ตอนที่ 12 (ครึ่งหลัง)
ถนนที่ใช้ในการเดินทางเป็นทางลดคดเคี้ยวพอสมควร ทว่ามีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือนานๆจะมีรถสวนทางมาสักคัน จงรักเป็นคนอาสาขับรถเองเพราะชำนาญทางกว่า เมฆาเองก็เห็นด้วยเนื่องจากคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว น้องจะได้หัดขับรถให้คล่องไปในตัวด้วย ออกจากบ้านมาไม่นาน ขับลัดเลาะมาจนเกือบถึงทางขึ้นดอยอินทนนท์ จงรักก็แยกไปอีกทาง น้ำตกห้วยทรายเหลืองอยู่ไม่ห่างจากทางนั้นเท่าใดนัก ทางเข้าจากถนนใหญ่ไม่ซับซ้อน สองข้างทางก่อนถึงตัวน้ำตกมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเขียวชอุ่มร่มรื่น ขับมาถึงลานดินที่ทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์จัดที่ไว้ให้จอดรถคนตัวเล็กก็ดับเครื่อง ชายหนุ่มสองคนช่วยกันขนสัมภาระเล็กน้อยที่หอบหิ้วมาบ้านลงจากรถ เดินต่อเข้าไปเพียงครึ่งกิโลก็พบที่หมาย วันนี้คนบางตาคงเพราะเป็นวันธรรมดา จงรักเลือกปูเสื่อที่โขดหินใหญ่ใกล้ธารน้ำ ข้างๆมีต้นจันผาต้นเตี้ยขึ้นแซมมะค่าโมงต้นสูงใหญ่ที่สามรถบังแดดให้ได้ตลอดทั้งบ่าย จัดวางตะกร้าอาหารเรียบร้อยทั้งสองก็หย่อนตัวนั่งลงเงียบๆ
หูสดับเสียงน้ำตกกระทบโขดหิน สายลมเย็นเอื่อยพัดผาดผิวกายช่วยให้สงบและสดชื่นทำให้รู้สึกเหมือนได้มาพักกายพักใจจริงๆ จงรักขยับตัวไปใกล้ธารน้ำตก จากนั้นจึงค่อยๆหย่อนขาลงไป กระแสน้ำยามเหมันต์เย็นสุดขั้วจนต้องหดขากลับขึ้นมาโดยพลัน คนตัวเล็กถอยกลับขึ้นไปนั่งบนเสื่อเช่นเดิมก่อนหันมายิ้มแหย่ๆให้คนหน้าดุที่คอยมองอยู่เงียบๆตั้งแต่เมื่อครู่
“ทำไมไม่เล่นล่ะ” เมฆาถามก่อน
“น้ำเย็นมากเลยครับ คงเล่นไม่ไหว กลัวเป็นตะคริว”
“เล่นไม่ได้ก็นั่งกันอยู่บนนี้เป็นเพื่อนพี่ อากาศดีคงอยู่ที่นี่ได้ตลอดบ่าย”
“พี่เมฆหิวไหมครับ”
ไม่ถามเปล่า จงรักยังหยิบแซนวิชทูน่ากับกระติกเก็บความร้อนที่บรรจุกาแฟดำออกมาจากตะกร้า วางกล่องแซนวิชไว้ตรงกลางระหว่างตัวเองกับเมฆา จากนั้นก็รินกาแฟส่งให้ร่างสูงก่อนจึงรินให้ตัวเอง
“ขอบคุณ” เมฆาว่าก่อนรับแก้วมา
“มากะทันหันมากไปหน่อย ผมเลยไม่ทันได้เตรียมขนมมาเยอะกว่านี้” เพราะคิดไว้ว่าจะออกเที่ยวในอีกวันหนึ่ง เสบียงที่คิดจะเตรียมเอาไว้ปิคนิคก็เลยไม่ทันได้เตรียม
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ เราก็กินข้าวกลางวันกันมาแล้วด้วยนี่” ว่าแล้วก็กัดแซนวิชเข้าไปคำหนึ่ง
“พี่เมฆครับ” เห็นว่าหากจะนั่งกินกันเงียบๆบรรยากาศมันก็ออกจะแปลกเกินไปสักหน่อย อย่างน้อยได้ออกมาเที่ยวกันสองคน จงรักคิดว่าเขาควรชวนพี่เมฆคุยอะไรบ้าง
“ว่าไง”
“พี่คิดว่าที่บ้านผมเป็นยังไงครับ โอเคหรือเปล่า”
“ยิ่งกว่าโอเคอีก พี่ไม่คิดเลยว่าพ่อกับพี่ๆของรักจะน่ารักแล้วก็ใจดีขนาดนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของพี่มากๆเลยล่ะ ถ้าท่านรับพี่เป็นลูกชายอีกคนจริงๆก็คงจะดี” คนหน้าดุพูดออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆตรงมุมปาก คนฟังได้ยินดังนั้นก็ยิ้มจนแก้มแทบปริ ความจริงจงรักรู้อยู่แล้วว่าพ่อกับพี่ๆต้องยินดีต้อนรับพี่เมฆ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวพี่เมฆจะประทับใจขนาดที่เอ่ยปากอยากจะเป็นลูกชายอีกคน
“ดีใจจังครับที่พี่เมฆชอบ”
“ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะไม่ชอบใจอะไรหรอกนะ ทุกอย่างโอเคจริงๆ” เมฆายืนยันอีกครั้งก่อนถามกลับ “แล้วทางรักล่ะ พ่อกับพี่ๆมีพูดอะไรถึงพี่หรือเปล่า มีอะไรที่ทำแล้วไม่เหมาะไม่ควรไหม” เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมากนัก บางครั้งบางทีก็กลัวว่าการที่ยิ้มๆไม่ค่อยชวนคุยเท่าไหร่จะทำให้ดูเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ติดลบ
“ไม่มีครับ พ่อไม่ได้ติงอะไรเลย พ่อพูดกับผมก็เหมือนกับที่พี่เห็นนั่นแหละครับ ท่านคงดูออกว่าพี่เมฆนิสัยดี ก็เลยไม่ห่วงอะไร”
“พี่ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
“ไม่หรอกครับ สำหรับผมน่ะ พี่เมฆดีที่สุดเลย” น้องพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังแบบสุดๆ คล้ายกลัวว่าเมฆาจะไม่เชื่ออย่างไรอย่างนั้น
“เรานี่นะ ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกัน” เมฆาถามยิ้มๆ
“ผมชอบพี่มาตั้งนานนะ ผมก็มั่นใจของผมแล้วกันครับ” พูดด้วยความมั่นใจแล้วก็เขินเสียเอง เพราะรู้สึกตัวว่าตนเองชักจะพูดมากเกินไปแล้ว
“ฮ่าๆ เชื่อเค้าเลยจริงๆ” คนหน้าดุหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีพาลให้น้องได้อายมากกว่าเดิม พอหยุดหัวเราะจึงถามต่อ “ถามจริงๆนะ เราชอบพี่ได้ยังไง ชอบพี่ตรงไหนเหรอ”
“อยู่ๆมาถามอะไรกันครับ” ทั้งที่อายจนแทบอยากจะกระโดดลงน้ำตกอยู่แล้ว พี่เมฆก็ยังถามอะไรแบบนี้ออกมาอีก แล้วจะให้เขาตอบออกมาได้อย่างไรกันเล่า
“ไม่ต้องอายหรอกน่า บอกมาเถอะ พี่อยากรู้ว่าอย่างพี่เนี่ยมีอะไรให้เราปักใจมาตั้งหลายปีกัน” ดูจากที่ร่างสูงหยุดหัวเราะแล้ว ท่าทางรอคอยคำตอบทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
“ก็เพราะ…พี่เมฆใจดีครับ”
“ใจดี? ใจดียังไงกัน ไอ้วินก็ใจดี แถมดีกับเรามากๆด้วย”
“มันไม่เหมือนกันครับ!”
“ไม่เหมือนยังไง ไหนอธิบายหน่อยสิ” ถูกไล่ต้อนจนจนมุม จงรักจึงได้แต่สกัดกั้นความขวยอาย แล้วอธิบายให้คนรักหน้าดุฟัง
“คือตอนแรกในสายตาผม พี่เมฆเป็นคนที่ดูดุๆ ไม่ค่อยยุ่งกับใคร เหมือนจะไม่สนใจใครเลย พี่จะอยู่แต่กับกลุ่มเพื่อนกลุ่มเล็กๆ แถมพูดน้อยอีกต่างห่าง ใครๆที่รู้จักก็บอกว่าพี่ไม่สนใจโลก แต่พอผมได้ไปเตะบอล ไปไหนมาไหนกับพวกพี่บ่อยๆ ผมรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย เวลามีเรื่องอะไร พี่จะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นก่อนใคร นั่นเพราะพี่ใส่ใจทุกคนแค่พี่ไม่พูดเท่านั้นเอง เวลาเฮียวินมีปัญหา ผมเห็นเฮียวินแกจะมีพี่เป็นตัวเลือกแรกที่ขอความช่วยเหลือ แล้วพี่ก็ไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง เอาง่ายๆนะ ขนาดผมที่เป็นรุ่นน้องห่างๆพี่ยังเคยอาสาช่วยผมตั้งหลายครั้ง”
“พี่เนี่ยนะช่วยเราหลายครั้ง จริงเหรอ” เมฆาถามอย่างไม่เชื่อหู เขาแทบจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เดินไปส่งที่หอแทนเฮียวินตอนผมเมา เคยให้ยืมเสื้อกันฝนทั้งที่พี่ก็มีแค่ตัวเดียว หนังสืออ่านนอกเวลาที่พี่ให้ยืมผมยังไม่ได้คืนเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ก็ไม่เคยทวงเลย” พอน้องพูด ความทรงจำเก่าๆก็ผุดขึ้นมาลางๆ เมฆามองจงรักเล่าต่อทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ผมรู้ว่าเรื่องแค่นี้มันเล็กน้อยมากๆ พี่อาจเคยช่วยคนอื่นๆเหมือนกัน หรือมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็เก็บความรู้สึกอยากขอบคุณเล็กๆนั้นเอาไว้รวมกัน ทุกวันๆผมมองแต่พี่ จนรู้ตัวอีกทีก็หลงรักไปแล้ว ไม่ยอมมองใครอีก ผมคงเป็นคนประเภทฝังใจแบบเฮียวินบอก พอรักแล้วก็เปลี่ยนไม่ได้ รักแล้วก็รักอยู่แบบนั้น ขนาดพี่มีแฟนหรือห่างกันไปตอนเรียนจบ ผมก็ยังรักพี่อยู่เลย…” พูดจบจงรักก็เงียบไป
“…..” เมฆาพูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว ได้แต่มองคนที่ก้มหน้าเพ่งมองมือตัวเองอยู่นานสองนาน
“ตลกดีนะครับ” คนตาคมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาของเมฆาพร้อมกับยิ้มขำ แต่คนที่ถูกรักกลับไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันขำตรงไหน
“ไม่เห็นตลกเลย”
“เหรอครับ”
เงียบกันไปครู่ใหญ่ บรรยากาศกระอักกระอ่วนที่ไม่ได้พบเจอมาระยะหนึ่งกลับมาอีกครั้ง จงรักทำทีจิบกาแฟแล้วหันหน้าออกไปทางน้ำตก ส่วนคนตัวโตข้างหลังกลับทำอะไรสวบสาบกับตะกร้าใส่ของ พอหันมาดูก็เห็นมือหนาวางแก้วกาแฟเปล่าลงในตะกร้า แล้วก็เป็นจังหวะพอดีกับที่สายตาคมเงยขึ้นมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“เติมกาแฟอีกไหมครับ”
“ไม่แล้วล่ะ พี่ง่วง”
“ง่วงเหรอครับ” ดื่มกาแฟแล้วง่วงจงรักก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก
“ขอนอนหน่อยได้ไหม”
“ได้สิครับ” พอน้องรับคำคนพี่ก็ล้มตัวเอนหลังลงหนุนตักทันที จงรักตกใจจนเกือบทำกาแฟหกใส่ ต้องรีบวางแก้วกาแฟเอาไว้ด้านข้างก่อน
“นอนได้ใช่ไหม” เมฆาลืมตาถาม
“ด…ได้ครับ” ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแค่ประหลาดใจในพฤติกรรมที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
“จะกลับก็ปลุกพี่ด้วยนะ”
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับ
แต่แทนที่คนตัวโตจะหลับตาลง เขากลับนอนลืมตาโพลงมองหน้าน้องอยู่อย่างนั้น แม้จงรักอยากจะเสมองไปทางอื่นแต่ก็ถูกสายตาคมดุรั้งเอาไว้ เมฆามองแก้มสีเรื่อก็รู้ว่าน้องประหม่า เขาจึงแสร้งถามอะไรไปเรื่อย
“ได้กลิ่นหอมอะไรไหม”
“กลิ่นหอมยังไงครับ”
“กลิ่นหอมเย็นๆ หวานๆ เหมือนน้ำผึ้ง” จงรักมองไปรอบๆก็เหลือบไปเห็นพวงดอกเอื้องผึ้งสีเหลืองสดที่ห้อยระย้าลงมาจากต้นมะค่าโมง
“อ๋อ คงจะเป็นกลิ่นดอกเอื้องผึ้งน่ะครับ อยู่โน้นไง เกาะอยู่ตรงง่ามไม้นั่น” คนหนึ่งชี้ให้ดู อีกคนหนึ่งก็มองตาม
“สวยจัง หอมด้วย”
“เป็นดอกเอื้องที่พบเห็นได้บ่อยๆครับ ทางเหนือมีเยอะ ตรงนี้มีต้นจันผาขึ้นข้างๆกันด้วย เหมือนในเพลงที่ผมเคยฟังตอนเด็กๆเลย” จงรักเล่าให้ฟัง ลืมความประหม่าที่มีเมื่อกี้ไปเสียสิ้น
“แล้วเพลงมันร้องว่ายังไง”
“ผมจำได้นิดหน่อยเองครับ เคยฟังนานแล้ว”
“นิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ไหนร้องให้พี่ฟังหน่อยสิ” และก็ลงท้ายเช่นเดิม จงรักยอมทำตามง่ายๆแม้จะกระดากอายแค่ไหน หากว่าเป็นคำขอร้องของพี่เมฆแล้วล่ะก็
“เอื้องเอย คนขานนามเอื้องผึ้ง
กลีบเหลืองปานน้ำผึ้ง หอมตรึงต้องใจภุมรา
จันผาเอ๋ยงามสง่า ต้นใบสะดุดตา ขึ้นเคียงคู่กัน นิรันดร์เอย”
ร้องเพลงจบยังไม่ทันพักหายใจ คนหน้าดุที่เอาแต่ทำตัวแปลกไปก็ตวัดแขนเอื้อมมือมาคว้าต้นคอของจงรักเอาไว้ ก่อนดึงลงมาใกล้แล้วประทับจูบ ในทีแรกเพียงแตะผ่านแผ่วเบา ทว่าพอเผลอระบายลมหายใจ ความรู้สึกอุ่นร้อนก็เข้าครอบงำ มันลึกล้ำ หวามไหว และดำดิ่งกว่าที่เคยได้รับเมื่อคราวก่อนหลายทบเท่า จากคนที่เงียบขรึมตอนนี้กลายเป็นคนเอาแต่ใจ ทั้งรุกล้ำและรุกไล่จนจงรักหัวหมุน กว่าจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระริมฝีปากก็แดงก่ำฉ่ำน้ำไปหมด นิ้วโป้งหนาแตะลากเบาบางที่กลีบปากคล้ายคำปลอบประโลม จากที่หายใจเข้าออกถี่เร็วจงรักจึงคลายผ่อนลมหายใจลง ทว่าก็ยังไม่ทันรวบรวมสติกลับมาเป็นผู้เป็นคนดีนัก เสียงทุ้มที่เอ่ยสัพยอกของเมฆากลับพาให้สติมันต้องเตลิดฟุ้งไปอีกระลอก
“นอกจากจะหอมแล้ว พี่ว่ามันยังหวานอีกด้วยนะ รักว่าไหม”“…..” จงรักไม่ได้ตอบอะไรออกไปสักคำเดียว ความจริงต้องบอกว่าคิดคำตอบไม่ออกเลยจะเหมาะกว่า หากแต่ในหัวกลับมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาแทน ทว่าจ้างให้ตายเขาก็ไม่มีวันถามออกไปหรอก
ที่ว่าหวานนั้นพี่เมฆหมายถึงเอื้องผึ้งหรืออะไรกันแน่<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
ตามมาจนครบแล้วจ้าาา
นอกจากจะรัวมือพิมพ์แล้ว ก็ต้องรัวมือให้พี่เมฆด้วย โฮะๆๆๆ
จัดไปเบาๆ วาบหวิวนิดๆ แต่ความหวานการันตีว่ามดมาทำรังได้ค่ะ อิอิ
คนคบกันความสัมพันธ์มันก็ต้องพัฒนาไปเป็นลำดับขั้นตอนของมันเนอะ
จุดนี้คือสบายๆ กุบกิบกันมาหลายตอนแล้ว ตอนหน้าคงต้องจัดดราม่ามาคั่นรายการกันหน่อย #ผิด 555555
ขอบคุณที่เป็นเป็นกำลังใจ คอยติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ
เมื่อวันก่อนเข้าไปเจอว่ามีคนอ่านที่น่ารัก แอบเสนอชื่อเรื่องกับนายเอกเข้าชิงเซ็งเป็ดอวอร์ตกันด้วย
คือไม่ได้เข้าชิงกับเขาหรอก แต่แค่เห็นว่ามีคนเสนอชื่อก็ดีใจมากๆแล้วค่ะ
ปริ่มมากเลย นิยายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่เขียนลงเล้า ยังไม่จบ แถมอัพไม่ถี่(โดนตีรัวๆ555)
แต่ก็มีคนชื่นชอบแบบนี้ ต้องขอขอบคุณมากจริงๆนะคะ เป็นกำลังใจที่เติมให้จนเต็มปรอทจริงๆค่ะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^O^
pungjungza