-๑๗-
ฉีกสัญญา
ผ่านมาเกือบเดือนแล้วนักบินยังคงตีตัวออกห่างปลาวาฬ ส่วนคนที่เข้ามาดูแลกลับเป็นนักรบแทน ทำให้ปลาวาฬรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนักบิน ช่วงแรกยังพอทนไหวแต่พอนานวันเข้ากลับรู้สึกเครียดมากขึ้น ถึงกับทนไม่ไหวจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ ขณะทั้งสองคนนั่งอยู่บนเตียงด้วยกันในห้อง
“คุณผมมีเรื่องจะถาม” น้ำเสียงโทนเรียบนิ่งเอ่ยออกจากปากร่างบาง
“ว่าไง” นักบินตอบแต่กลับไม่มองหน้าอีกฝ่ายเลย
“ทำไมช่วงนี้คุณดูแปลกไปไม่มาดูแลผมเหมือนแต่ก่อน ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าบอกผมได้นะ หรือคุณเบื่อผมแล้วหรือไง” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมกับหันไปมองหน้าอีกฝ่าย ส่วนนักบินหันมามองแล้วก็เอ่ยตอบ
“ไม่มีอะไรจริงๆนายคิดมากไปเองหรือเปล่า...ฉันไม่ค่อยว่างน่ะเลยให้นักรบไปดูแลแทน” พูดแล้วก็หลบตาบ่งบอกว่าสิ่งที่เอ่ยออกมานั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย
“ไม่จริง! บอกกันมาตรงๆ ผมเครียดมากเลยรู้หรือเปล่ากับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้” ปลาวาฬเริ่มขึ้นเสียงใส่
“ฉันขอโทษที่ทำให้นายไม่สบายใจนะ” นักบินจับมืออีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับยิ้มน้อยๆให้ สื่อว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรจริงๆ
“ถ้างั้นก็อย่าทำอย่างนี้สิ...ผมต้องการคุณไม่ใช่นักรบ คุณได้ยินหรือเปล่าว่าผมต้องการคุณ” ปลาวาฬเอ่ยความรู้สึกออกไปตรงๆ หากไม่พูดวันนี้เขาคงได้อกแตกตายแน่
“นาย...หมายความว่ายังไง” เมื่อได้ยินคำพูดนี้นักบินก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจ
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ คุณช่วยกลับมาดูแลผมเหมือนเดิมได้ไหม ผม...ต้องการคุณจริงๆ” ปลาวาฬยิ้นหวานให้พร้อมทั้งน้ำตา ไม่ว่าอนาคตมันจะจบอย่างไรแต่วันนี้เขาขอตักตวงความสุขเอาไว้ให้มากๆก็พอ
“ฉันจะไม่ให้นายเครียดอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะดูแลนายเอง จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำหน้าที่แทนทั้งนั้น...ฉันสัญญา” คำพูดของปลาวาฬเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางใจให้กับนักบิน ว่าแล้วเจ้าตัวก็โผเข้ากอดเอาไว้แน่นจนปลาวาฬรู้สึกประหลาดใจ ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ หรือเป็นเพราะเขาบอกว่าต้องการอีกฝ่าย คำพูดนี้มันมีผลมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปแสดงว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ต่างกันแน่นอน นั่นทำให้ปลาวาฬเองก็ยิ้มกริ่มในใจ
“สัญญาแล้วนะ” ปลาวาฬยกนิ้วก้อยน้อยๆขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานบนใบหน้า
“ฉันสัญญา” ทั้งสองเกี่ยวก้อยแล้วยิ้มให้กัน
หลังจากนั้นนักบินก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงจะเดินออกไปจากห้อง โดยไม่บอกไม่กล่าวคำใด
“นั่นคุณจะไปไหน”
“เดี๋ยวฉันมา”
ว่าแล้วก็ยิ้มให้อีกฝ่าย เขาจะไม่เก็บงำอะไรไว้อีกแล้ว กำแพงภายในใจมันพังทลายลงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าต้องการ ถึงแม้มันจะไม่ใช่คำว่ารัก แต่แค่นี้ก็ทำให้หัวใจเขาพองโตมากแล้ว บ่งบอกว่าตอนนี้ทั้งเขาและปลาวาฬมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
นักบินรีบวิ่งออกจากห้องตรงไปยังห้องนอนของน้องชาย แล้วเอื้อมมือหนาไปเคาะประตูทันที
ก๊อกๆๆ!!!
นักรบที่กำลังจะนอนลุกขึ้นเดินมาเปิดประตู ก็พบกับพี่ชายกำลังยืนทำหน้าจริงจังอยู่ตรงหน้า
“พี่มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีเรื่องจะบอกแก”
“เรื่อง..” นักรบทำสีหน้างงๆ
“เรื่องปลาวาฬ ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นคนดูแลปลาวาฬเอง ฉันจะทำหน้าที่ของฉันเอง ฉันจะมาบอกแค่นี้ล่ะ” นักบินตัดสินใจเอ่ยกับน้องชายด้วยความมั่นอกมั่นใจ เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
“ทำไมพี่ถึงพูดกลับคำอย่างนี้ ไหนบอกว่าจะเปิดโอกาสให้ผมไงล่ะ” นักรบชักสีหน้าด้วยความโมโหแล้วรีบตอบกลับที่ชายทันที
“ตอนนี้ฉันรู้ใจตัวเองแล้วว่าฉันรักปลาวาฬมากแค่ไหน” นักบินเอ่ยกับน้องชายเสียงดังบ่งบอกถึงความมั่นใจในคำพูดของตัวเองมากมายนัก
“พี่มันใจโลเลแล้วถ้าผมไม่ยอมล่ะ” นักรบยืนประจันหน้าพี่ชายไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ฉันขอโทษที่ทำแบบนี้ แต่ฉันรักปลาวาฬมากและคิดว่าปลาวาฬเองก็รักฉันเหมือนกัน ฉันไม่อยากให้แกถลำลึกไปมากกว่านี้ ตัดใจซะเถอะฉันจะเป็นคนดูแลปลาวาฬเอง ฉันไม่อยากเสียปลาวาฬไป ฉันต้องขอบคุณแกด้วยซ้ำที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่ารักปลาวาฬมากแค่ไหน” แม้รู้ว่าน้องชายคงจะเสียใจมาก แต่ถ้าเขาไม่บอกตอนนี้ วันหน้าอาจจะเสียใจไปมากกว่านี้ก็ได้
“ถ้าผมมั่นใจว่าปลาวาฬรักพี่จริงๆ ผมจะยอมเป็นคนถอยห่างออกไปเอง พี่กลับไปก่อนเถอะผมง่วงแล้ว” นักรบเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เจ้าตัวเองก็รู้ดีว่าทั้งสองคนคงจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอยู่ไม่น้อย เพราะใช้ชีวิตไม่ต่างจากคู่สามีภรรยา แต่เขาก็อยากจะถามปลาวาฬตรงๆให้รู้กันไปเลย
“แกไม่เป็นอะไรจริงๆนะ ฉันรู้ว่าฉันเห็นแก่ตัวแต่ฉันอยากทำอะไรให้มันถูกต้อง...เพื่อปลาวาฬ”
“พี่รีบกลับไปเถอะ” ว่าแล้วก็ปิดประตูห้องแล้วนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น พี่ชายของเขาไม่น่าไปเห็นภาพนั้นเลย เพราะเขาตั้งใจเก็บมันไว้ในใจจนกว่าปลาวาฬจะเป็นอิสระจากสัญญา ถึงจะเผยความรู้สึกให้ได้รับรู้
หลายวันต่อมาขณะที่ปลาวาฬกำลังนั่งจัดดอกไม้ในศาลาในสวนข้างบ้าน นักรบเห็นก็เดินเข้าไปหาทันที เขาตั้งใจจะถามความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อพี่ชาย อยากจะฟังคำนั้นจากปากของปลาวาฬเอง หากทั้งสองมีใจตรงกันจริงๆเขาก็จะยอมถอยห่าง โดยไม่มีทางให้ปลาวาฬรับรู้ว่าเขารู้สึกยังไง เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้ปลาวาฬรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
“พี่นักบินไปไหนแล้วล่ะ” นักรบเอ่ยถามแล้วนั่งลงเก้าอี้ตัวถัดไป
“คุณนักบินเดินเข้าไปเอาเครื่องดื่มมาให้เราอ่ะ นักรบมีอะไรหรือเปล่าเหมือนตั้งใจเดินมาหาเรา” ปลาวาฬหันไปยิ้มให้แล้วหันกลับมาไปสนใจจัดดอกไม้ต่อ
“เรามีเรื่องจะถามปลาวาฬ...เรื่องนี้ตอบตามความรู้สึกจริงๆนะห้ามโกหกเราเด็ดขาด” นักรบเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ว่ามาดิดูท่าทางนักรบจะจริงจังนะเนี่ย” ปลาวาฬยิ้มให้แต่กลับรู้สึกประหลาดใจ เพราะปกติเวลาคุยกับนักรบจะมีแต่เรื่องเบาสมอง ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรเหมือนคราวนี้
“ปลาวาฬรู้สึกยังไงกับพี่นักบิน เรามาเปิดอกกันในฐานะเพื่อน” นักรบจ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบ
“คือ...” ปลาวาฬทำท่าอึกอักไม่กล้าพูดออกมา
“พูดออกมาเถอะปลาวาฬเราอยากรู้จริงๆ รู้สึกยังไงก็บอกมาอย่างนั้นพี่นักบินไม่ได้อยู่ตรงนี้สักหน่อย” นักรบพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา เขาอยากรู้ว่ามันจะตรงกับสิ่งที่พี่ชายตัวเองบอกไหม
“เรารู้ว่ามันไม่มีทางสมหวัง แต่เราว่าเราชอบคุณนักบินเข้าให้แล้วอ่ะ” ปลาวาฬตัดสินใจเอ่ยความรู้สึกภายในให้นักรบฟัง เพราะถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งที่เขาไว้ใจมากในบ้านหลังนี้
“เราเข้าใจแล้วล่ะ ปลาวาฬไม่ต้องห่วงนะถ้าพี่นักบินรักปลาวาฬจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยให้ปลาวาฬจากไปไหนแน่นอน อย่าคิดมากกับเรื่องนี้เลยนะเราไม่บอกใครเด็ดขาด” นักรบเอ่ยให้ปลาวาฬสบายใจ ถึงเขาจะไม่บอกไปตรงๆแต่ถ้าเขาเอ่ยคำว่ายอมแพ้กับพี่ชาย นั่นก็ถือเป็นคำตอบให้นักบินรู้ว่าปลาวาฬรู้สึกยังไงกับตัวเอง
“เราไม่ได้หวังอะไรเลย ขอแค่เรามีความสุขในช่วงเวลานี้ก็พอแล้ว”
“เราว่าปลาวาฬต้องมีความสุขแน่ คนน่ารักอย่างปลาวาฬใครได้อยู่ใกล้ก็ต้องตกหลุมรักทุกคนนั่นล่ะ” นักรบเผลอจ้องหน้าปลาวาฬอย่างไม่วางตา และอยากจะบอกว่าไม่เว้นแม้กระทั่งเขาที่ตกหลุมรักอีกฝ่าย
“เราว่าวันนี้นักรบดูแปลกๆไปนะ” ปลาวาฬมองหน้าด้วยความสงสัย
“แปลกตรงไหนเราก็ปกติดีนี่” เมื่อโดนจับผิดได้นักรบก็ทำท่าทีเฮฮาขึ้นมาทันที
“แปลกจริงๆ ยิ่งทำอย่างนี้นยิ่งแปลก”
“ไม่มีอะไรจริงๆ เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในก่อนนะพี่นักบินมาโน่นแล้ว” นักรบโบ้ยหน้าไปตรงทางเดิน นักบินกำลังถือถาดเครื่องดื่มมาด้วย
“อื้ม” ปลาวาฬยิ้มให้พร้อมกับคิดในใจว่านักรบต้องมีอะไรในใจแน่ๆ แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ
ระหว่างที่นักบินและนักรบเดินสวนทางกันนั้น ผู้เป็นน้องชายก็มองหน้าแล้วหยุดเดิน ทำให้นักบินเองก็ต้องหยุดเดินไปด้วย หลังจากนั้นนักรบก็เอ่ยกับพี่ชายของตัวเอง
“ผมยอมแพ้แล้วปลาวาฬเป็นของพี่ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้เรื่องมันถูกต้องเสียที” พูดจบก็เดินผ่านไป นักบินเองพอจะรู้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง
หลังจากนักรบเดินไปแล้วนักบินก็เดินมาถึงพร้อมกับถาดน้ำส้มคั้นและน้ำเปล่า เจ้าตัววางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถามเพราะเมื่อครู่เห็นน้องชายมานั่งอยู่กับปลาวาฬ
“น้ำส้มเย็นๆครับ” นักบินหยิบแก้วน้ำส้มคั้นไปวางไว้บนโต๊ะให้
“ขอบคุณครับ” ปลาวาฬเอ่ยแต่มือเรียวกลับยังง่วนอยู่กับการจัดดอกไม้
“เมื่อครู่ไอ้นักรบมันมาพูดอะไรด้วยเหรอ ทำไมกลับไปเร็วจัง”
“เอ่อ...ก็แค่มานั่งคุยเล่นๆกัน” ปลาวาฬตอบไปแต่กลับหลบตาอีกฝ่าย
“ออ...” นักบินพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “รีบๆดื่มสิ” นักบินยกแก้วน้ำส้มคั้นขึ้นมาให้ใกล้ๆ
“คร้าบบเจ้านาย” ปลาวาฬวางกิ่งดอกกุหลาบลงบนโต๊ะ แล้วรับแก้วน้ำส้มคั้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วเพื่อเอาใจอีกฝ่าย “อ้า...หวานเย็นชื่นใจจัง”
“แต่ฉันว่ามันไม่หวานเท่าริมฝีปากของนายหรอกนะ” นานแล้วที่เขาไม่ได้หยอดคำหวานต่อหน้าอีกฝ่าย
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว อ่ะเอาคืนไป” ปลาวาฬยื่นแก้วเปล่าวางคืนให้
“ยินดีรับใช้คร้าบบ” เจ้าตัวยิ้มหวานให้แล้วนำแก้วมาวางไว้ในถาด
“ผีตัวไหนมาสิงคุณทำไมถึงได้ทำตัวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้” ปลาวาฬเอ่ยประชดประชัน
“ไม่มีผีที่ไหนหรอก...แต่เป็นเพราะตัวฉันเองนี่ล่ะที่ไม่หนักแน่นพอ” นักบินสูดลมหายใจเข้าไปในปอดจนสุด แล้วค่อยๆหายใจออกมาเพื่อเรียกความกล้า
“หนักแน่นเรื่องอะไรอ่ะ” ปลาวาฬหันหน้าไปมองพร้อมกับขมวดคิ้วจนเป็นปมด้วยความสงสัย
“ก็เรื่องความรู้สึกของตัวเองไง” เขาไม่รู้ว่าจะต้องรออะไรแล้วตอนนี้ กลัวว่ามันจะสายไป
“ความรู้สึก...คุณหมายความว่ายังไง” ปลาวาฬเริ่มหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย ถ้ามันเป็นอย่างที่ในใจคิดจริงๆเขาจะทำหน้ายังไงนะ
“ก็ความรู้สึกที่ฉันมีต่อนายไงล่ะ ฉันรักนายนะปลาวาฬ ยิ่งใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเสียนายไป ฉันยิ่งรู้ใจตัวเองมากขึ้น” นักบินจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น เหมือนตอนนี้เขายกภูเขาทั้งลูกออกจากอกไปหมดแล้ว ทุกอย่างมันช่างดูสดใสสวยงามมากเหลือเกิน
“คะ...คุณรักผมงั้นเหรอ?” ปลาวาฬน้ำตาคลอเบ้าทันทีเมื่อได้ยินคำนั้นออกจากปากของนักบิน แม้จะดีใจมากเหลือเกินแต่ต่อจากไปนี้ล่ะมันจะเป็นยังไง
“ใช่! ฉันรักนายแล้วนายล่ะรักฉันบ้างไหม” นักบินยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ผม...ไม่ตอบได้ไหม”
“อ้าว! ทำไมล่ะหรือว่านายไม่ได้รักฉัน” นักบินได้ยินอย่างนั้นก็ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ปลาวาฬรีบปฏิเสธทันที ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าถึงกับยิ้มกว้างออกมาทันที
“แสดงว่านายรักฉันจริงๆ แล้วทำไมล่ะทำไมไม่พูดออกมา” เสียงเข้มเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณก็รู้ว่าเราอยู่ในสถานะอะไร ผมคงไม่สามารถเอ่ยคำนั้นออกมาได้ ผมรับเงินคุณมาแล้วนั่นหมายความว่าผมเป็นคนเห็นแก่เงิน ผมกลัวคุณมองว่าผมบอกรักก็เพราะเงิน” ปลาวาฬเอ่ยขณะก้มหน้าลงมองที่ตักตัวเอง
“ทำไมคนอย่างนายถึงได้คิดอะไรซับซ้อนมากขนาดนี้นะ ลืมเรื่องสัญญาลืมเรื่องเงินทองทั้งหมดไปซะ แล้วนายบอกกับฉันสิว่านายรู้สึกยังไงกับฉัน” นักบินจับไหล่บางทั้งสองข้างเอาไว้ แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสวยก่อนจะคาดคั้นให้อีกฝ่ายยอมพูดคำว่ารักออกมา
“ผม.....รักคุณ” ปลาวาฬเอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย พลันน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง เจ้าตัวได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาไม่เสียใจหรือเสียดายอะไรทั้งนั้นแล้ว
นักบินยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน พร้อมกับโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น มือหนาลูบที่เรือนผมเบาๆอย่างเอ็นดู ทำไมเขาถึงได้รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน มีความสุขมากจนพูดอะไรไม่ออก เขาจะไม่มีทางให้ปลาวาฬออกไปจากชีวิตอย่างแน่นอน
“ต่อไปนี้จะไม่มีสัญญาใดๆทั้งนั้น เธอจะอยู่ที่นี่ในฐานะเมียของฉัน ในฐานะแม่ของลูก และในฐานะสะใภ้ใหญ่ของบ้านหลังนี้เข้าใจไหม” นักบินไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้เลย มันไหลลงมาไม่ต่างจากอีกฝ่าย
“ผมไม่ต้องแยกจากลูกไปไหนแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้อยู่กับลูกตลอดไปใช่ไหม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดเอ่ยรำพึงรำพันออกมาด้วยความดีใจ มันเหมือนฝันที่เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่นึกเลยว่าเรื่องทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว
“ใช่...นายจะได้อยู่กับลูก เราจะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวแล้วปลาวาฬ”
“ขอบคุณนะครับที่รักคนอย่างผม”
“ฉันก็ขอบใจนายที่ทำให้ฉันรู้จักกับคำว่ารักอีกครั้ง ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายเสียใจแน่นอน”
คนทั้งสองกอดกันอย่างนั้นอยู่นาน ภายใต้ศาลาไม้ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณนานา อีกมุมหนึ่งนักรบแอบมองดูทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม แต่ใบหน้าหล่อกลับมีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย บ่งบอกว่าตอนนี้เขายินดีกับความรักของคนทั้งสอง และฉลองให้กับความผิดหวังของตัวเองเช่นเดียวกัน
หลายวันต่อมาขณะที่ทุกคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ลูกชายทั้งสองคนของคุณหญิงฉัตรฉายก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันราวกับนัดกันมา ทำให้ทุกคนหันไปมองหน้านักรบและนักบินสลับกันไปมา
“วันนี้ลูกชายฉันเป็นบ้าอะไรยะ คิดจะพูดก็พูดออกมาพร้อมกัน” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองหน้าลูกชายทั้งสองคน
“พี่พูดก่อนเลยเดี๋ยวผมพูดทีหลังก็ได้” นักรบเอ่ยกับพี่ชาย
“แกพูดก่อนเถอะเรื่องของฉันเอาไว้พูดหลังก็ได้”
“พี่นั่นล่ะพูดก่อน” นักรบยังไม่ยอม
“โอเคๆ ฉันพูดก่อนก็ได้” นักบินลุกขึ้นเดินไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่ได้เตรียมไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงที่เดิม ก่อนจะเปิดเอาแผ่นกระดาษสีขาวในนั้นขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนดู
“อะไรกันยะนักบิน” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ยถามลูกชายทันทีเมื่อเห็นท่าทีนั่น
“นี่คือสัญญาที่ผมและปลาวาฬทำร่วมกันไว้ครับ” พูดแล้วก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลาวาฬเองก็รู้สึกตกใจที่อยู่ๆนักบินก็หยิบมันออกมาโชว์ให้ทุกคนดู หรืออีกฝ่ายต้องการจะแกล้งเขางั้นเหรอ ไหนบอกว่ารักกันยังไงละ
“แกจะเอาออกมาทำไม แกกำลังจะทำให้หนูปลาวาฬรู้สึกแย่นะนักบิน” คุณหญิงฉัตรฉายเอ็ดให้ลูกชายทันที
“ผมจะบอกกับทุกคนว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสัญญาฉบับนี้จะไม่มีอีกแล้วครับ” พูดจบเจ้าตัวก็ฉีกสัญญาจนขาดครึ่ง
ทุกคนถึงกับตกใจกับการกระทำของนักบิน โดยเฉพาะปลาวาฬรู้สึกผิดคาด จากตอนแรกคิดว่านักบินจะแกล้ง แต่กลายเป็นว่านักบินทำให้เขารู้ว่ารักจริงมากแค่ไหน
“แกหมายความว่ายังไง” เกริกไกรมองหน้าแล้วถามลูกชาย
“ผมกับปลาวาฬเรารักกัน จากนี้ไปเราสองคนจะสร้างครอบครัวด้วยกันครับ” นักบินประกาศกร้าว ทำเอาทุกคนอึ้งไปตามๆกัน ส่วนนักรบเองกลับไม่ได้ตกใจอะไรเลยเพราะรู้ดีว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
“ทำไมแกถึง....” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ยขึ้นมาแล้วเว้นจังหวะไว้ พร้อมกับมองหน้าลูกชายและปลาวาฬสลับไปมา ปลาวาฬถึงกับหน้าเสียเพราะคิดว่าคุณหญิงน่าจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ “รู้ตัวช้าอย่างนี้ ฉันอยากได้หนูปลาวาฬมาเป็นสะใภ้มาตั้งนานแล้วย่ะ” พูดจบคุณหญิงก็ยิ้มด้วยความดีใจ ทำให้ปลาวาฬก็รู้สึกโล่งอกมากเหลือเกิน
“ขอบคุณครับคุณหญิงที่ไม่รังเกียจคนอย่างผม” ปลาวาฬเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นไหว้ไปด้วย ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนที่นั่งโอบไหล่อยู่ข้างๆ
“ฉันจะรังเกียจหนูทำไมจ้ะ หนูปลาวาฬเป็นเด็กดีมาตลอด ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะปฏิเสธหนูได้เลย” คุณหญิงเอ่ย
“ฉันเองก็ดีใจที่หนูจะมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ยินดีต้อนรับหนูเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของบ้านหลังนี้อย่างเป็นทางการนะ” เกริกไกรเอ่ยต้อนรับลูกสะใภ้คนใหม่อย่างเป็นทางการ
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ยอมรับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผม” ปลาวาฬยกมือไหวคนทั้งสองอีกครั้ง ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างก็ยิ้มตอบด้วยความจริงใจ ทำให้ปลาวาฬเองถึงกับน้ำตาซึมออกมาทันที
“ผมเองก็ยินดีกับพี่และปลาวาฬด้วยนะครับ” แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่นักรบก็ฝืนยิ้มแสดงความยินดีกับคนทั้งสอง
“ขอบใจไอ้น้อง” สองพี่น้องมองหน้าอย่างเข้าใจกันดี
“แล้วเรื่องที่แกจะพูดล่ะ” นักบินเอ่ยกับน้องชายเพื่อเตือนสติกลัวว่าจะลืมเรื่องนี้ไป
“ทุกคนครับ...ช่วงซัมเมอร์นี้ผมจะไปเรียนภาษาและทำงานไปด้วยที่อเมริกาครับ” นักรบนอนคิดเรื่องนี้มาหลายวันจนตัดสินใจได้ เขาอยากจะไปพักรักษาแผลใจที่เมืองนอกสักพัก หากอยู่ตรงนี้ต่อไปคงไม่อาจจะตัดใจจากปลาวาฬได้อย่างแน่นอน
“อะไรกันทำไมมันปุบปับอย่างนี้ตานักรบ...ทำไมแกไม่มาปรึกษาแม่ก่อน” คุณหญิงฉัตรฉายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินลูกชายคนเล็กเอ่ยอย่างนั้น มันกะทันหันจนหล่อนเองเตรียมใจแทบไม่ทัน
“ผมขอโทษที่ไม่ได้ปรึกษาใครก่อนเลย...พอดีว่ามันเป็นโครงการเร่งด่วนเลยรีบตัดสินใจไปครับ กลับมาคงจะได้เห็นหน้าหลานทีเดียวเลย” นักรบเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
นักบินทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้น้องชายตัดสินใจกะทันหันอย่างนี้ บางทีก็คิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า ที่จู่ๆก็ตัดสินใจเผยความรู้สึกออกมาทั้งที่แต่ก่อนมัวแต่กั๊กเอาไว้ ถ้าเป็นบอกไปตั้งแต่แรกน้องชายคงไม่ต้องถลำลึกมาจนถึงตอนนี้
“พ่อสนับสนุน...ในอนาคตแกจะได้เป็นผู้บริหารที่เก่งเหมือนพ่อกับพี่แกแน่นอน” เกริกไกรเอ่ยให้กำลังใจลูกชายคนเล็ก
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
“แม่คงคิดถึงแกแย่เลย” คุณหญิงฉัตรฉายทำหน้าบึ้งตึงอย่างกับเด็กน้อย
“ผมไปแค่ไม่กี่เดือนเองครับคุณแม่...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” นักรบเห็นท่าทางของมารดาก็ถึงกับขำออกมา
“กี่เดือนแม่ก็คิดถึงแกอยู่ดี ตั้งแต่เกิดมาแกเคยห่างอกแม่ไปไหนนานๆซะที่ไหนกันเชียว”
“คุณก็เยอะไป ลูกโตแล้วนะให้เขาไปเรียนรู้โลกภายนอกบ้าง อยู่กับคุณมีหวังลูกได้เป็นลูกแหง่ไปตลอดชีวิตแน่” เกริกไกรแขวะภรรยา
“คุณไม่ต้องมาพูดเลยก็ฉันรักลูกชายของฉันนี่นา” คุณหญิงพูดจีบปากจีบคอว่าให้สามี พอสามีจะพูดสวนกลับมาหล่อนก็รีบชี้หน้าแล้วเอ่ยห้ามทันที “หยุด! ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น” เกริกไกรได้แต่นั่งเงียบตามคำสั่งของภรรยาอย่างเสียมิได้ ลูกๆทุกคนต่างก็ยิ้มให้กับท่าทีที่เห็น
“เดี๋ยวถ้าเราคลอดแล้วจะถ่ายภาพส่งไปให้ดูนะนักรบ” เมื่อสงครามระหว่างคุณหญิงฉัตรฉายและสามีจบลงแล้ว ปลาวาฬก็เอ่ยกับนักรบทันที
“อื้ม...ดูแลตัวเองดีๆนะหลานเราจะได้แข็งแรงไปด้วย” นับรบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“โอเคจ้า” ปลาวาฬตอบรับสั้นๆพร้อมกับยิ้มให้
“ช่วงที่ผมไม่อยู่พี่ต้องดูแลปลาวาฬให้ดีนะ” นักรบหันไปเอ่ยกับพี่ชายของตัวเอง
“ได้เลยไอ้น้องไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ใช้ชีวิตที่โน่นให้สุดๆไปเลย” นักบินตบบ่าน้องชายเบาๆ เหมือนเป็นการให้กำลังใจไปด้วย
“ครับพี่” สองพี่น้องยิ้มให้กัน
การได้ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศสักระยะ อาจจะทำให้นักรบลืมความเจ็บช้ำจากความรักครั้งนี้ได้ แม้ว่าช่วงแรกมันอาจจะยากสักหน่อย แต่นานไปเจ้าตัวก็หวังว่ามันอาจจะดีขึ้น และอาจจะโชคดีเจอตัวจริงของเขาในที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้...
---------------------------------
กรี้ดดดด หมดเคราะห์หมดโศกแล้วน้า แต่จะมีอีกก๊อกรึเปล่าต้องมาลุ้นกัน