ตอนที่ 6แนชมองหมายเลขโทรศัพท์ที่เรียกเข้า แต่ไม่กดรับ จนกระทั่งสายตัดไปเอง มันเป็นเบอร์ของก้านที่ยังคงโทรหาอยู่ทุกวันเหมือนที่ผ่านมา
เพียงแต่นับตั้งแต่กลับมาจากระยองครั้งหลังสุด แนชก็ไม่ได้รับสายของก้านอีก
เป็นการกระทำที่ทำให้ยิ่งเกลียดตัวเอง
ทั้งที่ควรแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของตัวเอง แต่แค่ได้ยินคำพูดที่แสดงความเกลียดชังจากพ่อของก้าน ก็กลับปฏิเสธก้านอย่างง่ายดาย
...ไม่หรอก มันไม่ง่ายเลยสักนิด...
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป แนชถึงได้โทรกลับไปหากิม เพื่อนแสดงความเข้าใจเพราะก็นั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านกาแฟตอนที่พ่อกับพ่อคุยกัน แต่กิมก็แนะนำว่าควรจะคุยกับก้านให้รู้เรื่อง ไม่ใช่การจากไปเงียบ ๆ แบบนี้
“อยากให้กูบอกเรื่องที่พ่อมันคุยกับพ่อมึงหรือเปล่า”
“อย่าบอกเลย ถ้าก้านมันถามก็บอกไปว่ากูไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของมันกับกู”
“ห่า แนช เรื่องมันเดินหน้าไปแล้วแท้ ๆ”
“เรื่องมันเดินหน้า เพราะเราคิดง่าย ๆ มองโลกในมุมเดียวว่า เราแค่อยากอยู่ด้วยกัน แต่ที่จริง...” แนชพยายามกลืนก้อนสะอื้นที่มันตีขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เมื่อนึกถึงคนที่ซบหน้ากับพวงมาลัยรถ คน ๆ เดียวกับที่มีดวงตาลึกโหลเหม่อมองทะเลท่ามกลางความมืด “บอกมัน ว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
“มันจะดีขึ้นได้ไงวะ” กิมเถียง และยังคงพยายามโน้มน้าวให้เพื่อนกลับมาคุยกับก้านให้รู้เรื่องจนกระทั่งตัดสายไป
เพียงแต่....
ในเดือนถัดมา แนชกำลังจะออกไปทำงาน ก้านก็มายืนอยู่หน้าห้อง ทั้งสีหน้าแววตาดูอิดโรย มีเพียงรอยยิ้มกว้างที่ยังคงเหมือนเดิม
“แนช”
แนชเปิดประตูให้ก้านก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งที่อยากร้องตะโกนที่ก้านมาหา แต่ในสมองกลับว่างเปล่า สีหน้าท่าทางก็มึนงง
“ออกมาตั้งแต่กี่โมง”
ท่าทีของก้านที่ดูแปลกไปกว่าเคยเหมือนกัน ดูเครียดเหมือนแบกของหนักไว้เต็มบ่า
“มารถทัวร์ กะให้มาทันก่อนแนชไปทำงาน”
“ทำไมมารถทัวร์”
ดวงตาสีเข้มหันมามองตรงๆ
“ตอนนี้ผมเหลือแต่ตัวกับปริญญาอีกใบเท่านั้น”
ใจคนฟังหล่นวูบ ทำได้แค่พยักหน้า ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับคนที่เดินทางมาไกล เพราะเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้พอจะคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นที่ระยองได้คร่าว ๆ
...เรื่องที่เราหันหลังให้เขาง่าย ๆ นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่มันคงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ก้านตัดสินใจแบบนี้...เกิดอะไรขึ้น...
“งั้นก้านอาบน้ำแล้วนอนพักนะ ข้างล่างมีร้านค้า ร้านอาหาร หอนี้เขาห้ามทำครัว แต่ถ้าเป็นมาม่า หรือพวกอาหารกล่องเข้าเวฟยังคุยกันได้”
“แนชจะไปทำงานแล้วใช่ไหม” ก้านมองคนที่สวมเสื้อยือคอปกของธนาคารกับกางเกงขายาว "ยังไม่ 6 โมงครึ่งเลย ทำไมไปทำงานเช้านัก"
“อือ กรุงเทพฯ ก็งี้แหละ” แนชปัดไปง่าย ๆ
“งั้นสัก 9 โมงผมจะไปสมัครงานที่แรกก่อน แล้วพรุ่งนี้ก็จะไปอีกแห่ง เขามีโรงงานอยู่ที่รังสิต มันตรงกับสายที่ผมเรียน”
“ดี” แนชบอกยิ้ม ๆ
“แนช”
“อือ”
“ผมทำให้แนชลำบากใจหรือเปล่า”
แนชส่ายหน้า คิดว่าเพราะท่าทีอ้ำอึ้งของตัวเอง ทำให้ก้านรู้สึกไม่แน่ใจก็เลยเดินเข้ามากอดเอวหนาไว้ เจตนาพูดข้ามการกระทำของตัวเองไปก่อน
“ไม่เลย แนชดีใจที่ก้านมาหา แล้วบริษัทที่จะไปสมัครงานวันนี้ อยู่ที่ไหน"
"บางนา"
"โห คนละทางเลยว่ะ"
"ไม่ต้องไปส่งหรอก ค่ำนี้เจอกัน แนชมีเตารีดหรือเปล่า ผมขอยืมรีดเสื้อที่จะใส่ไปสมัครงานหน่อย"
“ปั๊ดเหนี่ยว” แนชขำน “จะใช้อะไรก็ตามสบายเหอะ”
แต่ก่อนที่จะออกไปจากห้องแนชหันกลับไปมองคนตัวโตที่ยังยืนนิ่งอยู่กลางห้องอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปกอด
"ขอโทษที่ทำไม่ดี"
ก้านลูบแผ่นหลังบางของอีกฝ่าย "ผมเข้าใจ"
แนชพยักหน้ากับอกกว้าง ตั้งใจว่ากลับมาตอนเย็นค่อยคุยกัน "ไปสมัครงานแล้วก็กลับมานะ"
"ครับ"
แนชใช้เวลาตลอดวันไปกับการโทรศัพท์ ไม่อยากเชื่อว่ากิมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับก้านเลยสักนิด และไม่สะกิดใจเลยแม้แต่น้อยที่เมื่อหลายวันก่อนก้านมาหาที่ร้านข้าวสาร และถามว่า ปกติแล้วแนชจะออกจากบ้านไปทำงานตอนกี่โมง แต่กิมบอกว่าไม่รู้อะไรขนาดนั้นหรอก รู้แต่ว่ากรุงเทพฯ รถติดมาก
สุดท้ายแนชได้แต่พูดฝากกิมให้ช่วยดูคุณนายส้มจีนแม่ของก้าน
"พ่อเขาอาจไม่ชอบกู หรือโทษพ่อแม่กูยังไงก็ตาม แต่เป็นคนละเรื่องกับคุณนายส้มจีนมึงเข้าใจปะ"
"เข้าใจ ก็เห็นมาตลอดน่ะแหละ" กิมตอบเพื่อนขณะที่หันไปมองแม่ของตัวเอง ที่กำลังเตรียมอาหารกลางวันสำหรับครอบครัวและคนงานอยู่ในครัว "แต่จะว่าไปในบรรดาแม่ๆ ทั้งหมด อาจารย์สายหยุดของมึงน่ะ เรียนเยอะสุด หัวก้าวหน้าที่สุดแล้ว"
แนชหัวเราะหึหึ "ฝากกระซิบบอกคุณนายส้มจีนด้วยละกัน ว่าไม่ต้องห่วง ก้านอยู่ที่นี่"
คุยกันอีกไม่กี่ประโยคกิมก็พูดขึ้น "ก้านมันไม่ใช่คนใจร้อน"
ก้านเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนที่เรียนจบวิศวะฯ มาก็จริง แต่นิสัยพื้นฐานกลับเป็นคนใจเย็น ตรงข้ามกับแนชคนที่เป็นเด็กเรียนของห้อง และไม่ใช่เด็กกิจกรรม แต่กลับใจร้อน
"กูก็รู้ แต่พอเห็นมันมายืนอยู่หน้าห้อง บอกว่า ไม่เหลืออะไรแล้ว กูถึงได้คิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมามันเจออะไร แล้วช่วง 1 เดือนมานี้มันทำอะไร ขณะที่กูยืนอยู่เฉย ๆ แถมยังเป็นตัวเพิ่มปัญหาของมันเข้าไปอีก มันมีเรื่องที่กูไม่รู้เกี่ยวกับมันเยะแยะ"
"โอ้......." กิมลากเสียงยาว "มันไม่เคยเล่าให้มึงฟังนี่เอง”"
"มึงก็ไม่เคยเล่าว่ามึงรู้อะไร"
"ก็รู้เท่าที่ควรจะรู้ แล้วหลายเรื่องมันก็ไม่ควรพูดไป ต้องให้มันเล่าเอง" กิมหักจบจนแนชร้องด่ามาตามสาย
"ห่ากิม กูกำลังตั้งใจฟัง"
"มึงมีเวลาคุยกับมันอีกเยอะ ส่วนทางนี้กูจัดการได้สบายมาก"
วางสายจากกิมก็คือโทรหาดาบเผดิม "ก้านมาอยู่กับแนชที่กรุงเทพฯ นะพ่อ" แนชเล่าเรื่องคร่าวๆ
"อ้าว มันยังไงกันวะเนี่ย" พ่ออุทานเมื่อฟังจบ
"ไม่รู้เหมือนกัน จะค่อย ๆ ถามค่อย ๆ คุย เดี๋ยวพ่อก้านเขาจะมาพูดอะไรกับพ่ออีก ก็เลยโทรฯ มาบอกพ่อไว้"
"มาพูดพ่อก็ไม่บอกหรอก คนไม่ใช่ต้นไม้ จะได้จับดัดได้ตามใจ ก้านมันก็เรียนจบเป็นผู้ใหญ่แล้ว แนชเองก็อย่าใจร้อน ที่ผ่านมาแนชก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ที่ทำให้ก้านมันตัดสินใจแบบนี้"
"ก็ใครจะไปคิดละ เห็นมันใจเย็น อดทนมาตั้งนาน"
"ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังของก้านมันคืออะไร เราไม่รู้หรอก รู้แต่ตอนนี้หลังของมันหักแล้ว หน้าที่ของเราคือทำให้เขาเข้มแข็ง เพราะสุดท้ายแล้วทั้งแนชและก้านก็ต้องกลับมากราบขอโทษพ่อกับแม่ของเขา การไปแต่ตัวแบบที่ไม่เอาอะไรไปเลยแบบนี้ มันเท่ากับการตัดพ่อตัดลูกกันชัด ๆ"
ไม่ได้ลืมหรอกว่า ทั้งแนชและก้านไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว แต่การจะแยกออกไปมันควรไปด้วยเหตุผลไม่ใช่ทิฐิ
"พ่อไม่คิดว่ามันจะเป็นมุมว่า พ่อก้านเขาตัดมันบ้างหรือ"
ดาบเผดิมยอมรับว่าคิดมาตั้งแต่แรกที่ลูกชายบอกว่าก้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ว่าเรื่องนี้คนที่มีทิฐิเป็นที่ตั้งคือชัยชนะ แต่แนชเองก็ใจร้อนไม่เป็นรองใคร ขืนยอมรับตรง ๆ แนชอาจร้องด่าอาละวาดไปกันใหญ่ตามนิสัย ไม่ได้มองในมุมหนึ่งของคนที่เป็นพ่อแม่
"จะใครพูดตัดใคร แต่ความเป็นครอบครัวเดียวกันมันก็ยังอยู่ ผ่านไปอีกสักพัก กลับมากราบขอโทษ แล้วทำให้เขาเชื่อใจว่า พวกแกอยู่ได้ มีความสุขดี ต่อให้ใจยังอยากได้สะใภ้อะไรของเขาอยู่ แต่มันก็อาจจะดีกว่าเต็มไปด้วยความโกรธ"
"พ่อ"
"เออ"
"แล้วพ่อเคยโกรธแนชมั้ย"
"เรื่องนี้น่ะหรือ ไม่หรอก ไม่มีกฎหมายมาตราไหนห้ามคนเพศเดียวกันรักกัน แล้วอาจารย์สายหยุดก็มีลูกศิษย์เข้า ๆ ออก ๆ บ้านถี่ยิ่งกว่าลูกตัว ลูกใครหลานใครก็รวบมาเป็นลูกเป็นหลานตัวไปหมด อย่างที่อาจารย์เขาว่าน่ะแหละ ชีวิตใคร ใครก็ย่อมมีสิทธิ์เลือกเองว่าเขาจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้เป็นสุข"
..ดาบเผดิมมาตามตำรา – แล้วแต่อาจารย์สายหยุดจะเห็นควร- เป๊ะ..
"พ่อ"
"เออ"
"ฝากกอดอาจารย์ให้แน่น ๆ ด้วยนะ แนชรักพ่อกับแม่มากที่สุดในโลก"
ดาบตำรวจแก่ ๆ ยิ้มกว้าง "เออ รักพ่อกับแม่ก็อย่ากินเหล้าให้มากนัก"
"ไรว้าาาาาาาา ดาบเผดิม แนชกินแค่กระป๋องเดียวก่อนนอน แล้วมันก็ตั้งหลายวันแล้วด้วย"
ยังได้ยินเสียงพ่อหัวเราะอารมณ์ดีจนกระทั่งกดวางสายไป
เลิกงานปุ๊บก็ตรงกลับมาห้องทันที ไม่ได้ไถลไปร้านหนังสือ หรือแวะกินข้าวก่อน อันที่จริงก็รู้ว่าน่าจะโทรฯ หาว่าอยู่ที่ไหน แต่ใจกลับอยากเห็นกับตาตัวเองมากกว่า
อยากเห็นอะไร...
ก็คนตัวโตที่เดินมาเปิดประตูห้องพร้อมกับรอยยิ้มกว้างคนนี้ไง
"กลับมาแล้ว"
"กลับมาแล้ว"
แนชก้าวเข้ามาในห้อง ปิดประตูแล้วหันไปกอดเอวคนตัวโตไว้แน่น
"ยักษ์ขี้น้อยใจของไอ้แนช"
มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ข้างหู ขณะที่แนชพึมพัมกับไหล่กว้าง "วันนี้แนชถามตัวเองทั้งวันว่าไอ้คนที่เดินเข้ามาในห้องเมื่อเช้าเป็นตัวจริงหรือฝันไป"
...ไอ้ที่วุ่นวายมาทั้งวันนี่มันอยู่ในฝันหรือเปล่า คนอย่างไอ้แนชเคยต้องทำอะไรแบบนี้หรือไง...
“ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน”
ก้านช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ
“งานวันนี้เป็นไง”
“เรื่อย ๆ เครียดแบบเรื่อย ๆ น่ะ”
ก้านหัวเราะ ส่วนแนชเดินบ่นไปล้างหน้าล้างมือในห้องน้ำ “แทนที่เราจะเป็นคนถามว่าสมัครงานเป็นไงมั่ง กลับมาถามเราเสียได้”
“เขาก็ให้กรอกใบสมัครกับเขียนเรียงความภาษาอังกฤษเล่าประวัติส่วนตัว ถ้าได้เขาจะโทรกลับมาในอีก 15 วัน”
แนชเดินออกมาคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาเช็ดหน้า “แล้วเขียนได้ปะ”
“ได้”
“ไม่น่าถามคนทำรีสอร์ทเลยเนอะ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ”
“พูดกับเขียนมันไม่เหมือนกัน” ก้านบอก ขณะที่เดินตามแนชลงมาที่ร้านข้าวข้างล่าง “พูดเพี้ยน พูดผิดก็ยังเข้าใจกันได้ แต่เขียนนี่มันอีกเรื่องเลยนะ ทุกอย่างที่มันเป็นลายลักษณ์อักษรน่ะต้องระวังให้มาก”
“เป็นนักกฎหมายอีกอย่างละคุณ” แนชหันมาทำตาขวางแบบขำๆ
ก้านขำ “มันก็ต้องรู้ไว้”
กินข้าวเสร็จ ต่อด้วยเดินเล่นที่ตลาดนัดกลางคืน แวะดูเสื้อผ้าที่ร้านค้า และปิดท้ายที่ร้านสะดวกซื้อ
กลับเข้ามาในห้องนั่งดื่มเบียร์ไป ดูหนังแผ่นกันไปจนเกือบจบเรื่อง แนชถามโดยที่ไม่ได้หันมามองคนที่นั่งเหยียดขาพิงเตียงนอนอยู่ข้างๆ
"ก้านว่าห้องนี้มันเล็กไปมั้ย"
ก้านหันไปมองรอบๆ"
"ไม่หรอก" แนชเอียงศีรษะลงพิงไหล่ ก้านเบี่ยงตัวขยับให้แนชเข้ามานั่งหว่างขาแล้วโอบไว้ "มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง เพียงแต่การที่ต้องเผื่อเวลาเดินทางเป็นชั่วโมง นี่ต่างหากที่ผมเป็นกังวล"
แนชหัวเราะ "งั้นพรุ่งนี้ แนชไปสมัครงานด้วย"
"ไม่เป็นไร ผมไปเองได้ เพราะไปถึงรังสิตโน่น"
"อ้าว แล้วทำไงดีล่ะ ลางานแล้ว"
"ลาแล้วหรือ" ก้านทำเสียงประหลาดใจ
"ก็แหม ให้รอฟังอยู่เฉย ๆ มันอึดอัด"
ก้านโอบแขนรัดคนใจร้อน ...เห็นนิ่ง ๆ เงียบ ๆ คิดว่าจะใจเย็นลง แต่ที่แท้ก็ยังเหมือนเดิม
"ที่ไม่พูด ไม่ถามอะไร เพราะกลัวผมไม่สบายใจละสิ"
"เออสิ ข้างในนี่มันจะระเบิดอยู่แล้ว เพราะอยากรู้"
"ถ้าอยากรู้ต้องรู้ให้ได้" ก้านแกล้งทวนช้า ๆ ทำให้แนชพลิกตัว นั่งคร่อมตักหันหน้ามาหา จับใบหน้าของอีกฝ่ายโยกซ้ายโยกขวา
"เออ.....ต่อมอยากรู้ทำงานแล้วหยุดยาก แต่ก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าจะทำให้ไม่สบายใจ"
กอดเอวผอม ๆ ไว้หลวม ๆ "ใช่ว่าผมไม่อยากเล่า แต่ผมแค่อยากให้แนชรู้ว่า ผมพยายามแล้ว"
แนชพาดข้อศอกลงที่ไหล่หนา "ไม่ชอบคำตอบนี้"
ก้านได้แต่พยักหน้า ดูเหมือนไอ้เสือน้อยของกิมกับตือกำลังจะกลับมา แต่ก็มาได้แค่ครึ่งทาง
"ถ้าผมเป็นพี่กิมกับพี่ตือ ที่ไม่ตอบคำถามของแนชจะเกิดอะไรขึ้น"
"เละ!"
ก้านหัวเราะอารมณ์ดี แนชไม่ถนัดพูดก็จริง แต่เรื่องแสดงออกตรงกับใจ ไม่เป็นรองใคร
"ก็อย่างที่แนชรู้ พ่อยังคงอยากให้ผมแต่งงาน แต่ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับผู้หญิง กับเด็กที่จะเกิดมา ตัวของผมอยู่กับพวกเขา แต่ใจผมอยู่กับอีกคน" ดวงตาสีเข้มที่มองมาบอกถึงความจริงใจ "แล้วพอแนชกลับมากรุงเทพฯ กลับไม่รับสายผม มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบปุบปับที่ทำให้ต้องฉุกใจคิด แต่ตั้งใจไว้ว่าแนชกลับไปบ้านเมื่อไหร่คงได้คุยกัน"
"แล้ว...ทำไมถึงตัดสินใจมากรุงเทพฯ"
"เพราะแม่เห็นด้วยกับผม พ่อก็เลยหันไปว่าแม่" ก้านเงยหน้าเหมือนกำลังซ่อนน้ำตา "มันอาจเคยเกิดขึ้นในเวลาที่ผมไม่อยู่ แต่แค่ครั้งเดียวที่ได้ยิน มันก็มีน้ำหนักมากพอที่จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ผมโอนทุกอย่างให้เป็นชื่อพี่สาวทั้ง 2 คน แล้วก็ออกมา"
ก้านยังคงเล่าเกี่ยวกับตัวเองด้วยประโยคที่แสนสั้น แต่กลับบอกเรื่องราวได้หลายอย่างเช่นเดิม
"ไว้เราค่อยกลับไปหาแม่ด้วยกัน" แนชบอกพลางเช็ดน้ำตาที่หยดจากหางตา "แต่พ่อคงต้องใช้เวลา"
"ช่วงที่ผมโอนรถให้พี่กาญจน์ ผมเพิ่งรู้ว่าพ่อผมไปคุยกับพ่อแนชด้วย"
"หื้อ...อันนั้นจิ๊บ ๆ ดาบแกจัดการได้" แนชพูดขำ ๆ แต่ก้านเพียงแค่ยิ้มจาง ๆ
"แนชคิดว่าผมวู่วามหรือเปล่า"
"ไม่หรอก คนวู่วามคงไม่เสียเวลาโอนของพวกนั้นให้พี่สาวก่อนที่จะมาแน่ๆ "
....แต่มันคือการใช้เวลาทุกนาทีไปกับการถามตัวเองว่า สิ่งที่ทำถูกต้องหรือไม่....
"ผมเชื่อมาตลอดว่า ผมแค่รักแนช ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่" ก้านซบหน้าลงกับไหล่บาง "วินาทีที่ได้ยินพ่อเสียงดังใส่แม่ ผมก็คิดว่า นี่ผมทำร้ายพ่อกับแม่ขนาดนี้เชียวหรือ จนถึงตอนนี้ผมก็รู้ตัวอยู่ตลอดว่าผมยังคงทำให้แม่ต้องเดือดร้อน และการจากมาไม่ใช่การแก้ปัญหา"
"แต่ก็มาแล้ว เมื่อเช้าถึงได้กังวลว่าจะทำให้แนชเดือดร้อนหรือเปล่า"
"ใช่"
"อย่างที่เคยบอกไป ระยองคือบ้านของเรา ยังไงก็ต้องกลับไป แล้วโทรบอกแม่หรือยังว่าอยู่ที่นี่"
"ยัง ถ้าโทรไปพ่ออาจจะอยู่ใกล้ ๆ"
“งั้น จะว่าไรไหม ถ้าจะให้ไอ้กิมมันไปดู ๆ ว่าแม่เป็นไงมั่ง”
ก้านยิ้มกว้าง เหมือนเดาคำถามของแนชได้ “ก็เอาสิ เพราะผมก็เป็นห่วงแม่เหมือนกัน”
“ใจเย็น ๆ เนอะ”
ก้านจิ้มหน้าผากคนพูด “บอกใคร”
แนชทำปากยื่นหน้างอ “บอกตัวเองสิ ใครที่ไหนเขาบอกคุณกันล่ะ”
ก้านก้มลงจูบปากแล้วเลื่อนจูบแก้ม มือใหญ่ลูบไปทั่วแผ่นหลังบางแล้วดันสะโพกบางให้เข้ามาหา
"แนช"
"อือ"
"ได้มั้ย"
แนชยิ้มขำ พลิกหน้าจูบที่ต้นคอ "พยายามอีกนิดสหาย เรื่องวันนี้มันเครียดจนชวนให้เซ็กซ์เสื่อม"
ก้านหลุดขำแนชก็พลอยขำตาม
"รักแนช"
"อือ" แนชตอบห้วนๆ
"อะไรอือ" คราวนี้ก้านเกิดอาการคิดไม่ทันไปชั่วขณะ
"ก็อือ รู้แล้ว"
"แล้ว...."
"อยากบอก อยากทำอะไรก็ตามใจเหอะ ห้ามไปเดี๋ยวมียักษ์ร้องไห้ น้ำตาจะท่วมโลก"
ก้านจับคนพูดเก่งจูบฟัดแก้ม อุ้มขึ้นนอนบนเตียง จากจูบเหมือนเล่น กลับกลายเป็นการเน้นไปที่จุดอ่อนไหวทั่วร่างกายผอมบาง เสียงครางแผ่วเบาแปรเปลี่ยนเป็นการร้องขอ ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจนไม่อาจรอได้อีก......
แนชขับรถมาส่งก้านที่โรงงานใหญ่ย่านรังสิต แล้วรออยู่ที่รถ ส่วนก้านเข้าไปกรอกใบสมัคร ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมาก็โทรฯ มาบอกว่าเจอกับรุ่นพี่ที่จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แล้วก็แขกที่เคยไปพักที่โฮมสเตย์ด้วย
แนชรีบบอกทันทีว่า อย่ารีบตัดบทชิ่งออกมา เขาคุยมาก็คุยไปเรื่อย ๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะขอตัวไปทำงานก่อน หนุ่มตัวเล็กปิดรถแล้วเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ นั่งทำงานอยู่ที่สวนหย่อมเล็ก ๆ ในโรงงาน จนเที่ยงพนักงานหลายคนเดินผ่านออกไปกินข้าวข้างนอกโรงงาน เกือบท้ายขบวนถึงได้เป็นก้านที่ส่งยิ้มกว้างโดดเด่นมาแต่ไกล
"กลับกันได้แล้ว"
"เป็นไงมั่ง" แนชถามทันที
ก้านแค่พยักหน้า ชี้ให้กลับเข้ามาในรถ จนกระทั่งพ้นจากเขตโรงงาน ก้านถึงได้เล่า ว่าพอเขียนใบสมัครเสร็จก็บังเอิญพบกับรุ่นพี่ที่จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน
“แล้วก้านไม่รู้หรือ ว่าเขาทำงานที่นี่”
“รู้แต่ว่าอยู่บริษัทนี้ แต่ไม่รู้ว่าโรงงานนี้”
แต่ต่อให้รู้ว่าอยู่โรงงานนี้ก้านก็ไม่กล้าโทรฯ หาเพื่อขอให้ช่วยฝากงานอยู่ดี เพราะเกรงใจ แต่พอมาเจอกันก็คุยกัน เสร็จแล้วตอนที่ไปส่งใบสมัครที่ฝ่ายบุคคล กลับพบว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลปรากฏ เป็นแขกที่เคยไปพักที่โฮมสเตย์ ก็เลยได้สัมภาษณ์งาน แต่ยังต้องรออีกประมาณ 1 สัปดาห์ว่าจะได้งานหรือไม่
แนชละมือจากพวงมาลัยมาจับมือใหญ่ไว้ รู้สึกเครียดเหมือนเป็นคนสมัครงานเสียเอง
"คิดว่าจะได้ไหม"
"ไม่รู้เหมือนกัน"
"ไมได้ก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเครียด แค่นี้เลี้ยงไหวสบายมาก แต่ถ้าได้งานแล้วเงินเดือนเป็นแสน เจอสาวสวยหนุ่มน่ารักอย่าลืมแนชละกัน"
ก้านขมวดคิ้ว "เงินเดือนเป็นแสนนี่เขาทำงานอะไร ส่วนไอ้ประโยคสุดท้ายนี่ฟังแล้วไม่สบายใจเลย"
แนชหันไปมองคนหน้าตาเคร่งเครียด แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
"ตลอด ๆ พูดเรื่องนี้ทีไรเครียดทุกที"
"ผมไม่ใช่คนโลเล"
"โอ๊เช~~ไม่ใช่คนโลเล เชื่อแล้วคร๊าบ"
แนชจอดรถแวะกินข้าวแล้วกลับมาถึงอพาร์ตเม้นต์เกือบบ่าย 2 ยังไม่ทันจะเดินผ่านโต๊ะยาม โทรศัพท์ของก้านก็ดังขึ้น ก้านรับโทรศัพท์ แล้วดึงข้อมือแนชให้หยุดเดิน
"ครับ ครับ ได้ครับ"
แนชทำหน้าตาเหรอหราหันไปมองหน้ายามกับแม่บ้านที่หน้าเค้าน์เตอร์
พอก้านกดปิดโทรศัพท์ก็หันมาเขย่าตัว คนผอมบาง "ผมได้งานแล้ว ผมได้งานแล้วแนช เริ่มงานอาทิตย์หน้า" คนตัวโตร้องตะโกน
"เย๊!!!!" แนชช่วยร้องตะโกน แต่ยังไม่วายประชด "ทำไมหางานได้ง่ายนักวะ"
(มีต่อนะครับ
)