---- Chris Pt. 1 ----
ปี 1972
มหาวิทยาลัย S รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ณ ย่านหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย S ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเทคโนโลยีของรัฐแคลิฟอร์เนีย ร่างเล็กของเด็กหนุ่มชาวเอเชียเดินก้มหน้าซอยเท้าถี่ๆ ลากกระเป๋าเดินทางใบโตมาตามริมถนน ตาทรงเม็ดอัลมอนด์สีดำสนิทนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางนั้นเม้มสนิท เขาทนอยู่หอที่นี่ไม่ไหวแล้ว เขามาที่สหรัฐฯ เพื่อหนีความเจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกคนเหยียดหยาม แต่เมื่อมาถึงดินแดนแห่งความอิสระเสรีนี้ เขากลับเจอสถานการณ์ไม่ต่างกัน เขาหยุดเดิน ปาดน้ำตาที่หยดหยาดเพราะความเจ็บใจเมื่อนึกถึงหน้าไอ้รูมเมทผิวขาวที่คอยพูดจาเสียดสีเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ฟางเส้นสุดท้ายคือเมื่อเขาได้ยินรูมเมทเรียกเขาตอนมันคุยกับเพื่อนว่าไอ้ลิงเหลืองแถมยังเอานิ้วดึงหางตาให้ชี้ขึ้นเพื่อล้อเลียนเขาอีก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของออกจากหอพักในทันที
เขาถอนหายใจ เขาคงต้องหาบ้านพักแถวๆ ม.อยู่เสียแล้ว ว่าแต่ค่ำนี้จะนอนไหนกัน
"นี่...นาย"
เขาแว่วเสียงใครสักคนเรียกชื่อเขา เขาหันซ้ายหันขวา แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขายืนคร่อมจักรยานดูเขาอยู่
"นายเรียกฉันเหรอ?" เด็กหนุ่มตาสีดำสนิทถามขึ้นด้วยสำเนียงอังกฤษชัดเปรี๊ยะ
"ใช่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ท่าทางนายดูไม่ดีเลย" เด็กหนุ่มเชื้อสายละตินลงจากรถจักรยานแล้วเดินเข้ามาหา ร่างนั้นสูงประมาณ 175 เซ็นติเมตร หน้าตาคมเข้ม ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นฉายแววอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ริมฝีปากอิ่มนั้นส่งยิ้มละไมมาให้เขา
หนุ่มน้อยชาวเอเชียถอยหลังไปนิดหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจ คราบน้ำตายังไม่หายไปจากแก้มแดงระเรื่อนั้น หนุ่มน้อยที่ตัวสูงกว่ายืนเท้าสะเอวมองกระเป๋าใบโตของเขา
"นายหาที่พักอยู่เหรอ? นี่มันก็ครึ่งเทอมแล้วนะ ยังไม่มีที่อยู่อีกเหรอ?"
ไม่รู้ทำไม เสียงนุ่มๆ ที่ถามขึ้นนั้นถึงทำให้เขารู้สึกสบายใจ หนุ่มน้อยชาวเอเชียน้ำตาไหลพรากและเรื่องราวต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากปากเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นก็รับฟังอย่างอดทน
"...ฉันถึงได้หอบกระเป๋าผลุนผลันออกมาเลย แต่คืนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะนอนไหน"
เขาปาดน้ำตาแล้วถอนหายใจยาว
"มาบ้านฉันไหมล่ะ เรามีที่ว่างพอดี มาลองดูก่อนไหม หรืออย่างน้อยอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาห้องได้ โอเคไหม?"
หนุ่มน้อยเชื้อสายละตินที่รู้สึกถูกชะตากับหนุ่มตาสีดำคนนี้ตั้งแต่แรกเจอชวน นัยน์ตาทรงอัลมอนด์นั้นพลันฉายแววยินดี เขาเผลอตัวคว้ามือเรียวนั้นมากุมอย่างยินดี
"นายพูดจริงนะ? ดีเลย บ้านนายอยู่แถวไหน เราไปกันเลยไหม?"
เขาหน้าแดงขึ้นและรีบปล่อยมือเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับคนเพิ่งรู้จักไป
"เอ่อ ฉันชื่อคริส, คริส หว่อง แล้วนายล่ะ?"
"ฉันชื่ออันเดรส มาร์ติเนซ นายเรียกฉันว่าแอนดี้ก็ได้"
นี่คือการพบกันครั้งแรกของคนสองคนที่ชีวิตจะผูกพันกันไปจนกระทั่งฝ่ายหนึ่งตายจากไป
คริสนั่งรถเมล์มาตามที่อยู่ที่อันเดรสให้ไว้ ที่พักของอันเดรสอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณ 2 ไมล์ เขาลงรถที่ป้ายรถเมล์ตามในแผนที่และเจออันเดรสยืนยิ้มรออยู่แล้ว บ้านเช่าของอันเดรสอยู่ห่างป้ายรถเมล์ไม่ไกล มันเป็นบ้านเก่าสไตล์วิคตอเรียนที่แบ่งให้เช่าเป็นห้องๆ ผู้เช่าทั้งหมดเป็นนักศึกษา
"ส่วนใหญ่ในบ้านนี้เป็นละติโน่ ฉะนั้นนายไม่ต้องกลัวจะโดนเหยียดเหมือนตอนอยู่หอ หรือถ้าเจอก็ให้รีบมาบอกฉัน ฉันจะไปจัดการมันเอง"
อันเดรสช่วยลากกระเป๋าใบใหญ่ของคริสขึ้นไปยังชั้น 2 และเปิดประตูห้องๆ หนึ่ง ที่มีเตียง 2 เตียงตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง เตียงหนึ่งนั้นว่างเปล่าไม่มีเครื่องนอนใดๆ
"นี่ห้องฉันเอง รูมเมทฉันเพิ่งย้ายออกไปอยู่กับแฟนมัน ตอนนี้เลยว่าง นายพักที่นี่ไปก่อนแล้วส่วนจะอยู่ต่อหรือว่าหาที่อยู่ใหม่ก็ค่อยว่ากันอีกที"
อันเดรสบอก และปล่อยให้คริสจัดข้าวของไป
"อ้อ ช่วงเย็นพวกเรามักจะทำอะไรกินกันในบ้าน นายมากินกับพวกเราได้นะ"
ที่ห้องส่วนกลางของบ้าน คริสนั่งมองพวกหนุ่มๆ ละติโน่ที่โหวกเหวกโวยวายหัวเราะลั่นกันระหว่างกินข้าวอย่างเพลิดเพลิน แม้เขาจะไม่เข้าใจภาษาสแปนิชที่พวกนี้พูดกัน แต่บรรยากาศที่นี่สบายๆ กว่าที่หอพักมากนัก คนพวกนี้ต้อนรับเขาอย่างดี ไม่มีรังเกียจที่เขาแตกต่างไปเลย อันเดรสหันมาแปลเรื่องที่คุยกันให้เขาฟังเป็นพักๆ พร้อมกับตักนั่นนี่บนโต๊ะให้เขาชิม หลังอาหาร
"นี่ คริส นายเรียนอะไร ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้านายนะ"
อันเดรสถามขึ้นตอนทั้งพาคริสออกมาเดินสำรวจแถวบ้าน
"Computer Science แล้วนายล่ะ?"
เขาเลือกเรียนสาขาวิชาที่เปิดมาได้ไม่ถึง 10 ปีนี้เพราะมองว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต และเข้ากับความถนัดด้านตัวเลขและตรรกะของเขาด้วย
"เห้ย เหมือนกันเลย มิน่าล่ะฉันถึงว่านายหน้าคุ้นๆ"
เขาเริ่มจำหน้าหนุ่มเอเชียคนนี้ได้แล้ว เขาจำได้ว่าเคยแอบมองคริสเพราะหน้าตาที่ดูแปลก คริสมีหน้าตาแบบเอเชีย มีตาสีดำสนิท แต่ผมของเขานั้นสีออกน้ำตาลอ่อน อันเดรสบอกคริสไปแบบนั้น
"อ๋อ..." คริสหัวเราะ เขาถูกทักเรื่องนี้บ่อยแล้ว
"ฉันได้ผมสีน้ำตาลมาจากแม่ที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษน่ะ ส่วนพ่อฉันเป็นคนฮ่องกงแท้ๆ"
ส่วนเขาก็จำอันเดรสได้แล้ว ใครจะไม่รู้จักหนุ่มน้อยจากปัวเอร์โต ริโก้ นักเรียนทุนของทางภาคฯ ที่เป็นอัจฉริยะด้านตัวเลขและอัลกอริทึ่มกัน แต่ท่าที่ที่ร่าเริงสดใสตอนอยู่ข้างนอกนี้ต่างไปจากคนที่เคร่งเครียดจดจ่อกับการเรียนในห้องเรียนอย่างลิบลับ
"ฉันตัดสินใจละ..." คริสพูด
"ฉันจะอยู่ที่บ้านนี้ต่อ"
เวลาผันผ่านไปเข้าสู่เทอมหลัง ชายหนุ่มต่างเชื้อชาติทั้งสองกลายเป็นเพื่อนรักที่ตัวติดกันตลอดเวลา เห็นอันเดรสที่ไหนก็ต้องเห็นคริสที่นั่น เขายังเข้ากันได้กับบรรดาหนุ่มๆ ละตินที่พักอยู่ในบ้านเดียวกัน การเป็นเอเชียนเพียงคนเดียวในบ้านไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกแยก นั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นเพื่อนรักของอันเดรสซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางของบ้านด้วย ความสดใส ขี้เล่นและร่าเริงเป็นนิจทำให้เขามีเสน่ห์ดึงดูดใจคนที่อยู่รอบข้าง...รวมถึงคริสด้วย
คริสแอบมองใบหน้าคมสันนั่นอ่านหนังสืออยู่ตรงข้ามเขา อันเดรสไม่ใช่คนหล่อจัด ใบหน้าเขาได้รูป มีสันกราม โหนกแก้มชัดเจน ปากอิ่ม แต่ส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดของใบหน้านั้นคือดวงตาที่ฉายแววร่าเริงเป็นนิจ มันดึงดูดสายตาเขาได้ตลอดเวลา ความรุ่มรวยน้ำใจของอันเดรสก็คืออีกสิ่งที่ตราตรึงในหัวใจน้อยๆ ของหนุ่มชาวฮ่องกงคนนี้ สำหรับเขาซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่เย็นชาของพ่อที่เอาแต่ทำงานและแม่เลี้ยงที่คอยแต่จะค่อนแคะถากถาง อีกทั้งเพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายในหอพักเดิมนั้น รอยยิ้มและน้ำใจที่อันเดรสมอบให้ในวันแรกที่เจอกันนั้นเป็นเหมือนแสงอาทิตย์อันอบอุ่น และตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเขายิ่งรักในนิสัยใจคอของเพื่อนรักคนนี้ คริสได้แต่ภาวนาว่าเขาจะได้อยู่เคียงข้างอันเดรสต่อไปแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน
"ปิดเทอมนี้นายกลับบ้านไหม?"
อันเดรสถามขึ้น ตัวเขาซึ่งเป็นเด็กกำพร้า โตมาโดยการเลี้ยงดูของทางโบสถ์ที่รับอุปการะนั้นคงไม่ได้กลับไปอยู่แล้ว
คริสส่ายหัว ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ยังไม่คิดจะกลับไปฮ่องกงง่ายๆ เขาตัดสินใจเล่าเรื่องครอบครัวเขาให้อันเดรสฟัง เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะ แม้จะไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนสี่ตระกูลใหญ่แห่งฮ่องกง แต่ก็ร่ำรวยพอที่ปู่จะส่งพ่อเขาให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษจนได้พบกับแม่ของเขาซึ่งเป็นลูกครึ่งฮ่องกง-อังกฤษ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของคนทั้งคู่และโตมาโดยรับความรักจากคนทั้งสองจนกระทั่งแม่ของเขาเสียชีวิตไปด้วยโรคปอดอักเสบตอนเขาอายุได้เพียง 7 ขวบ จากนั้นพ่อของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนบ้างานที่ทำงานตลอดเวลา เขาถูกทิ้งไว้ในบ้านใหญ่โตบนยอดวิคตอเรีย พีคกับปู่ย่าและคนรับใช้เต็มบ้าน เขาถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวดเพื่อเตรียมเป็นทายาทของตระกูล
จุดพลิกผันของชีวิตเขาเกิดขึ้นตอนอายุ 13 เมื่อพ่อแต่งงานใหม่กับดารางิ้วชื่อดังและมีลูกชายด้วยกันอีก 1 คน ต่อหน้าทุกคนแม่ใหม่ของเขาเป็นหญิงใจดี สง่างามและรักครอบครัว แต่กับเขานั้นการแสดงออกของแม่รองต่างไปโดยสิ้นเชิง เขามักโดนมองอย่างเหยียดหยาม โดนก่นด่า โดนไล่ให้รีบๆ ออกบ้านไป แม่รองพยายามทุกอย่างให้พ่อของเขาตั้งลูกชายของเธอเป็นทายาทแทน ซึ่งปู่ย่าของเขาที่ติดใจนางงิ้วคนนี้นักหนาก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่พ่อของเขาก็ยังคงไม่ตัดสินใจและแบ่งรับแบ่งสู้ไป สุดท้ายเมื่อจบม.ปลายเขาจึงตัดสินใจมาศึกษาต่อยังสหรัฐฯ แทนอังกฤษที่พ่อเขาหมายมั่นปั้นมือให้เข้าเรียนเพื่อให้ไกลจากคอนเน็คชั่นของครอบครัวให้มากที่สุด
"นายนี่น้า อยู่บ้านสบายๆ ดีๆ ไม่ชอบ ชอบต้องมาลำบาก"
อันเดรสบ่นเพื่อนชาวเอเชียของเขา
"สบายกายแต่ไม่สบายใจ ก็อยู่ไม่ไหวเหมือนกันนะ"
คริสพูดเบาๆ อันเดรสพยักหน้าเห็นด้วย จริงอยู่ที่เขาโตขึ้นมาแบบไม่มีพ่อแม่ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเหงาหรือไม่สบายใจเพราะถูกล้อมรอบไปด้วยเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ที่เป็นเหมือนพี่น้อง บุคลิกที่ร่าเริงและโดดเด่นของเขาทำให้เขาเป็นเหมือนศูนย์กลางของทุกๆ คน
"งั้นก็คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านแล้วกัน"
เขายกมือขึ้นขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนของเพื่อนหนุ่ม
"...พวกฉันจะเป็นครอบครัวให้นายเอง"
คำพูดนั้นที่เจ้าตัวอาจจะพูดออกมาเพียงแค่เพื่อปลอบใจเพื่อนกลายเป็นสิ่งที่ติดตราตรึงในจิตใจของคริสไปนานแสนนาน
ฤดูกาลผันผ่านไป ขึ้นสู่ปีที่สองในรั้วมหาวิทยาลัย ความเป็นเพื่อนของทั้งสองยังคงเหนียวแน่น ทั้งคู่แชร์ความสนใจกันในทุกด้านไม่ว่าจะเรื่องเล่นหรือเรื่องเรียน อันเดรสเป็นเหมือนทุกอย่างของคริส และคริสก็หวังว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นในใจของอันเดรสเช่นกัน แต่สิ่งนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป
"อันเดรส ช้าๆ หน่อยนายขี่เร็วเกินไปแล้ว"
คริสซึ่งยืนเกาะไหล่อันเดรสแน่นอยู่บนตอนท้ายของจักรยานร้องลั่นเมื่อเพื่อนหนุ่มปั่นเข้าโค้งอย่างเร็ว
"ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นจะไม่ทันคลาสของอ.ดอน"
อันเดรสหมายถึงศาสตราจารย์ Donald Knuth นักคณิตศาสตร์ซึ่งผันตัวมาเป็นนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเหมือนไอดอลของเขา เขาไม่ยอมพลาดคลาสของอาจารย์เลยสักครั้ง แต่วันนี้พวกเขาพลาดตกรถ Margherite Shuttle ที่เป็นรถเวียนจากย่านดาวน์ทาวน์พาโล อัลโตไปยังม. S เลยต้องเร่งปั่นจักรยานคู่ใจมา พวกเขาใกล้ถึงตึกเรียนแล้วเมื่อมีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินคุยเล่นและหัวเราะข้ามถนนโดยไม่ทันดูรถ
"ระวัง!"
คริสตะโกนลั่น หญิงสาวกลุ่มนั้นสะดุ้งหันมามอง แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว อันเดรสตัดสินใจหักหลบขึ้นบนฟุตบาทแต่ก็สะดุดและพุ่งไปบนสนามหญ้า คริสกระโดดลงทันแต่ไม่ทันคว้าตัวอันเดรสที่กลิ้งไปพร้อมกับจักรยาน หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มวิ่งมาดูอันเดรสพร้อมๆ กับคริส
"เป็นอะไรไหมคะ?..."
"เป็นอะไรไหม?"
ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน คริสหันไปดูหญิงสาวที่ทำให้เพื่อนของเขาเจ็บตัว ใบหน้าน้อยๆ ที่ฉายแววกังวลนั้นงดงามนัก ดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวลนั้นสีน้ำตาลอ่อน ขนตายาว จมูกน้อยๆ ที่เชิดขึ้นเล็กน้อยทำให้ใบหน้านั้นส่อแววรั้น แก้มสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากบางที่แต้มสีไว้บางเบา ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย เขาหันไปดูเพื่อนรักแล้วก็ต้องใจสะท้าน อันเดรสที่น่าจะเจ็บร้องโอดโอยกลับมีสีหน้าตะลึงงัน แก้มของเขาแดงระเรื่อ นัยน์ตาคมวาวของเขาจ้องไปยังใบหน้างดงามของสาวน้อยคนนั้น
"คุณเป็นอะไรไหมคะ? ฉันขอโทษจริงๆ"
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ อันเดรสพลันตอบกลับเป็นภาษาสเปน
"estoy bien. No te preocupes"
(ผมโอเค ไม่ต้องห่วงครับ) หญิงสาวทำตาโต
"¿Hablas Español?"
(คุณพูดสแปนิชด้วยเหรอ?)
"Sí, soy de Puerto Rico"
(ครับ ผมมาจากปูเอร์โต ริโก้) อันเดรสตอบอย่างยิ้มแย้ม
"เอ่อ...อันเดรส เข่านาย"
คริสซึ่งฟังทั้งสองพูดไม่รู้เรื่องพูดแทรกขึ้น กางเกงบริเวณเข่าของอันเดรสขาดวิ่นเผยให้เห็นแผลถลอกปอกเปิก เลือดไหลโทรม เจ้าตัวซึ่งดูท่าทางจะลืมเจ็บไปชั่วขณะเริ่มทำหน้านิ่ว หญิงสาวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมาแล้วรินน้ำจากกระบอกน้ำที่พกพาใส่และบรรจงเช็ดไปที่รอยแผลนั้น
"ร้อนหน่อยนะคะ น้ำยังอุ่นๆ อยู่"
หญิงสาวเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คริสเข้าใจด้วย อันเดรสบอกว่าไม่เป็นไร คริสมองตามเพื่อนที่ทำหน้าเคลิ้มมองดูมือขาวผ่องที่ทำความสะอาดแผลให้เขา
"เรียบร้อยแล้วค่ะ"
หญิงสาวผูกปมผ้าเช็ดหน้าที่พันรอบหัวเข่าของอันเดรส คริสประคองอันเดรสขึ้นยืนและสบายใจที่เพื่อนของเขายังพอเดินไหว
"เอ่อ..."
อันเดรสพูดขึ้นเบาๆ หญิงสาวที่กำลังจะเดินกลับไปหาเพื่อนหันมามอง
"ผมชื่ออันเดรส มาร์ติเนซ คุณชื่ออะไรครับ"
ใบหน้าคมสันของอันเดรสแดงก่ำ
"ฉันชื่อ คาตาลิน่า เด ลา โรซ่าค่ะ"
หญิงสาวซึ่งก็หน้าแดงไม่แพ้กันตอบเบาๆ และยื่นมือมาสัมผัสมืออันเดรสที่ยื่นส่งมา พวกเขาสนทนากันอีกพักหนึ่งก่อนเพื่อนของหญิงสาวจะเดินมาตาม อันเดรสมองตามร่างสูงโปร่งแต่แบบบางนั้นอย่างไม่วางตา
"คริส...ฉันว่าฉันกำลังมีความรักว่ะ"
อันเดรสกระซิบเหมือนละเมอออกมา หัวใจของคริสตกวูบ...เขารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน
"คริส...ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ"
อันเดรสตะโกนบอกเพื่อนที่ยืนโกนหนวดอยู่ในห้องน้ำ
"ไปไหน?"
"ภาคฯ ภาษาอังกฤษ ฉันจะไปหาคาตาลิน่า"
คริสสะดุ้ง เลือดหยดน้อยๆ หยดลงบนอ่างล้างหน้า อันเดรสเดินเข้ามาหาแล้วนิ่วหน้า
"ซุ่มซ่ามจริง มานี่ เดี๋ยวฉันเช็ดให้ ไหนขอดูหน่อย"
เขายื่นหน้ามาดูและหยิบทิชชู่เช็ดแผลเล็กๆ ที่ข้างแก้มของคริส คริสใจสั่นระรัวเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ห่างหน้าเขาเพียงชั่วคืบ เขารู้ตัวมาสักพักแล้วว่าเขาคิดกับเพื่อนรักคนนี้เกินเพื่อน แต่สังคมในยุคนั้นยังไม่เปิดกว้างเรื่องเพศ แม้จะเริ่มมีกระแสเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพของชาวรักร่วมเพศ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเขาก็ไม่คิดว่าอันเดรสจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา เขาจึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกของตนเองไว้และรักษาความเป็นเพื่อนแบบนี้ไว้
อันเดรสพบปะกับคาตาลิน่าอีกหลายหนก่อนที่จะกล้าพอชวนเธอออกไปกินกาแฟซึ่งสาวเจ้าก็ตอบรับด้วยความยินดี แต่ทุกครั้งที่พบเจอกัน อันเดรสจะลากคริสไปด้วยโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากอยู่กับคาตาลิน่าหรือที่เขาเรียกว่าแคทสองต่อสองเพื่อเลี่ยงคำครหาที่จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของหญิงสาวชาวละตินคนนี้ เขาซึ่งโตมาในโบสถ์รู้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ สำหรับคริส ก่อนจะทันรู้ตัวเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกับสาวน้อยชาวอาร์เจนไตน์นี้ไปอีกคน เขารักในนิสัยเปิดเผยและกล้าแสดงออกของเธอ แคทมีความคิดทันสมัยก้าวหน้ากว่าเพื่อนสาวๆ ของเธอหลายคน เขารู้สึกสนุกที่ได้อยู่กับเธอ
ไม่นานอันเดรสและแคทก็ตัดสินใจคบหากัน ทั้งคู่แลกจูบแรกกันที่มุมปลอดคนในหอสมุดของมหาวิทยาลัย แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่ทั้งคู่ทำ ทั้งอันเดรสและแคทต่างปฏิญานจะถือความบริสุทธิ์ไปจนถึงวันแต่งงาน ฉะนั้น แม้คบหากันอย่างเป็นทางการแล้วชีวิตแบบเราสามคนของอันเดรส แคทและคริสก็ยังคงอยู่ต่อไป อันเดรสและคริสยังคงไปเรียนพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน แต่ระหว่างวัน เมื่อกินข้าว ไปดูหนัง ฟังเพลงก็จะมีแคทเพิ่มขึ้นมา คริสจะหลบหายไปอย่างรู้งานเมื่อทั้งคู่ต้องการความเป็นส่วนตัว สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นอันเดรสมีความสุข และอย่างน้อยเขาก็ยังได้อยู่เคียงข้างเพื่อนรักของเขาคนนี้
หากสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนดั่งฝันแบบนี้ตลอด
"แคท เป็นอะไร?"
คริสถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวตาแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา วันนี้เขามารับแคทไปกินข้าวแทนอันเดรสซึ่งไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แถบซิลิคอน แวลลี่ย์
"คริส ฉันจะทำยังไงดี?"
แคทปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น คริสทำอะไรไม่ถูกได้แต่ส่งน้ำให้เพื่อนสาวและคอยรับฟัง
"แม่ฉันรู้เรื่องฉันกับอันเดรสแล้ว แม่โกรธมาก ตั้งแต่ก่อนมาแล้วแม่สั่งห้ามไม่ให้ฉันคบหาผู้ชาย แต่ฉันก็รักอันเดรสจริงๆ"
แคทซบหน้าลงกับฝ่ามือ คริสถอนหายใจ แคทเคยเล่าให้พวกเขาฟังแล้วเรื่องครอบครัวของเธอ ครอบครัวของแคทเป็นตระกูลเก่าแก่ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวสเปนรุ่นแรกๆ ที่มาตั้งรกรากที่อาร์เจนติน่า ถึงจะไม่ได้เล่าให้ฟังละเอียดมากแต่พวกเขาก็พอรู้ได้ว่าบ้านของแคทนั้นน่าจะมีฐานะดีพอสมควรและแน่นอนว่าย่อมไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวมาเกี่ยวพันกับเด็กกำพร้าจนๆ จากปูเอร์โต ริโก้
"แม่บอกว่าจะให้ฉันเลิกเรียนและกลับบ้าน"
คริสสะดุ้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าเพื่อนสุดร่าเริงของเขาจะเสียใจแค่ไหน เขาคงทนเห็นภาพนั้นไม่ได้
"ใจเย็นๆ นะแคท เราค่อยมาหาทางแก้กัน"
"แคทรักอันเดรสจริงๆ ใช่ไหม? พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเขาใช่ไหม?" คริสถามเพื่อให้แน่ใจ
"ใช่ แม้กระทั่งทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังฉันก็ยอม"
แคทพูดอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาทั้งคู่ตกลงจะยังไม่บอกอันเดรสจนกว่าจะหาทางออกได้
สิ่งแรกที่คริสแนะนำให้แคททำคือหาทุนการศึกษา คาตาลิน่ามาเรียนที่นี่ได้ด้วยทุนจากแม่ ถ้าต้องการจะอยู่ด้วยตนเองก็ต้องหาทุนเรียนเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้อันเดรสฟัง ตอนแรกอันเดรสด่าคริสอย่างหนักที่รู้เรื่องแล้วไม่ยอมบอกเขา แต่ก็มีทีท่าอ่อนลงเมื่อแคทบอกเหตุผลว่ายังไม่อยากให้เขาซึ่งเริ่มเข้าทำงานพิเศษกับบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องห่วง และก็เป็นคริสที่ช่วยหาทางออกให้กับปัญหานี้
"ตอนนี้ฉันหาทุนได้แล้ว แต่ต้องเปลี่ยนจากสาขาวรรณกรรมภาษาอังกฤษเป็นวรรณกรรมสเปนและลาตินอเมริกาแทน ซึ่งฉันไม่รังเกียจนะ"
แคทเล่าให้ฟังด้วยหน้าตาเปี่ยมสุข พวกเขานั่งอยู่ที่ห้องโถงของบ้านเช่าของอันเดรสและคริส
"แต่มันก็ยังไม่ใช่ทุนเต็ม ก็ยังมีต้องจ่ายเพิ่มอีกหน่อย ไหนจะยังมีเรื่องค่าที่พักอีก คุณจะไหวเหรอ?"
อันเดรสถาม เขาบอกว่าเขายังมีเงินเก็บอยู่แล้วตอนนี้เขากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่จากการเข้าทำงานกับบริษัทที่ซิลิคอน แวลลี่ย์ซึ่งเห็นศักยภาพในตัวเขา เขาพร้อมที่จะใช้มันเพื่อให้คนที่เขารักได้อยู่ต่อที่สหรัฐฯ
"แต่...รวมๆ แล้วมันก็อาจจะยังไม่พอ"
เขาถอนหายใจ คริสที่ฟังอยู่นานผละขึ้นไปที่ห้องของเขาและกลับลงมาพร้อมสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง เขาส่งมันให้อันเดรสซึ่งเปิดดูแล้วทำตาเหลือก ในนั้นมีเงินจำนวนมากกว่าที่พวกเขาต้องการไปมากโข
"มันเป็นเงินที่พ่อฉันโอนมาให้เป็นประจำ แต่ฉันเอาไปใช้แค่พอจ่ายค่าเรียนกับค่าเช่าบ้าน ฉันไม่ได้อยากได้เงินของเขา แต่ถ้ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกนาย ฉันก็ยอม"
"เอาไปใช้ซะ ถือว่าฉันให้ยืมก็ได้"
อันเดรสและแคทขอบคุณคริสทั้งน้ำตา คริสยิ้มน้อยๆ เพื่อความสุขของคนที่เขารักทั้งสองคน เงินแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กมาก
"เดี๋ยวพ่อฉันก็ส่งมาให้ใหม่อีกนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก"
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แคทบอกแม่ของเธอว่าจะไม่ยอมกลับและเลิกติดต่อกับทางนั้นโดยสิ้นเชิง แคทย้ายออกจากหอมาเช่าบ้านหญิงล้วนที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านเช่าของพวกคริสและอันเดรส ภาพพวกเขาสามคนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั้นเป็นภาพที่ชินตาของคนในย่านนี้ไปแล้ว พวกเขาหัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกันและใช้เวลาด้วยกันแทบตลอดเวลาเว้นแต่ตอนอันเดรสต้องไปทำงานและเวลานอนซึ่งแคทกลับไปนอนที่บ้านของตน ทั้งคู่ยังคงรักษาคำปฏิญานของตนอย่างเหนียวแน่น
"อันเดรส ทำอะไร?"
คริสมองอย่างงงๆ เมื่อเพื่อนหนุ่มลงนั่งคุกเข่าข้างหน้าเขาพร้อมกล่องแหวนที่ยื่นมาข้างหน้า
"ขอซ้อมหน่อยน่า"
อันเดรสพูดยิ้มๆ พรุ่งนี้เขาจะขอสุดที่รักของเขาแต่งงาน เขาพูดคำรักของเขาออกมาเป็นภาษาสแปนิชที่คริสไม่เข้าใจ แต่เขามั่นใจว่าแคทคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ เพราะขนาดเขาที่ไม่ใช่เป้าหมายของคำนั้นได้ฟังน้ำเสียงอันเปี่ยมด้วยอารมณ์รักนั้นเขาเองก็ยังแทบร้องไห้ออกมา
'ได้ ฉันจะแต่งกับนาย'
เขาเผลอตอบเบาๆ ในใจ แต่ปากเขากลับพูดยั่วเย้าไปว่าไม่ ไม่ยอมแต่งแล้วก็โดนเพื่อนรักถีบเข้าแรงๆ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบ้านเหมือนเช่นทุกวัน
"อันเดรส เป็นอะไร?"
คริสถามอย่างตกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักที่มีทีท่าร่าเริงในตอนเช้ากลับเข้าบ้านมาอย่างเมามายด้วยทีท่าเศร้าสลด
"แคทไม่ยอมแต่งงานกับฉัน ทำไม ฉันไม่เข้าใจ"
อันเดรสพูดพร้อมน้ำตานองหน้า ดวงตาที่ร่าเริงตลอดเวลาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
"เค้าบอกว่าให้ฉันไปคุยกับนายก่อน ฉันไม่เข้าใจ ทำไมวะ?"
อันเดรสจับคอเสื้อคริสเขย่า
"หรือพวกนายแอบทำอะไรลับหลังฉัน หา?"
เขาตะโกนใส่หน้าคริส แล้วก็โดนอีกฝ่ายชกหน้าอย่างเต็มแรง
"มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า"
คริสตะโกนใส่หน้าอันเดรสซึ่งนอนกุมหน้าอยู่บนพื้น
"ก็ฉัน...ฉัน..."
'รักนาย'
หากคำนั้นไม่ได้ผ่านออกจากปากของเขาไป
"ฉันไม่เคยคิดกับแคทแบบนั้น"
อันเดรสซึ่งสร่างเมาเพราะฤทธิ์หมัดของเพื่อนรักตะกายขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วกุมหัว
"แล้วทำไมแคทเขาให้ฉันมาคุยกับนาย? หรือว่าแคทรักนาย? ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะยอมหลีกทางให้"
คริสส่ายหน้า เขาก็ไม่เข้าใจว่ายัยบ้านั่นคิดอะไรอยู่ เขาถอนหายใจ
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับยัยนั่นเอง"
-----------------------------------------------
ระหว่างรอเรื่องของฆาเบียร์กับเจ เรามาอ่านเรื่องอาปาของฆาเบียร์ตอนหนุ่มๆ ไปก่อนนะคะ น่าจะประมาณสองตอนจบ ถ้าจบลงนะ