Room 22
“ไปป์...ยกเก้าอี้ตรงนู้นให้พ่อหน่อย” ผมรีบลากเก้าอี้ไม้ที่อยู่ตรงมุมบ้านมาให้พ่อทันที พ่อเหยียบขาข้างนึงลงบนเก้าอี้เพื่อจะเช็ดฝาครอบหลอดไฟด้านบน
“พี่ภูมิครับ ไม่ต้องลำบากหรอกครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้เอง” ไอ้พระเอกมันโผล่มาจากไหนไม่รู้ เรียกให้พ่อผมชะงักแล้วลงจากเก้าอี้เดินไปทำความสะอาดที่อื่นแทน ก่อนไปพ่อยังมีไปตบบ่ามันหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ อะไรกันสองคนก็ไม่รู้
“ประจบเก่งนะมึงอะ” ได้ทีผมก็เอาเลยครับ “คณะสอนมาดีเหรอ”
มันยักไหล่ “ก็ดีพอจะทำให้มึงตกกระป๋องได้ล่ะวะ”
“ไอ้...”
“เอ้า !! ... จับเก้าอี้ดี ๆ สิ เดี๋ยวลูกรักเป็นอะไรขึ้นมาก็โดนพี่ภูมิดุหรอก” หูยยยยยยยยยยยยยย... แสบไปถึงทรวง !!!!! ไหนบอกจะจีบกูวะ... บ้านมึงจีบกันแบบนี้เหรอ !!!!!
มันปีนเก้าอี้ขึ้นไปเช็ดฝาครอบหลอดไฟได้สบาย ๆ ไม่ต้องเขย่งอะไรด้วยซ้ำ ยิ่งเห็นยิ่งอยากจะล้มเก้าอี้ให้แม่งหัวฟาดพื้นตายห่าคาบ้าน เอ๊ะ... แต่เดี๋ยวมันจะสิงอยู่บ้านกู ไม่ได้ ๆ ๆ
“ทำหน้าแบบนั้นคิดอะไรชั่ว ๆ อยู่ใช่มั้ยล่ะ” ผมสะอึกแต่แอบเตะเก้าอี้มันเบา ๆ ไอ้นี่เสือกหัวเราะซะอีก ตกลงมึงอยากโดนจริง ๆ ใช่มั้ย
วันนี้บ้านผมทำความสะอาดครั้งใหญ่ครับ แถมตอนกลางคืนจะมีคาราโอเกะขี้เหล้า (เพื่อนพ่อน่ะครับ) งานนี้ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ ยังดีที่มีไอ้ตัวถึก ๆ ทำงานอย่างพวกมัน 4 คน งานกรรมกรพวกซ่อมรั้ว ย้ายของหนัก ๆ ผมเลยโยนให้มันทำหมดเลยครับ ส่วนผมก็กวาดบ้าน ถูบ้าน... งานแม่บ๊านแม่บ้าน
ผมดูนาฬิกาที่ฝาบ้านก็พบว่าเกือบจะบ่ายแล้ว ต้องรีบไปแต่งตัวเพราะเดี๋ยวไอ้แซ็กคงจะมารับแล้ว ไอ้เสื้อเน่า ๆ เปื่อย ๆ นี่คงไม่จรรโลงใจเท่าไหร่ ถ้าจะใส่ไปจีบสาว แม่ผมบอกว่าถ้าเจอไอ้ก๊วนนรกแตกนั่น ให้เรียกมันลงมาดื่มน้ำดื่มท่าข้างล่างด้วย แม่ผมผสมน้ำหวานเตรียมให้พวกมันอย่างดี... เห็นแล้วก็ละเหี่ยใจยังไงชอบกล ผมเดินขึ้นบันไดชั้นสองด้วยจิตเบิกบาน... แต่อยู่ ๆ หูผมก็กระดิกเมื่อได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากห้องทางซ้ายของบ้าน...
เฮ้ยยยยยย !!!! ห้องกรู๊วววววววววววววววววววววววว !!!!!!!
ผัวะ “ห้องไปป์นี่สะอาดดีนะครับ” ไอ้อาร์ทนั่งหน้าเจ๋ออยู่บนเก้าอี้ไม้ของผม พร้อมด้วยพลพรรครักยมพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะไอ้บอสใหญ่ที่กำลังนั่งดมหมอนผมอย่างโรคจิตสุด ๆ อยู่บนเตียง
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด... กูอยากจะลงไปกรี๊ด ๆ แล้วดิ้นพล่านอยู่บนพื้น “ขะ...เข้ามาห้องกูทำไม”
“พี่แก้วบอกให้มาเช็ดหลอดไฟให้น่ะ” ไอ้กันตอบแทนคนอื่น ที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจการมาเยือนของเจ้าของห้องสักนิด
“แล้วใครให้ขึ้นไปบนเตียงกู... สกปรก !!!!!! ” ผมวิ่งไปยื้อแย่งหมอนออกมาจากมือมัน ซึ่งมันก็ปล่อยแต่โดยดี หูยยยยยย... ผมงี้ขนลุกไปทั้งตัว คุณต้องมาเห็นแบบที่ผมเห็น มันดูโรคจิตมาก !!!!!!!
“รีบ ๆ ออกไปจากห้องกูเลย กูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ลงไปกินน้ำข้างล่างซะแม่กูเตรียมไว้แล้ว” ไอ้พวกนั้นส่งเสียงเย้เหมือนเด็กอนุบาลไปสวนสัตว์ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องผมไปหมด เว้นแต่ไอ้ภคินที่ลงจากเตียงมายืนจ้องหน้าผม
“จะไปไหน”
“ไปไหนก็เรื่องของกู”
“งั้นกูก็ไม่ออก” มันทิ้งตัวนอนลงบนเตียงผม “เปลี่ยนเสื้อผ้าไปดิ”
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก... ไอ้เชี่ยนี่ กูเอาหมอนกดหน้าให้แม่งตายห่าไปแบบในหนังซะดีมั้ย ?
“ไปเล่นน้ำกับเพื่อน...ทีนี้ออกไปได้ยังวะ”
“ออกก็ได้” มันยักไหล่กวน ๆ แล้วก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม “อย่าให้รู้เชียวนะว่าไปจีบใคร”
ขนข้างหูผมลุกขึ้นเกลียวกราว ในขณะที่ไอ้ตัวต้นเหตุเดินออกห้องไปหน้าตาเฉย ว่าแล้วก็ขอถอนหายให้สักที ก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าไม้เนื้อมันปลาบของผมเพื่อรื้อหาเสื้อผ้า สุดท้ายก็ได้เสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงินกับกางเกงขาสามส่วนตัวนึงมาใส่ แอบทาครีมกันแดดด้วย ไม่ได้ครับของแบบนี้ต้องกันไว้ก่อน ยิ่งจุดขายของผมคือความขาวแล้ว เกิดดำขึ้นมาสาวที่ไหนเขาจะมองล่ะครับ
นั่ง ๆ ไปสักพักโทรศัพท์ผมก็ส่งเสียงดังขึ้น ไอ้แซ็กโทรมาบอกว่าอีกสัก 5 นาที มันจะถึงบ้านผมแล้ว ผมเลยรีบคว้ามือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง แล้ววิ่งลงไปนั่งรอมันที่ชานบ้าน ซึ่งมีพ่อ แม่ และไอ้ 4 คนนั้นนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนไอ้เชอร์ออกไปแรดกับเพื่อนมันก่อนผมซะอีกครับ
พ่อบอกว่าให้รีบกลับบ้านด้วย เพราะแก๊งขี้เหล้าหน้าปากซอยพ่อจะมารวมตัวกันที่บ้าน เลยอยากให้ลูกชายสุดที่รักอยู่จะได้อวดเพื่อน (อันนี้ผมงงจริงจังว่าคนอย่างผมมีอะไรให้อวด ? ) ไอ้พวกสี่เดนบอกว่าวันนี้มันไม่มีแพลนไปไหน เลยขอพักผ่อนช่วยพี่ภูมิพี่แก้วอยู่บ้านดีกว่า... แหม แข้งขาพ่อแม่กูเปียกหมดแล้ว
นั่งได้ไม่ถึงนาทีรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นตาก็ขับเลียบเข้ามาตามรั้วบ้าน ไอ้ผู้ชายผมยาวคนนั้นฉีกยิ้มกว้างให้ผมในขณะที่มันก้าวลงจากรถที่จอดสนิทแล้ว วันนี้ไอ้แซ็กรวบผมมาอย่างดีครับ เซอร์ชิบหายวายวอด
“หวัดดีครับคุณลุง คุณป้า” มันยกมือขึ้นไหว้พ่อกับแม่ผม กูรู้ละ ทำไมไอ้พวกนั้นมันถึงได้รับความนิยม เพราะพี่ภูมิ พี่แก้ว มันดีกว่าลุงกว่าป้าเป็นไหน ๆ
“หวัดดีลูก มารับไอ้แสบล่ะสิ” แม่ผมยิ้มหวาน “ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนมั้ยลูก”
“อ๋อ...ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ” มันตอบยิ้ม ๆ แต่สายตามันกำลังจ้องไปด้านหลังของแม่ผม ที่มีไอ้สี่ตัวมหาภัยนั่งจ้องตามันตอบหน้าสลอนเลย แซ็กมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจเล็กน้อย มันเดินมาจับแขนผม “ไปเหอะ...ไอ้โอ๊ตโทรตามกูแล้ว”
“ขับรถขับราระวังโตยเน้อลูก เขาฮดน้ำมากำเดวรถโก่น” (ขับรถระวังด้วยนะลูก เขาสาดน้ำมาเดี๋ยวรถจะล้ม)
“อ๋อ...ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวเดินไปคูเมืองเอา ผมขอฝากรถไว้ที่นี่นะครับ” แซ็กดึงแขนผมเบา ๆ ให้ลุกขึ้นยืน แล้วถามต่อ “มึงเอามือถือไว้ไหนเนี้ย”
“กระเป๋ากางเกง...” ผมตบปุ ๆ ลงตรงกางเกง “เชี่ย...ตายห่าละ กูไม่มีซองกันน้ำ”
“หึหึหึ...กูว่าแล้ว คนอย่างมึงนี่ขี้ลืมตลอดเลย” แซ็กโยกหัวผมไปมา ส่วนมืออีกข้างมันก็ล้วง ๆ กระเป๋ากางเกงมัน “เอามือถือมึงมาดิ”
ผมล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงให้มันอย่างงง ๆ แต่ก็ถึงบางอ้อ เมื่อมันเอาซองกันน้ำสีชมพูหวานแหววมาหย่อนมือถือผมลงไปรูดซิปปิดเรียบร้อย ก่อนจะก้มลงมาคล้องคอให้ผมโดยที่มือยังโอบรอบคอผมไว้ อย่างกับแต่งตัวให้ลูกอะ
“มันก็ดีนะ...ทำไมต้องสีชมพูวะ” ผมหยิบมือถือที่ห้อยอยู่ในซองมาพลิกดูไปมา ในขณะที่มันยังจับ ๆ สายแถวคอผมเล่นอยู่
“ก็เหมาะดีออก...เอาล่ะ !! ไปกันเหอะ” มันจับแขนผมแล้วเริ่มดึงให้ออกเดินตาม ผมก็เตาะแตะ ๆ ตามมันไป
โดยที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ เหมือนมีสายตาหลายคู่มาทิ่มแทงด้านหลัง....
ผมเลยเลือกที่จะไม่หันไปดู แล้วรีบดึงแขนไอ้แซ็กให้ออกจากรั้วบ้านให้เร็วที่สุด พอพ้นรั้วบ้านออกมาปุ๊บ ผมก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วให้มันเดินนำผมไปก่อน
“เงียบเชียวนะมึง...เดี๋ยวนี้มีอะไรปิดบังไม่บอกเพื่อนนะ” ไอ้หนุ่มผมยาวข้างหน้าโพล่งเข้าประเด็นไปแบบจัง ๆ
“ปิดบังห่าอะไร...” ผมเสหน้ามองถนนเพื่อหลบสายตาจับผิดของแซ็ก ที่ดูเหมือนจะเค้นความลับออกมาให้ได้
“ไม่คิดจะเล่าซะหน่อยเหรอ ว่าภคินกับใครก็ไม่รู้อีก 3 คนไปโผล่ที่บ้านมึงได้ไง” แซ็กหยุดเดินกะทันหันจนผมชนเข้ากับหลังมัน มันกอดอกแล้วก้มหน้ามาถามผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เล่ามาซะดี ๆ ”
“ง่า ~...” ผมครางในลำคอเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด “กูไม่ได้จะปิดบังอะไรนะเว่ย ก็อยู่ ๆ มึงก็โผล่เข้ามา แล้วจะให้กูอธิบายตอนไหนล่ะ คืองี้พวกมันมาเที่ยวเชียงใหม่อะ แล้วไม่มีตังค่าที่พักเลยมาขอนอนบ้านกู...ก็แค่นั้น”
ผมพูดปดคำโตเลยครับ เรื่องอะไรจะบอกว่าสาเหตุที่แท้จริงของมันคือ ’มันจะจีบกู’ ล่ะ
คิ้วเรียวของแซ็กยังคงขมวดแน่นไม่คลาย เป็นสัญญาณว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันยังสงสัยไม่เลิก “มึงเกลียดมันจะตาย...ทำไมเดี๋ยวนี้ญาติดีกันแล้วเหรอ”
“มันก็ไม่ได้เลวร้ายว่ะ” ผมยักไหล่แล้วเริ่มดึงแขนแซ็กให้ออกเดิน “พอแล้วน่า เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว...ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย ขืนมึงมัวแต่สัมภาษณ์กู ไปถึงนู่นไอ้โอ๊ตได้องค์ลงพอดี”
แซ็กถอนหายใจแต่ก็ยอมเดินตามผมแต่โดยดี แซ็กมันเป็นพวกหวงเพื่อนน่ะครับ เป็นตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนแล้ว เข้ามหาลัยก็ยังไม่เลิกนิสัยนี้ซะที... ขนาดว่าอยู่คนละคณะนะ มันยังตามมาที่คณะได้อีก ร้ายกาจจริง ๆ ไม่รู้ว่าไอ้เวฟ ไอ้โอ๊ตเคยโดนมั่งรึเปล่า
พวกผมใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็เดินไปถึงจุดนัดพบของเรา คราวนี้พวกเราไม่ได้มากันแค่ก๊กเล็ก ๆ นะครับ เพราะไอ้หัวหน้าห้องตัวดีมันเล่นเรียกเพื่อนทั้งห้องมานัดกันเล่นน้ำ ถือเป็นงานเลี้ยงรุ่นหรืออะไรของมันก็ไม่ทราบเหมือนกัน
“เฮ้ย ๆ ๆ ๆ ไปป์ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ทำไมมึงดูดีขึ้นวะ” ผมยิ้มกว้างรับคำชมจากเพื่อนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน
“คนเรามันต้องมีการพัฒนาเว่ย แล้วนี่หัวทรงอะไรของมึง แซ็ปชิบหาย !!!! ” ไอ้อ๋องเพื่อนในห้องสะบัดผมที่ป้ายตั้งแต่กกหูซ้าย จนผมนึกสงสัยว่ามันเดินยังไงให้ตรงได้ แถมข้างหน้ายังมีปอยย้อยสยองอีกต่างหาก
“เค้าเรียกแฟชั่นเว่ยเพื่อน” แฟชั่นของมึงน่ากลัวจริง ๆ ให้ดิ้นตายเหอะไอ้อ๋อง !!!!!!
“อะไรกัน...ว่าแล้วข้างหลังคุ้น ๆ ที่แท้ก็น้องไปป์ตุ๊ดร.ด. นี่เอง” เสียงกวนตีนแบบนี้ มันต้องใช่แน่ ๆ ...
“ไอ้วุฒิตุ๊ดยังเมิน มึงมีสิทธิมาว่ากูด้วยเรอะ” ไอ้ผู้ชายตัวสูงไถหัวเป็นลาย ๆ นี่คือไอ้วุฒิครับ มันเคยคิดจะจีบผมตอนสมัยเรียน... สรุปว่าแดกแห้วกันไป ตอนนี้สถานะเลยกลายเป็นไอ้เพื่อนกวนส้นตีนคนนึงแทน ผมล่ะงงกับมันจริง ๆ สมัยจะจีบกูนี่ชมอย่างนั้นอย่างนู้น พอกูไม่เอานี่แม่งผันตัวเองมาเป็นคู่มือลับฝีปากกูเชียวนะ
“นั่นปากเรอะมึง” มันเอามือมาดึง ๆ แก้มผมจนยืด “อะไร ๆ มองหน้ากูแบบนั้นหลงกูเข้าแล้วรึไง เสียใจด้วยนะเพราะตอนนี้กูมีแฟนแล้ว น่ารักกว่ามึงอีก”
“อ๋อ...อิสก๊อยหัวทองคีบแตะ ที่มึงเอานั่งซ้อนมอ’ไซค์ตากแดดไปทั่วเมืองใช่มั้ย” ผมพูดตามที่ได้ยินเพื่อน ๆ เล่ากันมา แล้วส่ายหน้าเบา ๆ เอามือตบแก้มมันแปะ ๆ “โถ ๆ ๆ ๆ ... อกหักจากกูก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยนรสนิยมไปขนาดนั้นเลย เฮ้อออ...น่าสงสารจริง ๆ ”
“ไอ้ตุ๊ด !!! ตัวเองไม่มียังมาว่ากูอีกนะ เพราะมึงปากแบบนี้แหละถึงหาไม่ได้ซะที” มันเอามือเฉดกะบาลผมไปทีนึง จะคิดซะว่าทำด้วยความเอ็นดูละกันนะ
ก่อนจะได้เริ่มยกสองกับมัน ไอ้แซ็ก ไอ้เวฟก็เดินมาดึงแขนผมไปซะก่อน ไอ้เวฟเอาปืนฉีดน้ำสีชมพูลายมินนี่เม้าส์ที่มีร่มไว้กาง (ซึ่งกูงงมากว่ามันจะกันเหี้ยอะไรได้) ยัดใส่มือผม พอถามว่าเอาให้กูทำไม เสือกตอบหน้าตายเฉยว่าไปขโมยของหลานมาให้ เพราะดูปัญญาอ่อนเหมาะกับอายุสมองผมดี เลยได้ไล่เตะมันไปยกนึงแหละครับ
วันนี้กลุ่มพวกเราใช้วิธีเดินรอบคูเมืองเล่นน้ำกันครับ เพราะว่าคนมากันประมาณ 30 คน ซึ่งถือว่าเยอะเกินกว่าจะขึ้นรถ ผมมีอาวุธคู่กายเป็นปืนฉีดน้ำสีบ้านนอก ๆ ที่คนทั่วไปใช้กัน ส่วนไอ้มินนี่เม้าส์นั่นเอาปาหัวไอ้เวฟไปแล้วครับ ไอ้ห่านี่ก็เสือกคึกจริง เอาไปใช้หน้าตาเฉย สาว ๆ ก็ชอบกันใหญ่เลยครับ มารุมสาดมันอยู่นั่นแหละ... เดี๋ยวนี้เขาชอบสเปคแนวปัญญาอ่อนเหรอครับ
แต่เห็นแบบนี้ผมก็เสน่ห์แรงไม่หยอกนะครับ มีสาว ๆ มาปะแป้งบ้างเป็นพัก ๆ (ผมจะพยายามไม่มองว่าพวกเธอก็แปะคนข้างหน้าเหมือนกันแล้วกันนะ) ไอ้แซ็กที่เดินตามมานี่ หน้าแทบหาลูกกะตาไม่เจออะครับ ปกติมันก็ตาตี่อยู่แล้วเจอแป้งถมหน้าเข้าไป... เยี่ยมจริง ๆ ผมเลยได้เดินไปช่วยเอาน้ำลูบหน้าให้มันเป็นพัก ๆ
เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันสงกรานต์วันแรก (แต่พูดให้ถูกแถวรอบนอกเขาเล่นกันตั้งแต่วันที่เก้า ที่สิบแล้วนะครับ แถมสาดน้ำแรงอีก สาดทีหนังตาแทบกลับด้าน) บรรยากาศเลยคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ แถมยังคนในท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำกันให้ควั่กเลยครับ พวกผมก็เดินกันรอบคูเมืองแวะที่เซ็นทรัลเสียหน่อย เพราะที่นี่จะมีงานอึกทึกครึกโครมทุกปี คนงี้ยั้วเยี้ยอย่างกับหนอนอะครับ ไอ้พวกผมก็ถือโอกาสเต้นบ้า ๆ บอ ๆ กันไปตามประสาเด็กผู้ชาย ก่อนจะออกเดินต่อจนวนครบรอบคูเมือง เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้
ผมโบกมือลาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันเสียนาน รวมไปถึงที่เจอหน้ากันบ่อย ๆ ในมหา’ลัย ก่อนจะต้องเดินเตาะแตะกลับบ้าน พร้อมด้วยไอ้แซ็กที่อยู่ในสภาพเปียกมะลอกมะแลกไม่ต่างกันเลย แต่สภาพออกจะแย่กว่าผมอยู่เสียหน่อย เพราะผมยาวรุงรังมันเปียกน้ำเลยดูยิ่งโสโครกไปกันใหญ่ (นินทาในใจครับ มันไม่ได้ยินหรอก) เดินคุยกันเพลิน ๆ แป๊บ ๆ ก็เห็นรั้วบ้านผมซะแล้ว ได้ยินเสียงเอิกเกริกดังมาแต่ไกลเลยครับ ก๊กวงเหล้าหน้าปากซอยคงมารวมตัวกันเรียบร้อยโรงเรียนสุราแล้ว
แล้วก็คิดไม่ผิดจริง ๆ เพราะเลื่อนรั้วออกก็เจอภาพของงานเลี้ยงขนาดย่อม ๆ จอโทรทัศน์ LCD ในบ้านถูกต่อสายเข้ากับคอมฯ ที่ยกออกมาตั้งด้านนอก ด้านหน้าจอเป็นโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ที่บ้านผมไม่มี แต่คิดว่าคงขนมาจากบ้านของลุงสักคนในกลุ่ม บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารสารพัดชนิด และที่ขาดไม่ได้เลย... เหล้า...
อยากจะยกมือขึ้นกุมขมับจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าไอ้แซ็กมันรู้จักความขี้เหล้าของพ่อผมดี นี่ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงให้ดูดี ไอ้กันนั่งอยู่หน้าคอมกำลังสาละวนกับการเคาะก๊อก ๆ แก๊ก ๆ เลือกรายชื่อเพลง ตามที่บรรดาลุง ๆ ที่นั่งสลอนอยู่บนโต๊ะเลือกสรรมา แถมยังแหกปากร้องเพลงกันประหนึ่งที่บ้านมีรางวัลแผ่นเสียงทองคำกองอยู่เต็มบ้านอีกต่างหาก ผมมองไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่เริ่มจับจ้องมาทางผมเสียแล้ว...
“มึงอยู่กินข้าวกับบ้านกูก่อนมั้ยล่ะ” ผมออกปากชวนแซ็กที่เดินไปเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดข้าง ๆ พลางแวะไหว้พ่อแม่ผมและบรรดาลุง ๆ บนโต๊ะ แอบเห็นไอ้สี่ตัวนั่นจ้องตาไม่กระพริบเลยครับ
“ชวนเหมือนพ่อแม่มึงเลย...แต่ไม่เป็นไรว่ะ วันนี้ที่บ้านกูก็มีงานเหมือนกัน” ไอ้แซ็กตอบพลางเอื้อมมือเอานิ้วโป้งมาลูบเบา ๆ ตรงแก้มผม “แป้งติดหน้าน่ะ”
“ขอบใจ...” ผมยิ้มให้มัน แล้วเอื้อมมือไปดึงใบไม้ที่ติดอยู่บนผมยาวรุงรังของมัน แล้วชูให้ดู “หัวมึงนี่แม่งยังกะรังนกอะ”
แซ็กยิ้มบาง ๆ ให้ แล้วเอามือลูบหัวผมพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจังหวะเพลงจากคาราโอเกะจะดังขึ้นกว่าปกติ เรียกสายตาผมให้หันไปมองไอ้คนร้องทันที...
http://www.youtube.com/v/Z4VWOG82y2M?version=3&hl=th_TH ก่อนเคยอยู่เคียงเพียงจันทร์ ครองคู่กันสุขสันต์สวรรค์ชู้
ความรักของเราเป็นสีชมพู (รักเราเป็นสีชมพู)
ชื่นชูอยู่ได้ไม่นาน รักก็รานร้าวพลันสวรรค์ล่ม
โธ่เอ๋ยเวรกรรมทำพี่ตรอมตรม (กรรมทำพี่ตรอมตรม)
สวรรค์ล่ม ถล่มจมดิน
เพียงเจอไอ้หนุ่มผมยาว น้องสาวก็ลืมพี่หมดสิ้น
รักเราเจ้าไม่ถวิลไปหลงลมลิ้นเจ้าศิลปินผมยาว
มันเจ็บใจ เจ็บใจเสียจริงจริง มาทอดทิ้งให้เหลือแต่ตัวเปล่าเปล่า
มันปวดใจ ปวดใจเหลือจะกล่าว อกพี่ร้าวดังลูกมะพร้าวตกดิน ไอ้ภคินจับไมค์ตะโกนแหกปากร้องเพลงไอ้หนุ่มผมยาวอย่างไม่มีเหนียมอายสักนิด แถมพอถึงท่อนที่เป็นลูกคู่ ไอ้เพื่อนตัวดีมันก็ช่วยตะโกนแหกปากร้องกันใหญ่ หลัง ๆ แม่งลุกขึ้นมาแดนซ์กระจายทั้งคนร้องทั้งลูกคู่
เคยชมว่าพี่มาดแมน ขอเป็นแฟนไว้ควงเป็นคู่ใจ
บัดนี้กลับมองว่าพี่ไม่เอาไหน (มองว่าพี่ไม่เอาไหน)
ชื่นใจเมื่อยามได้เชย ครั้งยังเคยร้องเพลงให้น้องฟัง
บัดนี้กลับเมินว่าพี่ไม่ดัง (เมินว่าพี่ไม่ดัง)
ไม่อยากฟังไม่อยากได้ยิน
เพียงเจอไอ้หนุ่มผมยาวน้องสาวก็ลืมพี่หมดสิ้น
รักเราเจ้าไม่ถวิล ไปหลงลมลิ้นเจ้าศิลปินตัวดี
มันเจ็บใจ เจ็บใจเหมือนไม่พอ เจ้าชมมันรูปหล่อเสียงดี
มันบาดใจ บาดใจเหลือที่ เจอะอย่างนี้หุ่นอย่างพี่ต้องขอลา
โฮโฮ้โห่โฮ้โอโอโอ่ โฮ้โห่โฮ๊ะโอโอโอ่ เจ้าศิลปินผมยาว ผมหลบตาแซ็กที่มันเริ่มจะมองมาแบบไม่พอใจนิด ๆ เพราะไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นมานึกคึกอะไรร้องเพลงตอนนี้ แต่พวกมันก็หาได้แคร์ไม่ ทั้งร้องทั้งเต้นออกลายโชว์สเต็ปเทพกันใหญ่ พวกลุง ๆ แกก็เย้ว ๆ ปรบมือชอบใจกันใหญ่ บางคนถึงขั้นลุกขึ้นมาแดนซ์ด้วยพร้อมแก้วเหล้าในมือ
ตัวตายดีกว่าชาติตาย แต่เสียดายมาตายเพราะอกหัก
ดวงใจมันชอกช้ำนัก เพราะน้องไปรักเจ้าศิลปินผมยาว
มันเจ็บใจ เจ็บใจเสียจริงจริง มาทอดทิ้งให้เหลือแต่ตัวเปล่าเปล่า
มันปวดใจ ปวดใจเหลือจะกล่าว อกพี่ร้าวดังลูกมะพร้าวตกดิน… “โฮโฮ้โห่โฮ้โอโอโอ่ โฮ้โห่โฮ๊ะโอโอโอ่ เจ้าศิลปินผมยาว ~ ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าไอ้ภคินมันเหมือนจงใจหันมาทางผมซะบ่อยเหลือเกิน ดูมันร้องใส่อารมณ์แถมยังมีการยักคิ้วหลิ่วตาให้อีก จนไอ้หนุ่มผมยาวตัวจริงออกอาการฟึดฟัดไม่น้อย ที่เหมือนว่าเพลงจะจงใจกล่าวถึงมัน แต่ผมดึงมือมันไว้แล้วบอกให้กลับบ้านไปก่อน มันก็ฟึดฟัด ๆ บ้างแต่ก็ยอมขับมอเตอร์ไซค์ออกไปแต่โดยดี
เฮ้อออออออออออ... จบไปแล้วหนึ่งปัญหา แต่ยังเหลืออีกหลายปัญหา... ผมมองภาพงานเลี้ยงหน้าบ้านแล้วส่ายหัวอย่างปลง ๆ แม่เดินมาหาผมแล้วไล่ให้ขึ้นไปอาบน้ำก่อนเพราะกลัวจะเป็นหวัด ใช้เวลาราว ๆ 15 นาที ผมก็มานั่งจ๋องอยู่กลางวงเหล้า ดูลุงขี้เหล้าสารพัดคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันถือไมค์ ศัพท์เฉพาะของบ้านผมเรียกว่า ไมค์กะหรี่ อะครับ
ผมตักยำวุ้นเส้นทะเลเข้าปากขณะกวาดสายตามองไปเรื่อย ๆ จนไปสะดุดกับสายตาคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ภคินจ้องหน้าผมเขม็ง ไม่มีสีหน้าแววตายียวนกวนประสาทเหมือนตอนมันแหกปากร้องเพลงเมื่อกี้เลยสักนิด พอเห็นผมสบตาด้วย แทนที่มันจะหลบตาเหมือนในละคร ดันเสือกแหกตาตัวเองให้กว้างกว่าเดิม เหมือนจงใจให้รู้ว่ากูไม่พอใจมึงอยู่นะ ผมยักไหล่ให้มันเป็นเชิงบอกว่า ’เรื่องของมึง’ แล้วเชิดหน้าใส่มันพลางคว้าแก้วเหล้ามากรึ๊บโชว์แม่งเลย
กวนตีนเพื่อนกูไม่พอ... มึงอย่ามาทำตัวไร้สาระใส่กูนะ