Chapter 16 : อ้อนแรงๆทันตแพทย์หนุ่มหลบไปยืนแอบๆ รอจนกระทั่งคีรีคุยกับชาวต่างชาติเสร็จ จากนั้นก็เห็นชัดๆ เลยว่าคนอ่อนวัยกว่าสลายร่างเด็กหนุ่มสุดเท่ท่าทางมั่นใจโคตรๆ เมื่อครู่ออกไปสิ้น แล้วก็เดินไปยืนเจี๋ยมเจี้ยมรอเขาที่ข้างหน้าคลินิกตามที่นัดกันไว้
ไอ้เด็กนี่มีกี่ร่างกันเนี่ย เตชิตชักจะสงสัย
พอคีรีหันมาเห็นทันตแพทย์หนุ่มก็ยิ้มกว้างรับ “คุณเตชิต”
เจ้าของชื่อเรียกจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เมื่อกี้คุณ...” เตชิตขมวดคิ้ว “เปล่าๆ ไม่มีอะไร คุณกินอะไรมารึยัง”
คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้า พร้อมกับทำหน้าอ้อน “ยังเลยครับ หิวจะแย่”
“อยากกินอะไรล่ะ”
“อยากกินคุณ... โอ๊ย!” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะตรงจุดที่ถูกอีกฝ่ายเขกเอา “คุณเตชิตอ่า”
“จะตอบดีๆ หรือจะไปกินคนเดียว”
“ไปกินกันที่ห้องผมกันดีกว่า”
เตชิตขมวดคิ้ว มองคนอ่อนวัยกว่าอย่างระแวง “กินอะไรวะที่ห้องคุณน่ะ ไหนว่าปกติซื้อกินไง จะหลอกผมไปทำอะไรที่ห้องอีกล่ะสิ”
“เปล่าสักหน่อยครับ ผมซื้อกินก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หัดทำอะไรเลยนี่ครับ” คีรีแก้ตัวเสียงหลง เพราะที่จริงก็หวังนั่นแหละ “เนี่ยผมเพิ่งหัดทำอาหารเพื่อคุณเตชิตเลยน้า”
“มีพิรุธอย่างแรงเลยว่ะ”
“คุณเตชิตไม่อยากรู้จักผมให้มากกว่านี้เหรอครับ”
“คุณมาชวนก่อนแบบนี้ก็เตรียมห้องไว้พร้อมแล้วเปล่าวะ”
คีรียกมือขึ้นเกาศีรษะ เพราะทันตแพทย์หนุ่มรู้ทันไปหมด
“มีอะไรกินล่ะ ที่ห้องคุณน่ะ” เตชิตถอนหายใจหนักๆ “ไม่ต้องตอบว่าคุณนะ”
“โห รู้ทันอีกละ แต่เอาจริงๆ ก็มีหลายอย่างเลยครับ ผมซื้อของกินไว้เต็มตู้เย็นเลยนา” คนอ่อนวัยกว่าเอื้อมมือไปเขี่ยหลังมืออีกฝ่าย ขยิบตาให้พร้อมยิ้มมุมปาก “เราผูกปิ่นโตกันแล้ว คุณไม่อยากไปเช็กสภาพปิ่นโตหน่อยเหรอครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับ เขาล่ะปวดหัวกับไอ้เด็กนี่จริงๆ ว้อย!
คีรีจับมืออีกฝ่ายเขย่า “ผมล้อเล่นน่า ไปห้องผมกันเถอะนะ... นะครับ”
“เออๆ ไปก็ไป”
“คุณเตชิตจะขับรถไป หรือเราจะไปรถแดงกันดี”
“ขับรถไปสิ” เตชิตตอบแล้วก็ปล่อยให้คนอ่อนวัยกว่าจูงมือเขาเดินไปยังที่จอดรถ
เด็กหนุ่มหันมองไปรอบๆ “คุณเตชิตจอดรถไว้ที่ไหนอะครับ”
“โน่น วันนี้ใช้รถไอ้วิน”
คีรีคิ้วกระตุก คนเรานี่ต้องสนิทกันขนาดไหนวะ ถึงผลัดกันขับรถได้ “ผมว่าไปรถแดงดีกว่า” เด็กหนุ่มบ่นไปทั้งที่ตัวเองก็ให้เพื่อนขับรถไปทิ้งไว้ให้ที่คอนโดมิเนียมเช่นกัน แต่คนมันจะพาล ก็ช่วยไม่ได้
“อย่าเรื่องมากน่ะ” ทันตแพทย์หนุ่มดึงมือกลับ เขากดปลดล็อกรถ ก้าวเข้าไปนั่ง สตาร์ตเครื่องแล้วลดกระจกลง “หรือจะวิ่งตามหลังรถ เลือกเอา!”
คนอ่อนวัยกว่าทำหน้ายุ่ง แต่ก็ยอมเดินไปเปิดประตูข้างคนขับออกแล้วก้าวเข้าไปนั่งตาม
เตชิตเคลื่อนรถออกไปช้าๆ พลางชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่ยังคงทำหน้าบึ้งตึง “เมื่อไหร่จะเลิกอคติกับไอ้วินสักที มันไปทำอะไรให้คุณวะ”
“เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร”
“เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมนะ”
“ผมรู้ครับ” ...และก็เป็นคนที่คุณรักมากด้วย เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ไม่ชอบหมอวินไง คีรีตอบอยู่ในใจ
ใช้เวลาไม่นานรถออดี้สปอร์ตก็เคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถตรงสวนสาธารณะ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินนำเตชิตไปยังหอพักของเขา
เมื่อเปิดประตูห้องแล้ว คีรีก็หันไปเชิญทันตแพทย์หนุ่มให้เข้าไปก่อน “เชิญครับ”
“ขอบใจ” เตชิตก้าวเข้าไปในห้องอย่างหวาดๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนจะโดนหลอกมาฟันอย่างนี้ อาจเพราะกรรมที่เคยทำไว้มีมากโขก็เป็นได้
ทันตแพทย์หนุ่มหยุดยืนหันมองไปรอบๆ ห้อง ครั้งนี้ห้องของคีรีไม่ได้เละเทะเหมือนครั้งแรกที่เขามา บนเตียงนอนจัดไว้เรียบร้อย ไม่ได้มีของวางไว้จนเต็ม มีถุงกระสอบพลาสติกขนาดใหญ่ซึ่งใส่ถุงกระดาษไว้จนเต็มวางเรียงอยู่ฝั่งหนึ่งของห้อง คงจะเป็นของจากครั้งที่แล้วนั่นล่ะ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คงเป็นโทรทัศน์จอแบนและโซฟาใหม่เอี่ยมอีกตัว ดูจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ค่อยเข้ากับพื้นที่ปูเสื่อน้ำมันสักเท่าไหร่
“นี่คุณซื้อของพวกนี้ใหม่เหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ โทรทัศน์นี่ซื้อไว้สักพักแล้ว แต่เพิ่งเอามาตั้ง ส่วนโซฟานี่เพิ่งซื้อ”
“อ้อ...” พอเตชิตหันไปมอง เด็กหนุ่มก็หลบสายตาทันที “ก็ขอบใจที่คราวนี้ไม่ปิดบังกัน”
“ห้องนี้คุณตาเป็นคนจ่ายค่าเช่า ส่วนโทรทัศน์นี่ผมซื้อเอง แต่ของส่วนใหญ่ในห้องคุณตาก็ซื้อให้ครับ”
“อืม... เก่งนะ เก็บเงินซื้อโทรทัศน์ได้เครื่องเบ้อเริ่ม”
“ที่จริงก็ไม่ใช่เงินเก็บซะทีเดียวหรอกครับ”
“หืม?”
คีรียกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างเขินๆ “คือ... วันก่อนนู้นคนรู้จักที่ทำงานโรงแรมด้วยกันบอกว่าจะไปแทงหวย ชวนผมด้วย ผมมีเงินเหลือนิดหน่อยก็เลยแทงตามเขาไปเล่นๆ แล้วดันถูกซะอีก ได้เงินมาก็เลยซื้อโทรทัศน์เนี่ยครับ” พอเห็นทันตแพทย์หนุ่มทำหน้าประหลาดใจ เขาก็รีบพูดต่อ “แต่ปกติผมไม่เล่นหวยนะครับ วันนั้นนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ นอกเหนือจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ซื้อหวยอีกนะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ดีแล้ว ผมว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ”
“ที่วันนั้นซื้อไป ก็เพราะเขาจะแทงเลขตรงกับทะเบียนรถคุณพอดี ผมเลยเอาด้วย...”
ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะ “เอาเข้าไป ผมกลายเป็นอาจารย์ใบ้หวยไปแล้ว”
พอเห็นว่าเตชิตอารมณ์ดีขึ้น คีรีก็ยิ้มบ้าง เขาเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย แล้วพาเดินไปที่หน้าตู้เย็น “คุณเตชิตมานี่สิครับ มาดูๆ เราจะกินอะไรกันดี”
เจ้าของชื่อเรียกปล่อยให้คนอ่อนวัยกว่าจูงมือไปแบบนั้น แล้วไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้เย็นเก่าๆ แต่ถึงจะเก่าก็เป็นตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่กว่าตู้เย็นที่ห้องเขาหรือห้องไอ้วินซะอีก
คีรีเปิดช่องฟรีส โชว์อาหารแช่แข็งที่ซื้อใส่ไว้จนเต็มช่อง “คุณเตชิตจะกินอะไรดี มีผัดกะเพรา พะโล้ เกี๊ยวกุ้ง ผัดฉ่า แกงส้ม เทริยากิ แกงเขียวหวาน พะแนง มักกะโรนี หมูทอด ผักโขมอบชีส สปาเก็ตตี้ก็มีตั้งหลายแบบ มีบัวลอย โอนีแปะก๊วยกับสาคูเป็นของหวานด้วยนะครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “ไหนคุณบอกจะทำให้กินไงวะ ทำไมมีแต่อาหารแช่แข็งเนี่ย”
“เอ๊า เดี๋ยวผมเอาใส่ไมโครเวฟให้ไงครับ ไม่เรียกทำให้กินเหรอ อีกอย่างห้องผมมีของแค่เนี้ยะ คุณเตชิตคิดว่าผมจะทำอาหารอะไรได้อะครับ”
ไอ้เด็กเว้ร!
เตชิตยกมือขึ้นคลึงขมับ แต่เอาเถอะ เขาขี้เกียจออกไปตะลอนหาของกินอีก “เอาเกี๊ยวกุ้งกับพะแนงละกัน”
“ได้เลยคร้าบ คุณเตชิตไปนั่งรอก่อนนะ”
ทันตแพทย์หนุ่มเดินไปล้างมือที่อ่างล้างมืออย่างมึนๆ จากนั้นก็ไปนั่งที่โซฟา มองเจ้าของห้องจัดการเอาอาหารแช่แข็งใส่ไมโครเวฟอย่างคล่องแคล่ว
ในระหว่างที่รออุ่นอาหาร คีรีก็เดินมากางโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าโซฟาที่เตชิตนั่งอยู่ แล้วก็เดินกลับไปยืนรอหน้าเตาไมโครเวฟ ไม่นานก็ยกถาดสองถาดใส่จานพลาสติกของอาหารแช่แข็งมาวางที่โต๊ะ บนถาดมีอาหารชนิดเดียวกันสองชุด เขานั่งลงบนพื้นใกล้ๆ กับทันตแพทย์หนุ่ม
“มีตั้งหลายอย่างไม่ใช่เหรอ”
“ก็ผมอยากกินเหมือนคุณเตชิตน่ะสิ”
เตชิตส่ายหน้าไปมา “อายุเท่าไหร่แล้วน่ะคุณ เป็นเด็กอนุบาลเรอะ ถึงต้องกินอะไรเหมือนกันน่ะ” หากคำพูดของเขาเป็นผลให้คีรีชะงักกึก หน้ามุ่ยทันควัน เขาจึงเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “กินเหอะ เดี๋ยวเย็นหมด”
อาหารแช่แข็งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เตชิตคิดไปพร้อมกับตักใส่ปาก
“พอกินได้ใช่มั้ยครับ”
“อือ ก็พอไหว แต่น้อยฉิบหาย ถ้าเป็นไอ้วินกิน มันคงต้องเหมาทั้งตู้เย็นแน่ๆ”
พอเห็นคนที่นั่งตรงข้ามกันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะที่พูดถึงเพื่อนรัก คีรีก็เบ้ปากอย่างสุดจะเซ็ง “หมอวินอย่างนั้น หมอวินอย่างนี้ ขนาดอยู่กับผมสองคน คุณยังเอาแต่พูดถึงหมอวินเลย”
“ก็ไม่แปลกนี่ เขาเป็นเพื่อนรักผม เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่พูดถึงเขาแล้วจะให้ผมพูดถึงใครล่ะ ถ้าคุณไม่อยากฟังผมกลับก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มตะปบแขนอีกฝ่ายทันควัน “ผมขอโทษ” เขาก้มหน้าลงพึมพำ “ยังไม่ชินกับความใจร้ายของคุณสักที”
เตชิตถอนหายใจ เขาก็ใจร้ายจริงๆ อย่างที่คีรีว่านั่นล่ะ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดและทำเป็นผลให้เด็กหนุ่มเจ็บปวด แต่ก็ยังทำอยู่บ่อยๆ หากนั่นก็เพราะตัวคีรีเองด้วย หลายครั้งหลายหนที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่เขารู้จัก ทำให้เขารู้สึกสับสน ลึกลงไปเขาเองก็กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดเช่นกัน
“ผมใจร้ายกับคนที่ไม่น่าไว้ใจ มันแปลกตรงไหน”
“ผมไม่น่าไว้ใจเหรอ”
“ถามตัวคุณเถอะ มีอะไรให้ผมไว้ใจได้บ้าง นี่ก็เพิ่งหลอกผมมากินข้าวที่ห้องคุณหมาดๆ”
คีรีนิ่งอึ้ง เขาหลุบสายตาลงมองอาหารในจานที่ยังกินไม่หมด แล้วพูดเสียงเศร้า “ผมไม่ได้หลอกนะ ก็ทำให้คุณกินจริงๆ นี่นา”
“แบบที่คุณทำเนี่ย เขาเรียกอุ่นให้กินเฉยๆ เว้ย!”
คนอ่อนวัยกว่าเงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่นั่งอยู่บนโซฟา “แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอครับ ผมเชื่อฟังคุณ ทำตามที่คุณบอกทุกอย่าง”
“มันไม่เกี่ยวกับเด็กดีหรือไม่ดี อันที่จริงผมก็ยังไม่รู้จักคุณดีเลย ถ้าอยากให้ผมไว้ใจ อย่างแรกเลยคุณก็ไม่ควรมีอะไรปิดบังผม”
“ทุกอย่างที่คุณถามมา ผมก็ตอบหมดไม่ใช่เหรอครับ”
เตชิตขมวดคิ้ว จะว่าไป มันก็จริงนะ เวลาเขาถามอะไรไป เด็กหนุ่มก็ตอบทุกครั้ง จะว่าไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรปิดบังเขาอยู่ดี
แต่มนุษย์ทั่วไปก็มีความลับกันทั้งนั้นไหมวะ? เขาจะเสือกอะไรนักหนาเนี่ย? ไม่สิ! ถ้าคิดจะคบกัน เขาก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เหมือนกันนี่หว่า!
คบกัน?
เดี๋ยวนะ คิดจะคบกันเหรอ? นี่เขาคิดอะไรอยู่วะเนี่ย!
“คุณเตชิตอาหารเย็นหมดแล้วอะ ให้ผมเอาอาหารไปอุ่นให้อีกรอบมั้ย”
เตชิตนิ่งอึ้ง เขาหลุบตาลงมองอาหารบนโต๊ะแล้วพยักหน้า “อือ ก็ดีเหมือนกัน”
คีรียกถาดกลับไปที่ไมโครเวฟ เอาอาหารใส่เข้าไปอุ่นพลางหันกลับมามองทันตแพทย์หนุ่มไปด้วย จู่ๆ จะให้บอกไปว่าที่จริงแล้วเขาเป็นนักศึกษา เรียนอะไรอยู่ที่ไหน ไม่ได้พักอยู่ที่ห้องนี้ ไม่ได้อายุแค่สิบแปด และไม่ใช่ชาวเขาอย่างนั้นเหรอ เขาจะเริ่มต้นยังไงดีล่ะ แล้วถ้าหมอเต้โกรธที่เขาไม่ได้บอกความจริงแต่แรก เขาจะทำยังไงดีวะเนี่ย
จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่เคยบอกสักหน่อยว่าตัวเองเป็นชาวเขา อีกฝ่ายคิดเองเออเองต่างหาก
แต่เขาก็ผิดเต็มๆ ที่ไม่แก้ไขความเข้าใจผิดนั้น แถมยังถือโอกาสเล่นตามน้ำอีกด้วย
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมๆ กับคนที่นั่งอยู่ที่บนโซฟา พวกเขาหันไปสบสายตากัน แล้วต่างก็เบือนหน้าไปคนละทาง
พอคีรีเดินกลับมาพร้อมถาดใส่อาหารที่อุ่นอีกรอบแล้ว พวกเขาก็นั่งกินกันต่อไปอย่างเงียบๆ เมื่อกินเสร็จเด็กหนุ่มก็รีบเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย “คุณเตชิตอย่าเพิ่งกลับนะครับ นั่งเล่นไปก่อนนะ ผมเอาไอ้พวกนี้ไปทิ้งแป๊บ”
“อือ” เตชิตเอนหลังพิงพนักโซฟาพลางหันมองไปรอบๆ ห้องช้าๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่รูปชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งซึ่งย่อตัวลงนั่งข้างๆ เด็กน้อยบนเก้าอี้และจับมือเด็กคนนั้นไว้คนละข้าง ทั้งสามคนใส่ชุดพื้นบ้านแบบที่เขาเห็นคีรีใส่อยู่บ่อยๆ รูปนั้นถูกเก็บไว้อย่างดีในกรอบไม้สีทองแกะสลัก ตั้งอยู่บนหลังตู้ข้างๆ ที่ตั้งโทรทัศน์
“หืม? หรือว่า...” ทันตแพทย์หนุ่มลุกขึ้นไปยืนตรงหน้ารูปนั้นแล้วก้มลงพิจารณาใกล้ๆ
ในขณะเดียวกัน คีรีก็ยกแก้วน้ำมาวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาแล้วนั่งลง “น่ารักใช่มั้ยครับ”
“นี่คือ คุณตาคุณยายคุณเหรอ”
“ใช่ครับ แต่คุณยายท่านเสียไปหลายปีแล้ว รูปนี้ตั้งแต่ผมอายุสามขวบได้”
“ผมเสียใจด้วยนะ มิน่าล่ะ คุณพูดถึงแต่คุณตาคนเดียว แต่คุณยายคุณเป็นคนสวยมากเลยนะ” เตชิตหันกลับไปมองรูปเดิมอีกครั้ง คิดว่าน่าแปลกอยู่สักหน่อยที่ไม่มีรูปของบิดามารดาบ้าง คีรีก็เคยบอกเขาว่าอยู่กับคุณตามาตั้งแต่เด็กๆ นี่นะ แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ถามถึงจะดีกว่า
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว ถ้าอย่างนั้นคู่สามีภรรยาชาวเขาที่เขาเจอในตลาดที่เชียงรายล่ะ น้ำอิงก็ดูจะติดคีรีอยู่เหมือนกันนะ
“คุณเตชิตคิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“ครอบครัวน้ำอิงเป็นญาติกับคุณรึเปล่า”
คีรีชะงักไปเล็กน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ “เปล่าครับ แค่รู้จักกันมานาน”
เป็นแค่คนรู้จักกัน ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ก็แสดงว่า... เด็กหนุ่มอาจจะไม่ใช่ชาวเขาอย่างที่เขากับไอ้วินสงสัยจริงๆ สินะ อีกอย่างดูจากรูปครอบครัวที่ถ่ายเก็บไว้ ทุกคนใส่ชุดพื้นเมืองแทนที่จะเป็นชุดประจำเผ่าเสียด้วย มันก็น่าแปลกไหมล่ะ
ถ้าเป็นอย่างที่เขาสงสัยจริง แล้วทำไมคีรีถึงทำเหมือนตัวเองเป็นชาวเขาล่ะวะ ทำไมไม่ปฏิเสธเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาถาม
ขณะที่เตชิตยืนครุ่นคิด เด็กหนุ่มก็พูดขึ้น “ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แม่ผมเสียไปตอนผมเกิด พ่อผมแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ผมอยู่กับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ที่จริง ผมเคยถามคุณตาคุณยายนะว่าทำไมไม่ให้ผมเรียกท่านว่าพ่อแม่ ท่านบอกว่าอยากให้ผมรู้ว่าผมมีพ่อมีแม่ และพ่อแม่ผมก็รักผมมากด้วย”
นัยน์ตาของเตชิตอ่อนแสงลง เขาหันกลับไปมองรูปคุณตาคุณยายของคนอ่อนวัยกว่าอีกครั้ง “คุณหน้าคล้ายคุณยายมากนะ”
“มีแต่คนบอกว่าอย่างนั้น ผมหน้าคล้ายคุณยายมากกว่าแม่ผมที่เป็นลูกแท้ๆ ซะอีก” เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
“คิดถึงมั้ย”
“ที่สุดเลยล่ะครับ คุณตาเองก็คงคิดถึงท่านมากเหมือนกัน ถึงคุณยายจะเสียไปนานแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่เลยนะครับ ผมเคยถามท่านหลายครั้ง แต่ท่านบอกว่าไม่มีใครมาแทนที่คุณยายได้หรอก ท่านรักคุณยายจนหมดใจ ไม่เหลือที่ให้ใครแล้ว”
ทันตแพทย์หนุ่มเดินกลับไปนั่งลงบนโซฟาตรงที่ว่างข้างๆ เด็กหนุ่ม เขายกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “คุณตาน่ารักมากเลยนะ”
“แล้วผมล่ะ”
“ถ้าทำได้อย่างคุณตาคุณ ก็อาจจะน่ารักล่ะมั้ง”
“ถ้าคุณเตชิตให้ความร่วมมือละก็ ผมทำได้แน่”
“ขยันเต๊าะผมจังเลยนะ”
“แต่คุณก็ไม่ใจอ่อนสักที”
เตชิตเอนตัวเท้าแขนลงบนที่วางแขน พร้อมกับถอนใจหนักๆ เพราะที่จริงน่ะ เขาคิดว่าเขาใจอ่อนให้เด็กหนุ่มมากแล้วแหละ ถึงแม้จะไม่อยากจะยอมรับความจริงสักเท่าไรนัก
“คุณเตชิต กินของหวานมั้ย เอาบัวลอย โอนีแปะก๊วยหรือสาคูดีครับ”
“เอาไว้ก่อนละกัน เพิ่งกินข้าวเมื่อกี้ ผมยังอิ่มอยู่เลย”
“งั้นดูอะไรกันมั้ย”
“จะชวนดูหนังโป๊รึไง”
“โห รู้ทันไปหมดเลยอะ ว่าจะบิ๊วคุณสักหน่อย” คีรีเบ้ปาก หากทำให้ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะ
เตชิตเขกศีรษะคนอ่อนวัยกว่าไปเบาๆ “คุณนี่มันโคตรแก่แดด”
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะคุณเตชิต แถวบ้านผมน่ะนะ อายุเท่าผมน่ะ มีลูกกันเป็นโขยงแล้ว” คนอ่อนวัยกว่าขยับเข้าไปกระแซะ เนียนเอนศีรษะซบไหล่ แล้ววางมือลงบนหน้าตักอีกฝ่าย “วันนี้อยู่กับผมนานๆ หน่อยนะ อย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มลดสายตาลงมองมือที่ค่อยๆ ลูบไล้ไปบนต้นขาตน ไอ้เด็กนี่มือไวฉิบหาย ปลาหมึกแปดหนวดยังสู้ไม่ได้ “ถ้าไม่หยุดแต๊ะอั๋งผม ผมกลับแน่”
“โธ่ ลูบๆ คลำๆ นิดหน่อย ไม่สึกหรอหรอกครับ”
“ให้คุณคลำน่ะ สึกแน่ๆ” เตชิตผลักให้คนที่กระแซะตนเองอยู่ออกไปห่างๆ ทว่าเด็กหนุ่มกลับยิ่งทิ้งน้ำหนักตัวลงมาที่เขา “ฮื้ย! ออกไปนั่งดีๆ!”
คีรีทำหูทวนลม พร้อมกับเงยหน้าขึ้นประสานสายตาด้วย “ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณนี่นา ไม่ได้เจอมาตั้งหลายวัน คิดถึง”
“ถ้าคิดถึงมากกว่านี้ คุณไม่ขึ้นมานั่งขี่คอผมเลยเหรอวะเนี่ย”
เด็กหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เตชิตต้องขมวดคิ้วอย่างระแวง
“คุณเตชิต มาห้องผมทั้งที ผมโชว์ของดีให้ดูเอามั้ย”
“ของดีอะไรวะ ผมกลัวแล้วเนี่ย”
“ย้ายที่ไปนั่งบนเตียงกันดีกว่า” เจ้าของห้องลุกขึ้นพร้อมกับฉุดแขนทันตแพทย์หนุ่มขึ้นมาด้วย
“ทำไมต้องไปนั่งบนเตียง นั่งโซฟาก็ได้!”
“บนเตียงกว้างกว่า นั่งสบายกว่านะครับ มาเถอะน่า” คีรีฉุดให้อีกฝ่ายเดินตามเขาไป พอเตชิตนั่งลงบนเตียง เขาก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบกีต้าร์คลาสสิกที่ดูเก่าหน่อยๆ ออกมา “นี่สมบัติสำคัญของผมเลยนะ คุณยายซื้อให้ตอนเด็กๆ”
“เล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอเนี่ย”
“ก็นิดหน่อยครับ เอาไว้ใช้หากิน พอให้ดูเท่ด้วย”
คนถามเบ้ปาก “ถ้าเล่นแล้วห้องข้างๆ จะไม่ด่าเอารึไง”
“โหย ยังไม่ค่ำสักหน่อยครับ ยังไม่กลับกันมาเลยมั้ง อีกอย่างนะ ผมเล่นเพราะจะตาย ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” คีรีนั่งลงข้างๆ ทันตแพทย์หนุ่มพร้อมกับวางกีต้าร์ลงบนตัก ใช้ปลายนิ้วเขี่ยสายกีต้าร์เบาๆ เขาหันไปส่งยิ้มแล้วขยิบตาให้อีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มต้นบรรเลง
“อ้ายเป็นคนเวียงเจียงใหม่ ใคร่ฝากหัวใจหื้อบ่าวต่างแดน” ขณะที่ร้องไปก็ขยับเข้าไปกระแซะคนที่นั่งข้างกัน “ยังซนยังโสดหนุ่มแน่น ใคร่อยากมีแฟนกับเขาสักคน”**
**(แปลงจากเพลงหนุ่มเชียงใหม่ : จรัล มโนเพชร)เตชิตหัวเราะ เขาผลักหัวไหล่เด็กหนุ่มออกจากตัว ไอ้เด็กนี่มันขยันจีบเขาจริงจริ๊ง ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นเจ้าของห้องจะถีบให้ตกเตียง!
*TBC*ตอนนี้หวานๆ น่าร้ากกกก (คิดเองเออเองสุด) แต่เด็กมันช่างล่อหลอกเก่งละเกิงนะคะ
หรือพี่หมอก็เต็มใจให้หลอกกันนะ ฮุฮิ 555555 แล้วคืนนี้พี่หมอจะหนีไปไหนรอดมั้ยเนี่ย ติดตามต่อตอนหน้าค่า
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่า ช่วงนี้ที่กรุงเทพฯ ฝุ่นเยอะ อย่าลืมใส่มาสก์กันฝุ่นด้วยน้า รักและเป็นห่วงทุกๆ คนเลยค่า
ปล. เผื่อใครอยากฟังเพลงที่เด็กดอยร้องหยอดพี่หมอ จิ้มฟังกันค่ะ --> หนุ่มเชียงใหม่