21
สวัสดีครับ ผมชื่อหมอ ปัจจุบันกำลังจะเปลี่ยนชื่อเฟสเป็นหมอเทวดาที่มีความสุขที่สุดในมหาลัย อย่าเพิ่งผิวปากแซวครับ เขินง่ายช่วงนี้ ปกติผมไม่ใช่คนที่เขินกับอะไรง่ายๆหรอกนะครับ เรียกได้ว่าห่างไกล คลุกคลีกับความรักมาตั้งแต่สมัยตามจีบต้องขอเบอร์ไปขอพินมายันขอไลน์ไม่เคยหมดท่าขนาดนี้เลยครับ
...หมายถึงหมดท่าในการเป็นคนคูลนะไม่ใช่หมดท่าในแง่อื่น อันนั้นศึกษามาค่อนข้างเยอะ กระบวนท่าบอกเลยว่าจัดได้มากกว่าท่าแปลงร่างในพวกเรนเจอร์เสียอีก
“พี่หมอ ผมง่วงงงงงง” ขบวนการห้าสีของผมจบลงที่เสียงงอแง ผมหันไปมองไอ้ตัวน่ารักที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
น่ารักขนาดนี้มีแฟนรึยังวะ
เฉลย มีแล้ว!!
ผมเองแหล่ะ!!
บ๊ะ คิดแล้วปากจะถึงขมับ เออ ถึงแม่งจะถูกแทนที่ด้วยสถานะคนนอนเตียงเดียวกันแต่ไม่มีหมอนข้างมากั้นก็เถอะ แต่ก็อารมณ์นั้นแหล่ะครับ คนมันปากแข็งนักอยากกัดให้อ่อน มันเพิ่งยอมใจอ่อนหมาดๆเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากตามจีบจนเกือบจะหมดมุก งานนี้ต้องยกให้เป็นความดีของโบว์ครับ ที่แค่กะจะกลับมารวมสายแต่ดันทำให้ไอ้ลูกหมาปากแข็งข้างๆมันหึงแทน ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับโบว์แล้วครับ โบว์อาจจะเป็นความทรงจำที่ดีตอนปีหนึ่ง(แบบไม่นับไอ้โยมาด้วย) แต่มันก็เท่านั้น เพราะตอนนี้คนที่ผมหลงจนโงหัวไม่ขึ้น หลงเหมือนโดนทำของ คือไอ้ตัวที่นั่งตาปรือขยับปากบ่นอยู่ข้างๆนี่ต่างหาก
มันงอแงงุ้งงิ้งแบบที่ไม่รู้ตัวว่าทำแล้วโคตรน่ารัก อยากจะงับปากให้หลุดแต่ทำไม่ได้ เดี๋ยวได้โกรธไม่คุยไม่มองหน้าไปอีกหลายวัน ดูท่าทางบ้านจะสอนมาดี รักนวลสงวนตัวเสียเหลือเกิน ทำได้แค่เอื้อมมือไปโยกหัวมันเบาๆ แค่มือผมก็เกือบจะเท่าหัวมันแล้ว ตัวเล็กกว่าผู้หญิงอีก
อู้มันไม่ได้หน้าหวานแบบที่ใครต้องหันมามองเพราะหันมาอาจจะมองไม่เห็นต้องก้มมาแทน หลอกครับ อย่าให้ได้ยินเชียวนะ แม่งเซ้นต์ซิทีฟกับส่วนสูงมาก 160.2ของมันเนี่ย ถ้าไม่พูดจุดสองให้มันมันก็โกรธแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าแม่งนับรวมจงอยผมมันไปด้วยหรือเปล่าแค่สองมิล อ่ะต่อ อู้มันไม่ได้หน้าหวานอารมณ์แบบไอ้หญิงที่มองแล้วดูทอมจ๋า พูดแบบผู้ชายด้วยกันก็จัดอยู่ในหมวดธรรมดาครับ หมวดเดินผ่านก็แค่สับสนว่าคนหรือหมา จะมีที่แตกต่างจากผู้ชายปกติก็แค่ส่วนไม่สูงของมันเท่านั้น ตาก็ไม่ได้โตอะไร ขาวกว่าชาวบ้านนิดหน่อยถ้าเทียบเฉดสีกับเพื่อนร่วมคณะที่เกินครึ่งที่เหมือนไม่เคยแตะโลชั่น ฟันกระต่ายเล็กน้อยๆที่โผล่ออกมาเวลายิ้มเยอะๆซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ชอบยิ้มอะไรนานๆทีถึงจะยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ปกติก็จะฉีกยิ้มขำมุกแห้งๆโง่ๆของเพื่อนมันนั่นแหล่ะ อู้จะขอบขมวดคิ้วทำหน้าดุดึงหน้าให้ดูเครียดซะมากกว่า แต่รวมๆแล้วก็....
น่ารักชิบหาย หลงมันจนแบบถ้าเป็นสมัยก่อนแม่ต้องพาไปเข้าวัดแล้วแน่ๆ เผื่อโดนของ
“พี่ฟังผมอยู่ไหมวะเนี่ย บอกว่าง่วง อย่ายุ่งงงง” มันยกมือเล็กๆมาปัดมือผมออก ส่งสายตาค้อนที่คิดดว่าดูดุที่สุดมาให้ บอกตรงๆเหมือนขวดยาคูลท์มาเอาชนะโค้กลิตรอะครับ ตัวเท่าเปี๊ยกมาทำซ่า
“ง่วงก็หลับไปสิ”
“พี่จะพาผมไปไหนหล่ะ” มันขยับผ้าห่มที่นับวันยิ่งกลายสภาพเป็นเศษผ้าขึ้นไปทุกที มันเคยเป็นผ้าห่มลายแม่มดน้อยอะไรซักอย่างในห้องนอนครับ ตอนแรกว่าโคตรตุ๊ดเลย สีชมพูพิงค์กี้แบบขายตามตลาดนัด ดูไม่น่าจะกันหนาวอะไรได้ ไอ้ลูกหมาก็ติดเหมือนเป็นผ้าเน่าประจำเตียง ปัจจุบันย้ายตำแหน่งมาประจำการที่รถแทน เพราะบนห้องผมได้ยกผ้าห่มอย่างหนาของตัวเองให้มันไปแล้ว การตื่นมาเจอลูกหมาซุกผ้าห่ม ถึงน้ำลายจะยืดเป็นดวงใหญ่ๆตอนนี้นับเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันหมวดโรคจิตหน่อยๆของผมแล้ว
“ม่านรูด”
“ไอ้พี่หมอ”
“ล้อเล่นหน่ะ”
“ฮึ่ย”
“ไปโรงแรมแทน”
“พี่มึง!!!”
เอาอีกแล้ว โวยวายลั่น ขมวดคิ้วแต่แก้มแดงเป็นปื้นๆ ไอ้ลูกหมานี่ชอบทำเป็นดุแก้เขิน จะดุหรือจะเขินมันก็น่าปล้ำไปหมดนั่นแหล่ะ โว้ย ยิ่งคิดยิ่งหื่นกาม คราวที่แล้วได้จูบไป นี่บอกเลยครับ ห้ามใจตัวเองในระดับที่ต้องไปตากน้ำเย็นในห้องน้ำเกือบชั่วโมง ลองจำลองเหตุการณ์ครับ สมมุตินะครับสมมุติ สมมุติว่าคุณเป็นคนที่ในกมลสันดานเป็นคนหื่นกามอยู่แล้ว แล้วมาได้จูบคนที่แอบชอบแบบจีบอยู่มาเป็นเดือนๆ พอเงยหน้ามาเห็นเขานอนปรือตาน้ำตาคลอเบ้าปากบวมเจ่อหายใจหอบอยู่ในท่าที่ส่อเสี่ยงแบบไม่ขัดขืนอยู่ใต้ร่างของคุณ
เข้าใจอารมณ์คนลดความอ้วนเห็นเบค่อนก็ตอนนี้แหล่ะ แม่งเอ๊ยยยยยย นี่แค่คิดก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว อยากจับถลกเสื้อบอลแล้วกัดให้ทั่ว แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่งับๆกัดๆให้หายคันฟันเล่นได้แค่นั้น ไม่ใช่แค่มันไม่พร้อม ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน เพิ่งได้เริ่มต้นไม่อยากได้คืบเอาศอกครับ เดี๋ยวนอกจากจะทำอีกฝ่ายเจ็บแล้วก็กลัวจะไปทำให้มันมีช่วงเวลาที่ไม่ดีไปตลอดชีวิตอีก
“หึ จะพาไปเดท” พูดจบไอ้ลูกหมาก็หลบหน้าทันทีทันควัน กลัวเห็นว่าหน้ามันแดง แต่แค่หูก็รู้หมดแล้ว
“โอะ ไอ้ฮวย” เปลี่ยนเรื่องตามเคย
“เดทแรกอยากไปที่ไหน” ถามตามมารยาทไปงั้นครับ ผมแพลนไว้หมดแล้วแต่เดี๋ยวมันหาว่าเผด็จการณ์ อ่ะๆ ทำเป็นขอความคิดเห็นหน่อยก็ได้
“อยากไปญี่ปุ่น”
“ตลกหรอไอ้ลูกหมา”
“ไม่เปย์เลยอ่ะ”
“ไว้ฮันนีมูน อยากไปไหนกูตามใจทุกที่เลย”
“ตลกหรอไอ้ลูกหมอ”
ก๊อปคำกันหน้าด้านๆ ไอ้ลูกหมาหันมาหัวเราะตาหยีใส่ผม ผมก็ไม่ได้ตลกหรอกแต่เห็นมันยิ้มก็อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่รู้มีใครเคยบอกมันไหมว่ามันมีรอยยิ้มที่หยุดมองไม่ได้จริงๆ หนักแล้วกู เหมือนเห็นสมาคมพ่อบ้านใจกล้าเปิดประตูตอนรับอยู่ลิบๆ
“จูบได้ไหม”
“เล่นมุกนิดหน่อยต้องหื่นใส่ด้วยหรอวะ” มันตาโตยกมือมาปิดปากตัวเองทันที
“เร็ว ขอจูบหน่อย”
“อยากดูหนัง เลือกแล้วเนี่ย ป่ะๆ ไปดูหนัง” พูดรัวจนลิ้นเกือบพันกัน แถมเอามือมาปัดหน้าผมอีกต่างหาก ผมได้แต่ขำแห้ง แต่ก็ยอมออกรถแต่โดยดีเพราะผมก็แพลนจะพามันไปดูหนังอยู่แล้วตั้งแต่แรก ไม่เป็นไร พลาดตอนนี้เดี๋ยวไปแก้มือใหม่ในโรงหนังมืดๆกูจะฟัดให้ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย
พูดถึงเรื่องการแต๊ะอั๋งอู้ของผมนี่ ลวนลามทีไรรู้สึกผิดบาปตลอดเลยครับ ด้วยขนาดตัวมันกับผมเนี่ยห่างกันเกือบสามสิบเซ็น เดินด้วยเหมือนจูงน้องชายวัยมัธยมต้นมาเดินเล่น อย่างเมื่อคราวก่อนที่ได้จูบแรกไป เห็นเจ้าตัวหลับตาปี๋ เม้มปากแน่น มืองี้ขยุ้มเสื้อนิสิตผมแทบขาด เห็นแล้วโคตรเหมือนกำลังรังแกเด็ก ไอ้ที่แย่คือผมดันชอบนี่สิ อยากรังแกให้ร้องไห้ตาบวมกลับบ้านไปฟ้องแม่เลย โว้ยยยยยยยยย ยิ่งคิดยิ่งหื่นกาม
“ดูหนังเสร็จแวะซื้อของเข้าห้องด้วยดิพี่ แชมพูหมดแล้ว”
“เอาสิ”
รถออกตัวมาได้ซักพัก หันไปอีกที ไอ้ตัวนั่งตาแป๋วเมื่อกี้ก็หลับไปแล้วเรียบร้อยคาหมอนรองคอลายหมีริรัคคุมะที่ไอ้ภูมิเอาทิ้งไว้นานแล้ว มันพ่อตัวอยู่ในผ้าห่มผมเลยเลื่อนมือไปปรับแอร์ลงให้
อู้ไม่ใช่แฟนคนแรกของผม ผมมีแฟนคนแรกตั้งแต่ช่วงประถม ด้วยความที่สูงนำกว่าเด็กผู้ชายทุกคนในห้องเลยเป็นที่หมายปองของสาวๆมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ถ้านับเรื่องเพศ อู้เป็นแฟนผู้ชายคนแรกของผม ผมไม่เคยนึกภาพถึงการมีแฟนหรือคนรักเป็นผู้ชายถ้าให้ลองคิดภาพดูก็คงน่าขนลุก แต่พอได้มาเจอกับตัวเองแล้ว มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อันที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างกับการมีแฟนเป็นผู้หญิงซักนิดในแง่ของความสัมพันธ์ ติดจะดีกว่าหน่อยๆเพราะความที่เพศมันเหมือนกันหน่ะครับหลายๆอย่างมันเลยง่ายกว่า
อู้เป็นเด็กคิดมาก แบบที่งานหลักคือคิดมากงานรองคือมโนไปเรื่อย แล้วมันก็พยายามอย่างมากในการปรับตัวกับสถานะการณ์ปัจจุบัน ไอ้ที่มันไปบอกเพื่อนมันเมื่อไม่กี่วันก่อนเนี่ย เอาจริงๆผมก็รู้อยู่แล้วครับว่าปฏิกริยาหรือคำตอบจากเพื่อนมันจะเป็นอย่างไร เดายากซะที่ไหนเพื่อนมันแต่ละคน มันโชคดีที่ได้เพื่อนดี ถ้าได้เพื่อนที่ไม่เปิดกว้างกับอะไรแบบนี้ ป่านนี้คงนั่งซึมอยู่ในห้องไปแล้ว
มันดูเป็นเด็กเอ๋อๆโง่ๆไม่น่าจะเป็นคนคิดมากขนาดนี้แท้ๆกลับกลายเป็นเด็กที่ที่เก็บทุกอย่างมาคิด ไม่อยากจะน้ำเน่า แต่ก็พร้อมจะช่วยมันคิดไปเรื่อยๆแหล่ะ
ไม่ใช่โรแมนติกอะไรครับ ไอ้อู้นี่ชอบแก้ปัญหาแบบโง่ๆ เป็นจำพวกเจอปมก็แก้ปมแต่มันดันขมวดหนักกว่าเดิม ไม่แปลกใจเท่าไหร่เลยที่หัวมันเบาๆ
“อู้ ถึงแล้ว” ผมสะกิดไหล่มันยิกๆ หลังถอยรถจอดเข้าช่องเสร็จพร้อมกับแอบมองหน้ามันนอนไปสามวิ แค่สามวิครับ เห็นน้ำลายห้อยเป็นเม็ดตกใส่หมอนแล้วก็ค้นพบว่าทำแบบนี้ไม่ได้โรแมนติกแบบในหนัง
“อือ...” มันสะลึมสะลือตื่นมาขยี้ตาแบบงงๆ บ๊ะ จังหวะไม่มีสติแบบนี้แหล่ะที่พี่รอคอย!!
ผมรีบปลดเบลท์ด้วยความไวแสงแล้วจู่โจมไปที่ปากเจ่อๆเปื้อนน้ำลายนั่นทันที มือขวาของผมจับอยู่กับขอบประตูรถ ขังอู้ไว้ในอ้อมอกให้หนีไปไหนไม่ได้
จังหวะที่ประกบปากลงไปเหมือนมันจะตกใจแต่หนีไม่ทันแล้ว ถอยหลังไปหัวก็ชนเบาะเข้าทางผมเต็มๆ อยากจะผงกหัวมาขำสมน้ำหน้าแต่ไม่ใช่เวลา ผมงับปากล่างมันเบาๆเป็นเชิงขออนุญาต มันหลับตาปี๋เหมือนขัดขืนแต่ก็ยอมเปิดปากอยู่ดี เนี่ย ดูสิครับ ทนมาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วจริงๆ
ผมค่อยๆสอดลิ้นเข้าไปพันกับอีกฝ่าย อู้ยังคงกลัวๆอยู่แต่บางทีก็ต้อนกลับบ้าง จากที่เริ่มต้นด้วยความตกใจตอนนี้กับเผลอไผลตอบสัมผัสมาอย่างกล้าๆกลัวๆ มันคงกำลังเรียนรู้ เหมือนเวลาที่เราตั้งใจจะเรียนอะไรมันก็จะพยายามจนหยุดไม่ได้ ซึ่งนั่นโคตรปลุกใจเสือป่าเลยให้ตาย ริมฝีปากของเราขยับห่างออกจากกันแล้วประกบย้ำลงมาใหม่อยู่แบบนั้นจนนับครั้งไม่ถ้วน มือของอู้ที่ขย้ำอยู่ตรงอกผมค่อยๆเปลี่ยนย้ายมาคล้องคอผมแทน เดาเอาว่าเจ้าของมือไม่น่าจะรู้ตัวซึ่งผมก็ไม่ทักหรอกครับ เดี๋ยวก็แถเป็นปัดยุงปัดแมลงวันไปตามภาษาคนปากแข็ง บรรยากาศในรถเงียบสงบมีเพียงเสียงแฉะระหว่างริมฝีปากสลับกับเสียงครางในลำคอเบาๆของอู้ซึ่งนั้นทำให้เป็นผมเองที่ต้องถอยออกมาก่อน
... ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้
จังหวะที่ถอนหน้าออกมาเจออู้ส่งสายตาเหมือนตัดพ้อที่หยุดจูบนี่มันอยากจะบ้าตายจริงๆ เกินไปแล้วอู้ มากไปกว่านี้ กูไม่ดูแล้วหนังหน่ะ กูเล่นเองแน่ๆ
“อย่ามองกูแบบนั้นนะ”
“มะ มองแบบไหน”
“มองแบบที่มึงมองหน่ะ” ผมดีดหน้าผากมันไปหนึ่งที ข้อหาทำตัวน่าปล้ำ
“ผะ ผมมองแบบไหน” มันยกหลังมือขึ้นปาดปากตัวเอง หน้างี้แดงเห่อไปหมด
“มองแบบเสียดายที่กูหยุด”
“ไม่ได้ทำโว้ย!!” โวยวายลั่นตามที่คาดอีกแล้ว ผมได้แต่ลูบหน้าลูบตาเรียกสติตัวเองกลับมา จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ดีนะที่จอดรถในอาคาร ไม่งั้นคนเดินผ่านมาเห็น เผลอๆได้ดังในโลกโซเชี่ยลไม่รู้ตัวแน่ๆ รีบเปิดประตูลงจากรถมาก่อนครับ อยู่นานกว่านี้เดี๋ยวอู้มันจะเสียมากกว่าจูบ ออกมาหายใจเข้า
ไม่หื่นหนอ รอหนอ ใจเย็นหนอ
...แต่ไอ้ภาพตาปรือปากแดงเจ่อเคลือบด้วยน้ำลายหายใจหอบเมื่อกี้
ไม่หื่นหนอ!!
ไม่หื่นสิวะหนอ!!
ไม่หื่นสิวะหนอไอ้หมอ!! “พี่นี่แม่ง” ไอ้อู้เดินมาหน้ามุ่ยเลยครับ
“ก็ขอแล้ว”
“ขอตอนไหนวะ!!”
“ตอนออกมาจากหอไง”
“ขอล่วงหน้าเป็นชั่วโมงก็ได้หรอ!!” ได้ดิ ว่าจะขอล่วงหน้าอีกหลายๆรอบเลย จู่โจมตอนไม่ตั้งตัวเนี่ยเวิร์คสุดแล้ว รู้สึกดีเป็นบ้าที่ได้เป็นเจ้าของจูบแรกและจูบต่อๆมาของมัน แต่แค่ลองคิดว่าไปทำหน้าแบบเมื่อกี้กับคนอื่นก็หงุดหงิดจนอยากจะต่อยกำแพงแล้ว หัวร้อนขนาดแอร์ที่ห้างก็ยังไม่สามารถทำให้เย็นลงได้ สงสัยคิดโรคขี้มโนมาจากไอ้ลูกหมาแน่ๆ
“พี่อยากดูเรื่องอะไรอ่ะ”
“เรื่องไหนก็ได้” ขอแค่โรงมืดๆก็พอ คิดในใจครับ อย่าคิดดัง เดี๋ยวเด็กกลัว
เราเดินเข้ามาในห้างหรูที่สุดในย่านนี้ ใกล้หอพักที่สุดแล้วครับ จริงๆก็อยากขับพาไปพารากอนนะครับ เดทแรกก็ห้างกลางเมืองหรูๆหน่อย แต่กว่าจะขับไปก็หมดเวลาไปหลายชั่วโมงแล้วไหนจะขับกลับเจอรถติดอีก สุดท้ายก็เลยเลือกห้างที่ใกล้ที่สุดที่ไม่ใช่บิ๊กซีหรือโลตัสแทน
มันเป็นเดทแรกที่ตอนแรกผมวางแผนไว้อย่างโรแมนติก เอาเป็นว่าจริงจังตั้งแต่สีเสื้อว่ามงคลพอไหม แต่พอเห็นอู้เดินไปหยิบเสื้อบอลมาใส่กับรองเท้านันยางที่ดูสภาพแล้วเหมือนไม่เคยเป็นสีขาวมาก่อน ไอ้ผมจะใส่ชุดดีๆออกมาก็กลัวจะขัดกับธีมเด็กหอของมันเลยจำต้องลากแตะช้างดาวกับเสื้อยืดตาห่านคี่มาแทน ก่อนออกมาจากรถก็ไม่ลืมคว้าเสื้อคลุมสียีนส์ลงมาด้วยเผื่อโรงหนังหนาว เสื้อบอลที่มันใส่ก็บางเสียเหลือเกิน ทำไมผมรู้ว่าบางหน่ะหรอครับ
เพราะใส่ใจ?
เพราะแอบส่องหัวนมมันตอนมันเดิน!!ไม่พ่ามด้วยเพราะทำจริงๆ แต่ไม่เชิงส่องครับ แต่มองลายสกรีนบนเสื้อมันแล้วแอบเห็นพอดี จริงๆนะ จริงๆนะโว้ย!!
เข้าห้างมาก็ตกเป็นเป้าสายตาแบบไม่ได้คิดไปเองครับ ปกติก็ชินแล้วเพราะผมหล่อ อันนี้ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ แต่หล่อจริงๆว่ะ มองกระจกทีไรก็เข้าใจแล้วว่าความหมายของคำว่าหล่อคืออะไร มีหลายคนมาทาบทามให้ไปเป็นนายแบบไปเล่นซีรี่ส์แต่ผมก็ปฏิเสธไปหมดครับ ด้วยความเป็นคนขี้รำคาญ ขนาดทุกวันนี้แค่คนมาถามทำไมชื่อหมอยังรำคาญแล้วเลย จะเอาอะไรกับการไปฝืนยิ้มแห้งๆหน้ากล้อง
..ล้อเล่นครับ เมื่อกี้แค่ข้ออ้างจริงๆคือน่าจะเล่นแข็ง เกิดมาหล่ออย่างเดียวทำประโยชน์อะไรไม่ได้ซักเท่าไหร่ เคยเล่นละครเวทีของภาคแล้ว เพื่อนๆก็มอบตำแหน่งเล่นเป็นธรรมชาติที่สุดของเรื่อง แข็งเป็นหินและทื่อเป็นต้นไม้
นั่นแหล่ะครับ แล้วถึงผมจะชินกับการโดนมองแต่ไม่ได้หมายความว่าไอ้คนข้างๆผมจะชินครับ
ตอนนี้เด็กชายอู้ผู้เป็นเด็กธรรมดามาทั้งชีวิตกำลังโดนหลายสายตาจ้อง แพนิคแล้วคิดไปเองแล้วเรียบร้อย หูตกหางลู่ จากที่เดินห่างจากผม ตอนนี้เบียดเข้าหาผมแบบไม่รู้ตัว ตัวที่ว่าเล็กแม่งหดลงเกือบเหลือเท่าโมเดลหมาชิสุ เอ็นดูชิบหายคนเรา ผมผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านฉวยโอกาสและหน้าด้านศาสตร์เห็นช่องว่างนี้เลยรีบคว้ามือน้อยๆมันมาจับ ตามคาดครับ หน้าตื่นเป็นหมาตกใจเสียงพลุเลย
“ทำไรอ่ะ”
“ทอดกล้วยปิ้ง” ประชดครับ
“คนมอง...” มันพูดเสียงอ่อนแล้วก็พยายามสะบัดมือออก แต่เสียใจด้วยจริงๆ มือผมเนี่ยสกิลการเหนียวปกติอาจจะแค่กาวสองหน้าแต่พอเป็นมือไอ้ลูกหมานี่บอกเลยเปลี่ยนกาวตราช้าง
...อยากจับไปทั้งชีวิตเลยอ้ะ
โอ๊ยยยยยยยยย เขินตัวเอง หมอเสี่ยวสาดมาอีกแล้ว
“มองไปดิ”
“พี่ไม่อายหรอวะ”
“กูต้องอายด้วยหรอ” อ่ะ ระหว่างน้องกำลังเครียดคิดนู่นคิดนี่ ขอแอบถูมือนิ่มๆหน่อยเถอะ
“ก็ไม่รู้อ่ะ คนมองตลอดทางเลย มันแปลกขนาดนั้นเลยหรอวะ หรือผมลืมมัดเชือกกางเกงบอล”
“เราไปห้ามสายตาใครไม่ได้หรอกอู้” ผมกระชับมือมันให้แน่นขึ้น แอบมองต่ำไปตามที่มันพูดก็พบว่ากางเกงบอลมันผูกไว้แน่นเรียบร้อยดี เดี๋ยวเดินไปแล้วหล่นไปกองที่พื้นขึ้นมาจริงนี่คงขำไม่ออก
“แต่...”
“แคร์คนอื่นก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ต้องแคร์ตัวเองด้วย”
“...หือ” อู้เงยหน้าส่งสายตางงๆมาให้ เวร กูผิดเองแหล่ะ ลืมไปว่าอย่าพูดคมมากเพราะเข้าใจอะไรยากๆไม่ได้
“อะไรที่เราทำแล้วมีความสุขและมันไม่ได้ไปเดือดร้อนใครก็ทำไปเถอะ” มันนิ่งไปซักพักเหมือนประมวลผลก่อนจะพยักหน้าหงึกๆเป็นอันว่าเข้าใจ ผมยิ้มแล้วจูงมือมันเดินต่อไปที่โซนหนัง ระหว่างทางผ่านร้านเสื้อผ้ามองผ่านกระจกแล้วก็แบบขมวดคิ้ว
เหมือนพ่อพาลูกมาเดิน!!
เวรเอ๊ย โทษอะไรได้เนี่ย!!
โอเคครับ เรื่องหน้าแก่เนี่ยมันเป็นเหมือนของมาคู่กับวิศวะอยู่แล้วครับ รุ่นน้องผมก็หน้าเหมือนรุ่นเดียวกับอาจารย์กันตั้งหลายคน โดนคณื่นไหว้ตอนปีหนึ่งนี่ก็เรียกได้ว่าผ่านกันมาหมดแล้ว ส่วนผมเนี่ยหน้าก็อาจจะเกินอายุไปบ้างนิดหน่อยแต่พอมารวมกับส่วนสูงกับหุ่นแล้วเนี่ยมันก็เลยดูไม่น่าใช่เด็กปีสามเข้าไปใหญ่ บวกกับอู้มันตัวเล็กมากด้วย ทั้งส่วนสูงทั้งแขนขาแห้งๆ มายืนข้างกันยิ่งเห็นความต่างชัด