“เขา....กับหย่งอี้....เป็น...”
“ใช่”
“แล้วยังไง....ถึงจะอยู่ในร่างเขา แต่ผมไม่ใช่คนที่ชื่อ หย่งอี้
จะให้ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมน่ะเหรอ...ให้ในสิ่งที่ผมต้องการสิ
ตอนนี้ผมอยากรู้เรื่องครอบครัวผม .....ไม่อย่างนั้น...ปล่อยผมเป็นอิสระ ผมจะกลับบ้าน”
“คุณกลับไม่ได้”
“อะไรอีกล่ะ” เด็กหนุ่มเอ็ดใส่อย่างอารมณ์เสีย
“คนที่จะเข้ามาอยู่วังหลังได้ไม่ใช่จะเข้ามากันได้ง่ายๆ หากจะออกไปได้ก็ต้องไม่มีลมหายใจ หรือเป็นนักโทษเนรเทศเท่านั้น”
เฟรดลุกขึ้นไปที่ผนัง ร่างเล็กลุกตามมาด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะให้ดูอะไร
เมื่อปลายนิ้วแตะที่ผนังแทนที่จะมีภาพที่ผนัง กลับมีลมเบาๆพัดจากพื้นจนชายแขนเสื้อเขาปลิว
“เหวอ!!!” หนึ่งตะวันถึงกับผงะ ยืนไม่อยู่ถอยหลังจนเซหงายหลังบนเตียง เขาร้องลั่น“อะไรน่ะ อะไร??”
พื้นห้องหายไปไหน มันกลายเป็นท้องฟ้ากว้างได้ยังไง
ใต้ที่เขาอยู่นี่มองเห็นเมืองอยู่ต่ำเสียจนเห็นบ้านหลังนิดเดียว แม้แต่เมฆยังลอยต่ำกว่า
“ที่คุณเห็นข้างล่างนั้นคือ ปักกิ่งเดิม พลเมือง 23 ล้านคน
ส่วนที่ๆเราอยู่นี่คือ ปักกิ่งมหานครลอยฟ้าพลเมือง1 ล้านคน”
เฟรดแตะผนังซูมภาพเบื้องล่างให้ใกล้จนมองเห็นผู้คนหน้าตาค่อนข้างน่ากลัว
“ถ้าคุณอยากเป็นอิสระ....คุณต้องทำผิดกฎร้ายแรง สำนักตุลาการวังจะเนรเทศหรือไม่ก็ประหารชีวิต
ถ้าเนรเทศพวกเขาจะส่งคุณลงไปข้างล่างนั้น...คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างคุณ.......
อย่างเก่งก็คงหางานได้แรงงานถูกๆ ร้ายที่สุดก็อาจถูกฆ่าเอาอวัยวะไปขาย พวกเขาไม่ส่งคุณถึงบ้านหรอกนะ”
หนึ่งตะวันรู้สึกถึงความเปียกชื้นของเหงื่อที่ไหลจากไรผม
ข้างล่างเห็นแต่ชายฉกรรจ์หน้าตาโหดรอยสักเต็มตัววิ่งไล่กันบนถนนที่เปียกแฉะน้ำเน่า
อย่างเขาจะเอาตัวรอดไหวที่ไหน เมืองไทย.....มันไกลแสนไกลเหลือเกิน
ภาพบนพื้นหายวับไปในพริบตา ลมสงบลงแล้ว
ร่างเล็กนั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ที่หมดพลังไร้เรี่ยวแรงจะอยู่ต่อด้วยซ้ำ เฟรดเข้ามานั่งข้างๆกุมมือเขาไว้
“อย่าเศร้าไป...คุณยังมีชีวิตอยู่นะ .....และผมอยู่ข้างคุณเสมอ”
ดวงตากลมโตเหลือบมองคนตรงหน้าตรงๆ สายตาจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งทำให้ประหลาดใจพอๆกับซาบซึ้ง
น่าเศร้าที่คนๆนี้ภักดีกับหย่งอี้ไม่ใช่เขา จู่ๆประตูห้องก็เลือนเปิดออกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“แห่ม แหมๆๆ ยินดีด้วยนะอายุมั่นขวัญยืนจริงๆ”
หญิงสาวแปลกหน้าเดินเฉิดฉายเข้ามาส่งเสียงดังเริงร่าเหมือนกกระจอก เฟรดลุกขึ้นยืนบังเขาเอาไว้
“คุณหยูหม่ง ไม่คิดว่าจะมาเยี่ยม คุณหย่งอี้ยังต้องพักฟื้นร่างกายอีกระยะ คิดว่าต้อนรับคุณไม่ได้จริงๆ”
“อะไรจะหมางเมินกันอย่างนี้ หย่งอี้เป็นพี่ชายที่น่านับถือของฉันนะ จะมาทักทายตามประสาคนสนิทสนมไม่ได้หรือไร”
ร่างบอบบางผ่านหน้าเฟรดไปอย่างไม่แยแส
หนึ่งตะวันมองหญิงสาวสวยสะพรั่ง ดวงตาโตวาดหางตาสูงเหมือนตาหงส์
คิ้วโค้งคมเข้มริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน เธอเป็นคนสวยจริงๆ
ยิ่งสวมอาภรณ์โบราณสีแดงเข้มอวดเนินอกพองาม ยิ่งเสริมให้งามสง่าเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป
“ยินดีด้วยนะ ตายไปตั้งปีหนึ่งแล้ว รู้สึกยังไงบ้างล่ะคะ พี่ชาย”
เด็กหนุ่มมองตาปริบๆก่อนเหลือบไปทางเฟรด อย่างต้องการให้ช่วย
คำพูดเหล่านี้แม้จะสุภาพแต่ก็แผงคำถากถางอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหยูหม่ง”
“คงจะยังไม่ค่อยปกติสินะ.....ฉันล่ะเป็นห้วง...เป็นห่วง คิดว่าคงใจสลายไม่ใช่น้อยที่กำลังจะได้รับแต่งตั้งแท้ๆ
แต่ก็งานล่มโดนแช่แข็งเสียก่อน หึๆ.....น่าสงสาร น่าจะแช่แข็งต่อไปเสียยังจะดีกว่านะ
เพราะการแข่งขันคราวหน้ามันจะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้วแน่”
หล่อนพูดเรื่องอะไร??
“ยังจะหวังการแข่งขันอีกหรือ” ใครอีกคนเข้ามาในห้องเหมือนที่นี่เป็นร้านอาหารกลางตลาด
หนึ่งตะวันไม่ชอบใจแต่ก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน
ในเมื่อคนที่เข้ามาเป็นชายหนุ่มผมยาว หน้าตาดี ตาคมเข้มและมีรอยยิ้มประทับใจ
เขาต้องถามเฟรดทีหลัง ทำไมทุกคนที่นี่ถึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าแบบยุคโบราณด้วยนะ
ทั้งที่พ้นยุคนั้นมาแล้วตั้งพันๆปีแล้ว อึดอัดไม่น่าสบายแล้วรุ่มร่ามด้วย
“คุณเหวินจิ้ง” เฟรดโค้งศรีษะให้เล็กน้อย
“พี่หยูหม่งทำไมไม่ถามคุณชุนเถาล่ะว่าคนตรงหน้า ใช่ ซูหย่งอี้ตัวจริงหรือเปล่า”
ทั้งห้องเงียบกริบ หนึ่งตะวันใจหายวาบเขามองเฟรดอย่างไม่แน่ใจว่าจะควรพูดอะไรดี เรื่องนี้ควรเป็นความลับหรือเปล่า
“คุณเหวินจิ้ง....”
“ถูกยิงเข้าที่หัวอย่างจังขนาดนั้น.....ฟื้นคืนชีพได้อย่างสมบูรณ์จนน่าสงสัย”
ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเข้ามานั่งข้างๆ ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมเขาเล่น
“คนเขาลือกันทั่ววังเลยนะท่านพี่....ว่า คนข้างในไม่ใช่ท่าน”
“พูดพอหรือยัง” เด็กหนุ่มว่าเสียงกร้าว “เรื่องไร้สาระพรรค์นี้....อย่าเอามาพูดให้ระคายหูฉัน....ออกไป”
หยูหม่งและเหวินจิ้งมองหน้าเขาอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ต่างคนต่างอารมณ์
คนหนึ่งไม่พอใจ พยายามมองหาร่องรอยผิดปกติ ส่วนอีกคนก็มองลึกกว่า
รอยยิ้มของเหวินจิ้งเหมือนจะรู้อะไรดีกว่าแต่ก็ไม่พูด
“ท่านทั้งสอง คุณหย่งอี้ยังไม่ฟื้นตัวดี ต้องพักผ่อนอีกมาก”
“นั้นสินะ....เชิญพักผ่อนต่อเถอะ ท่านพี่”
“หึ....หวังว่าคงไม่ป่วยในช่วงการแข่งขันอีกนะ เพราะครั้งนี้นายท่านคงใช้เส้นสายช่วยไม่ได้อีกแล้ว”
หยูหม่งว่าหางเสียงกระด้างก่อนสะบัดชายกระโปรงพลิ้วจากไป
“สองคนนั้นใครกันน่ะ??”
“นางในวังหลังเหมือนคุณหย่งอี้นั้นแหละ”
“นางใน.....นี่มีกันกี่คนเนี่ย” เด็กหนุ่มไม่อยากรับรู้เลยว่าเขาจะต้องเจอศัตรูอีกมากน้อยแค่ไหน
“วังหลังมีตำหนัก 4 แห่ง เหนือ ใต้ ออก ตก”
“มะ หมายความว่านอกจากหย่งอี้แล้วเขายัง.....ยังมีเมียอีก 3 คนเหรอ”
“เป็นเรื่องจำเป็น เพราะนางในจะคัดเลือกจากชาวบ้านธรรมดา
นอกจากเมืองปักกิ่งแล้วเมืองอื่นก็จะส่งตัวแทนมาเพื่อเชื่อม
สัมพันธไมตรีด้วย นายท่านปฏิเสธไม่ได้ถึงต้องจัดให้มีการแข่งขัน เพื่อลดจำนวนคนลง”
“แล้ว.....เมื่อกี้เธอพูดถึงการแข่งขัน.... แกล้งป่วยระหว่างแข่งอะไรเนี่ยแหละ”
“เอ่อ.....การชิงตำแหน่งครั้งก่อน คุณหย่งอี้ร่างกายอ่อนแอ
สู้ทางกำลังกายไม่ผ่านแน่ นายท่านเลยให้ป่วยเพื่อข้ามไปแข่งขันทางทักษะข้อเขียนจนชนะเลิศ”
“งั้น....ที่ผู้หญิงคนนั้นว่าแข่งขันอีก หมายถึง.....”
เฟรดพยักหน้า “จากนี้ไปอีก 5 เดือน คุณจะต้องลงแข่งขันชิงตำแหน่ง ‘ฮูหยิน’ ของมหานครลอยฟ้าแห่งนี้
........................?!
ติดตามตอนต่อไป