่งที่คุณต้องการได้ยินจากปากผม...ตอนนี้คุณช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าคุณหายโกรธผมแล้ว…”

       ชิพสูดจมูกไล่ความสั่นเครือออกไป

       “เราควรจะหยุดความทรมานทั้งหมดนี้ได้แล้วนะ”

      ชิพพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ ร้อนรน และเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์...เรานั่งแท็กซี่กลับไปที่อพาร์ทเม้นท์ ตลอดทางไม่มีใครปริปากพูดใดๆ เพียงแค่บรรยากาศที่คุกกรุ่นมันกำลังเวียนวายอยู่รอบๆตัวเราเท่านั้น

       ถึงแล้ว เราเดินเงียบๆกันขึ้นมา ประตูปิดลงพร้อมๆกับชิพที่ค่อยๆถอดเสื้อโค้ตให้ผม ตามด้วยของตัวเอง และจูงมือผมเดินเข้าไปยังห้องนอน...

       ไฟยังปิดมืดสนิท แต่เรารู้สึกกันได้ด้วยการสัมผัส ชิพจับให้ผมยืนหันหน้าเข้าหากัน เขาไล้ไปตามแก้มของผมช้าๆ...และค่อยๆบรรจงจูบเข้ามาอย่างดูดดื่ม มีแต่เพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องกังวาน นอกนั้นคือความเงียบสงัดจริงๆ

       มือของผมไล้ไปตามชายโครงหนาหนักของเขาปลดกระดุมเสื้อออกช้าๆ...สัมผัสกับผิวกายอันร้อนระอุ ชิพประคองใบหน้าของผมเพื่อสอดลิ้นลึกเข้ามา เคล้าคลึง...จนในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นจังหวะที่เร่าร้อนรุนแรงมากยิ่งขึ้น ลมหายใจของเรารดรินใส่กันอย่างบ้าคลั่ง

       ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา มีเพียงภาษากายที่สื่อแทนความหมายในจิตใจออกมาทั้งหมด...เสื้อผ้าของเราถูกแต่ละฝ่ายปลดเปลื้องออกไป เขามองตาผมในขณะที่เคลื่อนกายเข้ามา...ผมหลับตา ซึมซับความอุ่นร้อนนั้นไว้แล้วยอมให้เขาทำทุกอย่างตามความปรารถนา

       ต่อจากนั้นคือความอ่อนหวาน ระคนความป่าเถื่อน...มันคือการปลดปล่อยที่เจ็บปวดแต่ก็สุขเหมือนสวรรค์ชั้นเจ็ด สีหน้าของเราต่างเหยเกด้วยความรู้สึกวูบวาบ เสียวซ่าน...สะโพกหนาได้รูปของบดเบียดถาโถมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า รุนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง...เหงื่อกาพพ์ผุดขึ้นทั่วใบหน้า ผมรั้งบ่าของเขาไว้เพื่อจะได้เคลื่อนกายได้เร่าร้อนมากขึ้นบนเรือนกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงาม...

       ชิพรั้งตัวผมลงไปประกบปาก ทำเหมือนกับที่เราทำกัน ณ ช่วงล่าง...เขากระซิบใส่หูผม

       “แรงกว่านี้มั้ย?”

      ผมได้แต่พยักหน้า แล้วสิ่งต่อมาที่ได้รับถึงกับทำให้ต้องอ้าปากค้าง...

       “ร้อน...อ๊า~~~”

      เสียงครวญครางดังไปตลอดกิจกรรม...ในที่สุดเขาก็รั้งร่างผมเข้าไปกอดไว้ แล้วเราสองคนก็สั่นสะท้านทั่วสรรพางค์กาย

       “แดน ผมรักคุณ!”

      จุดสุดยอดที่สว่างวาบ เหมือนถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อต...ในหัวสมองของผมขาวโพลนไปชั่วครู่ ขณะที่ความอุ่นร้อนหลั่งไหล เสียงลมหายใจหอบกระเซ่า...งุนงงไปชั่วขณะ และนึกสงสัยว่าเซ็กซ์ มันช่างเป็นกิจกรรมระหว่างคนสองคนที่มอบความสุขให้อย่างน่าทึ่งเกินคำบรรยาย

       เนื้อตัวของเขาเปียกลื่น ไม่รู้เพราะเหงื่อหรือ...ผมกันแน่ ผ้าปูที่นอนยู่ยี้ชื้นเหงื่อ ทั้งๆที่อากาศภายนอกหนาวสุดขั้ว แต่ในนี้กับร้อนระอุ...และเต็มไปด้วยกลิ่นของกามราคะ

       ผมไม่ขยับตัว...ปล่อยให้ชิพอยู่ภายในกายเยี่ยงนั้น ทว่าพอเมื่อพยายามผละตัวออกจากกัน มันเหมือนผมกับเขาเชื่อมกันอยู่อย่างแน่นหนา จนขยับไปไหนแทบไม่ได้

       ผมล้มตัวลงสู่อ้อมกอดของเขา...ชิพกอดผมไว้เงียบๆ ฟังเสียงหัวใจเต้นระรัวของกันและกันจนมันสงบลงในที่สุด

       “แต่งงานกับผมนะครับ”

       จู่ๆ...ชิพก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาก้องกังวานอยู่ในหูผม เอ่อ...

       หา...ผมหูแว่วไปหรือเปล่า?

      “อะ...อะไรนะ?”

      “ผมบอกว่าเราแต่งงานกันเถอะ”

      คราวนี้ผมได้ยินเสียงของเขา หนักแน่น ชัดเจน...แววตาของเขาจ้องลึกเข้ามา พร้อมด้วยรอยยิ้มบางอบอุ่นเสมือนแดดอุ่นๆ ทุ่งหญ้านุ่มๆ...กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้ง

       “นะครับ”

      “~แต่-“

      “ชู่ว์”

       ชิพจูบผม โหยหา...พร้อมทั้งพลิกกายให้ผมลงไปนอนด้านล่าง ถอนกายออกในที่สุด อ๊า~~~(เขายิ้มตอนเห็นสีหน้า... >///<) แล้วเดินล้อนจ้อนไปหยิบของบางอย่างในลิ้นชักข้างๆเตียง

       “ผมเก็บเจ้านี้ไว้ตั้งนานแล้ว...มันรอให้ถึงวันนี้ เพื่อคุณมานาน”

      แหวนทองคำขาวเกลี้ยงเกลา ข้างใต้สลักชื่อ ‘D&C With Love’ เอาไว้...มันถูกรูดเข้ามาบนนิ้วนางข้างซ้ายของผม เขายื่นให้ผมอีกวง แต่ขนาดใหญ่กว่า ทว่านอกนั้นเหมือนกันทุกประการ

       “ใส่ให้ผมซิ”

      หูผมเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทำตามคำสั่งเขาอย่างว่าง่าย และแล้ว...เราสองคนก็มีแหวนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบอยู่บนนิ้วนางของกันและกัน

       ผมกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันไว้ไม่ไหว ชิพก้มตัวลงมากอดผมไว้ จูบแผ่วเบา

       “ไม่ต้องร้องไห้นะ ผมรักคุณ…”

      ไม่อยากจะเชื่อ...ตอนนี้ ผมหมั้นกับเขาแล้ว!!! เป็นใครจะเชื่อ ว่าผมกับเขา จะได้ลงเอยกันหลังจากผ่านมรสุมมามากมายนานับประการ

       “แล้วต่อไปนี้ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปไหน เพราะอย่างน้อย...คุณกับผมก็มีแหวนวงนี้แทนกันและกันตลอดไป”

       ตอนนี้หัวใจของผมมันพองโต พูดไม่ออก แบบว่าไร้คำบรรยายใดๆจริงๆ =_=”

       ผมไม่เคยคิด...ว่าจะได้มีวันนี้

       “ผมรักคุณ รักคุณ…”

      ชิพพร่ำคำเดิมซ้ำๆ ก่อนจะจูบผมแล้วนาบลำตัวลงมาแนบชิดกับผมอีกครั้ง ผมกอดเขาเอาไว้ทั้งน้ำตา ในหัวอื้ออึงไปหมด...

       “คุณทำผมเปียกไปหมด”

      ชิพส่งสายตาล้อเลียนยิ้มๆมาให้ แล้วตวัดไปที่หน้าท้องแบนราบเต็มไปด้วยลอนกล้ามของตัวเอง...แล้วทีนายล่ะ?

      “ผมขอทำคืนบ้างแล้วกันนะ...”

       แล้วเขาก็บรรเลงเพลงรักอีกรอบ เป็นครั้งที่งดงาม อ่อนหวาน เนิบนาบช้าๆแต่เย้ายวน จนผมพล๊อยหลับไปในอ้อมกอดของเขาหลังจากหมดพลังงานไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง




                                      โปรดติดตามตอนต่อไป...


andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป

BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
หวานตอนนี้ แต่ไม่ใช่ มีตอนหน้าทำให้เครียดมาอีกนา

ปล.  :จุ๊บๆ: น้องALEX ที่เอามาลงให้ 2 ตอน  แต่พรุ่งนี้อีกตอนก็ดีนะ :oni1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2008 00:24:03 โดย BEta-K »

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3

ออฟไลน์ astral

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-5
อ่านตอนนี้ด้วยความสุขใจไปนอนได้อย่างมีความสุขแล้ว ขอบคุณนะ Alex  :o8:

ออฟไลน์ Tetjinen

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เป็นตอนที่อ่านแล้วยิ้มมีความสุขจิงๆ แต่ว่าไอ้ "โปรดติดตามตอนต่อไป..."

เนี่ยมันยังไงๆ พิกลน่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด