[ต่อ]
ถ้าพูดถึงคนชื่อภูเบศที่ผมพอจะรู้จัก ผมก็นึกถึงใครไม่ออกนอกไปจากพี่ภูเบศคนนั้น แต่มันจะเป็นไปได้หรือก็พี่ภูเบศคนนั้นกับคุณโชนไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกันเลยสักอย่างคุณโชนคนนี้ทั้งหล่อและรูปร่างสมาร์ทแต่กับพี่ภูเบศที่ผมเคยรู้จักล่ะก็......
คงจะต้องเล่าย้อนไปถึงตอนที่ผมยังเรียนอยู่มัธยม ที่ประเทศของผมก็ใช้หลักการนับปีการศึกษาเหมือนที่ประเทศไทยนั่นแหละ ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นม.4 ส่วนพี่ภูเบศคนนั้นเขาอยู่ม.6 คนทั้งโรงเรียนก็น่าจะรู้จักพี่เขานั่นแหละเพราะพี่เขาเป็นถึงประธานนักเรียน แต่ยิ่งนึกถึงพี่เขาแล้วนอกจากความสูงแล้วก็ดูไม่มีดีสิ่งใดที่ดูใกล้เคียงจะเป็นคุณโชนในปัจจุบันไปได้
เท่าที่ผมพอจะจำได้พี่ภูเบศเขาเป็นคนที่ดูเนิร์ด ๆ ใส่แว่นตาหนาเตอะ รูปร่างอวบอั๋นระดับเอ็กซ์เอ็กซ์แอล ไหนจะผิวหน้าที่มีรอยฝ่ากระอยู่เต็มไปหมดพี่ภูเบศคนนั้นไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่ดูสมบูรณ์แบบเหมือนคุณโชนเลยสักนิด แต่ว่าพี่ภูเบศเขาเรียนเก่งมากเลยนะ เท่าที่ผมจำได้คะแนนสอบของพี่เขาเป็นอันดับหนึ่งของระดับชั้นในทุก ๆ เทอมและผมได้ยินว่าพี่เขาสอบชิงทุนได้สำเร็จจนได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษอีกด้วย
ผมกับพี่เขาก็ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอกเท่าที่จำได้ก็เคยคุยกันอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง ตั้งแต่ที่พี่เขาเรียนจบม.6ไปผมก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของพี่เขาอีกเลยส่วนเรื่องที่ทำให้ผมและพี่เขาได้คุยกันน่ะหรือ ก็......
☼☼☼☼☼☼
ผมหันมองตามเสียงแตรรถที่ถูกบีบลากยาวดังสนั่นมาจากรถเก๋งที่ขับมาด้วยความเร็วสูงชนิดที่น่าจะเกินที่กฎหมายกำหนดอย่างไม่สนใจว่าบริเวณนี้จะเป็นเขตโรงเรียน ยิ่งช่วงเลิกเรียนอย่างนี้เด็กยิ่งพลุกพล่านก็ยังกล้าที่จะขับรถแบบไร้สามัญสำนึก
แล้วในขณะนั้นก็มีนายอวบอั๋นที่ไหนก็ไม่รู้เดินทะเล่อทะล่าข้ามถนมออกไปจนเป็นที่มาของเสียงบีบแตรสะเทือนจักรวาลนั้น ผมรีบพุ่งเข้าไปกระชากตัวนายคนนั้นกลับมาตามสัญชาตญาณ เรียกได้ว่านายนั่นรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ไอ้รถเก๋งคันนั้นก็ขับต่อไปอย่างหน้าตาเฉย ไหนจะป้ายเตือนให้ลดความเร็ว ไหนจะทางม้าลายและสัญญาณไฟคนข้ามถนน มันไม่ได้ไปสะกิดจิตสำนึกของเจ้าของรถสักนิดเลยหรือไง แล้วโรงเรียนผมนี่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีสะพานลอยหน้าโรงเรียนสักที ถ้าหากมีคนขับรถแบบนั้นบ่อย ๆ เด็ก ๆ อันตรายแย่
ผมและนายอวบอั๋นที่ผมเพิ่งจะช่วยชีวิตมาหมาด ๆ ต่างพากันทรงตัวไม่อยู่และเซถลาล้มลงไปตาม ๆ กันก็เพราะนายนั่นตัวใหญ่และหนักมากเทียบกับผมแล้วผมดูเป็นมดไปเลย แล้วเมื่อครู่นี้ผมกระชากเขามาสุดแรงเกิดสภาพก็เลยเป็นอย่างนี้
ผมและนายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นพร้อม ๆ กัน แต่เป็นโชคดีของผมที่ตัวนายนั่นถึงพื้นก่อนผมเลยล้มไปทับพุงนิ่ม ๆ ของเขาก็เลยไม่ได้เจ็บตัวสักเท่าไหร่แต่อีกฝ่ายที่ล้มลงพื้นตรง ๆ นั้นคงจะเจ็บไม่น้อย แต่ เอ๊ะ นี่มันพี่ภูเบศประธานนักเรียนนี่
“พวกเธอเป็นอะไรกันหรือเปล่า!” เสียงคุณครูที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนตะโกนพลางรีบวิ่งมาหาพวกเราอย่างร้อนใจ
ผมดันตัวเองขึ้นพลางค่อย ๆ คลานออกจากพุงนิ่ม ๆ ของพี่ภูเบศ ถึงพุ่งพี่แกดูน่าจะหนุนสบายแต่ถ้าขืนผมทับอยู่นาน ๆ พี่แกจะยิ่งแย่เสียเปล่า
“ผมไม่เป็นอะไรครับแต่พี่ภูเบศน่าจะหนัก” ผมว่าพลางปัดฝุ่นตามร่างกาย จริง ๆ แล้วตามตัวผมก็มีรอยถลอกบ้างนิดหน่อยจะมีก็ตรงที่เข่าซ้ายที่แตกจนเป็นแผลเลือดไหล แต่แค่นี้ไกลหัวใจน่า
เพื่อนนักเรียนที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันมาช่วยประครองพี่ภูเบศลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล พร้อมทั้งก่นด่ารถเก๋งสายซิ่งที่เพิ่งขับผ่านไปเมื่อครู่เป็นเสียงเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วก็อาจจะโทษรถอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอีตาพี่ภูเบศนี่ก็ประมาทเหมือนกัน เกือบจะทิ้งชีวิตไว้หน้าโรงเรียนแล้วไหมล่ะ
“เอ่อ ขะขอบคุณมากนะครับน้อง.... เอ่อ....” พี่ภูเบศหันมองผมและกล่าวขอบคุณอย่างตะกุกตะกักคงจะยังเสียขวัญจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“ผมชื่อหนึ่งครับพี่ เรื่องแค่นี้เล็กน้อยพี่” ผมยิ้มให้พี่แก พี่แกก็ยิ้มตอบเหมือนดูเขิน ๆ
“พวกเธอช่วยพาภูเบศไปห้องพยาบาลหน่อยเร็ว เธอก็ควรไปทำแผลด้วยเหมือนกันนะ” คุณครูบอกกับกลุ่มนักเรียนที่ยังช่วยกันประครองพี่ภูเบศไว้อยู่ ก่อนจะหันมาบอกกับผมด้วย
“ไม่ดีกว่าครับครูพอดีผมต้องรีบไปรับน้องน่ะครับ” ผมตอบปฏิเสธคุณครูไปเพราะแผลที่เข่าผมมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรแค่แปะพลาสเตอร์ก็คงพอ ร้านชำแถวนี้ก็น่าจะมีพลาสเตอร์ขายอยู่นะอีกอย่างผมต้องรีบไปรับเจ้าสองที่โรงเรียนประถมเพื่อกลับบ้านพร้อมกันด้วย ถ้าปล่อยให้รอนาน ๆ มีหวังเจ้าน้องตัวแสบคงร้องไห้ขี้มูกโป่งเสีย
ผมพนมมือไหว้คุณครูและพี่ภูเบศ ก่อนจะโบกไม้โบกมือลาเพื่อนนักเรียนที่อยู่ตรงนั้น และขอแยกตัวออกมา
☼☼☼☼☼☼
“พี่ให้ผมช่วยนะ” ผมว่าพร้อมกับเข้าไปแบ่งหนังสือที่เรียงกันเกือบจะท่วมหัวจากมือพี่ภูเบศมาถือไว้เองครึ่งหนึ่งอย่างถือวิสาสะ พอดีผมบังเอิญผ่านมาเจอพี่แกกำลังถือหนังสือพวกนี้ออกมาจากห้องคุณครูสมใจพอดี
“ขะ ขอบคุณครับ น่ะ น้องหนึ่ง แต่ว่ามันหนักพี่ถือเองดีกว่า” เอ นี่มันก็ผ่านเหตุการณ์ที่พี่แกเกือบโดนรถชนมาหลายวันแล้วนะ ยังไม่หายจากอาการเสียขวัญอีกหรือทำไมถึงยังพูดตะกุกตะกักอย่างนั้น เมื่อเช้าตอนที่พี่แกพูดหน้าเสาธงแทนคุณครูก็เห็นพูดปกติดีนี่นา
“ก็เพราะมันหนักอ่ะดิพี่ผมถึงต้องช่วย หนักขนาดนี้ปล่อยให้พี่ยกคนเดียวก็ตายพอดี พี่ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกเห็นผมตัวแค่นี้แต่ผมแรงเยอะนะพี่” ผมยิ้มทำเก่ง แต่หนังสือพวกนี้เล่มหนา ๆ หนัก ๆ ทั้งนั้นขนาดผมแบ่งมาแค่มาครึ่งเดียวยังรู้สึกว่ามันหนักมากเลย
แต่ทำไมพี่ภูเบศถึงดูเกร็งขนาดนี้นะ แค่ผมยิ้มให้พี่แกก็ทำเลิ่กลั่กหันมองทางอื่นอย่างกับกำลังหลบสายตาผม หรือพี่แกจะโกรธเรื่องที่ผมทำให้พี่แกล้มกระแทกพื้นวันนั้นนะ
“เออ แล้วพี่เป็นยังไงบ้างยังตกใจอยู่ไหม”
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” พี่ภูเบศว่าอย่างไม่ยอมสบตาผม
“แล้วว่าแต่หนังสือพวกนี้พี่จะเอาไปไว้ที่ไหนเหรอ”
“เอ่อ เอาไปไว้ที่ห้องคุณครูสมปองครับ เอ่อ น้องหนึ่งไหวไหมครับ” หา! พี่ภูเบศว่าพลางแอบเหลือบมองผมเหมือนหยั่งเชิง ผมนี้แทบจะช็อคเมื่อพี่ภูเบศบอกถึงจุดหมายที่จะต้องหนังสือกองโตหนักอย่างกับภูเขาพวกนี้ไปส่ง จากห้องครูสมใจที่พี่แกเอาหนังสือออกมานั้นไปถึงห้องครูสมปองไม่ใช่ใกล้ ๆ เลยนะ มันอยู่คนละตึกกันเลยนะนั่น กว่าจะไปถึงแขนผมต้องล้าแน่ ๆ คุณครูใช้แรงงานเด็กหนักเกินไปหรือเปล่านี่
แค่นึกถึงระยะทางผมก็ท้อแล้วแต่จะทำอย่างไรได้ก็ผมเป็นคนอาสาจะช่วยเองนี่ ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วตอบพี่แกไปว่าสบายมาก ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย☼☼☼☼☼☼
“ช่วยด้วยค่า! ลูกหมาตกน้ำ” ผมรีบวิ่งตามเสียงร้องขอความช่วยจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังแว่วมาแต่ไกล
วันนี้เป็นวันหยุดผมเลยแวะมาติวหนังสือที่บ้านเพื่อนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ผมขอตัวกลับในยามบ่ายคล้อย ตอนที่เดินมาจนใกล้จะถึงบ่อน้ำหลังโรงเรียนผมก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นเข้า ผมรีบวิ่งตามเสียงนั้นไปในทันทีเพราะจากเสียงที่ได้ยินเด็กผู้หญิงคนนั้นคงกำลังเดือดร้อนมากแน่ ๆ
เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุผมก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้โฮมองเจ้าหมาน้อยที่กำลังลอยคอป๋อมแป๋มจะจมแหล่มิจมแหล่อยู่ในบ่อน้ำหลังโรงเรียน โดยที่ด้านข้างเด็กผู้หญิงคนนั้นก็มีอีตาพี่ภูเบศที่อยู่ในชุดนักเรียนพยายามที่จะยื่นไม้ยาว ๆ ไปหาเจ้าหมาน้อยที่กลางบ่อ แล้วเจ้าหมาน้อยมันจะเกาะขึ้นมาได้อย่างไรล่ะนั่น
วันนี้ที่โรงเรียนคุณครูมีประชุมกันครั้งใหญ่โรงเรียนจึงหยุดทำการสอน แต่พี่ภูเบศเจ้าของตำแหน่งประธานนักเรียนยังคงต้องมาทำหน้าที่ นี่แหละนะเป็นประธานนักเรียนใครว่าสบายคนอื่นเขาได้หยุดกันแต่ตัวเองไม่ได้หยุดด้วย
“มันเกาะขึ้นมาไม่ได้หรอก ต้องลงไปช่วยมันแล้วล่ะพี่” ผมวิ่งตรงเข้าไปตบบ่าของพี่ภูเบศพร้อมกับแนะหนทางที่จะช่วยเจ้าหมาน้อยตัวนั้นได้
“เอ่อ... พ่ะพี่ว่ายน้ำไม่ได้เป็นครับ” ตอนที่หันมาเห็นหน้าผมพี่ภูเบศดูหน้าเหวอไปชั่วขณะ และเกิดอาการพูดตะกุกตะกักเหมือนลนลานอีกแล้ว พี่แกเป็นอะไรไปอีกแล้วนี่ ปกติตอนพูดหน้าเสาธงก็ไม่เห็นว่าจะติดอ่างสักหน่อย
ผมถึงกับทุบหน้าผากตัวเองตอนที่พี่ภูเบศบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น อย่างนั้นก็คงต้องเป็นผมสินะ เอาก็เอาวะ ผมรีบกระโดดลงน้ำไปอย่างไม่มีเวลาฉุกคิด ขืนช้าไปกว่านี้มีหวังเจ้าหมาน้อยคงได้จมน้ำตายกันเสียก่อน
ผมพาเจ้าหมาน้อยกลับขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย ผมส่งมันคืนให้กับสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของมันและบอกกับเธอว่าให้ดูแลมันให้ดี ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นดูดีใจมากขอบคุณเสียยกใหญ่ ก่อนที่เธอจะอุ้มเจ้าหมาน้อยและขอแยกตัวออกไป พอได้ช่วยเหลือคนอื่นผมก็พลอยมีความสุขจนยิ้มตามได้ไปด้วย
ผมรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวเพราะความเปียกปอน แล้วก็เสื้อยืดสีขาวบาง ๆ ของผมนี่สิพอโดนน้ำแล้วมันเห็นทะลุไปถึงข้างในหมดเลย นี่ผมต้องกลับบ้านสภาพนี้จริง ๆ หรือนี่
“เออนี่พี่ภูเบศคือว่า... เฮ้ย พี่! เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมหันไปหาพี่ภูเบศตั้งใจจะขอความช่วยเหลือเผื่อพี่แกพอจะมีเสื้อผ้าให้ผมเปลี่ยน แต่แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพของพี่แกในตอนนั้น
พี่ภูเบศมองมาทางผมตาค้างและอ้าปากค้างเหมือนกำลังช็อคกับอะไรบางอย่าง นี่พี่แกมีโรคประจำด้วยหรือนี่ ผมยิ่งต้องตกใจหนักเมื่อเห็นว่าพี่แกเริ่มมีเลือดกำเดาไหลจากจมูกก่อนที่จะแกจะหงายท้องตึงไปเลย เฮ้ย!!
“พี่ภูเบศ!!!!”
☼☼☼☼☼☼
ก็นั่นแหละครับพี่ภูเบศที่ผมเคยรู้จัก เหตุการณ์หลัก ๆ ที่ได้พูดคุยกันเท่าที่ผมพอจะจำได้ก็มีเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นก็มีทักทายกันบ้างครับตอนเจอกันที่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมอะไรกันมากมาย และพี่เขาก็ดูเหมือนไม่ค่อยกล้าจะมองหน้าผมเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เวลาผมยิ้มให้พี่แกก็ดูเลิ่กลั่กทุกที
จากนั้นไม่นานพี่ภูเบศก็จบม.6 และไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่สอบชิงทุนได้ หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ข่าวคราวของพี่ภูเบศอีกเลย ก็อย่างที่ผมบอกครับเราไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมกัน ช่องทางการติดต่อของพี่เขาไม่ว่าจะเบอร์โทรหรืออีเมลผมก็ไม่มีเลยสักอย่าง ผมกับพี่เขาก็เลยขาดการติดต่อและห่างหายกันไป
เป็นเวลาเจ็ดปีที่ไม่ได้เจอหน้าและไม่ได้รู้ข่าวคราวกันเลย เรื่องราวของพี่ภูเบศก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากห้วงความทรงจำขอมผมเรื่อย ๆ จนผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าในชีวิตของผมเคยรู้จักคนที่ชื่อนี้ด้วย
แต่ว่ามันจะเป็นไปได้หรือที่พี่ภูเบศคนนั้นกับคุณโชนนี้จะเป็นคน ๆ คนเดียวกัน
TBC