บทที่ ๑๔ (ครึ่งแรก)
เปลือกตาของคนป่วยที่หลับข้ามวันข้ามคืน ค่อยๆ กะพริบเพื่อตื่นลืมตาขึ้น แต่ความมึนเบลอยังคงอยู่ เพราะระยะเวลาของร่างกายที่พักไปนานกว่าปกติอยู่มาก ทำให้ตอนนี้สติยังไม่เต็มร้อยเท่าไหร่นัก รับรู้เพียงแค่เสียงจากโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวเที่ยง และมีคนเดินไปมาในห้อง กลิ่นอาหารที่โชยมาเตะจมูกหอมยั่วยวนใจ
หนุ่มร่างบางนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับกาย สายตาเหม่อมองไม่ได้จับจุดโฟกัสใดเป็นพิเศษ เพราะกำลังดึงสิ่งที่ฝันมาเก็บไว้เป็นความทรงจำให้มากที่สุด ครั้งนี้เป็นการฝันที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยฝันมา เรื่องราวที่ได้รับรู้หนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก และสิ่งที่ไม่อยากเชื่อกลับต้องเชื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าอดีตชาติของเขาทำร้ายคนได้มากขนาดนี้ เพราะเหตุนี้ในชาตินี้เขาจึงไม่เหลือใครเลย พ่อ แม่ ญาติสนิทใดๆ ก็ไม่มี เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เหมือนเขาใช้ชีวิตมาเพื่อรอพบใครคนหนึ่งที่โชคชะตาผูกกันไว้เท่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเสียใจมันมากล้นจนเขาคิดว่าตัวเองไม่เคยรู้สึกผิดขนาดนี้มาก่อน เสียงสะอื้นเขาค่อยๆ ดังขึ้น ก่อนจะเป็นการร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับกำลังทุรนทุรายกับความบาดเจ็บทางอารมณ์
หญิงสาวรุ่นน้องคนเฝ้าไข้ตกใจที่เขาฟื้นแล้ว แต่ตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้อย่างหนัก เสียงร้องไห้โฮของผู้ชายที่ไม่คิดว่าเธอจะได้เห็นทำให้มิ้งทำอะไรไม่ถูก เธอรีบเข้าไปกอดปลอบรุ่นพี่ของตนที่ร้องไห้ปานจะขาดใจ
มือของณิชกำจิกเข้าเนื้อตัวเองจนเห็นรอยแดงชัด น้ำตาที่ไหลพรากราวทำนบแตกนั้นไม่อาจหยุดไหลได้ เพราะความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายในมันมากล้นจนไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ มือเรียวเล็กของหญิงสาวลูบหลังของณิชเบาๆ เธอไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่รู้ว่าณิชร้องไห้เพราะอะไร ได้แค่ยืนเป็นที่พึ่งข้างเตียงเท่านั้น
จนเมื่อณิชสงบลงมิ้งจึงเรียกพยาบาล และหลังจากนั้นหมอก็เข้ามาตรวจ หญิงสาวอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง คอยสอบถามหมอนั่นนี่เพราะกลัวรุ่นพี่เธอจะมีอะไรผิดปกติ แต่หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ส่วนเรื่องที่หลับไปนานนั้นหมอก็หาคำตอบให้ไม่ได้เช่นเดียวกัน อาจเพราะร่างกายของคนไข้ต้องการพักให้มากก็เป็นได้ เพราะที่ณิชเป็นแบบนี้ก็เพราะความเครียดด้วยส่วนหนึ่ง
มิ้งลอบมองชายหนุ่มคนที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง แขนขาขยับไปมาได้ปกติ แต่ณิชไม่ยักจะขยับตัวใดๆ หากว่าณิชมีคนรักอาการนี้ก็เหมือนกับคนอกหัก ที่หมดอาลัยตายอยากจนไม่อยากทำอะไร แต่นี่ไม่ใช่ ก่อนนี้รุ่นพี่ของเธอยังดีๆ อยู่เลย แต่พอตกบันไดก็นิ่งเงียบไปราวกับเป็นคนละคน
“คุณจีรัชญ์ล่ะ” ณิชถามเสียงแผ่ว เขาคิดว่าจีรัชญ์จะอยู่ที่นี่เสียอีก แต่ฟื้นขึ้นมานานแล้วกลับไม่เห็นอีกฝ่ายจะโผล่หน้ามาให้เห็น
“ยังไม่มาเลยพี่ ไปมหา’ ลัยน่ะ แต่คงจะเข้ามาตอนเย็นๆ”
ณิชเงียบไปอีกครั้ง มิ้งจัดกล้วยปิ้งที่เธอบอกว่าน่าทานใส่มาในจาน ก่อนจะวางบนโต๊ะล้อเลื่อนเอามาให้คนป่วย ส่วนตัวเองก็จิ้มกินไปพลาง
“หืมมม อร่อยจริงพี่ณิช พี่ลองกินสิ กินเลยๆ” มิ้งคะยั้นคะยอคนป่วยที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ดูจะเงียบผิดปกติ
“ขอเป็นอะไรที่ย่อยง่ายก่อนดีกว่านะ” ณิชบอกปัด เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รู้สึกหิวเลย
มิ้งเล่าให้ฟังว่าตอนเขาหลับไป มีอาการคล้ายคนละเมอพึมพำไม่ได้ศัพท์หลายครั้ง มีท่าทีจะตื่นอยู่หลายทีแต่ก็ไม่ยักจะลืมตา พอสะกิดเรียกเขาก็เงียบไป วันแรกยังไม่น่าห่วง แต่วันที่สองเหมือนเขาจะละเมอหนักขึ้น มิ้งย้ำหลายครั้งบอกว่าเขาร้องไห้ ซึ่งนั่นทำให้เธอยิ่งร้อนใจเพราะไม่เข้าใจว่าเขากำลังเป็นอะไร ยังคิดอยู่เลยว่าหากเขายังไม่ฟื้นจะเชิญพระให้มาสวดแล้ว เพราะกลัวว่าณิชจะโดนใครมาพาวิญญาณไป แต่พอมาวันนี้เขากลับตื่นลืมตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังร้องไห้เหมือนคนเพิ่งเจอฝันร้ายมา
“งั้นข้าวต้มนะ ไม่ก็โจ๊กกุ้งเป็นไง เดี๋ยวหนูลงไปซื้อให้”
“อืม ก็ได้ขอบใจมาก แล้วงานเป็นไงบ้าง”
“คุณตรีสั่งระงับไปก่อนเพราะเขาห่วงกลัวพี่ณิชจะเป็นอะไรมาก และหนูต้องมาเฝ้าพี่ด้วยเขาเลยบอกรอได้ แต่เอาจริงๆ คุณตรีเขาเฝ้าพี่มากกว่าหนูอีกนะ เป็นลูกค้าที่น่ารักดีจริงๆ อ้อ! คุณแขไขกับพี่โอ๋ก็โทรมาถาม แต่พอดีงานทางโน้นยุ่งเลยลงมาไม่ได้” พูดจบสาวเจ้าก็หยิบกระเป๋าตังค์ทำท่าจะเดินออกไป แต่ณิชกลับเรียกไว้เสียก่อน
“มิ้ง พี่ฝากซื้อพวงมาลัยมาสักสองพวงนะ พวงมาลัยไหว้พระน่ะ”
แม้หญิงสาวรุ่นน้องจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยักหน้ารับปากณิชไป ตั้งแต่ณิชฟื้นขึ้นมาดูแปลกตาไปจริงๆ สำหรับเธอ ไม่ได้ร่าเริงเหมือนก่อน หรือเพราะหลับไปหลายวันการฟื้นตัวต่างๆ เลยยังไม่คงที่ก็ไม่รู้
มิ้งออกจากห้องไปแล้ว ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงเขาคนเดียวเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปทั่วห้อง ก่อนจะกลั้นใจเรียกหาใครบางคน แม้จะกลัวความจริงจับจิต แต่ก็อยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนฝันนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอนใช่หรือไม่
“มั่น... มั่นอยู่ไหม”
ตั้งแต่เกิดมาเขากลัวสิ่งลี้ลับเป็นที่สุด ยิ่งในตอนกลางคืนที่ความมืดมิดคืบคลานเข้ามา พร้อมบรรยากาศชวนขนหัวลุกมันยิ่งทำให้เขากลัว แต่เวลานี้หลังจากการหลับที่ยาวนานเพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ทำให้เขากล้าที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อเรียกหาใครบางคน ใครคนนั้นที่คิดว่าคงอยู่กับเขาไม่ไปไหน ดั่งคำสาบานที่ให้ไว้ในชาติก่อน
“ขอรับ”
เสียงตอบรับราวกับดังมาจากที่ไกลๆ เสียงนี้ที่คุ้นหู เพราะเหมือนจะเคยได้ยินมานานแล้วตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ม่านหน้าต่างพลิ้วปลิวสะบัดเบาๆ ทั้งที่ไม่มีหน้าต่างบานไหนเปิดเลย ก่อนที่เงาเลือนรางจะค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นที่มุมห้อง เป็นชายชุดโบราณหุ่นกำยำ แต่ใบหน้าติดจะหวานไปสักหน่อย อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่ามองมาที่เขา แม้จะเป็นเพียงดวงวิญญาณที่เห็นได้เลือนราง แต่ท่าทีนอบน้อมและดวงตาเศร้าสร้อยนั้นทำให้พอจำได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ต่างจากตอนอยู่ในฝันนัก
“อึก...”
ขนลุกไปทั่วร่างเมื่อประจักแล้วว่าสิ่งที่ฝันทั้งหมดคือเรื่องจริง ก้อนความเสียใจจึงตีตื้นขึ้นมาจุกที่ลำคอ ณิชมองไอ้มั่นที่มองตอบเข้ากลับมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ตรงลำคอของอีกฝ่ายมีรอยแผลให้เห็น แต่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเช่นหนังผีในละครที่เขาไม่ชอบดู ทั้งที่รู้ว่ามั่นไม่มีชีวิต เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน แต่เขากลับไม่กลัวเลยสักนิด อาจเพราะเคราะห์กรรมที่ได้สร้างร่วมกันไว้ ทำให้เขามองว่าอีกฝ่ายเป็นคนคนหนึ่งเพียงแค่ไร้กายหยาบก็เท่านั้น
ภาพในหัวย้อนกลับไปเป็นฉากๆ ว่าตอนเขาหลับไปนั้นได้รับรู้เรื่องอะไรบ้าง ไอ้มั่นทำอะไรเพื่อเขาบ้าง และเขาทิ้งความทุกข์ระทมไว้ให้ใครบ้าง แค่นี้น้ำตาก็ไหลรินไม่ขาดสาย เสียใจเป็นที่สุดที่ความคิดสั้นเห็นแก่ตัวของเขาทิ้งบาดแผลไว้ให้คนมากมาย ทั้งพ่อแม่ ทั้งคนรัก และทาสที่ซื่อสัตย์
“ฮึก...ขะ...ขอโทษนะ ผมขอโทษ”
ณิชพนมมือไหว้ นี่เป็นคำแรกที่เอ่ยบอก ความเสียใจของเขาคงไม่เท่ากับความซื่อสัตย์ของบ่าวที่เคยรับใช้เขาคนนี้ มันมากมายมหาศาลจนคิดว่าหากอีกฝ่ายหลุดพ้น คงได้เกิดเป็นคนมียศมีศักดิ์ ฐานะสูงส่งและไม่ลำบากอย่างแน่นอน น้ำตาเขาไหลอาบแก้มอีกครั้ง ยามคิดถึงบิดาตัวเองเมื่อชาติก่อนที่สำเร็จโทษอีกฝ่ายอย่างไรความปรานี รู้สึกผิดจนอยากจะชดใช้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“มิเป็นไรเลยขอรับ บ่าวไม่เคยโกรธคุณปราณเลยขอรับ” ไอ้มั่นรีบส่ายหน้าโบกมือเป็นพัลวัน เพื่อไม่ให้เจ้านายเก่าของมันคิดมาก แต่ดูเหมือนยิ่งพูดอีกฝ่ายก็ยิ่งร้องไห้
“ผมเสียใจ...ที่...ที่ทำให้คุณต้องมาเจออะไรแบบนี้ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหม คุณ...อยากได้อะไรไหม ผมจะได้ทำบุญไปให้” ชายหนุ่มหน้าหวานถามเสียงสั่นเครือ เขาทำท่าจะลงจากเตียง แต่แค่ลุกขึ้นมานั่งก็ยังมึนเลยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแค่ห้อยขาลงข้างเตียงเท่านั้น เพื่อจะได้พูดกับมั่นได้สะดวก
“หากจะมี...ก็คงเพียงแต่ชาตินี้คุณปราณอย่าจากไอ้หาญไปอีกเลยขอรับ บ่าวสงสารมัน มันรอคุณปราณมาหลายชาติแล้วขอรับ”
ความสุขของมันเต็มอกจนแทบพูดไม่ออก เป็นอีกครั้งที่เวลาแห่งการรอคอยของมันก็มาถึงตรงนี้ ยิ่งคุณปราณจำมันได้มันก็ยิ่งดีใจหนัก เพราะสื่อให้รู้ว่าโชคชะตากำลังทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง เหมือนมันที่พยายามช่วยคนทั้งสองทุกทางเท่าที่ดวงวิญญาณจะทำได้
“หมายความว่ายังไง”
“นานไปประเดี๋ยวคุณปราณจะรู้เองขอรับ บ่าวไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้ เพราะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตา ไม่เช่นนั้นไอ้หาญจะไม่พ้นคำสาปขอรับ”
ณิชพยักหน้ารับรู้ เขาคงต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ตอนนี้คงทำได้แค่เก็บเกี่ยวข้อมูลที่อีกฝ่ายพอจะบอกได้เท่านั้น
“คุณอยู่กับผมมานานแล้วเหรอ ทำไมผมไม่เคยรู้”
ณิชหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำมูกน้ำตา ปลายจมูกแดงเพราะโดนเจ้าตัวสั่งน้ำมูก ดูน่าเอ็นดูเหมือนตอนที่ยังเป็นคุณปราณไม่มีผิด แม้รูปร่างจะต่างไปจากเดิมสักหน่อย ไม่ได้ตัวเล็กบอบบางมากเท่าตอนเป็นคุณปราณ แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้วก็คล้ายกัน ไอ้มั่นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดู เพราะกรรมที่ทำมาไม่ได้มีแค่นี้ ความเศร้าโศกความเสียใจยังเหลือให้ต้องรับรู้อีกมาก
“บ่าวจะปรากฏตัวได้แจ่มชัดเมื่อคุณปราณจำทุกอย่างได้หมดขอรับ จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง”
“แล้วคุณจีรัชญ์...เอ่อ...หาญ คือชาตินี้เขาคือคุณจีรัชญ์ เขารู้ไหมว่านายคือวิญญาณ”
“รู้ขอรับ”
ณิชนั่งมึนไปกับคำบอกเล่าไปอีกพักใหญ่ พูดชื่อผิดๆ ถูกๆ เพราะไม่รู้จะเรียกชื่อกันอย่างไรดี
ก๊อกๆๆ
“มาแล้วจ้า โจ๊กร้อนๆ กินได้คล่องคอ กรี๊ดดด!!”
มิ้งหวีดเสียงหลง เมื่อเห็นวิญญาณที่ตนคิดว่าเป็นไอ้หาญนั่งคุกเข่าอยู่ตรงมุมห้อง ถุงโจ๊กเกือบหลุดมือ ดีที่นิ้วเกี่ยวไว้ได้ทัน แต่เธอหลับตาสนิทพนมมือไหว้ปิดหน้าตัวสั่นงันงก ส่วนณิชที่พึ่งคิดได้ว่ามิ้งเล่าให้ฟังเรื่องเห็นวิญญาณของไอ้หาญก็หลุดขำ ก่อนจะกวักมือเรียกให้หญิงสาวเดินไปหาตน เพราะกลัวพยาบาลจะเข้ามาต่อว่าที่ทำเสียงดัง มิ้งรีบวิ่งไปซ่อนหลังรุ่นพี่ของเธอทันที กระโดดพรึบขึ้นเตียงคนป่วยเบียดชิดติดตัวชายหนุ่มราวกับจะสิงให้ได้
“นุ...หนู...หนูเห็นไอ้หาญอีกแล้วพี่ณิช ฮืออออ” มิ้งกลัวจนตัวสั่น เธอกอดณิชไว้แน่นไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามอง ขาทั้งสองข้างยกขึ้นชันเข่าไว้ เพื่อว่าวิญญาณตนนั้นจะได้ไม่มาดึงขาเธอได้
“ฮือออ พี่...หนูกลัว พี่อาจไม่เห็นแต่หนูเห็นอ่ะ หนูกลัวจริงๆ นะ พี่บอกเขาสิว่าพี่ไม่เห็น อย่ามาหลอกมาหลอนกันแบบนี้” หญิงสาวยังคงพูดต่อ ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้ง แต่พอเห็นได้เท่านั้นแหละ อีกฝ่ายก็โผล่มาให้เจอกันโต้งๆ แบบนี้ ขนาดกลางวันแสกๆ ก็ไม่เว้น ต่อให้มีเรื่องราวรักโรแมนติกมากแค่ไหน เธอก็ไม่ได้รู้สึกดีเวลาเห็นอีกฝ่ายหรอกนะ
“มิ้ง แกฟังพี่ก่อน” ณิชเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเรียกสติ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่มิ้งเห็นก่อนหน้านี้คืออะไร และคือใคร มิ้งเข้าใจผิดว่านี่คือหาญ อาจเพราะชุดที่อีกฝ่ายใส่ราวกับหลุดมาจากละครที่มีทาสในเรือน อีกทั้งผิวกายที่ดำคล้ำ กายกำยำของชายไทยสมัยก่อน ทำให้หญิงสาวคิดเป็นอื่นไปไม่ได้
“ฟังได้นะพี่ แต่หนูไม่ลืมตานะ ไม่เอา กลัว” มิ้งยังยืนยันคำเดิมว่าเธอกลัว ยิ่งอาการขนลุกขนพองทั้งตัวยิ่งเป็นตัวการันตีได้ว่าเธอกลัวจริงๆ ณิชหันไปมองมั่นที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ก่อนจะบอกอีกฝ่ายในใจว่าให้ไปที่อื่นก่อน เพราะเขาขอเล่าเรื่องราวให้รุ่นน้องฟังก่อน
เขามีมิ้งเหมือนเป็นเพื่อนที่คอยรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง อย่างไรเขาก็ต้องเล่าให้อีกฝ่ายฟังอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้มีเวลาก็อยากเล่าให้เสร็จ เพื่อที่มิ้งจะได้ไม่อกสั่นขวัญแขวนกับวิญญาณเร่ร่อนตนนั้นอีก
“ได้ แต่ตั้งใจฟังพี่ดีๆ คนที่แกเห็นนั่นไม่ใช้หาญ แต่เป็นมั่น”
“มั่นคือใคร”
“เพื่อนของหาญไง” เขาเคยเล่าเรื่องในความฝันให้มิ้งฟังก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องของมั่นนัก เมื่อมาเจอกันแบบนี้ก็คงต้องพูดถึงกันเสียหน่อย
“แล้วเขามาหาพี่ทำไม พี่เห็นเขาเหมือนหนูใช่ไหม เห็นเมื่อไหร่ พี่เพิ่งฟื้นเองนะ นี่ตอนกลางวันแสกๆ ก็ยังมาหลอกกัน เขาอยากได้อะไร อาฆาตพี่รึเปล่า ไปทำบุญให้กันเถอะพี่ พวงมาลัยก็ซื้อมาแล้วเราไปไหว้พระกันไหม”
“มิ้ง! ใจเย็นๆ ก่อน แกพูดรัวเลยฟังไม่ทันแล้วเนี่ย”
“ก็หนูกลัวนี่! นั่นผีนะพี่ไม่ใช่ลูกหมา ถึงจะได้ทำตัวน่ารักใส่เวลาเจออ่ะ” มิ้งเปิดตาขึ้นมาเถียงอีกฝ่ายใบหน้างอง้ำ เหลือบมองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เงาทะมึนนั้นหายไปแล้ว แต่เธอก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี ไม่รู้อีกฝ่ายจะโผล่มาตอนไหนนี่สิ
ณิชตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนพอจะจำได้จากในฝันให้หญิงสาวฟังทั้งหมด มิ้งถึงกับอึ้งไปหลายนาที หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับโดนมนต์สะกดไว้ คงกำลังเรียบเรียงความคิดในหัวอยู่ ก่อนจะเริ่มถามเขาอีกครั้ง
“สะ...แสดงว่าคุณตรีก็มีชีวิตอมตะเหรอ”
“ก็คงอย่างนั้น”
“โห... ถึงว่าทำไมตอนเจอคนทำร้ายตัวคุณตรีไม่เป็นอะไรเลย มันโคตรเหลือเชื่อเลยนะพี่” พูดไปก็ถูแขนตัวเองไปเพราะขนลุกอยู่ตลอดเวลากับเรื่องเหนือธรรมชาตินี้
“เออ! ถ้างั้นทำไมคุณเขาดูนิ่งๆ กับพี่ล่ะ”
“พี่ก็ไม่รู้ สับสนว่ะมิ้ง คือ...”
“แต่หนูเห็นว่าเขาแอบหอมหน้าผากพี่ด้วยนะ สายตาหวานเยิ้มตอนแอบมองพี่” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน เพราะเธอจำได้ว่าตอนนั้นทำเอาตกใจไปเหมือนกันที่แอบเห็น คิดว่าระหว่างคนทั้งสองคงถูกจุดไฟรักเข้าแล้ว แต่พอณิชตื่นจีรัชญ์ก็ดูนิ่งเฉยปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อไหร่”
“ตอนพี่เป็นไข้ที่บ้านอ่ะ คุณตรีเขาเข้าไปดูแลพี่ตลอด ไหนจะตอนมองพี่อีก หนูพอรู้สึกได้นะว่าเขามองแบบหวานๆ อ่ะ”
“ตอนแรกไม่เห็นคิดแบบนี้” ณิชสวนกลับ
“ก็ตอนแรกไม่รู้ไง ยิ่งคุณตรีคบอยู่กับคุณแขไขด้วยแล้วใครจะไปคิดถึงเรื่องนี้” มิ้งพูดจบก่อนจะสะดุ้งเมื่อคิดได้ว่าตนไม่ควรพูดออกไป เพราะถ้ารุ่นพี่เธอกับเจ้าของวังปริพัตรมีดวงชะตาผูกพันกันจริง ในชาตินี้คงยุ่งไปสักหน่อยเพราะไอ้หาญนั้นมีคนรักเสียแล้ว
“อย่าได้คิดเป็นอื่นขอรับ ไอ้หาญไม่เคยมีใจให้ใครนอกจากคุณปราณนะขอรับ”
“กรี๊ด!! มาอีกแล้ว! โผล่มาอีกแล้วอ่ะพี่ณิช!” มิ้งกรี๊ดอีกครั้งตาปิดสนิท เธอเขย่าตัวณิชรัวๆ เมื่อเห็นมั่นยืนอยู่ที่หน้าต่าง ไม่ชินเสียทีกับการปรากฏตัวของอีกฝ่ายที่คิดจะมาก็มา
ณิชถอนหายใจกุมขมับเพราะตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มั่นดีใจที่เขาจำทุกอย่างได้ แววตาเศร้าของมันดูมีความหวังที่เขาจำอดีตและกำลังจะทำให้ปัจจุบันดำเนินไป การปรากฏกายก็ทำได้มากขึ้นเพราะเขาจำทุกอย่างได้แล้ว แต่คนอย่างมิ้งที่ไม่ได้รู้เรื่องราวในอดีตเหมือนที่เขาพบเจอเองยังไม่ชิน จึงอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ
“มั่น... คุณอย่าเพิ่งมาก่อนนะ คือ...คนอื่นเขายังไม่ชินกับอะไรแบบนี้ ต้องให้เวลาหน่อย”
“แต่บ่าวอยากอยู่กับคุณปราณนะขอรับ ไอ้หาญกำชับว่าต้องอยู่ดูแลคุณปราณระหว่างที่มันยังไม่กลับมา” ไอ้มั่นตอบหน้าซื่อ
“งะ...งั้นส่งสัญญาณก่อนได้ไหม เวลาจะปรากฏตัวน่ะ เอาแบบมีเสียงมีกลิ่นมาเตือนก่อน ฉะ...ฉันกลัว” มิ้งพูดเสียงอ่อน เธอไม่ใช่คนมีสัมผัสพิเศษ แต่คงเพราะสนิทกับณิชและรับรู้เรื่องราวผ่านจากอีกฝ่ายเลยทำให้เห็นอะไรแบบนี้ไปด้วย
“งั้นเอาตามนี้นะมั่น ไว้ให้มิ้งเขาชินก่อน อ้อ! ไม่ต้องบอกคุณจีรัชญ์เรื่องที่ผมจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วด้วยนะ ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อจากนี้ มิ้งด้วยนะ ห้ามบอกใครเรื่องนี้เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับหงึกหงัก เธอจะไปเล่าให้ใครฟังได้ล่ะ ไม่มีใครเขาเชื่อหรอกถ้าไม่ได้เจอด้วยตาตัวเองแบบเธอน่ะ
“อ่าว...ขอรับ” ไอ้มั่นรับคำหน้าหงอย ใครเลยจะรู้ว่ามันก็เฝ้ารอให้คุณปราณจำได้ และได้คุยกับมันอีกครั้งนานแค่ไหน หากไม่นับไอ้หาญก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความคิดถึงนี้ดอก
โปรดติดตามส่วนต่อไป