เสาะแสวงตามหาจนสุดหล้า
มิอ่อนล้ามิท้อทันมิหวั่นไหว
จนจะได้เจอพี่ยายอดดวงใจ
จนจะได้คนไป..ใคร่กลับคืน
-๒๙-
“…พ่อเราเป็นหมออาคม” เธอพูดเสียงแผ่ว..ถ้อยคำนั้นลอยเข้ามาในหูแต่ไม่ได้ลอยออกไปไหน
“ตามปกติแล้วพ่อเราก็เป็นคนธรรมดา นอกจากว่ามีคนมาจ้างวานให้ทำเรื่อง..ต่างๆ เพราะธุรกิจนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างกำไรมากมายนัก เพียงแต่…พ่อคลั่งไคล้…และบางทีอาจจะมากเกินไปจนน่ากลัวด้วยซ้ำ”
เสียงเธอที่อธิบายช้าๆนั่นสั่นพร่า
และซึมซาบเข้ามาในจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่…?”
ไม่ต้องบอกก็รู้ ผมชี้นิ้วไปหาร่างที่นอนอยู่
คนตรงหน้ามองตามผม
“ร่างของพี่สุวรรณา…” “แล้ว?”
“…เป็น…ร่างที่ลงอาคมไว้น่ะ” เสียงนั้นเบามาก..เบาจนถ้าไม่เพ่งสมาธิก็ไม่ได้ยิน “มีการเติบโต มีพัฒนาการ เพียงแค่...ไม่มีวิญญาณ”
ผมยืนนิ่ง รอให้อีกคนอธิบายต่อ
ที่จริงอาจจะเพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปเลยเสียมากกว่า..
“ตอนนั้นเราสองคนอายุได้สามขวบ…ยังสูงแค่นี้อยู่เลย” เธอทาบมือประกอบด้วยรอยยิ้มจางๆ “เราสองคนเป็นฝาแฝดกัน แทบไม่มีใครแยกกันและกันออก..รักกันมาก…แต่ก็ซนไปทั่วตามประสาเด็ก วันนึง…พวกเราหนีพ่อกับแม่ไปวิ่งเล่นที่ริมแม่น้ำ…แล้ว…พี่ก็ตกลงไป…”
ผมนึกถึงรูปถ่ายที่แปะอยู่บนบอร์ดหน้าห้องของเธอ มีรูปของเด็กหญิงตัวเล็กวัยสามขวบคนหนึ่ง..ที่ความจริงแล้วควรจะมีสองคน และภาพในจินตนาการของผมคือเด็กผู้หญิงสองคนนั้นตามคำที่เธอบอกเล่าออกมาได้อย่างชัดเจน
“น้ำลึก กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก” เสียงนั้นสั่นขึ้นเรื่อยๆ
“เราจำภาพนั้นได้ดี ตอนที่พี่สุวรรณาตกลงไปในน้ำ…แล้วค่อยๆจมลงไปต่อหน้าต่อตาเรา เรากรีดร้องเรียกให้ใครก็ได้มาช่วย แต่แถวนั้นไม่มีใคร…จะมีก็แต่………..”
หัวใจของผม..กำลังเต้นระรัวมาก
“จระเข้ตัวหนึ่ง” มันคือช่องว่างแห่งความเงียบงัน..ที่ราวกับอากาศบริเวณนั้นหายไปหมดสิ้น
อุณภูมิที่สูงขึ้นมาโปะอยู่ที่ตา และผมต้องกระพริบไล่มันไป
“แลกกับชีวิต…” เธอเอ่ย จ้องหน้าผม
“…ด้วยชีวิต” ผมส่ายหน้าช้าๆ “หมายความว่ายังไง?”
“จระเข้ตัวนั้นไม่ใช่จระเข้ธรรมดา ไกรก็รู้ใช่มั้ย” เสียงนั้นราวจะขาดใจ “ร่างของพี่อยู่ในปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยว ท่านผู้นั้นยื่นข้อเสนอ หากพวกเราช่วยเขาปลิดชีพหนึ่งชีวิตได้..จะคืนวิญญาณให้กับพี่สุวรรณา”
“…ข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นนั่นมันอะไรกัน?”
“..เรารู้ว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกด้าน”
“แล้วทำไม…”
“แต่พ่อเราไม่ใช่” ..ผมคิดว่าประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ.. “เราบอกแล้วใช่มั้ย…พ่อเรารัก หลงใหล และคลั่งไคล้ในศาสตร์นี้ เขาปรารถนาที่จะได้ทำเรื่องแบบนี้มานานแล้ว..การฟื้นฟูศาสตร์อาคมที่กำลังจะล่มสลาย การสืบทอดเจตนารมณ์ของครูอาคมรุ่นก่อนๆ เพราะงั้นมันไม่ยากเลยที่จะให้คนอย่างเค้าตบปากรับคำกับเรื่องนี้ พวกเขาร่วมมือกัน..ทำให้ทุกอย่างอยู่..อยู่ในแผน”
“แผน? แผนอะไร?” ผมทวนคำ
คนฟังเม้มปากแน่น และเอ่ยคำนั้นออกมาทั้งน้ำตา
“..แผนปลิดชีวิตจ้าวธารา” ผมคิดว่าผมจะล้มลงไปทั้งอย่างนั้น
‘พี่หันหลังให้จระเข้ด้วยกัน..ไม่ได้..’
‘สิ่งเดียวที่ท่านต้องไม่หันหลังให้คือ ‘พวกเรา’…คือ ‘ความแค้น’ ทั้งหมดของพวกเรา’
‘สัญญากับพี่ได้มั้ย..ว่าไกรจะเป็นคนเดียว…ที่ไม่ ‘โกหก’ พี่…’
‘…สิ่งเดียวที่จะฆ่าพวกเราได้…คมดาบเดียวที่จะกรีดลงบนผิวเนื้อของพวกเราได้…’
‘…….คือการทรยศ’ “ทุกอย่างอยู่ในแผนมาตั้งแต่แรก จระเข้ต้องการฆ่าจระเข้ด้วยกันเอง วางแผนทุกอย่างมาอย่างละเอียดละออตั้งแต่สิบยี่สิบปีที่แล้ว หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น”
..ท่านอาพันวัง.. ถามว่าเกลียดไหม..ถามว่าแค้นรึเปล่า..สิ่งที่กดอยู่ด้านในเป็นมากกว่าแค่อาฆาต เอาคนที่ผมรู้สึกแย่ด้วยตลอดชีวิตมาปั้นเป็นก้อนรวมๆกันยังทำให้ผม…โกรธ…ได้ไม่เท่าสิ่งที่ท่านอาพันวังทำกับไอ้พี่วันตลอดมา หลายสิบปีที่ผ่านมา…
“…สิ่งเดียวที่จะฆ่า ‘จ้าว’ ได้มีเพียงการถูกแทงจากภายใน การหักหลัง…พ่อวางแผนให้เราเข้าไปยืนตรงนั้น และทำทุกอย่างให้พี่สุวรรณากลับมาให้ได้…แต่…เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นที่สุดกลับเกิดขึ้น…”
แก้วสะอื้นเพียงนิด แต่น้ำตากลับไหลออกมาเป็นสาย
ผมคิดว่าจะควรจะหยิบผ้าเช็ดหน้าให้เธอ แต่ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้พกไว้
และผมรู้…
“…เพราะว่าแก้ว…กลับชอบไอ้พี่วันขึ้นมาจริงๆ…?” เธอพยักหน้าโดยไม่มีเสียงตอบกลับ..พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้นนั่น
“เราขอโทษไกร เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“เรื่องที่เราโดนเล่นงานก็เป็นฝีมือพวกเธอใช่มั้ย?”
“..เราขอโทษ”
“มันไม่ใช่เรื่องตลกนะแก้ว”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องบ้าง แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่รู้ว่าคนที่ทำร้ายผมในวันนั้นเป็นใคร ผมแทบไม่รู้สึก..เจ็บปวดกับเรื่องนั้นเลย แต่ถึงอย่างนั้น…กลางอกผมก็ยังปวด…
ไอ้ที่ผมเจ็บน่ะ…
มันล้ำลึกและซับซ้อนกว่านั้น.. “คนที่เค้ารักกัน..เค้าไม่ทำกันแบบนี้…” …คือความรักที่แก้วมีให้พี่วัน ผมมองเธอ..เธอกำลังสะอื้นหนักจนตัวโยน
“….ทุกอย่างมันผิด ไกร มันผิดตั้งแต่ที่เรารักพี่วันจริงๆ และก็ผิดแผน…ตรงที่พี่วันไม่ได้รักเรา ทำให้กระแสทั้งหมดเปลี่ยนไป คนบริสุทธิ์อย่างไกรถึงต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องบ้าๆแบบนี้..เพราะ….”
เธอมองหน้าผม ในดวงตาคู่นั้นมีประกายประหลาด
“..เพราะพี่วัน…รักไกร” ลิ่มขนาดใหญ่พุ่งมาปักที่ทำนบน้ำตาให้แตกออก ปล่อยให้สายน้ำทั้งหมดไหลพรั่งพรูออกมาอย่างเสียมิได้
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไปในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่รึเปล่า ขมวดคิ้วจนเจ็บหรือเลิกสูงจนปวด เสียงฟันที่กระทบกันดังกรอดอยู่ข้างในเมื่อนึกถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา น้ำตาทั้งหมดในช่วงเวลาที่ไอ้พี่วันหายไป…กำลังไหลลงอาบแก้มผม
แก้วจูงมือผมออกจากห้อง และปิดประตูบานนั้นลงอีกครั้ง
พวกเราเดินลงมาชั้นล่าง และเธอก็หยิบยื่นทิชชู่ม้วนใหญ่ให้ผมทั้งม้วน ผมคิดว่ามันน่าอายที่เราร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรแล้ว
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะแก้ว..ทุกอย่าง...มันสำเร็จมั้ย?”
ผมถามเธอทันทีหลังจากที่ตัวเองควบคุมสติได้
เธอยิ้ม “หลังจากวันนั้น..เราเองก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยเหมือนกัน”
“แล้วพี่สุวรรณาของแก้วจะเป็นยังไง?”
“เราเองก็ไม่รู้เลย..พักนี้พ่อน่ากลัวมาก เราไม่กล้าถามหรอก”
“แก้ว…”
ผมเรียกเธอ คิดว่าคำถามนี้แหละที่ผมสมควรถามมากที่สุด
“แก้วคิดว่าพี่วัน..
จะเป็นยังไง..?”
คนฟังยิ้มอ่อน เดินนำผมออกจากประตูบ้าน “เรา..ขอโทษจริงๆนะไกร แต่เราไม่รู้อะไรจริงๆ…ตอนนี้บ้านเราเองก็ย่ำแย่เหมือนกัน พ่อกับแม่เอาแต่คร่ำครวญถึงพี่สุวรรณา ซึ่งเราคิดว่าคง..หมดหวังแล้วล่ะมั้ง”
“แล้วแก้วล่ะ?” ผมถามต่อ “เป็นยังไงบ้าง..?”
“เราคิดว่า..แบบนี้ก็ดีนะ” เธอหัวเราะ “เหมือนกับว่า..เรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้วน่ะ”
“ดีใจด้วยนะ”
“…เราเสียใจจริงๆนะไกร”
“ไม่เป็นไร” ผมพยักหน้า แล้วเปิดประตูรั้วบ้าน “เราเข้าใจเธอ”
“ขอบใจนะ”
“แล้วเอาเรื่องนี้มาบอกเราจะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
“อ้อ ไกรก็อย่าไปบอกคนอื่นต่อสิ”
“ฮะๆ บอกไปใครจะเชื่อ”
พวกเราสองคนคุยกันอีก2-3ประโยคที่หน้าประตูบ้าน หลักๆคือการร่ำลากันนั่นแหละครับไม่มีอะไรมาก และถ้าถามความเห็นของผมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น…แก้วพูดผิดไปอย่างหนึ่ง เพราะผมเข้าไปในบ้านนี้มากกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ๆไม่ใช่เพียงแค่ห้านาทีอย่างที่เธอว่าในคราวแรก
…และนั่นแหละ ผมไม่ถือโทษโกรธแก้ว ที่จริงแล้วทุกคนก็ต่างมีเหตุผลของการกระทำต่างๆด้วยกันทั้งนั้น…และต่างคนก็ให้ความสำคัญกับเหตุผลของตัวเองมันก็เป็นของตายอยู่แล้ว ผมผิดเอง…ที่หลงเข้ามาในวัฏจักรนี้อย่างคนธรรมดาเกินไป
“ไกร”
“หืม?”
เรามองหน้ากันผ่านช่องว่างของรั้ว และเธอยิ้มให้ผม
“เราไม่มั่นใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่นะ เราเองก็ยังยืนยันไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า แต่เราเองก็มีโอกาสได้อ่าน..เอ่อ..สมุดเล่มดำๆนั่นน่ะจ้ะ เลยพอรู้อะไรมาบ้าง…จ้าวจระเข้…ไม่ตายง่ายๆหรอกนะ…”
“....เราเชื่อว่าพี่วันยังมีชีวิตอยู่จ้ะ” “อื้ม”
ผมยิ้มกลับ คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรต้องพูดมากมาย
“..เราก็เหมือนกัน”+++++++++++++++++++
“เฮ้ยๆ ได้ยินมาว่าพี่วันดรอปเรียนว่ะ” “หา จริงดิ”
“ซิ่วเหรอ?”
“ซิ่วทำไมวะแก จะจบอยู่ละ”
“โปรเจคจบก็ไม่มาทำนะ ก็สมควรจะดรอปอ่ะ”
“เค้าเข้าโรงพยาบาลเหรอ?”
“ไม่ม๊างงง ไม่ได้ข่าวเลย”
“เดือดร้อนห่าไรวะ เรื่องของพี่เค้านี่”
“นี่หนุ่มหล่อคณะเราจะลดจำนวนลงแล้วนะ”
“ใช่ใช่ อาหารตายิ่งน้อยๆอยู่”
“เออ พอเลย ใครน้องรหัสพี่วันวะ”
ใครสักคนยกมือขึ้น “กูๆ ไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่ะ..เดี๋ยวกูถามพี่สายล่ะกัน”
“ก็ดูพี่เค้าไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่หว่า เรียนดีออก”
“ติดจะเทพด้วยซ้ำ”
“แล้วดรอปทำไมวะ?”
ผมจำได้.. ..จำ..กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคลุ้งเต็มท้องน้ำได้ดี..จะได้ว่าสีของมันหม่นหมองและน่ากลัวแค่ไหน จำได้ว่าตัวเองภาวนาอยู่ตลอดเวลาว่าขอให้นั่นไม่ใช่เลือดของเขา…หรืออะไรก็ตาม
แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งวันเปิดภาคเรียน…ก็ยังไม่เห็นแม้เพียงเงา
หลายคนคงจำได้ว่าผมสนิทกับพี่วันเลยเข้ามาถามไถ่ และเมื่อผมตอบพวกเขาไปตามตรงว่าไม่รู้ พวกเขาก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือมีท่าทางเป็นห่วงอย่างจริงจังขนาดไหน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรนัก..การดรอปหรือซิ่วจากมหา’ลัยด้วยเหตุผลส่วนตัวนั้นคงไม่มีใครคัดค้าน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพี่วันเป็นจระเข้
…แถมยังไม่รู้ด้วยว่าเจอกับอะไรมา ผมคิดว่าควรจะฉุดตัวเองขึ้นมาจากบรรดาข้อสันนิษฐานต่างๆว่าเป็นหรือตาย ใจนึงผมภาวนาให้เขายังมีชีวิตอยู่…อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเขาตายไปให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมานั่งกระวนกระวายเหมือนที่เป็นอยู่ในทุกๆวันแบบนี้
และจากวันนั้นเป็นเป็นต้นมาผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับแก้ว ด้วยเหตุผลเดิมๆ..คือผมไม่รู้จะคุยอะไร เธอบอกผมแล้ว…สำหรับทุกๆอย่างที่ผมควรรู้ และ…ผมไม่ได้มีเรื่องอื่นใดที่ยังคงคาใจอยู่
ถึงแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกันวิชานึงก็เหอะ
“เฮ้ย ไกร”
โป๊ยเรียก ผมยังไม่ละสายตาจากหน้าต่าง..แต่ก็งึมงำตอบมันไป
“หืม?”
“เอาไงดีวะมึง”
“เอาไงอะไร?”
โป๊ก! “ควาย เรื่องแมชเชอร์งานไง”
“เหี้ย กูก็ฟังอยู่ จะเขกกบาลกูทำไมเนี่ย!?”
“ก็เห็นมึงเหม่อ…”
“คิดมากอะไร อยากไปเที่ยวจังหวัดไหนก็ไปดิวะ”
“กูอยากไปทะเล”
“ตลกละ หาข้อมูลหน่อยดิ…อยุธยา สุโขทัย ไรงี้สิวะ”
“แหม ถ้ามึงจะสโคปทุกอย่างลงมาขนาดนั้น..ก็เลือกไปเองเลยจะดีกว่าป่ะวะ” มันว่า น้ำเสียงประชดประชันแดกดันสุดฤทธิ์ “ทำมาบอกจะให้กูเลือกอย่างโง้นอย่างงี้”
ผมกลอกตา “แล้วแตงโมกับแก้วอ่ะ ว่าไง?”
“ก็บอกแล้วแต่มึง อย่าลืมซิมึงเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ”
“เออๆ”
“รีบๆเลือกเหอะ จะได้ไปกันในเดือนนี้…ทิ้งไว้นานเดี๋ยวงานจะเข้าอีก”
“ไอ้สัส นี่มึงเป็นใครเนี่ย เอาไอ้โป๊ยเพื่อนกูไปซ่อนไว้ไหน”
“…กูไม่คุยกับมึงละ เชิญเหม่อเฮิร์ทเพราะโดนผัวทิ้งไปคนเดียวเลยมึงอ่ะ”
“เฮ้ยยย กูล้อเล่นนนน ฮ่าๆๆ”
“ขำมากป่ะะะ”
ผมขำจนน้ำตาเล็ด..ก็รู้อยู่หรอกว่าที่ไอ้โป๊ยมันเอาการเอางานขึ้นมาขนาดนี้เพราะตัวผมเองเนี่ยแหละที่เอาแต่เหม่อลอยไปวันๆ มันเลยต้องดึงความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ออกมาเพื่อรับมือกับปัญหานี้คนเดียว แอบรู้สึกขอบคุณมันไม่น้อยเลยแหะ
“เอ้อๆ เมื่อกี้เค้าประกาศกูไม่ทันฟัง…กลุ่มเราได้ใครเป็นที่ปรึกษาวะ?”
ไอ้โป๊ยหันหน้าหน่ายๆมาทางผม แล้วหยิบชีทที่เค้าเพิ่งแจกวันนี้ขึ้นมาดู..ผมชะโงกหน้าตามไปดูด้วย มันคือใบ assignment ที่แจกแจงรายละเอียดการทำงาน การแบ่งและจัดกลุ่มหาอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งประเด็นของเรื่องอยู่ตรงนี้แหละ พวกผมจับฉลากได้กลุ่ม4…อยู่กับ…
….อาจารย์คง+++++++++++++++++++
ถ้าคุณคิดว่าผมเดินเร็วแล้วล่ะก็..คุณคิดผิด
ตอนนี้ผม ‘วิ่ง’ อยู่ต่างหาก..!
“จารย์!!!” สิ่งแรกที่ทำตอนเปิดประตูโพล่งเข้าห้องพักอาจารย์คือการตะโกนเรียกเสียงลั่นแบบที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน และหลังจากนั้นไม่เกินสามวิก็ถึงได้รู้ว่าเสียมารยาทแค่ไหน จึงรีบโค้งคำนับให้อาจารย์ทุกคนที่อยู่ร่วมห้องจนหลังแทบจะขนานกับพื้น
ส่วนเจ้าของนามน่ะนั่งอยู่ซะโต๊ะตัวในสุด แล้วส่ายหน้าระอา
“มีอะไร?”
“เอ่อ…” ผมก้าวเท้าเข้าไปช้าๆ พยักเพยิดว่าห้องประชุมเล็กว่างอยู่นะด้วยอวัจนภาษา แต่ก็นั่นแหละ ผมต้องหาเหตุผลที่ดีกว่านั้น “ปรึกษา…เรื่องแมชเชอร์….”
แกขยับแว่นเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองหน้าจออีกครั้ง
“ไปรอห้องนู้นไป เดี๋ยวตามไป”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ก่อนออกจากห้อง ผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอโทษอาจารย์ทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง โชคดีที่ในห้องนั้นไม่ได้มีอาจารย์จอมโหดอยู่สักเท่าไหร่ไม่งั้นล่ะก็…โดนเชือดแน่ พูดแล้วสยองเลย
ผมเดินเข้าห้องประชุมเล็กที่ไม่มีคนใช้งานข้างๆ เปิดไฟเปิดแอร์รอพร้อมประหนึ่งการสัมมนาจริงจังก็มิปาน ทั้งๆที่อ้างเรื่องแมชเชอร์ไป…แต่ก็เห็นจะมีแต่คำถามส่วนตัว ที่ผมเพิ่งเรียบเรียงได้สำเร็จหลังจากผ่านให้มันตกตะกอนมานานเป็นเดือนๆ กับคำถามที่จะถามกับคนที่รู้เรื่องจระเข้มากที่สุด
…กับหมอปราบจระเข้ พอทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ก็รู้สึกไม่อยู่สุขจนต้องลุกแล้วเดินไปเดินมาวนเวียนอยู่รอบห้อง ความกระวนกระวายตลอดหลายเดือนแทบจะมาจุกอัดกันอยู่ในคราวเดียวก็วันนี้แหละ
ไม่นานประตูก็เปิด อาจารย์คงเดินเข้ามาในห้องแบบเรียบง่ายตามประสา
แล้วเอ่ยถามออกมาก่อนจะทันได้นั่ง
“เอ้า มีอะไรก็ว่า….”
“ถ้าจะหาตัวจระเข้…ต้องทำยังไงครับ?” ..ชะงัก ไม่ได้หมายถึงผมหรอกครับ หมายถึงเขาต่างหาก
อาจารย์คงเลิกคิ้วขึ้นจนเห็นรอยย่นที่หน้าผากชัดเจน ก่อนจะส่ายหน้า “…คราวหลังช่วยปรึกษาอะไรที่มีสาระหน่อยได้มั้ยเนี่ย…”
“…ผมถามจริงๆนะอาจารย์” ผมรีบเดินตรงเข้าไปหา แล้วค้อมศีรษะลงให้รู้ว่า..เอ่อ อย่างน้อยผมก็เคารพเขาไม่น้อย “ผมอยากรู้…ว่าหมอปราบจระเข้หาตัวจระเข้พิเศษแบบนั้นเจอได้ยังไง ทั้งเรื่องรังของมัน..แล้วก็พี่วั---เอ่อ จระเข้ตัวเป็นๆด้วย”
แกเลิกคิ้ว “…ก็ไปสวนสัตว์ซะสิ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ! ผมจริงจังนะ’จารย์”
“จริงจังเรื่องอะไร?”
“ผมอยากตามหาจระเข้”
“ไปเพื่ออะไร?” …ผมพูดไม่ออก
ตอนนั้นแม้แต่จะพูดอะไรสักคำออกไปก็พูดไม่ออก ทั้งที่มีคำตอบอยู่เต็มไปหมด
อีกฝ่ายประสานมือไว้บนโต๊ะ..แล้วจ้องผมอย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นมองลอดแว่นออกมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นหิน ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแล้ว มันคือความน่ากลัว…เพราะคิดว่าตลอดว่าอาจารย์คงไม่มีทางทำอะไร ในสถานการณ์แบบนี้ถึงได้น่ากลัว..
แกเงียบ และท่าทางว่าจะไม่พูดอะไรจนกว่าผมจะหาคำตอบออกมาได้ มันแย่มาก..ดวงตาของเขาเหมือนดวงตาเมดูซ่าในเทพนิยาย
แต่ผมก็ตัดสินใจตอบไป..ด้วยเสียงที่เบามาก
“…ผม…อยากหาไอ้พี่วัน…” แค่นั้นแหละ..เรื่องมันก็แค่นั้นเอง
“อ้อ” แกรับคำสั้น “ได้ยินว่านายทิวันอะไรนั่นดรอปเรียนใช่มั้ย?”
ผมพยักหน้า “แต่มันไม่ใช่แค่นั้น…อาจารย์ก็รู้…”
“แล้วมีอะไร?”
“รังจระเข้”
แกถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม้แต่เรื่องนั้น…คนธรรมดาอย่างเอ็งก็รู้เหรอเนี่ย”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ” ผมร้อง
“วันที่รังแตก…ผมเองก็อยู่ที่นั่นด้วย” คำนั้นทำให้แกชะงักเพื่อมองหน้าผม ด้วยดวงตาที่ทำให้ผมเกร็งจนต้องยืดหลังตรงอีกครั้งหนึ่ง
แกจ้องหน้าผมนิ่ง...นานจนผมกลัวว่าตัวเองจะขาดใจตายเสียตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการหลุบตาลงต่ำ เคาะนิ้วลงกับโต๊ะ2-3ครั้ง แล้วพูดต่อ
“เธอเองก็มีสมุดเล่มนั้นแล้วไง มันบอกทุกอย่างไว้แล้วนี่”
ผมกลืนน้ำลาย “…ผมอ่านไม่ออก”
“โอเค” แกยกมือ..ท่าทางจะเข้าใจความหมายที่ผมบอกโดยไม่ต้องอธิบาย “ฉันเข้าใจละ”
“อาจารย์จะบอกผมได้มั้ยครับ…”
“มันยากนะ”
“…แต่ผมอยากรู้ ถือว่าสอนนอกรอบไง”
“สอนอะไร?”
“วิธีหาจระเข้” อาจารย์คงเงียบไปครู่หนึ่ง
“บอกไว้เลยนะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพวกนั้นเจอ ข้าใช้เวลามากกว่าสิบปีในการหาจ้าวทิวันจนพบ และถึงแม้จะหาพบก็ใช่ว่าจะจับตัวได้ในทันที…ข้าเตือนเอ็งแล้ว บอกเอ็งตั้งไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พันรอบว่ามันอันตราย เรื่องแบบนี้มันไม่เหมาะกับคนธรรมดา..”
“ผมรู้…”
“ถอนตัวไปซะ”
ผมกัดฟัน “เข้ามาขนาดนี้แล้วอาจารย์ยังจะกันผมออกไปอีกเหรอ?”
“เพราะแบบนั้นน่ะสิถึงได้อันตราย”
“แต่…..”
“นี่เป็นโอกาสดี ถอนตัวไปซะ”
แกย้ำอีกครั้ง ผมส่ายหน้า
“ผมทำไม่ได้”
“ทำไม?”
“…ผมรักเค้า…” มันไม่ใช่เรื่องโกหก
และเสียงของผมก็สั่นเหลือเกิน
“ผมทำไม่ได้…ที่จะปล่อยให้เรื่องมันจบแบบนี้ ผมไม่อยากนั่งรออยู่เฉยๆ..หรือตัดใจไปทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งเรื่องที่ไอ้พี่วันหายไป…อยู่ที่ไหนที่ไม่มีใครรู้ จะปลอดภัยรึเปล่า เป็นตายร้ายดีแค่ไหน…หรือยังไง ผมแค่อยากรู้”
แกคลายไหล่
“ไร้สาระชะมัด” “ผมรู้…”
“อย่าว่าแต่ชายรักชายเลย นี่มนุษย์กับจระเข้นะ”
“ผมรู้…แต่…”
“ยังยืนยัน? ว่างั้น?”
คำถามนั้นเหมือนลองเชิง ที่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากการพยักหน้ารับ
แกถอนหายใจอีกครั้ง “…มีทางเดียวที่จะทำได้”
“ยังไงครับ? ให้ผมทำอะไร?”
ตอนนั้นผมเริ่มฉุกใจคิดกับสิ่งที่ตัวเองถามออกไป อีกคนถอนหายใจสั้นๆ ท่าทางคล้ายกับลำบากใจที่จะพูดมากกว่าไม่มีคำตอบ..และมันทำให้ผมรู้ได้ลางๆว่าที่อีกคนพูดมาทั้งหมดนั้นหมายถึงอะไร ทั้งเรื่องที่พยายามตอบคำถามของผมทีละข้ออย่างใสใจนั่นก็ด้วย
…เขาแค่ไม่ต้องการ…ให้ผมจมดิ่งลงมากับเรื่องนี้
…มากเกินไปกว่านี้ “…เป็นหมอปราบจระเข้ซะเองไง”TBC=======================