- ไปค่ายตอนที่ยี่สิบสาม : คืนเปิดใจ -
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของทุกคนที่มาค่ายครั้งนี้มากๆ ความสำเร็จทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือร่วมใจของพวกเราทุกคนที่นี่ พี่ในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการการจัดค่ายขอขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะ ขอบคุณที่ช่วยกันทำงานจนสำเร็จ ขอบคุณพวกเราที่อดทนกับความยากลำบากของการทำงาน ขอบคุณที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสามสัปดาห์”
นานๆ ครั้งที่พี่ปิงปองจะพูดอะไรจริงจังก็เล่นเอาทุกคนที่นั่งล้อมวงถึงกับน้ำตาซึม
“ถ้าพี่ได้ทำเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเราไม่พอใจหรือไม่สบายใจตรงไหน พี่ขอโทษพวกเราไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะ กิจกรรมต่อไปนี้ของพวกเราคือการเปิดใจ อย่างที่บอกว่าการทำงานกับคนกลุ่มใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาที่เราอาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ทั้งคำพูดและการกระทำทุกอย่าง”
“........”
“พี่อยากให้ทุกคนพูดความในใจของตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร ไม่พอใจใคร ไม่สบายใจเรื่องอะไร อยากให้ทุกคนพูดออกมา เปิดอกคุยกันอย่างพี่น้อง เมื่อได้พูดได้ระบายออกมาแล้วอยากให้พวกเราให้อภัยกันและเริ่มต้นกันใหม่ ทิ้งความรู้สึกไม่ได้ไว้ที่นี่เพื่อที่กลับไปเราจะเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันเหมือนเดิม”
พอพี่ปิงปองพูดจบบรรยากาศก็เงียบสงัดไปเกือบนาทีทุกคนมองหน้ากันไปมาก่อนที่พี่กลมซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากผมจะยกมือเป็นเชิงอนุญาตเพื่อขอพูด ดังนั้นทุกสายตาจึงจับจ้องมาที่พี่แกทันที พี่กลมยกมือประกบกันเสมือนการพนมมือก่อนจะก้มศีรษะลง
“ผมขอโทษครับพี่ปิงปอง”
พี่ปิงปองยิ้มแล้วพยักหน้ารับคำขอโทษนั้น ทั้งที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่กลมไปทำความผิดอะไรไว้
“ผมขอโทษพี่ๆ คนอื่นๆ ด้วยสำหรับเหตุการณ์ที่ผมพาน้องปีหนึ่งออกจากค่ายแล้วละเมิดกฎค่ายข้อที่สอง ซ้ำยังสร้างความเดือดร้อนให้พวกพี่ๆ ออกไปตามกันด้วยความเป็นห่วง ผมในฐานะพี่ใหญ่ของกลุ่มที่ละเมิดกฎค่ายอยากขอโทษพวกพี่ๆ ทุกคนอีกครั้ง ผมขอโทษครับ”
วินาทีนั้นพวกเราปีหนึ่งทั้งหกคนลอบสบตากันอย่างพร้อมเพรียงแล้วยกมือขึ้นประนมก่อนจะเปล่งคำขอโทษออกมาพร้อมๆ กัน
“พวกผม/พวกหนูขอโทษครับ /ค่ะ พี่ๆ”
พี่ปิงปองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูภูมิใจกับสิ่งที่พวกเราทำอยู่ตอนนี้ไม่น้อย
“พวกเรารู้สึกผิดและสำนึกผิดกับความผิดครั้งนี้จริงๆ ครับ ให้อภัยพวกเรานะครับ”
“พี่ให้อภัย”
พี่ปิงปองตอบยิ้มๆ “และพวกพี่ไม่เคยโกรธพวกเราเลย แต่แค่เป็นห่วงและอยากเตือนสติให้พวกเราให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ที่พวกพี่ทำไปทั้งหมดก็เพราะความห่วงใย พี่ดีใจที่พวกเราเข้าใจไม่โกรธเคืองพวกพี่ที่สั่งลงโทษพวกเรา”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“พวกผมไม่เคยโกรธพี่เลยครับ” ผมกวาดตามองไปรอบๆ ที่รุ่นพี่ทั้งหลายยิ้มรอท่า “ดีใจซะอีกที่พวกพี่ห่วงใยพวกผม”
“งั้นก็เคลียร์”
พี่ต้องพูดยิ้มๆ หลังจากนั้นชาวค่ายคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยยกมือขออนุญาตพูด และเหตุการณ์ต่อจากนั้นคือบรรดาชาวค่ายต่างพูดความในใจ บ้างก็ขอโทษขอโพยกันกับเรื่องที่มีเหตุให้ขุ่นข้องหมองใจ การเคลียร์กันท่ามกลางการให้กำลังใจของทุกคนเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมาก ถึงแม้จะมีน้ำตาสำหรับคู่ที่ได้เปิดอกเคลียร์กันตรงๆ ถึงอย่างนั้นค่ำคืนนั้นก็เต็มไปด้วยความรักของพวกเราชาวค่ายและมิตรภาพอันงดงามที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ
“ปีนี้ไม่มีใครเปิดใจสารภาพรักกันเลยรึไงวะ?”
พี่ต้องพูดอย่างขำๆ แต่ทำไมไม่รู้ผมถึงรู้สึกว่าพี่ต้องมันมองผมด้วยรอยยิ้มแบบนั้นวะ พอมีคนเปิดประเด็นนี้เท่านั้นแหละหลังจากนั้นชาวค่ายก็ทำเสียงโห่แซวไปรอบทิศ บรรยากาศอบอุ่นเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นสนุกสนานอีกครั้ง ตอนนั้นแหละที่ผมนึกเสียวราวกับคนมีชนักติดหลัง พอหันไปสบตากันหัวหน้าแก๊งสี่โจรที่นั่งจ้องอยู่ฝั่งตรงข้าม ไอ้อาการขัดเขินนี่แหละที่กลัวว่าจะทำตัวต้องขายหน้าและทำให้คนรอบข้างจับสังเกตได้
บ้าชะมัด!
หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะโว้ยไอ้พี่ปืน หยุดมองผมแล้วยิ้มน้อยๆ เลยนะ หยุดเลยนะ พี่แม่งทำให้ผมเต้นใจกะอิแค่ยิ้มมุมปากแบบนั้น แล้วสายตาที่มองผมตรงๆ กระแสที่ส่งออกมานั่นเป็นการบอกกลายๆ ถึงความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลเล่นเอาผมมือสั่นไปหมด
“มีแฟนรึยังครับ?”
หา!
ผมหันขวับไปที่พี่ปีสี่คนหนึ่งที่โพล่งขึ้นเรียกเสียงเฮลั่นจากพวกเราแทบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ที่ร่วมตบไม้ตบมือไปกับพวกเราด้วย
ว่าแต่พี่แกพูดถึงใครวะ?
“มีแฟนรึยังครับน้องบี?”
พี่บีเพื่อนสนิทพี่กลมสะดุ้งโหยง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นแดงวูบวาบเผลอเบียดเข้าไปใกล้เพื่อนสนิทตัวเองแล้วหรุบตามองพื้น ระหว่างนั้นเสียงโห่แซวจากทั่วสารทิศก็ส่งเสียงให้กำลังใจผู้กล้าอย่างพี่ปีสี่คนนั้น ไม่เว้นแม้แต่แก๊งสี่โจรที่ตบมือโห่ร้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น
ขนาดไม่ใช่พี่บีผมยังอายสัดๆ!
จังหวะที่สบตากับพี่ปืนอีกครั้งได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้พี่มันนึกอุตริทำอะไรโต้งๆ แบบนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมก็ได้วูบแน่นอน คนก็เยอะ อายก็อาย
“พี่ชอบน้องบี ถ้าน้องยังไม่มีแฟนพี่อยากจะขอจีบ”
“ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ตอบสิน้องบี ตอบไปเร็วๆ ค่ะลูกสาว” กลุ่มเจ่เชียร์เย่วๆ “ตอบไปลูก ถ้าหนูไม่เอาพวกพี่จะได้ช้อนซื้อต่อนะ”
“เอ่อ บียังไม่มีแฟนค่ะ”
พี่กลมตบมือรัวๆ ดูถูกใจในคำตอบของเพื่อนสาว
“งั้นพี่จีบนะ”
พี่บีพยักหน้าอายๆ ก่อนจะหรุบมองพื้นเมื่อเสียงเป่าปากโห่ร้องดีใจดังสนั่น
“ไปเดทกันค่า”
“ฮิ้วๆๆๆๆๆๆ”
ผมอมยิ้มปรบมืออย่างดีใจกับความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นที่ค่ายแห่งนี้
“แล้วมึงล่ะแรก?” ...อะไรซิ!...
ทั้งค่ายพร้อมใจกันเงียบเสียงเมื่ออยู่ๆ พี่ปืนแม่งเสือกโพล่งขึ้นแล้วจ้องหน้าผมนิ่งเรียกว่าเป็นจังหวะเดตแอร์ที่ทั้งค่ายทำหน้าเลิ่กลั่กด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“มึงอะไรวะ”
พี่เม่นขยี้ประเด็นนี้ต่อ
“อะไรยังไงไอ้ปืนว่ามา”
“พูดเลยๆ”
แม่งๆๆๆ
ไอ้พวกพี่แก๊งนายกสโมฯ นำทีมด้วยพี่ฟ้าตะโกนป้องปากพาให้คนอื่นพูดตาม
เชี่ยๆๆๆๆ
ไอ้ห่าเบิร์ด ไอ้ห่าเขมแม่งหยุดสะกิดกูสักที และพวกมึงหยุดทำหน้าล้อเลียนกูแบบนี้เลยนะ ไอ้พวกห่านี้นี่ ผมทำหน้าเลิ่กลั่กหันรีหันขวางพยายามส่งสายตาไปห้ามคนต้นเรื่องว่าอย่าหลุดปากเรื่องนี้ท่ามกลางประชากรชาวค่ายเกือบสี่สิบชีวิตเด็ดขาด
อย่านะโว้ย!
“เป็นแฟนกูได้รึยัง?” “ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“แล่วๆๆๆๆๆๆๆ”
“อั้ยย่ะ” พี่นะโมโห่ร้อง “ไอ้ปืนคนจริงเว้ย”
ไอ้สัดเสียงตบมือโห่ร้องดังราวกับกัมปนาท เรียกว่าคงดังไปรอบๆ บ้านชาวบ้านที่อยู่รอบๆ โรงเรียนแน่นอน ไอ้เหี้ยหน้าไหม้แบบไม่ต้องสืบความ
ฮือ หน้าผมคงแดงยิ่งกว่าตูดลิงแล้วไอ้พวกพี่ห่านี่มันยังไงแทนที่จะช่วยดันแท็กทีมกันโห่แซวผมไปอีก โอ้ย ตายๆ แล้วจะมีหน้าไปมองหน้าทุกคนได้ยังไงวะ
เพราะมึงคนเดียวเลยพี่ปืน พี่มึงคนเดียวเลยแม่ง
“ตอบเลยๆ”
เชี่ยหยุดส่งเสียงเชียร์กันสักที แค่นี้ก็เหมือนตัวจะระเบิดอยู่แล้วโว้ย ผมยกมือปิดหน้าปิดหน้าตัวเองอย่างอ่อนแรง หมดกันที่นี้รู้กันหมดทั้งค่ายเลยไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิต ถถถถ ผมเหมือนคนหมดแรง ทั้งที่หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก ทั้งใบหน้ายังสูบฉีดจนเกิดเลือดไปเลี้ยงทั่วใบหน้าและลำคอ
“ถามอีกทีซิไอ้ปืน”
“เป็นแฟนพี่ได้รึยังน้องแรก?”
“......”
“ตอบค่ะ ไม่งั้นพี่จะจับน้องปืนทำผัวนะ” กลุ่มเจ่ทำหน้าทำตาริษยาแบบตลกๆ ใส่ผมไม่ต่างจากรุ่นพี่ผู้หญิงในค่าย
“ตอบเร็ว”
.
.
“ถ้าทำให้ผมเสียใจล่ะก็...” ผมสบตาพี่ปืนนิ่ง
“...พี่ตายแน่” พูดเสร็จแล้วรีบมุดลงแผ่นหลังไอ้เบิร์ดทันทีเพราะทนปั้นหน้านิ่งทั้งที่แดงเห่อเหมือนโดนน้ำร้อนลวกต่อไปไม่ไหว โอ้ยๆ หัวใจผม
“ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“อ้าวไปเยสกัน”
พ่องงงงงงงง ผมตาเหลือกเหลือบตามองแก๊งสี่โจรยกเว้นตัวหัวหน้าที่โห่ร้องอย่างเมามัน
“โทษๆ กูพูดผิด ไปเดทกันๆ”
“ไอ้สัดนี่มันค่ายสร้างรักที่แท้ทรูจริงๆ”
“รอเหี้ยอะไรปรบมือสิครับ คนจะได้เยส เอ้ย เดทกัน”
อ้ากกกกกกก
ไม่ไหวแล้วโว้ย ท่ามกลางเสียงร้องโห่แซวของคนทั้งค่ายและแววตาคู่คมที่มองผมนิ่ง ผมรู้สึกตัวร้อนวูบวาบไปหมด ไม่เคยคิดเลย ไม่คิดจริงๆ ว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ มันทั้งเขินทั้งคาดไม่ถึง
ไอ้สัดหน้าร้อนยิ่งกว่าโดนแสงอาทิตย์เผาไหม้ซะอีก!
หลังจากจบการเปิดใจในค่ำคืนนั้นพวกเราก็ถูกพี่ๆ ไล่ให้ขึ้นไปพักผ่อนเกือบตีสอง อากาศที่นี่ยิ่งดึกยิ่งหนาวจับใจ พอพี่ๆ เลิกประชุมผมเลยรีบวิ่งขึ้นไปมุดผ้าห่มบวกกับความง่วงเลยทำให้พอหัวถึงหมอนผมหลับทันที ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ผมได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่างดังขึ้นในความเงียบ เสียงเพลงทำนองช้าๆ แต่มีคำร้องที่เพราะจับใจ พอเปิดเปลือกตาขึ้นมาทันเห็นเพื่อนๆ กำลังขยับลุกตื่นอย่างงงงวย และไม่นานหลังจากนั้นพี่ปีสองก็มาสะกิดพวกเราให้ลุกเดินตามพวกพี่เขาไป
ในความมืดมิดผมเห็นแต่เสียงไฟจากแสงเทียนที่ถูกจุดไว้เป็นทางยาวและระหว่างทางนั้นผมเห็นพี่ปีสามและพี่สี่ทุกคนยืนรอท่าพวกด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส่
**โอ่ ละโอ้ ละเน้อ ... น้องเอย (ลา ลา ... ลา*)
โอ้.. เจ้าน้องเอย พี่นี้ขอชื่นเชย จะมิเลยแรมไกล
จะรักเจ้า ดั่งดวงใจ มิคลายหน่ายนา (ลา ลา ... ลา*)**
พี่ปิงปองยื่นมือมารับพวกเราปีหนึ่งและปีสองทีละคนก่อนจะส่งต่อไปให้พี่คนอื่นๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือของพี่ทุกๆ คนทำให้นึกตื้นใจขึ้นมาอย่างพูดไม่ถูก อาการง่วงเหงาหาวน้อยหายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอื่น
**พี่จะรับขวัญเจ้า เอามาเข้าเป็นขวัญจิต
จะรักดังชีวิต ใจคิดกรุณา (ลา ลา ... ลา*)**
ผมก้มศีรษะแล้วโค้งตัวลงเล็กน้อยเมื่อกลุ่มเจ่คล้องมาลัยดอกไม้ใส่คอให้ด้วยกิริยาอันนุ่มนวล พี่ๆ ทุกคนยิ้มให้พวกเราก่อนจะจับจูงพวกเราไปยังห้องพัสดุซึ่งบัดที่มีเทียนวางไว้เป็นแถวโดยรอบ ไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มเจ่ พี่ปีสี่และพี่ปีสามก็ค่อยๆ เดินมาประจำอยู่หน้าเทียนแต่ละเล่มก่อนจะทรุดตัวนั่งลง จากนั้นพวกเราก็ค่อยทรุดตัวลงแล้วค่อยๆ คลานไปอยู่ประจำเบื้องหน้าของรุ่นพี่แต่ละคนจนครบคู่
ในวินาทีนั้นผมรับรู้ได้ว่าพิธีการต่อจากนี้คงจะศักดิ์สิทธิ์เหมือนการรับขวัญในวันรับน้องที่ผมเคยประสบมานั่นแหละ
“นี่คือพิธีการสุดท้ายของค่ายปีนี้แล้ว”
เสียงพี่ปิงปองดังขึ้นในความเงียบ
“ขอให้น้องค่ายทุกคนจดจำภาพความสวยงามวันนี้เอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพวกเราเป็นกลายรุ่นพี่กันแล้วขอให้จดจำความรู้สึกที่น้องๆ ได้รับวันนี้เพื่อไปถ่ายทอดให้กับรุ่นน้องของพวกเรา พวกพี่ฝากค่ายไว้กับพวกน้องๆ ด้วยกัน ถ้าหากพวกเราได้มีโอกาสทำค่ายกันอีกในอนาคตพี่อยากจะฝากข้อคิดอะไรสักอย่างให้พวกเรา”
“......”
“เมื่อมีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้ผู้อื่นจงอย่านิ่งเฉย ขอให้ทุกคนระลึกไว้ว่าถ้าพวกเรามีเหลือก็ควรจะเผื่อแผ่ให้กับคนอื่น ละทิ้งความสะดวกสบายบ้างในบางครั้งแล้วสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้น” ในความเงียบผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่เสียงสะอื้นไห้จากความเสียใจตรงกันข้ามมันกลับเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ มันเป็นภาพที่สวยงามที่สุดในความรู้สึกของผมเมื่อพวกเราค่อยๆ ยื่นมือออกไปหารุ่นพี่แล้วให้พวกพี่ซึ่งถือด้ายขาวบริสุทธิ์อยู่ค่อยบรรจงผูกด้ายสายสิญจน์นั่นให้พวกเราอย่างนุ่มนวล
**ขอจงหายโศก พ้นภัยหายโรค ให้มีโชคนะน้องยา (ลา ลา ... ลา**)
พี่..จะเอา ด้ายยาว ขาวบริสุทธิ์ (ลา ลา ... ลา**)
พัน..มัด ผูกไว้ ที่ข้อมือของเจ้า (ลา ลา ... ลา**)**
แสงจากเทียนไขส่องส่องตกกระทบเข้ากับใบหน้าของรุ่นแต่ละคน ผมเห็นความเมื่อยล้าที่ใบหน้าของแต่ละคนคงเพราะพี่ๆ อดนอนเพื่อเตรียมพิธีการนี้ แต่ถึงอย่างนั้นแววตาของแต่ละก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่
ภาพตรงหน้ายิ่งสวยงามและประทับแน่นในใจผม เมื่อพี่ปีสามเริ่มทยอยขยับเคลื่อนตัวไปให้พี่ปีสี่ผูกแขนต่อๆ กันไป และหลังจากนั้นพี่ปีสี่ก็ขยับไปให้กลุ่มเจ่ซึ่งเป็นพี่เก่าที่จบการศึกษาไปแล้วผูกแขนต่อ ณ ตอนนั้นทำให้ผมเข้าใจว่าถึงเราอยู่ปีไหน เราก็ยังมีทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบโลกใบนี้นอกจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วเรายังมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในอนาคต
ตำแหน่งประธานค่ายหรืออื่นๆ เป็นเพียงหัวโขนเพื่อให้เราทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผมนิ่งมองพี่ปิงปองที่ยกมือไหว้กลุ่มเจ่ที่ผูกแขนให้พร้อมกับคำอวยพร
ในเวลาแบบนี้มีแต่ความเป็นพี่เป็นน้องกันเท่านั้น
ผมกำสายสิญจน์เส้นหนึ่งที่ขอรุ่นพี่คนหนึ่งเอาไว้ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปหาคนที่ผมอยากจะให้พี่มันผูกแขนให้ ผมยิ้มขำเมื่อเห็นพวกแก๊งดอกไม้และสาวๆ มาต่อคิวให้พี่มันผูกแขนจนแน่นแต่ผมก็ยืนรอยคอยอย่างอดทนจนในที่สุดก็ถึงคิวผม
พี่ปืนชะงักไปเล็กน้อยตอนที่เห็นผมก้าวมาทรุดตัวลงนั่งอยู่เบื้องหน้า
“ผูกแขนให้ผมหน่อย”
“เอาสิ”
ผมยื่นแขนไปให้พี่มัน
“ขอให้มึงใช้ชีวิตในการเป็นนิสิตอย่างมีความสุขตลอดสี่ปี และคิดหวังสิ่งใดก็สมปรารถนา” เสียงทุ้มพี่ปืนดังขึ้นเบาๆ ขณะที่มือหนาค่อยบรรจงผูกด้ายสายสิญจน์ที่คล้องข้อมือผมอยู่
“ขอให้แรกเป็นที่รักของพี่แบบนี้ตลอดไป”**เหมือนดังใจพี่ ผูกพันเจ้าไว้ ไม่หน่ายหนี เออ..เอ้อ เออ เอิงเอย... ใจผูกกัน**
“ขอให้พี่เป็นทั้งแฟนและคนรักที่ทำให้แรกมีความสุขนะครับ” หัวใจผมไม่เต้นแรงแล้วครับ แต่บัดนี้มันกลับสงบนิ่งอยู่ในมือของพี่ปืนแล้ว ฝ่ามือของพี่ปืนบีบมือผมกระชับจนแน่นขึ้น มือทั้งสองของเราสอดประสานกันแน่น ในความมืดที่อาศัยแสงจากเทียนไขผมเห็นเค้าโครงใบหน้าของพี่ปืนได้ชัดเจน เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกอย่างของพี่ปืนจะทับแน่นอยู่ในใจของผม
*********************************************
โซเชียลชาวค่ายวันสุดท้าย!!!
@ค่ายสร้างรัก
พูดเลยว่ามาค่ายหวังได้ผะ-อัว (สุดท้ายก็นก ถถถถถ)
@กานซายเมียพี่ปืน
อยากชื่อ ‘แรก’ เพราะอยากโดนกระแทกด้วย ‘ด้ามปืน’
@GlOmKup
ผมจะจำที่นี่ไม่ลืมเลย #ทีมเมียพี่ไกด์
@แก๊งดอกไม้(สีทอง)
สวยก็นก ตลกก็ไม่ได้ สุดท้ายผช.ก็กินกันเองค่า #ทีมปืนแรก
@สี่ยอดกุมาร
มีพี่ปืนเป็นไอเด้า เอ้ย ไอดอล
@ทีมน้ำตาเมียน้อย
(ไม่รู้ว่าฉันอิจฉา หรือว่าสุขใจ น้ำตาที่ไหลนั้นไหลมาจากจุดไหน นั่นเพราะฉันเสียใจ หรือเป็นเพราะฉันชื่นชม) ยินดีด้วยนะคะพี่ปืนน้องแรก #ทีมกำผ้าเช็ดหน้าแน่น #ทีมกัดฟันด้วยความยินดี กระซิกๆ
@ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่ประสงค์จะฝากใจ
❤
@กลุ่มเจ่อยากจะเปย์แต่ผู้ชาย
หลากกุยรวยคุย #ภาษาลูวันละคำ
@ปิงปองเจ้าของมังกรเบิร์ด
‘หลัวผู’ เบิร์ด
@MYGUN
❤
@แก๊งสี่โจร
ไอ้หัวใจสองคนข้างบนนั่นกูรู้นะว่าใคร เลิกหยอดแล้วไปเยสกันได้แล้วไป๊!! (เม่น+นะโม+ไกด์ // ไอ้ห่าปืนมันหลงเมียอยู่)
“มึงใช่มั้ยเจ้าของหัวใจอันล่างอ่ะ?”
ไอ้ห่าเบิร์ดแสยะยิ้มถาม หน้าตามันบ่งบอกว่ารู้ทันผมไม่น้อย ผมทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะรีบส่ายหัวปฏิเสธ แต่นั่นแหละทำยังไงมันก็ไม่เชื่อผมเลยรีบชิ่งหนีอาศัยจังหวะที่รุ่นพี่เริ่มทยอยขนของขึ้นรถหกล้อที่มาจอดรอท่าอยู่ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ที่ทุกคนทานข้าวเช้ามื้อสุดท้ายที่ค่ายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็มาช่วยกันขนสัมภาระและอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นรถหกล้อ
ผมหันกลับไปเห็นพี่ปิงปองปลดป้ายโซเชียลชาวค่ายและป้ายอื่นๆ แล้วนึกใจหายไม่น้อย ระยะเวลาสามสัปดาห์นั่นก่อให้เกิดความรักและความผูกพันระหว่างพวกเราชาวค่ายและชาวบ้านที่นี่จริงๆ ตอนนี้เริ่มมีชาวบ้านร่วมถึงพ่อแม่บุญธรรมเริ่มทยอยกันมารอส่งพวกเราแล้ว
ทุกอย่างวันนี้ยังคงเหมือนวันที่เรามาวันแรกไม่มีผิด รถกระบะเจ็ดคันจอดรอรับพวกเรา รถบรรทุกหกล้อจอดรอขนของ และพวกชาวบ้านที่พร้อมใจกันมารอท่า ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกอิ่มเอิบใจแต่ส่วนลึกแล้วผมเองก็ใจหายไม่น้อย
อากาศหนาวเย็นในช่วงเช้าบวกกับเสียงไก่ขันที่ได้ยินทุกวันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ บรรยากาศและสถานที่อันคุ้นเคยจะเป็นกลายอดีตที่เคยมาสัมผัสและพบพาน และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้หมู่บ้านแห่งนี้และคนที่นี่จะเป็นกลายเป็นความทรงจำอันงดงามของผมตลอดไป
ผมยืนมองภาพที่ชาวค่ายต่างเริ่มเดินมาล่ำลาพ่อแม่บุญธรรมที่มาส่ง บางคนเริ่มร้องไห้ บางคนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ภาพที่นิสิตนักศึกษาสวมกอดชาวบ้าน ภาพที่เด็กๆ ต่างเริ่มร้องไห้งอแงเมื่อรับรู้ได้ถึงการจากลา
ภาพเหล่านั้นทำให้ผมจุกอยู่ในอก
เป็นของธรรมดาเมื่อเราเริ่มยึดติดและเกิดความรู้สึกผูกพันต่อสิ่งใดหรือใครก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลาย่อมเสียใจเป็นของธรรมดา อย่างที่ใครเคยบอกว่ามีพบก็ต้องมีพราก มีจากก็ต้องมีเจอในสักวันหนึ่ง แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเราจะมีโอกาสกลับมาเยือนที่นี่อีกหรือเปล่า? แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างที่เราทำไว้ ทุกความประทับใจที่เคยเกิดขึ้น มันจะฝั่งแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเรา
ความรักจากคนที่นี่ที่เราได้รับจะเป็นเหมือนเครื่องเตือนจำว่าครั้งหนึ่งพวกเราเคยทำประโยชน์ให้ที่นี่ ครั้งหนึ่งพวกเราเคยมาเป็นลูกหลานของคนเหล่านี้
“อ้ายครับ” (พี่ครับ)
ผมหันไปตามแรงสะกิดของน้องพงษ์ลูกของแม่บุญธรรมที่ยืนยิ้มกว้างแต่นัยน์ตาเศร้าเหลือเกิน
“ว่าไงครับ?”
“บ่กั๋บได้ก่อ้าย” (ไม่กลับได้มั้ยครับ)
ผมส่ายหน้าแล้วย่อตัวให้เท่ากับเด็กน้อยที่เริ่มเบะปากร้องไห้
“ถ้าพวกพี่กลับไปแล้ว เราสัญญากับพี่ได้มั้ยว่าจะเป็นเด็กดีของแม่นิดและจะตั้งใจเรียน”
“ผมคึดเติงหาอ้าย” (ผมคิดถึงพี่)
“พี่ก็จะคิดถึงเรา”
ผมเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าน้องทั้งที่ในใจเริ่มสั่นไหว
“เอางี้ดีมั้ยถ้าคิดถึงพี่ เราก็เขียนจดหมายไปหาพี่สิ”
น้องพงษ์ตาเป็นประกายเมื่อผมจดชื่อและที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้น้อง เด็กชายดีใจจนกระโดดกอดคอผมเลย
“ผมฮักอ้าย” (ผมรักพี่)
“พี่ก็รักเราและคนที่นี่”
ผมกอดตอบน้อง
ใบหน้าขาวผ่องของน้องเริ่มเหยเกอีกครั้งเมื่อผมลูบหลังปลอบโยน สุดท้ายเด็กน้อยก็เป่าปี่ออกมาจนได้ นั่นแหละที่ทำให้ผมอดน้ำตาซึมตามไม่ได้เลยกอดน้องให้แน่นขึ้น
“เป็นเด็กดีนะน้องพงษ์”
“ฮือๆๆๆ”
“ยะ อ...ย่าลืมผมนะ”
น้องพยายามพูดภาษาไทยช้าๆ และชัดๆ แต่ยังติดสำเนียงพื้นถิ่นบวกกับเสียงสะอื้นเลยดูอู้อี้ไม่เป็นคำ
“ไม่ลืมครับพี่ไม่ลืม”
“สัญญานะ”
“สัญญาครับ”
พี่ลูบศีรษะน้องเบาๆ
“พี่สัญญาว่าจะไม่ลืมน้องพงษ์ แม่นิดและทุกคนๆ ที่นี่”
“ฮือๆๆ”
ผมปลอบน้องที่ร้องไห้อยู่สักพัก ไม่นานแม่นิดก็เดินมาสมทบผมเลยยกมือไหว้ท่านก่อนที่ท่านจะยื่นกล่องอะไรให้สักอย่างซึ่งใส่ถุงหิ้วมาอย่างดี โดยข้างในกล่องนั่นท่านบอกว่ามันคือพวกข้าวเหนียวหมูทอดและขนมต่างๆ ให้ผมเอาไปกินเพราะกลัวผมหิวระหว่างทาง ซ้ำยังของที่ระลึกคือกระติบข้าวที่สานด้วยไม้ไผ่อันเล็กๆ แต่ดูก็รู้ว่าคนทำตั้งใจทำให้ขนาดไหน
สิ่งของที่ได้รับมาทำเอาผมทำตาซึมและอดใจไม่ไหวปล่อยน้ำตาให้ไหล่เอื่อยๆ ยิ่งเมื่อแม่บุญธรรมสวมกอดและลูบหลังให้ศีลให้พรเสียยืดยาว แววตาที่ท่านมองผมเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาดีจนตื้นตันใจ มันเป็นความรู้สึกที่บอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ผมสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจ
“เดินทางปลอดภัยนะลูก”
“ขอบคุณครับ”
พี่ปิงปองเริ่มเรียกพวกเรามารวมกันอยู่กลางลานหน้าอาคารเรียนแล้วถ่ายรูปพวกเราพร้อมกับชาวบ้าน ไม่นานหลังจากนั้นก็ทยอยเรียกให้พวกเราขึ้นรถกระบะที่จอดรอท่า ผมกอดลาแม่บุญธรรมและน้องพงษ์เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนี้น้องกอดผมอยู่นานไม่ยอมปล่อยแต่เมื่อถึงเวลาสุดท้ายเราก็ต้องปล่อยมือกัน ผมก้าวขึ้นท้ายรถกระบะไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ
ขณะที่ชาวบ้านเริ่มขยับตามมาส่งเราถึงท้ายรถ และมีบางส่วนเริ่มร้องไห้อีกครั้ง รถเริ่มสตาร์ทแล้วเมื่อทุกคนขึ้นรถกันจนครบทุกคันแล้ว รถคันแรกเริ่มออกตัว ภาพหมู่บ้านลานดาวและภาพคนที่นี่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ผมพยายามมองและจดจำทุกคนให้ชัดเจนในความรู้สึก แต่ม่านน้ำตาที่ไหลลงกลบดวงตาทำให้เห็นภาพนั้นได้เลือนรางเหลือเกิน
เมื่อรถเริ่มเพิ่มความเร็วภาพตรงหน้าผมกลับเล็กลงเรื่อยๆ สายลมพัดมาทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบายตรงข้ามกับหัวใจผมที่วูบโหวงลงทุกที ผมยังจำได้ดีถึงวันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่อยู่ที่นั่น ทุกเหตุการณ์ยังประทับแน่นอยู่ในใจของผม
“ยินดีต้อนรับคณะนิสิตนักศึกษาสู่หมู่บ้านลานดาวครับ”
“อ้ายกิ๋นข้าวเจ๊ามาละก๋า”
ภาพที่พวกเราเคยนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกับชาวบ้าน
ภาพที่ผมเริ่มหัดขับมอเตอร์ไซค์ครั้งแรก
ภาพอ่างเก็บน้ำท้ายหมู่บ้านวันนั้น
ภาพลานดาวอันศักดิ์สิทธิ์
ภาพสนามกีฬาและฝายชะลอน้ำ
ภาพงานกีฬาสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและชาวค่าย
ภาพที่ผมนั่งกินข้าวที่บ้านแม่บุญธรรม
และภาพทุกอย่างที่นั่นกำลังเลือนรางและหายลับไปจากสายตาของผม นั่นทำให้ผมนึกถึงคำถามที่พี่ปิงปองถามก่อนที่จะมาค่าย
คำถามว่า...
“ไปค่ายทำไม?” ในวันนั้นผมยังไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับพี่เขา และเหมือนจะเข้าข้างตัวเองด้วยการบอกว่าผมตามเพื่อนสนิทมาค่ายเพราะมัน
แต่วันนี้....เวลานี้ผมได้คำตอบของคำถามวันนั้นแล้ว
“ไปค่ายทำไม?” “ไปเพื่อเป็น ‘ผู้ให้’ คือเติมเต็มในสิ่งที่ขาด และเป็น ‘ผู้รับ’ เอาสิ่งดีๆ ที่ได้จากการมาทำค่าย”เป็นแฟนกันแล้วเด้อ ฮิ้วๆๆๆ และตอนนี้เป็นตอนที่แอบน้ำตาซึมหน่อยๆเพราะคิดถึงบรรยากาศค่าย
ส่วนตอนหน้าเป็นความในใจของพี่ปืนที่ทุกคนรอคอยเด้อๆ
เรามีช่องทางใหม่ติดต่อสำหรับคนที่อยากถามอยากเม้าท์กับเราแบบรัวๆเด้อ Ask.fm
หวีดในทวิต #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน _______________________________________________________________________
**เครดิตเพลงรับขวัญน้อง**