ช่วงที่ 19
วันนี้บรรยากาศในยิมนั้นค่อนข้างอึมครึมพอสมควรเนื่องจากว่านมาถึงก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมเตะหน้ากระจกอยู่คนเดียวอย่างเคร่งเครียด เหมือนพยายามหาลูกเล่นใหม่ หรือ พยายามหาช่องว่างของตัวเอง เพราะมีการเตะเหมือนรุกแล้วก็รับอยู่คนเดียว เตะไปสองสามครั้งก็เหมือนจะทำท่าทางไม่พอใจ ก่อนจะเริ่มเตะใหม่ไปๆมาๆไม่หยุด โดยระหว่างที่ว่านซ้อมคนเดียวอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น มันทำให้คนอื่นๆในยิมวางตัวไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะ โค้ช พี่ป้อม ผม ต่อมาก็คือว่าน แล้วการที่จู่ๆว่านไปซ้อมเอาเป็นเอาตายแบบนั้นมันเลยทำให้คนอื่น ต้องออกไปซ้อม หรือ ทำอะไรสักอย่างมากกว่าการอยู่เฉยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าโค้ชมาเค้าก็จะพูดเอาว่านมาเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ยังไม่เริ่มซ้อมอีก
“พี่เอ วันนี้พี่ว่านเค้าเป็นอะไรเหรอ” ต้นกล้าถามผมขณะที่ผมนั่งมองว่านซ้อมอยู่ที่โต๊ะ
“ไม่รู้ซิ” ผมตอบต้นกล้าไป
“วันนี้พี่ว่าน ท่าทางน่ากลัวจัง” ต้นกล้าพูดพลางเอามือมาจับแขนผมไว้
เหมือนว่านจะรู้ว่าต้นกล้ากำลังพูดถึงเค้าอยู่ ว่านหันมามองต้นกล้าด้วยสายตาที่ไม่พอใจเท่าไหร่ ทำเอาต้นกล้ารีบหลบหน้าแล้วเดินไปซ้อมของตัวเองทันที ส่วนเพื่อนๆของว่านทั้งห้าคนเหรอครับ ไม่มีใครเข้าไปคุยกับว่านเลยวันนี้ แยกไปจับกลุ่มซ้อมกันต่างหาก อาการแบบนี้ของว่านมันไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรกครับ ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้งก่อนที่เกิดว่านไม่เคร่งเครียดขนาดนี้ แล้วขณะที่เหตุการณ์ตึงเครียดกำลังดำเนินไป เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“พี่เอ หวัดดีครับ” ก้องยืนสวัสดีผมจากด้านนอกของยิม ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วสะพายกระเป๋าแบบเป้สีดำเข้ามาในยิม
“วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” ผมถามก้อง
“เยอะพี่” ก้องตอบขณะที่กำลังจัดแจงวางของที่ชั้นวาง
“อืมม แบ่งเวลาดีๆล่ะ ถ้ามีอะไรก็บอกพี่นะ”“ครับ” หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีเสร็จก้องก็เดินไปวอร์มยืนเส้นยืดสาย โดยมีว่านมองก้องผ่านกระจกตลอดเวลา แล้วพอก้องยืดเส้นเสร็จแล้ว ว่านก็เดินเข้ามาหาก้องทันที ผมไม่รู้ว่าเค้าพูดอะไรกันเพราะมันเบามาก แต่หลังจากที่สองคนนั้นคุยกันเสร็จว่านถึงกับเดินคอตกไปนั่งฟุบริมหน้าต่างเลยทีเดียว ส่วนก้องก็เดินไปซ้อมของตัวเองตามตารางการฝึกซ้อมเบื้องต้นที่ผมวางไว้ให้ ที่บอกว่าเบื้องต้นก็เพราเมื่อโค้ชมา โค้ชจะเปลี่ยนรูปแบบการฝึก ทำให้ผมต้องวางแบบการวอร์มให้น้องเพื่อลดความเสี่ยงที่น้องๆจะบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด ส่วนที่ว่านเดินไปฟุบผมก็ไม่ได้เดินไปถามอะไรน้อง เพราะดูเหมือนว่านจะไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นสักเท่าไหร่ วันนั้นมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยเพราะว่านเงียบตลอด มากสุดก็แค่มานั่งพิงผมแล้วก็เงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมนั่งคุยกับเพื่อนว่านไป โดยที่ว่านทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นไม่มีผิด
จนถึงตอนเลิกหลังจากปิดยิมแล้วผมก็พาว่านไปนั่งทานข้าว....ครับฟังไม่ผิดวันนี้เปลี่ยนจากก๋วยเตี๋ยวไปเป็นร้านข้าวแทน โดยร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ชมรมถ่ายภาพมักมาทานกันหลังจากที่ไปถ่ายภาพกันเสร็จแล้ว ไม่ก็เป็นที่นัดหมายกันก่อนจะออกไปถ่ายภาพ รสของอาหารที่นี่อร่อยสุดๆไปเลย พ่วงด้วยบรรยากาศแบบที่เรียกว่าดีมากๆริมสระน้ำขนาดใหญ่ มีเพลงเพราะๆเปิดคลออยู่ตลอดเวลา แสงไฟของร้านนี้จัดได้สวยมากไม่สว่างแล้วก็ไม่มืดมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาของอาหารนอกจากวัตถุดิบชั้นดีแล้วยังมีการรวมราคาค่าบรรยากาศเข้าไปด้วย ทำให้ราคาอาหารที่ยกมาราคาสูงกว่าร้านอาหารตามสั่งธรรมดา 2 – 4 เท่าเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรครับ นานๆมาทีไม่ได้มาบ่อยๆ
พอมาถึงร้านว่านเลือกที่จะนั่งโต๊ะริมน้ำ ซึ่งมันอยู่มุมลึกสุดของร้าน ก่อนที่ทางร้านจะเอาเมนูมาให้ ว่านรับเมนูแล้วหยิบกระดาษที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เขียนรายการอาหารที่เราต้องการซึ่งตั้งอยู่กลางโต๊ะมาเขียน พอว่านเขียนเสร็จผมก็เขียนต่อ โดยผมแอบดูเมนูที่ว่านสั่งด้วยครับ ว่านสั่งมาทั้งหมดสองเมนู มียำวุ้นเส้น กับ แกงจืดวุ้นเส้น หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว ช่วงแรกว่านไม่ยอมพูดอะไรเลย
“ชอบวุ้นเส้นเหรอ” ผมหาเรื่องคุยกับว่าน
“.....” ว่านไม่ตอบแต่ทันมามองเหมือนจะบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะคุย
“.....” ผมเลยได้แต่นั่งทานอาหารเงียบๆ ว่านเองก็ทานไปโดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกัน จนกระทั่งทานเสร็จ ว่านวางช้อนซ้อมคู่กันริมฝั่งซ้ายของจาน
“เฮ้อ.....” ว่านถอนหายใจเบาๆ
“......”“พี่เอ....มะรืนนี้พี่ข้างบ้านผมไม่อยู่ ไม่มีใครไปส่งผมที่โรงเรียน พี่ไปส่งผมได้ไหม” ว่านพูดขึ้นมา
“ได้ซิ”“ขอบคุณครับ”“รับกี่โมงเหรอ”“หกโมงครึ่งก็ได้”“อืมมมม.....เช้าจัง......เอาแบบนี้ไหมล่ะ เดี๋ยวว่านมาค้างที่บ้านพี่”“.....” ว่านมองหน้าผมแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“พูดเล่นน่า เดี๋ยวพี่ไปรับที่บ้านก็ได้”“ผมโทรหาแม่เดี๋ยวหนึ่งนะ” ว่านพูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะหายไปพักใหญ่ๆก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ
“......”“แม่บอกให้ไปค้างที่บ้านพี่” ว่านพูดขึ้นมา
“หืมม....เอาจริงดิ”“จริง”“แล้วจะมาอยู่กี่วัน”“น่าจะสองคืนครับ”“มาพรุ่งนี้ใช่ม๊ะ”“ใช่” ผมไม่ได้คุยอะไรกับว่านเพิ่มเติมมากมายเพราะดูเหมือนน้องอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมก็พาว่านไปส่งที่บ้าน ตลอดทางที่ไปส่งว่านเงียบกริบ มือว่านที่ผมกุมไว้ ว่านก็กุมมือผมคืนค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว พอถึงบ้านว่านก็เข้าบ้านไปเลยไม่ได้พูดคุยเล่นอะไร หลังจากส่งว่านเสร็จเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็โทรถามก้องเรื่องที่คุยกับว่านเมื่อเย็น
“ครับพี่” ก้องพูดขึ้นหลังจากรับสาย
“ก้อง ว่างไหมเนี่ยะ”“ว่างครับ พี่เอมีอะไรหรือเปล่า”“พี่ว่าจะขอเบอร์ไม้หน่ะ” ผมพูดเลี่ยงไปประเด็นอื่นก่อนเพื่อไม่ให้ก้องรู้สึกว่าผมโทรมาเพราะเรื่องว่าน หลังจากที่ผมคุยกับก้องไปพอประมาณแล้วผมเลยวกเข้าเรื่องของว่าน
“ก้องๆ พี่ถามอะไรหน่อย”“ครับพี่”“เมื่อเย็นว่านมาคุยอะไรด้วยเหรอ”“เมื่อเย็นเหรอ...อืม......อ้อ....น้องมาขอเข้าคู่กับผมหน่ะ”“เหรอ แล้วว่านพูดอะไรบ้าง”“ทำไมเหรอพี่” ก้องถามด้วยน้ำเสียงสงสัยในคำถามของผม
“ไม่มีอะไร ถามดูเฉยๆ เพราะเห็นคุยเสร็จไม่เห็นเข้าคู่กัน”“อืม...ว่านก็บอกผมว่า เข้าคู่กับเค้าหน่อย ผมเลยถามไปว่า จะแก้มือเหรอ เค้าก็บอกว่าเปล่า ผมดูออกนะว่าน้องอยากแก้มือ ผมเลยบอกว่านว่า กลับไปทบทวนดูดีๆที่พลาดเมื่อวานไม่ใช่เพราะขาดฝีมือ แต่มันเนื่องจากว่านขาดประสบการณ์ เพราะงั้นต่อให้ว่านมาแก้มือวันนี้ พรุ่งนี้ อีกเดือน หรือ สองเดือน ว่านก็สู้ผมไม่ได้หรอก หรือ พี่ว่าไม่จริง” ก้องอธิบายพร้อมยิงคำถามใส่ผม
“มันก็จริงนะ”“จริงๆผมก็อยากบอกน้องว่า ที่โค้ชชมแบบนั้น มันไม่ได้หมายความว่าน้องเก่งกว่าคนที่โค้ชเปรียบเทียบ หรือ เก่งกว่าคนอื่นมากมายนะ แต่ผมกลัวน้องจะเสียใจเลยไม่พูด เพราะตอนสู้กับผมน้องยิงมาไม่คิดเลยคงคิดว่าตัวเองเร็วมาก”“อืมม ดีแล้วล่ะ” ถึงตรงนี้ผมพอเดาได้แล้วล่ะว่าที่ก้องเตะว่านกลิ้งเมื่อวานมันเป็นเรื่องจงใจ
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวทำรายงานต่อก่อนนะพี่”“ครับๆ พรุ่งนี้เจอกันที่ยิมนะ”“ครับพี่” มันก็จริงของก้องนะการที่โค้ชชม หรือ คาดหวังอะไรกับว่าน มันอาจทำให้ว่านพยายามที่จะทำให้ได้ หรือ ทำให้ดีขึ้นไปอีก พอทำให้โค้ชพอใจได้ก็เหมือนกับเด็กที่เล่นมาริโอ้จบด่านล่ะครับคือไม่ได้อะไรหรอก นอกจากความภูมิใจ แต่พอทำไม่ได้ว่านก็จะกดดันตัวเองจนเป็นความเครียดเหมือนที่เป็นวันนี้
------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันใหม่ที่สดใสสุดๆท้องฟ้าสวยงามมากมายเสียดายผมตื่นสายไปนิ๊ดหนึ่งไม่งั้นคงได้เห็นท้องฟ้าช่วงที่สวยกว่านี้ หลังจากจากรถเสร็จผมก็รีบเดินปนวิ่งไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว พอมาถึงห้องเรียนก็ยังนับว่าเป็นโชคดีที่อาจารย์ยังไม่เข้า แต่ก็ยังมีโชคร้ายปนอยู่หน่อยๆที่อาจารย์เดินตามหลังผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เอาน่ายังไงผมก็มาถึงก่อนอาจารย์แหละ แล้วในระหว่างที่ผมเรียนอยู่นั้น โทรศัพท์ที่ถูกตั้งระบบสั่นไว้ก็ทำงานขึ้นมา ด้วยความเงียบภายในห้องทำให้เสียงของโทรศัพท์ที่สั่นไหวนั้นดังออกมาจนคนทั้งห้องหันหาที่มาของเสียง ผมรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาปิดสั่นก่อนที่จะดูว่าใครโทรเข้ามาเวลานี้
“กองฯ Calling”“เอ๋....เบอร์กองเหรอ มีอะไรด่วนเนี่ยะ” ผมคิดในใจก่อนจะยกมือขออนุญาตอาจารย์ออกไปรับโทรศัพท์นอกห้อง
“ครับ”“เอ นี่พี่ต้อมนะ”“ครับ”“เอ เที่ยงนี้มีประชุมนะ ให้นักกีฬามาเซ็นเอกสารเบิกเบี้ยเลี้ยง แล้วก็มาพบผู้บริหารของมหาวิทยาลัยด้วย เค้าจะแจ้งวันเดินทางด้วย”“.....แล้วผมจะตามน้องได้ไงล่ะพี่ อีกสองชั่วโมงก็ถึงเวลาประชุมแล้ว”“อ่าว โค้ชเค้าไม่ได้บอกเอเหรอ”“ไม่เห็นมีใครแจ้งอะไรผมเลย ผมเพิ่งรู้จากพี่นี่แหละ”“เอาแล้วไง พี่รบกวน เอ โทรเช็กกับน้องให้พี่หน่อย ว่าเค้ารู้เรื่องนี้หรือยัง ยังไงโทรบอกพี่ด้วยนะ”“ครับพี่” หลังจากผมวางสายเสร็จ ผมก็โทรหาน้องรองประธานชมรมทันที ตามด้วยน้องนัท น้องไม้ จ๋าย รวมถึงคนอื่นๆเท่าที่ผมมีหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งปรากฏว่า....ไม่มีน้องคนไหนรู้เรื่องการเข้าประชุมเลยแม้แต่คนเดียว.....
“ตรู๊ดดดดดด......ตรู๊ดดดดดดด....ครับว่าไงเอ”“พี่ต้อม ผมเช็กแล้วนะ....”“แล้ว”“ไม่มีน้องคนไหนทราบเรื่องเลยพี่”“ว่าแล้วเชี่ยว พี่โทรแจ้งโค้ชไปหลายวันแล้วนะ พี่ตะหงิดๆว่าน่าจะมีปัญหา เลยโทรหาเอ ปรากฏว่ามีจนได้”“....เอาไงล่ะพี่”“เอาแบบนี้ เอ โทรตามโค้ชอีกทีนะ แล้วก็ตามน้องเข้าประชุมให้ได้มากที่สุด เพราะมันต้องมีเซ็นเอกสารอีก”“ไม่รับปากว่าน้องไปจะเยอะนะพี่”“ไม่เป็นไรเอ เราคุยกันได้อยู่”“ครับ ยังไงผมก็รบกวนพี่ด้วยแล้วกัน” งานเข้าอีกแล้วหลังจากวางสายกับพี่ต้อมเสร็จผมก็รีบโทรไปหาโค้ชหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าไม่ติดสักครั้ง จนกระทั่งช่วงประมาณสิบโมงครึ่งผมก็ติดต่อกับโค้ชได้
“ตรู๊ดดดดด.......ตรู๊ดดดด.........อื้อ ว่าไง” น้ำเสียงโค้ชตอบมาด้วยน้ำเสียงงัวเงียสุดๆ
“เที่ยงนี้มีประชุมนะพี่”“อ่าว เฮ่ย จริงดิ พี่ลืมเลยนะเนี่ยะ” โค้ชทำเสียงตกใจเล็กน้อย
“โทรตามเก่งด้วยนะพี่ รอบนี้มีผู้บริหารเข้ามาร่วมด้วย”“อื่อๆ เดี๋ยวเที่ยงเจอกัน”“รู้ที่ประชุมแล้วใช่ไหมพี่”“อื่อๆ รู้แล้ว” โค้ชตอบด้วยน้ำเสียงแบบพูดส่งๆ
หลังจากคุยกับโค้ชเสร็จผมก็กลับเข้ามาในห้องเรียน พอผมนั่งที่อาจารย์วิภาก็พูดขึ้นมาว่า
“นักศึกษาคะ เรื่องของกิจกรรมถ้าทำแล้วมันรบกวนเวลาเรียนเพลาๆหน่อยก็ดีนะคะ” อาจารย์วิภาพูดแบบไม่มองหน้าใครนอกจากหนังสือเล่มหนาปกสีน้ำเงินสภาพค่อนข้างเก่าที่อาจารย์พกมาด้วย จริงๆไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าอาจารย์หมายถึงใคร จริงๆอาจารย์วิภาไม่ใช่อาจารย์ที่ใจร้ายอะไรหรอกครับ แกหวังดีกับนักศึกษามาก แต่แกแสดงออกมาไม่อบอุ่นอ่อนโยนเท่าไหร่ ทำให้แกเป็นอาจารย์ที่ขึ้นบัญชีดำอยู่ในอันดับต้นๆของเอกคอมพิวเตอร์ แต่จะว่าไปถ้าใครรู้จักอาจารย์ท่านนี้ดีๆ จะรู้เลยว่าเบื้องหน้าที่ดูแข็งกระด้างนั้น ภายในกลับอ่อนโยน และ เต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีอยู่อย่างมากมาย หลังจากเรียนเสร็จก็ปาไปเกือบๆห้าโมงเช้าผมรีบไปทานอาหารเที่ยงที่โรงอาหารก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย เมื่อไปถึงก็เกือบเที่ยงพอดี เริ่มมีอาจารย์ผู้จัดการทีมท่านต่างๆ พากลุ่มนักกีฬาของตนเองมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ส่วนผมกลับนั่งอยู่ลำพังท่ามกลางคำสัญญาที่ไม่แน่นอนของน้องๆที่อาจมาได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ ผมไม่โทษน้องหรอกครับ ถ้าน้องจะมาไม่ได้ เพราะถ้ามีปัญหาคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือโค้ชไม่ก็คงเป็นผม เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งเริ่มประชุมผมก็ยังไม่เห็นเงาโค้ช ส่วนน้องๆที่มาได้ก็มีแค่สองคน พี่ต้อมเดินเอาเอกสารตารางกำหนดการแข่งขันรวมถึงเอกสารชี้แจงต่างๆมาแจกให้ แล้วก็ เอกสารเซ็นรับเงิน
“โค้ชล่ะ” พี่ต้อมกระซิบถามผมเบาๆ
“ยังไม่เห็นเลยพี่” ผมกระซิบตอบกลับไป
“ช่างเค้าเถอะ ลายเซ็นรับเงิน เอ ปลอมไปเลยแล้วกัน” พี่ต้อมพูดออกมาเบาๆก่อนเดินออกไป
ผมนั่งมองนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆตั้งแต่เริ่มจนจบการประชุมก็ไม่ปรากฏว่าโค้ชจะมาเข้าร่วม ไม่มีแม้แต่โทรโทรเข้ามาบอกด้วยซ้ำ ผมคับข้องใจกับเรื่องนี้มาก โค้ชเค้าไม่บอกผมสักคำว่ามีประชุม แถมถึงเวลาประชุมเค้าก็ไม่มา ที่สำคัญสายตาของพวกที่จ้องจะเขี่ยเทควันโดทิ้งจากทาง ยิ่งคำพูดของพวกเค้ามันทำให้ผมร้อนใจ
“สงสัยจะมีความรับผิดชอบแค่คนเดียวล่ะมั้ง” นี่ชมรมที่ผมภาคภูมิใจ ชมรมที่ผมใช้ใจสร้างมาสองปี กลับถูกพวกอาจารย์งี่เง่าพวกนั้นพูดจาดูถูก เพราะพฤติกรรมาดความรับผิดชอบของคนๆหนึ่ง หลังจากที่ประชุมเสร็จผมก็เดินไปกับน้องสองคนที่มาประชุมด้วย อารมณ์ที่กำลังกรุ่นไปด้วยโทสะเผลอพูดด้วยอารมณ์ออกไปว่า
“แม่งเอ๊ย ปีนี้กูบอกแล้วว่ากูไม่ยุ่ง หน้าที่กูก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็ลากกูมาเกี่ยว ไหนว่าทีมงานตัวเองคุณภาพนักหนา เชียร์กันออกหน้าออกตายกหางกันแทบจะเลียก้นกันด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงๆแม่งก็ดีแต่คุยล่ะว่ะ สุดท้ายกูก็ต้องมารับผิดชอบทุกอย่างเองหมด เชี่ยะเอ๊ย ชมรมกูอุตส่าทำชื่อเสียงมาตั้งสองปีจนพวกนั้นหุบปากไม่กล้าพูดอะไร แต่กลับมาชิบหายเพราะคนๆเดียว อะไรนักหวาว๊ะ!!” หลังผมพูดจบน้องที่มาด้วยถึงกับเงียบกริบหน้าซีดกันเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะน้องไม่เคยเห็นผมอารมณ์นี้ล่ะมั้งครับ จะว่าไปผู้อ่านเองก็คงจะเดาออกว่าผมหน่ะใจเย็น แล้วก็เน้นสนุกมากกว่าไม่ชอบเครียด แต่คราวนี้ผมเหลืออดจริงๆครับ ผมขอระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลยดีกว่า เพราะเดี๋ยวเจอหน้าโค้ชจริงๆแล้วไประเบิดอารมณ์ตรงนั้นมันจะมองหน้ากันไม่ติด
“พี่ใจเย็นๆ” แนนพูดขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวพอสมควร
“นั่นซิพี่ ใจเย็นนะพี่เอ” จ๋ายเสริมขึ้นมา
“เฮ้อ.....ช่างมันเถอะครับ แค่นั้นแหละ........น้องก็ดูเอาเองแล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าพี่ใส่ร้ายเค้า”“ค่ะพี่”“จริงๆปีนี้พี่ถอนตัวไปแล้วนะ แต่พี่ก็ยังต้องเข้ามาดูแลอีกจนได้ เฮ้อ....เบื่อจริง ต่อไปพวกเรามีอะไรก็ติดต่อพี่โดยตรงเลยแล้วกัน จะได้ลดปัญหา”“ได้ค่ะพี่” แนนตอบพลางยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาเอกสารมาให้พี่ แล้วพวกเราก็กลับเลยแล้วกัน มีอะไรเดี๋ยวพี่โทรบอกเอง เย็นนี้ก็เจอกันที่ยิมเลยนะ” ผมบอกน้องทั้งสองก่อนที่จะแยกย้ายกันไปส่วนผมก็ไปส่งเอกสารที่กองหลังจากส่งเสร็จผมก็กลับบ้านเปลี่ยนชุดก่อนตรงไปที่ยิมทันที เมื่อมาถึงผมก็พบกับเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจเมื่อผมพบว่าว่านกับโค้ชกำลังเล่นเกมปิงปองบนเครื่อง Wii กันอยู่อย่างสนุกสนาน ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั้นทำผมนิ่งเงียบพักหนึ่งเลย ก่อนจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บแล้วก็แจกใบลาให้กับน้องๆนักกีฬาอยู่ในยิม
“เอ เล่นไหม” โต้ชหันมาพูดกับผมขณะที่ในมือโค้ชยังถือ Console อยู่เลย
“.....” ผมไม่มอง ไม่ตอบ อะไรกลับไปสักอย่างก่อนจะบอกน้องๆเรื่องกำหนดการณ์เดินทาง
หลังจากคุยกับน้องๆนักกีฬาเสร็จผมก็หันมาหาว่านแล้วถามว่า
“เครื่องใครเหรอ”“ของว่าน” โค้ชตอบ
“.....” ผมไม่พูดอะไรต่อแต่เดินออกไปนั่งรวมกับน้องๆคนอื่นที่นั่งกองกันอยู่เป็นจุดเดียว ตรงนี้โค้ชคงจะเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่พอใจอะไรอยู่แน่ๆ โค้ชเลยวาง Console แล้วเดินมายืนใกล้ๆกับจุดที่ผมนั่งก่อนจะพูดว่า
“ก็พอดีรับโทรศัพท์เอแล้วพี่ง่วงเลยนอนต่อ ตื่นมาอีกทีมันก็บ่ายโมงกว่าแล้ว พี่เลยไม่ได้เข้าไป” โค้ชพยายามพูดอธิบาย แต่ผมก็ไม่สนใจยังคงนั่งเงียบต่อไป
“แต่พี่ออกมาแล้วนะ กะว่าจะไปนั้นแหละ แต่คิดว่ายังไงก็ไม่ทัน แล้วเอก็น่าจะเข้าประชุมแทนไปแล้ว พี่เลยมาที่ยิม แล้วพอดีเจอว่านยืนอยู่กับเพื่อนหน้าโรงเรียน เลยรับว่านแล้วก็แวะไปเล่นเกมที่บ้านว่านแล้วเอาเครื่อง Wii มาแล่นต่อที่นี่” โค้ชพูดจบผมก็ยังไม่ทีท่าทีอะไรตอบไป โค้ชก็ยืนนิ่งๆเหมือนจะคิดลูกเล่นอะไรต่อไป แล้วก็จริงด้วย โค้ชนั่งยองๆแล้วเอานิ้วจิ้มไหล่ผมแบบที่บีกับว่านทำก่อนจะพูดว่า
“อะไรๆ แค่นี้งอนเหรอ ไม่งอนนะๆๆ” โค้ชพุดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ เวลานั้นผมไมได้อารมณ์ดีด้วยเท่าไหร่ เลยไม่ได้เล่นด้วย โค้ชเลยถามต่อว่า
“แล้วเดินทางวันไหน ที่ประชุมเค้าว่าอะไรบ้าง” ผมหันไปตอบโค้ชด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไหร่ว่า
“กำหนดเดินทางวันที่สิบ”“แล้วเรื่องที่เค้าประชุมล่ะ” โค้ชถามต่อ
“มันไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“อ่าว ไม่มีอะไรสำคัญแล้วเค้าเรียกประชุมทำไมล่ะ” โค้ชถามขึ้น
“.....” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป.....
แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ว่านเห็นผมแสดงอารมณ์ไม่พอใจใส่โค้ช ขอบอกตรงนี้เลยว่าตอนนั้นผมเก็บอารมณ์สุดๆแล้ว รู้วันประชุมไม่ยอมบอก แถมถึงเวลาประชุมก็ไม่มา เหตุผลเพราะตื่นสาย แล้วแทนที่จะโทรบอกก็ไม่มีกลับมาเล่นเกมกับว่านซะงั้น วันนั้นพอว่านเห็นผมหงุดหงิดว่านเลยรีบวาง Console แล้วมานั่งเล่นกับผมทันที ส่วนโค้ชเหรอครับ ก็เล่นต่อไปเรื่อยๆหน่ะซิ ระหว่างที่ผมกับว่านกำลังนั่งกันอยู่เงียบๆอยู่นั้นเกมก็เดินมาหาผมพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆแล้วกระซิบข้างหูผมว่า
“พี่เอ....มีอะไรจะให้ดู” เสียงกระซิบของเกมมันคงกังพอให้ว่านได้ยินด้วย แล้วทันทีที่ว่านได้ยินว่านก็กระโจนตะครุบเกมทันที พร้อมกับพยายามที่จะแย่งหนังสือจากเกม
“เอามานี่นะ” ว่านแย่งแบบทีเล่นทีจริงกับเกม สักพัก ฟิว กับ ริว ก็เข้ามาร่วมด้วย ด้วยการจับว่านไว้ แล้วให้เกมเอาหนังสือเล่มนั้นให้ผมดู
“เฮ่ย!! อย่านะ” ว่านตะโกนสุดเสียง
“พรึบ พรึบ” เสียงหน้ากระดาษเฟรนชิพเล่มนั้นที่ค่อยๆเปิดไปดังขึ้นทีละแผ่น ทีละแผ่น
“เฮ่ย เปล่อยซิวะ” ว่านหันไปพูดกับ ฟิว แล้วก็ ริว ที่กำลังล๊อกว่านไว้จนว่านดิ้นไม่หลุด
เพียงไม่กี่อึดใจก็ถึงหน้าที่เกมจะให้ผมดู แล้วหน้าที่เกมหยุดไว้นั้นเป็นหน้าของนักเรียนสายชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายห้องหนึ่ง แล้วเกมก็เพ่งหาอะไรสักอย่างก่อนจะชี้ไปที่รูปผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพูดว่า
“อ๊า นี่ไง รุ่นพี่ที่ว่านแอบชอบอยู่” พูดจบเกมก็หันมายิ้ม
“เป็นไงพี่ สวยไหม” ริวถามขึ้น
“อื่อ.....น่ารักดี” ผมตอบกลับไป
To Be Con