Note : อีกประเดี๋ยวผู้แต่งต้องไปต่างประเทศ 2 อาทิตย์ (อีกแล้ว) ทำให้อาจจะพิมพ์ลงไม่สะดวกนัก ยังไงก็จะพยายามแต่งต่อแล้วลงให้ผ่าน tablet ซึ่งจะจัดรูปหน้าไม่สวย (อีกแล้ว) ยังไงก็ขออภัยก่อนนะครับ ส่วนตอนนี้เดี๋ยวจะรีบแต่งต่อแล้วลงทีเหลือให้นะครับ
Chapter 30 To be together
แสงแดดสีส้มพุ่งแยงตาทันทีที่ก้าวพ้นออกจากปากถ้ำของประตูมิติ อีกฝั่งของประตูคือถ้ำเล็กๆในหลืบเขาของหุบเขาสีแดง หุบเขาที่เกิดจากหินผาสีแดงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“ถ้าเทียบจากแผนที่ในแผ่นหินกับแผนที่ปัจจุบัน เราน่าจะอยู่ทางเหนือของเทรโร่” ผมเอาแผนที่ที่คัดลอกจุดวาปแล้วขึ้นมากางดู แถบนี้ไม่ใช่เส้นเดินทางหลักทำให้ไม่คุ้นเคยนัก
“ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้น่าจะมีสุสานนักรบอยู่ น่าจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ” เร็กซ์กล่าวขึ้นขณะปีนขึ้นที่สูงหาจุดสำรวจทิวทัศน์
“สุสานนักรบ ?”
“ในอดีตแถบนี้เคยเป็นที่สู้รบกับอสูรยักษ์และกองทัพของมัน อัศวินมากมายทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เพื่อปกป้องประชาชน เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรบุรุษเหล่านี้จึงได้สร้างสุสานให้พวกเขา”
“หมู่บ้านติดกับสุสานเนี่ยนะ”
“เป็นหมู่บ้านของผู้เฝ้าสุสานน่ะ เฝ้าทรัพย์ที่ลูกหลานเอามาเคารพ และเผื่อไว้เป็นที่รับรองผู้มาสักการะ สมัยเรียนอัศวินใหม่ๆข้าก็ต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อเคารพอัศวินยุคก่อน มันเป็นธรรมเนียมรับน้องใหม่” เร็กซ์กอดอกทอดสายตาออกไปราวกับกำลังรำลึกความหลัง
“อืม...ก็ดี ใกล้มืดแล้วด้วย น่าจะดีกว่านอนกลางป่า” โดยส่วนตัวผมค่อนข้างจะขยาดกับสุสาน เพราะเป็นสถานที่ที่มักจะมีวิญญาณสถิตอยู่หนาแน่น ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมอนสเตอร์อาศัยอยู่ด้วย แต่ถ้าได้รับการเฝ้าดูแลตลอดอย่างที่เจ้าอัศวินว่า...มันก็น่าจะปลอดภัย
“งั้นก็ขึ้นม้ากันเลย” อัศวินหนุ่มกระโดดลงมาจากโขดหินแล้วขึ้นหลังฟรีดทันทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ผมปีนขึ้นไปซ้อนหลังเขาไว้ “กอดแน่นๆนะ ครั้งนี้จะไปเร็วหน่อย” เร็กซ์หันมาเตือนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากดูมีอะไรแอบแฝง
“นี่!!! ข้าขี่มาได้สักพักแล้ว แค่เร็วขึ้นหน่อยจะ...เย้ยยยยย” ฟรีดทะยานตัวออกไปแรงจนผมเกือบหงายหลัง ต้องรีบเอามือไปคว้าเอวคนตรงหน้าไว้
“ฮ่าๆ...ก็เตือนแล้ว เร็วอีกเลยฟรีด” อัศวินหนุ่มออกคำสั่งพร้อมตบต้นคอสัตว์ขี่ของตนเบาๆ เจ้าม้าออกวิ่งเต็มฝีเท้า กระโดดลัดเลาะลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว แรงสะบัดรุนแรงจนคนโดยสารแทบจะหลุดออกจากหลังม้า
“เร็กซ์...เจ้าแกล้งข้า เหวอ!!!” ผมกลัวจนตัวเกร็ง สองแขนตวัดไปกอดเอวเจ้าอัศวินไว้แน่น ลำตัวและใบหน้าแนบสนิทไปกับแผ่นหลังกว้างนั้นจนแทบจะติดแปะเป็นเนื้อเดียวกัน
“ฮ่าๆ กอดแน่นๆแบบนั้นแหละ” เร็กซ์หัวเราะร่าแล้วสะบัดบังเหียนเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก “อยากมีคนกอดแบบนี้มานานแล้ว” เขาเผยแผนชั่วออกมาพร้อมมองผมด้วยหางตา แววตาของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข
<หนอยแหนะ เจ้าอัศวินนี่> คิดแล้วก็งุดหน้าหนีลงไปกับแผ่นหลังอันอบอุ่นนั้นเพื่อหลบใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนขึ้นสีของผมไว้ “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
...............................................
ใช้เวลานานไม่นานเราก็มาถึงหมู่บ้านที่เร็กซ์ว่าไว้ หมู่บ้านเรดฮิลล์ (Redhill) ตั้งอยู่ติดชายป่าที่ตีนหุบเขาสีแดง เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมาก มีบ้านเพียง 6-7 หลังเท่านั้น ข้างๆหมู่บ้านเป็นรั้วหินเตี้ยๆปิดกั้นพื้นที่กว้างเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ ตรงกลางมีวิหารเล็กๆกับรูปปั้นนักรบในท่าชูดาบตั้งอยู่
ผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยที่ดีมาก พวกเขาต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างดี แบ่งปันอาหารและที่ชำระล้างร่างกายให้ และอนุญาตให้พวกเรานอนในโรงนาของหมู่บ้านเพราะไม่มีโรงเตี๊ยม แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่รับรองคนเดินทางมาสักการะหลุมศพ แต่เพราะเป็นสถานที่ห่างไกลและเริ่มถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาจึงไม่ได้สร้างที่พักไว้ให้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานก็คงไม่มีใครเดินทางมานอกจากนักเรียนอัศวินมารับน้องอย่างที่เร็กซ์ว่าไว้ ครั้งก่อนที่มาเขาเองก็ต้องกางเต็นท์นอนกัน
พวกเราสองคนผลัดกันไปล้างตัวในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมที่ล้างตัวเสร็จแล้วปูผ้าที่ได้รับมาทับไว้บนกองฟางแล้วล้มตัวลมนอน ผ้าหนาๆช่วยกันความคมของเส้นฟางได้บ้าง ถึงจะคันๆหลังไม่สบายนักแต่ก็ดีกว่านอนกลางป่า
ระหว่างนอนรอเร็กซ์ผมก็ชูมือขวาขึ้นมาดูสัญลักษณ์มังกรที่หลังมือ หลับตาลงตั้งสมาธิจนสัมผัสได้ถึงดวงจิตหลายดวง แม้กายจะห่างกันแต่คนในตระกูลจอมเวทย์สามารถสัมผัสถึงกันละกันได้ด้วยสายใยเวทมนต์ที่เชื่อมต่อคนในครอบครัวเสมอ และในดวงจิตหลายสิบดวงนั้นมี 3 ดวงที่ผมสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไอเวทมนต์มนต์อันเย็นยะเยือกของท่านพ่อ ดวงจิตอันร้อนละอุดังเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งของพี่ใหญ่ และแสงสว่างอันอบอุ่นของพี่รอง ถึงจะระบุตำแหน่งไม่ได้แต่ก็พอรู้ว่าพวกเขาทุกคนสบายดีกันอยู่
“จะทำยังไงดีนะ” ผมพึมพำ ถึงจะคิดถึงและอยากจะรู้สารทุกข์สุขดิบของพวกเขา แต่ถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาผจญภัยอีก
สวบๆ !!!
เสียงฟางยุบตัวลงด้วยของหนักดึงสติผมกลับออกมาจากห้วงความคิด อ้อมแขนเจ้าของน้ำหนักนั้นรวบกายผมเข้าไปกอดแนบชิดจากด้านหลัง
“ทำอะไรอยู่...หืม...จุ๊บ” เร็กซ์กระซิบข้างหูก่อนจะประทับริมฝีปากจูบลงที่ซอกคอพร้อมสูดดมกลิ่นกายของผมฟอดใหญ่
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมลูบหลังมือของเขาเบาๆ “เร็กซ์...หลังจากนี้จะทำยังไงกันต่อเหรอ” ผมตัดสินใจถามสิ่งที่รบกวนจิตใจผมอยู่
“เจ้าวางแผนไว้ว่ายังไงบ้างล่ะ” อัศวินหนุ่มถามกลับ
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะ...ลองไปที่ไกลๆดู” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม บอกตามตรงผมยังไม่ได้คิดถึงอนาคตอะไรไว้เลย “เจ้าจะไปกับข้าไหม”
“แน่นอนสิ แต่ว่า...”
“แต่ว่า...?”
“แต่ว่าข้าคงไม่สามารถหายตัวไปแบบเจ้าได้ ถ้าทำแบบนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”
“...นั่นสินะ” จู่ๆก็มีบางอย่างมาบีบหัวใจของผมไว้แน่นจนอึดอัดไปหมด
“แต่ข้ามีแผนนะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องนี้ และอาจจะไม่ชอบแผนของข้าแต่ช่วยฟังมันให้จบก่อนนะ” เขากระชับกอดให้แน่นขึ้นเพื่อสื่อให้ผมรู้ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน
ผมพยักหน้าตอบรับคำขอของเขา
“ตอนแรกข้าจะยอมติดอยู่ในป่าจันทรา แต่พอออกมาได้ข้าว่าข้าจะกลับไปส่งเควส” คำตอบของเขาทำให้ดวงตาผมเบิกกว้าง ผมรีบพลิกตัวกลับไปประจันหน้า
“...” ในหัวของผมมีคำถามมากมายแต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา
“อย่าพึ่งทำหน้าแบบนั้นสิ บอกแล้วไงว่าฟังให้จบก่อน” เร็กซ์ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆปลอบประโลม
“ข้าจะไปส่งให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้โอกาสได้รับคัดเลือกน้อยที่สุด ไม่สิ...เป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ ข้าว่าเขาคงไม่ต้องการรัชทายาทที่เข้าเส้นชัยเป็นที่โหล่หรอก”
“ถ้าจะทำแบบนั้นทำไมไม่ปล่อยให้เกินกำหนดเวลาไปเลยล่ะ”
“จริงอยู่ที่ข้าไม่สนใจเกียรติยศส่วนตัวแล้ว แต่ด้วยหน้าที่...ข้ายังต้องรักษาเกียรติของตระกูลอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ถ้าไปส่งเควสได้ตามกำหนดเวลาก็จะแสดงให้ราชวงศ์เห็นได้ว่าตระกูลของข้ายังมีศักยภาพเป็นเสาหลักให้ราชวงศ์ได้อยู่...”
“จากนั้นข้าก็จะอ้างท่านพ่อว่าเพราะขาดประสบการณ์ทำให้เควสเสร็จล่าช้า ข้าจะขอออกมาหาประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อฝึกฝนฝีมือ” เขาคลี่ยิ้มออกมาราวกับภูมิใจในแผนการอันแยบยลของตน ผมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มบางๆให้
“ที่นี้ข้าก็จะออกมาเดินทางได้อย่างอิสระ...” อัศวินหนุ่มเอาลูบศีรษะของผมเบาๆ “โดยมีเจ้าอยู่เคียงข้าง”
“หึหึ” ผมรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังยิ้ม แม้แรงบีบรัดที่หัวใจจะหายไปไม่หมดเพราะแผนของเขามีช่องโหว่เพียบ แต่มันก็พอให้ผมสุขใจได้เพราะเขาต้องการอยู่กับผมจริงๆ
“นั่นแน่...เจ้ายิ้มแบบนั้นแปลว่าชอบแผนข้าแล้วสินะ” เขาออกแรงลูบเพิ่มขึ้นจนหัวผมคลอนตามแรง
“ชอบอะไรเล่า ช่องโหว่เยอะแยะ” ผมส่ายหน้าเอือมระอาตอบกลับไป “แต่ก็รับได้”
“ดีเลย...ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปหาที่พักที่เทรโร่สักอาทิตย์แล้วเดินทางไปเมืองหลวงด้วยกัน จัดการเรื่องพิธีและที่บ้านเสร็จก็ไปที่ที่เจ้าปรารถนา” อัศวินหนุ่มสรุปแผนการด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไปเมืองหลวงด้วยไม่ได้”
“ทำไมล่ะ” เขาหน้าเสีย
“อย่าลืมสิว่าพี่วาเรเรี่ยนก็อยู่ในการคัดเลือก ถึงจะนานจนอาจจำหน้าไม่ได้แล้วแต่เขาน่าจะสัมผัสพลังเวทย์ของข้าได้ เราไม่ควรเสี่ยง”
“นั่นสินะ ถ้างั้นก็ให้เจ้ารอที่เทรโร่แล้วกัน ข้าสัญญาว่าจะรีบกลับมา”
“อย่าสัญญาอะไรที่ยังไม่มั่นใจเลย” ผมกล่าวเตือนไป เพราะมันจะทำให้ความคาดหวังของผมเพิ่มมากขึ้น และหากแผนล้มเหลวความเจ็บปวดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
อัศวินหนุ่มไม่พอใจคำเตือนของผม ดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอยู่ที่ปลายกองฟาง ผมตกใจจนเท้าแขนลุกขึ้นนั่ง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ววางมือขวาไว้ที่อกข้างซ้าย ศีรษะก้มลงเป็นท่าคำนับ
“ด้วยเกียรติของอัศวิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะกลับมาหาคนรักของข้าแน่นอน” เขากล่าวอย่างหนักแน่น
“คิกๆ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะออกมาในที่สุด ทั้งท่าที น้ำเสียงและความจริงจังของเขา ผมให้คะแนนเต็มไปเลย “ฮ่าๆ พอแล้วๆ เชื่อแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ คุณอัศวิน” ความชุ่มชื้นกลับมาที่หัวใจของผมอีกครั้ง
ฟุบ!!!
เร็กซ์ลุกขึ้นแล้วกระโจนมาใส่ เขาผลักผมให้นอนราบลงแล้วเอาตัวมาคร่อมผมไว้ สองแขนวางขนาบข้างกักตัวให้ผมไปไหน ดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องมาที่ใบหน้าของผมด้วยความเสน่หา
บรรยากาศในโรงนาเงียบสนิท มีแต่เพียงเสียงหัวใจของคนสองคนเต้นประสานกัน แทรกสอดเป็นจังหวะเรียกหากัน ผมมองใบหน้าของชายหนุ่มบนร่างมันสว่างด้วยแสงเทียนเพียงเสี้ยวเดียว ความหล่อเหลาของเขาดึงดูดให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปประทับจูบ แต่มือของเขารั้งผมไว้ที่ขมับ
“ข้าทำเพื่อเจ้าขนาดนี้แล้ว ขอฟังคำว่ารักจากเจ้าเป็นรางวัลได้ไหม” อัศวินหนุ่มทวงถาม
“อ..อึก...คือ...ข้า...” ผมอึกอัก แม้ผมจะรู้สึกถึงความทุ่มเทของเขา แม้ผมพยายามแล้ว...แต่ผมก็ไม่สามารถเอ่ยคำที่เขาต้องการออกมาได้
“อืม...ไม่เป็นไร ไว้ตอนที่เจ้าพร้อมก่อนก็ได้” สายตาของเขาหลุบลงต่ำด้วยความผิดหวัง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้...เขายังคงให้เวลาผม
“ข้าอาจจะยังไม่พร้อมลั่นคำนั้นออกมาแต่ข้าให้อย่างอื่นเป็นรางวัลได้นะ” แขนสองข้างของผมคล้องคอเขาไว้แล้วออกแรงดึงโน้มลงมาประทับจูบ
ร่างกายของเราสองเรียกหากัน เสียงสีของเนื้อผ้าผสานไปกับเสียงฟางสีกันไปตามจังหวะการขยับของร่างกายเบื้องบน ริมฝีปากอุ่นดูดดึงซึ่งกันและกัน ครั้งนี้เร็กซ์เป็นฝ่ายเริ่มสอดลิ้นเข้ามาก่อน มันเกี่ยวกระหวัดเก็บเกี่ยวความหวานไปทั่ว ผมเองก็ตอบสนองด้วยการเกี่ยวขาไว้ที่เอวเขาแล้วดึงร่างของเราสองมาแนบชิดกัน
ต่างคนต่างขยับมือไม้หาผิวหนังอันอบอุ่น ผมสอดมือไปใต้ชายเสื้อของชายหนุ่มบนร่างลูบไล้ไปตามลายกล้ามเนื้อบนแผ่นหลัง ในขณะที่อีกฝ่ายใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมแก้มผมไว้ไม่ให้ริมฝีปากเราแยกออกจากกัน อีกข้างสอดเข้าไปลูบสีข้างแล้วไล้ยาวขึ้นไปถึงจุกบนหน้าอก เขาวนนิ้วรอบมันช้าๆ
<เก่งขึ้นเยอะเลยแฮะ แต่ครั้งนี้ขอแสดงฝีมือหน่อยแล้วกัน> ผมคิดในใจ ก่อนจะออกแรงผลักให้เจ้าสิงโตพลิกลงไปนอนหงายแล้วผมขึ้นเป็นฝ่ายคุมเกมแทน คนใต้ร่างผมทำหน้างุนงง
“รอส...ทำอะไ...อาห์” ไม่ทันที่เขาจะถามเสร็จผมก็จู่โจมด้วยการซุกไซร้ไปที่หูของเขา ค่อยๆลากลิ้นไปตามใบหูแล้วขบเบาๆไปที่ติ่งหู เรียกเสียงครางต่ำออกมา
“เร็กซ์...เจ้าอาจจะรู้จุดตายของศัตรู แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าตรงไหนบ้างที่เรียกเสียงครางจากชายหนุ่มได้บ้าง” ผมแสยะยิ้มส่งสายตายั่วยวนใส่เขาที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสของผม
............................................
ปล.น้องขี่ม้าไม่เก่ง ขอขี่สิงโตแทนละกันนะ หุหุ
https://twitter.com/CruisingDog/status/1049606564145848323