ภาคความจริง : บทที่ 1
พิธานยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากนั่งทบทวนรายงานสำหรับโปรเจกต์จบปีสองเรียบร้อย หันกลับไปมองสภาพเพื่อนแต่ละคนที่นั่งทำสไลด์บ้าง นอนตายบ้างเกลื่อนกลาดในคอนโดขนาดกลางของสมาชิกในกลุ่ม
พวกเขามีโปรเจกต์กลุ่มที่ต้องทำร่วมกัน พวกเขาหลายคนจึงมาฝังตัวอยู่ที่คอนโดของเพื่อนแทนการกลับหอพักของตัวเอง พิธานเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับหอของตัวเองมากว่าสองอาทิตย์แล้ว เพราะทั้งสอบปลายภาคทั้งงานสารพัดอย่าง มีเพื่อนไว้ช่วยกันติวช่วยกันทำน่าจะดีกว่า
แต่เพราะเหตุนี้ เขาถึงไม่ได้เจอม่านฟ้ามาเกือบเดือนแล้ว
ปกติเขากับคนรักก็ใช่ว่าจะเจอกันบ่อย ยิ่งตัวเขายุ่งๆ แถมม่านฟ้าเองก็ต้องสอบปลายภาคเหมือนกันทำให้ยิ่งไม่มีเวลา มีบ้างที่คุยกันผ่านข้อความหรือโทรศัพท์ แต่มันก็ไม่เหมือนการเจอหน้า
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะโทรหาคนรักสักหน่อยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเวลาจากโทรศัพท์
เที่ยงคืนกว่าแล้ว
เขาจำได้ว่าพรุ่งนี้เช้าม่านฟ้ามีสอบตัวสุดท้ายสำหรับจบปีสองป่านนี้คงหลับไปแล้ว หากโทรไปปลุกตอนนี้คงไม่พ้นโดนบ่นกลับมาแน่
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อยทำใจว่าทนคิดถึงอีกสักวันสองวันก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวปิดเทอมแล้วเขาแอบไปหาที่บ้านบ่อยๆ ก็ได้
บ้านของพวกเขาอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละซอย บางครั้งที่พวกเขาสอบเสร็จพร้อมกัน เขาก็จะได้ตุ๊กตาหน้ารถมาประดับเพื่อกลับบ้านด้วย แต่เพราะครั้งนี้ม่านฟ้าสอบเสร็จเร็วกว่าอีกทั้งเขาเองก็มีโปรเจกต์ที่ต้องส่ง แถมท้ายด้วยไปฉลองกันต่ออีก ม่านฟ้าจึงเลือกที่จะกลับเองในครั้งนี้
โอย ไม่อยากทำตัวติดแฟน แต่นานเข้าก็คิดถึงชะมัด
----
การพรีเซนต์โปรเจกต์จบลงไปได้ด้วยดีตั้งแต่ตอนเช้า สายวันนี้พิธานและกลุ่มเพื่อนจึงออกมาหาของกินที่ห้างสรรพสินค้าแถวมหาลัย กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่ เดินไปไหนมาไหนทีก็เสียงไม่ใช่เบา แถมมีพวกปากหมาที่เดินแซวคนนั้นทีคนนี้ทีไปตลอดทางให้น่าปวดหัว
พิธานเองก็เหนื่อยที่จะปรามจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนสนิทอีกคนคอยด่าคอยเตือนแทน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคิดจะโทรหาคนรักที่สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน
แต่จะด้วยโลกกลมหรืออย่างไร เขาจึงเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่คุ้นเคยจากร้านเครื่องสำอางที่กำลังจะเดินผ่าน
ฝีเท้าที่หยุดชะงักลงของร่างสูงอย่างพิธานทำให้เพื่อนในกลุ่มต่างหยุดชะงักไปด้วย เห็นเพื่อนตัวโตกำลังยิ้มกว้างออกมาก็มองตามสายตาของชายหนุ่มเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอาง
ชายหนุ่มร่างสันทัดค่อนไปทางผอมร่างหนึ่งกำลังยืนเก้ๆ กังๆ หยิบกระปุกเครื่องสำอางออกมาจากชั้นสลับกับมองหน้าจอโทรศัพท์ เสร็จจากชิ้นนั้นก็เดินไปหยิบชิ้นต่อไป แม้ไม่ได้ดูคล่องแคล่วอย่างสาวๆ คนอื่นในร้าน แต่สินค้าที่อยู่ในตะกร้าที่เจ้าตัวถือก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าใคร
หมาในปากของเพื่อนๆ แต่ละคนเริ่มทำงานอีกครั้ง
“โอย ไม่ต้องมองตามตาเยิ้มขนาดนั้นก็ได้ รู้แล้วว่าหลงเมีย”
ดอกแรกเป็นการแซวพิธานอย่างไม่ต้องสงสัยก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนในกลุ่ม พิธานส่ายหน้าอย่างเอือมๆ แต่ก็ไม่โกรธอะไร จนมาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อหมาในปากเพื่อนอาละวาดไปกัดถึงอีกคนที่อยู่ในร้าน
“พอแล้วมั้ง แค่นี้ก็น่ารัก ผัวรักผัวหลงแล้ว”
“ไอสัด”
พิธานรีบหันไปด่าเพื่อนที่บังอาจมาแซวแฟนเขา แต่เสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มดังกว่าจนกลบคำด่าของเขาไป แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยแต่ก็รีบเงยหน้าไปมองคนรักที่ยืนอยู่ในร้าน เผยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นอีกคนหันมามองเขา จงใจยกยิ้มกวนๆ ไปหาอีกคนอย่างติดนิสัย แต่เขากลับรู้สึกว่าอารมณ์ของคนรักคงไม่ได้ดีอย่างเขาในตอนนี้
ชายหนุ่มร่างสูงเห็นอีกคนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนเป็นเม้มแน่นไว้อย่างเดิม เจ้าตัวถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างหงุดหงิด แล้วปรายตามองเขาอย่างโกรธเคืองก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เอ๊ะ เขาทำอะไรผิดไปเหรอ
----
ม่านฟ้ากำลังหงุดหงิด
เขาต้องมาซื้อของให้น้องรักท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างดูแคลนที่ผู้ชายอย่างเขามาเลือกซื้อเครื่องสำอาง เท่านั้นก็ทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อยอยู่แล้ว เขาอาจจะคบกับคนรักที่เป็นผู้ชายมากว่าสามปี แต่คงเพราะปกติต่อให้ไปไหนมาไหนด้วยกัน พฤติกรรมของพวกเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนคนรักสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกับสายตาเหยียดจากรอบข้างเช่นนี้
ชายหนุ่มพยายามข่มใจให้ตัวเองรีบซื้อของให้เสร็จ บอกตัวเองว่าอย่าสนใจสายตาคนอื่น เขาไม่อยากเอาอารมณ์ตนเองมาเสียกับใครก็ไม่รู้ที่ดูถูกเราเพียงชั่วครู่แล้วก็กลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ
คิดได้ดังนั้นม่านฟ้าก็ก้มหน้าก้มตาเลือกของต่อ แม้จะมีเสียงหัวเราะของกลุ่มคนที่รู้สึกได้ว่ายืนอยู่ไม่ไกลและน่าจะกำลังพูดถึงเขา แต่ชายหนุ่มก็กัดฟันไม่หันไปมองจนสิ้นความอดทนเมื่อเสียงหนึ่งตะโกนเข้ามาเจาะจงถึงเขาพร้อมเสียงหัวเราะ
ม่านฟ้าแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าของเสียงและกลุ่มที่ยืนอยู่นั้นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างเพื่อนของคนรัก ไม่ต้องมองหาก็เห็นคนที่คิดถึงยืนยิ้มยียวนส่งมาให้
ไม่รู้เพราะอะไรความโกรธถึงพุ่งสูงถึงเพียงนี้ อาจเพราะเขาคิดว่าไม่เป็นไรที่ ‘คนอื่น’ จะมองเขาอย่างไร แต่กับการที่ ‘คนรัก’ ก็ยังเห็นการถูกมองของเขาในยามนี้เป็นเรื่องเล่น
ม่านฟ้าระงับอารมณ์ตัวเองไว้อย่างเต็มที่แล้วหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่คิดจะทักทายคนที่ไม่เจอหน้ากันเกือบเดือนแม้แต่น้อย
----
พิธานยังคงงงกับอาการของคนรัก ไม่ทันเดินตามไปก็ถูกเพื่อนลากไปกินข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นแถวนั้น ประกบตัวเขาไว้อย่างแน่นหนากลัวว่าจะโดนเขาเทไปหาม่านฟ้า เขาคิดที่จะโทรไปหาคนรักหลังกินข้าวเสร็จแต่ก็ดันเกิดเรื่องกับกลุ่มเพื่อนของเขาเสียก่อน
ชายหนุ่มยังเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ถูกเมื่อเห็นเพื่อนหลายคนฉุดเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งของเขาเอาไว้ เจ้าตัวดูโวยวายและทำท่าจะเข้าไปต่อยผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก แต่จำได้ดีว่าข้างกายผู้ชายคนนั้นคือผู้หญิงซึ่งเพื่อนพามาแนะนำในฐานะแฟน
หลังจากลากตัวเพื่อนไปสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งก็ได้ความว่าเพื่อนในกลุ่มอย่างอัคถูกแฟนบอกเลิกไปอย่างสายฟ้าแลบเมื่อครู่นี้เลย เพราะสาวเจ้าบอกว่าเจอคนที่ดีกว่าแล้ว พิธานมองเพื่อนที่เลิกปากหมาแล้วมานั่งปลอบใจกันแทน ที่ดูเห็นอกเห็นใจอัคมากที่สุดก็คงเป็นซัน ไอหมอนี่ก็เพิ่งถูกแฟนบอกเลิกมาเพราะไม่มีเวลาให้สดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้เอง
“เพราะไอโปรเจกต์เฮงซวยนี้แท้ๆ เขาถึงขอเลิกกับกู”
เสียงซันโวยวายขึ้นหลังจากยกเบียร์เข้าปากไปแล้วเกือบขวด พวกเขาเปลี่ยนกำหนดการฉลองจบโปรเจกต์ในเวลาเกือบสามทุ่มมาเป็นไว้อาลัยแด่คนอกหักตั้งแต่ทุ่มหนึ่งแทน
“กูน่าจะสนใจเขามากกว่านี้ ช่วงนี้เพราะกูยุ่งอยู่กับโปรเจกต์บ้าๆ นี่แน่ๆ กูเห็นเขาไม่โทรมาจิกกูอย่างแต่ก่อนก็เข้าใจว่าเขาห่วงว่ากูจะยุ่งอยู่ เลยไม่กล้าโทรมา ที่ไหนได้ ไอเหี้ย! เขามีคนใหม่ไปแล้ววว”
คราวนี้เป็นเสียงของอัคที่ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง เพื่อนคนอื่นก็ตบหลังบ้าง ลูบไหล่บ้างอย่างให้กำลังใจ พิธานหันไปพยักหน้ารับแกนๆ กับกรณ์เพื่อนสนิทเข้าใจความตรงกันว่าปล่อยมันระบายไปให้พอ แต่ไม่ทันหันไปชงเหล้าของตัวเองต่อ เมื่อเห็นสายตาของเพื่อนสนิทแปลกไป
พิธานหันหลังกลับไปมองตามสายตาเพื่อนก็พบเข้ากับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นแฟนเก่าของเพื่อนเขาเอง แถมแผลเจ้าตัวก็ยังดูไม่สมานดีเท่าไหร่
“ไงพวกมึง”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำทักของแฟนเก่าเพื่อนสนิทก่อนที่อีกคนจะเดินแยกไป แล้วหันกลับมามองตาเศร้าๆ ของเพื่อนถึงได้ตบบ่าปลอบไปที
แม่งเอ๊ย สมาคมคนเศร้ารึไงว่ะวันนี้
“อาลัยอาวรณ์เมียเก่าขนาดนี้ ทำไมมึงไม่ลองง้อมันดูอีกทีอ่ะ แม่งก็ดูยังไม่มีใครไม่ใช่อ๋อ กูไม่เห็นมีผัวใหม่ตามมาอะไรแบบนี้เลย”
คำพูดจากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกันเอ่ยขึ้น แต่เพื่อนสนิทเขากลับส่ายหน้าหัวเราะเหอะในลำคอก่อนตอบรับกลับไป
“ไม่มีอะไรล่ะ ผู้หญิงที่เดินข้างๆ มันไง”
“อ้าว แบบนี้ก็ได้เหรอว่ะ พลิกโพไปพลิกโพมาแบบนี้ก็ได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ ก่อนมาเป็นเมียกูมันก็ฟันสาวมาก่อนม่ะ”
กรณ์พูดแล้วกระดกเหล้าเข้าปากตามไป เจ้าตัวดูเซ็งที่มาเจอแฟนเก่าให้ความรู้สึกที่พยายามลืมถูกกวนขึ้นมาอีกครั้ง
พิธานถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนกลุ่มเขาไปเผลอกวนตีนใส่เทพเจ้าแห่งความรักกันมารึไง วันนี้ถึงได้เจอคราวเคราะห์กันขนาดนี้ ชายหนุ่มส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป ไม่อยากรวมเรื่องของตัวเองเข้าไปด้วย เพราะเขาแค่โทรหาคนรักไม่ติดหลังจากนั้น แต่มันยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย
เขาโทรไปหาคนรักตอนก่อนเข้าร้านเหล้าแต่ก็ไม่มีคนรับสาย และโทรไปอีกครั้งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแต่ผลลัพธ์ก็ยังออกมาเป็นเหมือนเดิม
สภาพเพื่อนแต่ละคนที่ถูกทิ้งเพราะไม่ใส่ใจและไม่มีเวลาให้คนรักทำให้เขาย้อนกลับมามองที่ตนเอง ช่วงนี้เขาก็ไม่มีเวลาให้ม่านฟ้าเลย ประกอบกับท่าทางวันนี้ที่ดูหงุดหงิดยามเห็นเขาก็ยิ่งทำให้เขากังวล
‘ปรากฏตัวให้เธอเห็นที่ใด เธอร้อนใจรีบทักทายแล้วเดินผ่าน ไม่มีแล้วยิ้มแห่งความสุขตลอดกาล
เพราะว่าฉันคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย
ฉันได้ตายไปจากใจของเธอ กลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย’
“แฟนกูแม่งก็เริ่มจากทำท่าทางแปลกๆ เวลาเจอกู ดูหงุดหงิดเหมือนไม่อยากเจอแบบนี้เลย ทำไมกูไม่เอะใจตั้งแต่ตอนนั้นว่ะ” เสียงอัคยังโวยวายต่อมาเรื่อยๆ เมื่อเพลงในร้านดังขึ้นโดนใจ
พิธานตัดสินใจโทรหาคนรักอีกครั้งอย่างมีความหวัง แม้ปานนี้จะล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้วก็ตาม ยังไม่ทันทิ้งความกังวลออกไปจากใจได้หมด เสียงอ้อแอ้อย่างคนเมาของเพื่อนที่เพิ่งถูกหักอกก็ดังขึ้น
“มึงระวังตัวไว้ให้ดี ไอพีท มึงชอบบอกไว้ใจๆ รู้ตัวอีกทีระวังไอเมฆมันมีผัวใหม่หรือไม่ก็เมียใหม่มาโชว์มึงนะ”
“ไอเหี้ย! ปากหมาอย่างงี้เจอตีนกูสักทีม่ะ”
พิธานลุกขึ้นเหมือนจะทำตามที่พูด ลำบากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกันคว้าแขนรั้งไว้คนละข้าง ร่างสูงดูหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีกเมื่อความกังวลของเขาถูกคนอื่นกระตุ้นซ้ำขึ้นมา เขามองกลับไปที่โทรศัพท์ซึ่งถูกตัดสายไปโดยไม่มีคนรับก็กระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้แรงๆ
“มันเมาน่ะ มึงอย่าถือสา”
กรณ์ตบบ่าปลอบใจเพื่อนสนิทแล้วผสมเหล้าใส่แก้วให้เพิ่ม พิธานกระดกเหล้าเข้าปากแล้วยกมือห้ามเพื่อนที่จะคว้าแก้วไปชงให้ใหม่ เปลี่ยนแผนที่จะกลับบ้านวันพรุ่งนี้เป็นกลับตั้งแต่คืนนี้ทันที ควักตังค์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วหันไปบอกเพื่อนสนิท
“ฝากมึงจ่ายด้วย เดี๋ยววันนี้กูกลับบ้าน ไม่อยากดื่มเยอะ”
ว่าจบร่างสูงก็ขยับตัวลุกขึ้น ส่ายหน้าบอกเพื่อนที่มองมาด้วยคำถามว่าโมโหเพื่อนอีกคนขนาดนั้นเลยเหรอ พิธานไม่ได้โกรธมาก พอจะเข้าใจอารมณ์คนเมาที่เพิ่งโดนหักอกมันก็พาลไปทั่วแบบนี้ แต่ตัวเขาเองที่ดันหงุดหงิดเพราะทุกอย่างที่เกิดกับเพื่อนมันดันลงล็อกเข้ากับเรื่องของเขาพอดีเช่นกัน
----
ม่านฟ้าเดินหาโทรศัพท์ตัวเองทั่วบ้าน ไม่แน่ใจว่าวางเอาไว้ตรงไหนหลังจากกลับมาถึงบ้านเมื่อวานตอนบ่าย เขาไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ ถ้าไม่ได้เล่นเกม บางเวลาที่อยู่บ้านก็สามารถทิ้งโทรศัพท์ไว้โดยที่ไม่แตะต้องเป็นวันๆ แต่เพราะเช้าวันนี้กำลังจะออกไปนอกบ้านกับน้องชาย เขาถึงจำเป็นต้องมาตามหาปัจจัยที่ห้าของยุคนี้อยู่อย่างตอนนี้
หลายครั้งที่ม่านฟ้าโดนคนรักบ่นเรื่องติดต่อไม่ได้แต่ก็ยังแก้นิสัยนี้ไม่ได้เสียที เขาถอนหายใจออกมานิดหน่อยเมื่อคิดถึงคนรัก เมื่อวานเขาหงุดหงิดคนรักที่เจ้าตัวและกลุ่มเพื่อนแซวเขากลางห้าง แต่พอมาวันนี้ความรู้สึกโกรธนั้นก็จางลงไปมากแล้ว
เดี๋ยวกลับจากซื้อของแล้วโทรหาสักหน่อยแล้วกัน
ไม่ได้คุยกันสักพักแล้ว
ชายหนุ่มเดินหาจนมาเจอโทรศัพท์ตกอยู่ที่ซอกโซฟา คงเพราะเมื่อวานเขากลับบ้านมาแล้วนอนตรงนี้จึงเผลอทำตกไว้ ลองกดปุ่มที่หน้าจอก็ไร้วี่แววการตอบสนอง เดาไว้ไม่ผิดว่าลืมไว้เกือบวันขนาดนี้คงแบตตายไปนานแล้ว
เขาสอดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแม้ว่าจะไม่มีแบต คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปเสียบชาร์ตกับแบตเตอรี่สำรองในรถแล้วเดินตามเสียงเรียกของน้องชายออกไปอย่างไม่เร่งรีบ
----
พิธานตื่นมาในเช้าวันใหม่อย่างไม่สดใสนัก เขานอนไม่ค่อยหลับเพราะกระวนกระวายใจ ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้แต่ก็ห้ามความคิดในแง่ลบของตัวเองไม่ได้ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ สิ่งแรกที่เขาทำคือการโทรหาอีกคนที่เฝ้าโทรตลอดทั้งคืน แต่ผลที่ได้รับกลับแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อข้อความตอบรับบ่งบอกว่าอีกคนปิดเครื่องไปแล้ว
ชายหนุ่มพยายามคิดว่าเป็นเพราะนิสัยเสียของม่านฟ้าที่ชอบทิ้งโทรศัพท์ไว้ไม่เป็นที่และปล่อยไว้จนแบตหมดเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการคุยกับเขา
เสียงเดินลงบันไดดังก้องอยู่ในบ้านเดี่ยวที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียวในเวลานี้ พิธานอยู่กับพี่ชายแค่สองคนเท่านั้น พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ที่ต่างประเทศทั้งคู่ตั้งแต่เขาอยู่มัธยม มีบินกลับมาหาบ้างหรือให้เขาบินไปหาบ้างเป็นครั้งคราว
หนุ่มวิศวะตัวโตจึงต้องทำกับข้าวเองให้เป็นและกำลังทำอาหารเช้าง่ายๆ ให้ตัวเองอยู่ในขณะนี้ กลิ่นอาหารหอมๆ ทำให้เขาใจเย็นขึ้นเล็กน้อยและตัดสินใจได้ว่าในเมื่อติดต่อไม่ได้ เขาก็จะแอบไปหาคนรักที่บ้านเสียเลย
เมื่อตัดสินใจได้พิธานก็มานั่งกินข้าวพร้อมเปิดโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้อัปเดตเสียนานหวังให้ตัวเองคลายอาการหงุดหงิดใจที่ยังหลงเหลืออยู่
แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแกล้งทำปากเบะเซลฟี่ใบหน้าของตัวเองมาครึ่งหน้า และโฟกัสไปที่แผ่นหลังของคนคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
ไม่ต้องคิดให้นานเมื่อแผ่นหลังนั้นถูกแท็กด้วยชื่อของคนรักเขา พิธานขมวดคิ้วหนักขึ้นเมื่อเห็นข้อความที่เจ้าของภาพลงเอาไว้ประกอบ
‘ผิดที่เราเจอกันช้าไป ไม่จำเป็นต้องไปโทษใคร เพราะผลสุดท้าย คนที่ต้องเจ็บคือฉันคนเดียว’
แม้จะเป็นแค่ท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงดัง แต่ความหมายที่เจ้าของโพสต์ต้องการจะสื่อคืออะไรกันแน่
อารมณ์ที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วของพิธานทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม พิธานไม่อยากทำตัวงี่เง่าอย่างการตามส่องโซเชียลคนอื่นอย่างที่เขาชอบบ่นแฟนสาวของเพื่อน แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้กดเข้าไปที่บัญชีของหญิงสาวเพื่อดูสิ่งที่เจ้าตัวได้ลงเอาไว้ไม่ได้
ความอยากอาหารของพิธานยิ่งลดน้อยลงเมื่อเลื่อนไปเรื่อยๆ กลับยิ่งเห็นรูปที่หญิงสาวคนนี้แท็กคู่กับแฟนเขา ทั้งถ่ายแค่สองคนหรือถ่ายกันเป็นกลุ่ม ความสนิทกันแสดงให้เห็นชัดเจนโดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่ทำให้เขาแทบฟิวส์ขาด
‘รักคนนี้ คนดีที่หนึ่ง’
แล้วตามด้วยภาพหญิงสาวเจ้าของบัญชีกำลังกอดแขนและซบหน้าลงกับบ่าของชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้ถ่ายติดชายหนุ่มมาแค่ครึ่งตัวและไม่เห็นหน้าแต่ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ยิ่งแท็กที่สาวเจ้าแท็กไปหาคนรักของเขายิ่งมั่นใจ และหนักขึ้นเมื่อพิธานกดเข้าไปอ่านความคิดเห็นที่แสดงไว้ใต้ภาพ
‘มีความแฟนเว่อร์’
‘แงงง อยากมีพี่เมฆเป็นของตัวเองบ้าง’
อีกหลายความเห็นที่พิธานไม่คิดจะทนอ่านต่อไป เขาปิดหน้าจอลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก นึกไปถึงแฟนหนุ่มของเพื่อนสนิทที่เพิ่งเลิกกันแล้วไปคบกับผู้หญิงแทน สมองสั่งตัวเองไม่ให้คิดไปในแง่ร้าย แต่อารมณ์ของเขากลับคิดย้อนไปถึงแฟนเก่าของคนรัก
ใช่ ม่านฟ้าเป็นแฟนคนแรกของเขา
แต่เขา… ไม่ได้เป็นแฟนคนแรกของม่านฟ้า
ก่อนที่จะคบกันคนรักของเขาเคยมีแฟนเก่ามาก่อนคนหนึ่ง แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ได้คบกันจริงจัง สถานะเหมือนคนคุยเสียด้วยซ้ำและยังไม่ทันไรพวกเขาก็รู้ดีว่าไปกันไม่รอด จึงกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
และใช่ แฟนเก่าของม่านฟ้าเป็นผู้หญิง หน้าตาน่ารักไม่ต่างไปจากเจ้าของบัญชีนี้เท่าไหร่ ไม่ได้สวยมากแต่สดใส ร่าเริงและเป็นธรรมชาติ หากเหตุการณ์เป็นว่าม่านฟ้าเองก็ชอบผู้หญิงคนนี้เหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ชายหนุ่มยิ่งกังวล มือคว้ากุญแจรถกับของใช้จำเป็นอย่างกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินไปสตาร์ทรถเพื่อออกไปหาคนรักที่บ้าน
ไม่รู้โชคดีหรือเพราะความร้อนใจที่ทำให้วันนี้พิธานขับรถมาที่บ้านของม่านฟ้า ไม่ได้เดินมาหาอย่างทุกครั้ง เพราะเมื่อมาถึงหน้าบ้านที่คุ้นเคย เขากลับเห็นเพียงหลังไวๆ ของคนรักที่เปิดประตูขึ้นรถและขับออกจากบ้านไป
พิธานขับตามรถของคนรักไปอย่างไม่ทันได้คิด มานึกขึ้นได้ว่ากำลังทำตัวเป็นภรรยาสาวจอมจุ้นจ้านที่แอบตามสามีไปทำงานเพราะกลัวจะมีกิ๊กก็ตอนที่ออกมาหลายกิโลแล้ว
เอาเถอะ มาขนาดนี้แล้ว ตามต่ออีกหน่อยจะเป็นไร
ชายหนุ่มรู้นิสัยคนรักว่าขี้เกียจตัวเป็นขนแค่ไหน ม่านฟ้าเป็นคนประหยัดพลังงานในชีวิตค่อนข้างมาก หากไม่จำเป็นจริงๆ การเห็นม่านฟ้าออกจากบ้านด้วยธุระของตัวเองค่อนข้างเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย
เพราะมัวแต่คิดมากทำให้เขาคลาดกับรถของคนรักเมื่อมาถึงที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า ไฟบริเวณที่จอดรถไม่ได้สว่างมากจึงยากต่อการหารถที่หน้าตาออกจะคล้ายๆ กันไปหมด แต่พิธานมั่นใจว่าคนรักของเขาขับรถเข้ามาที่ชั้นนี้และคงจะเข้าไปในตัวห้างผ่านประตูเชื่อมลานจอดรถ
หนุ่มวิศวะรีบจอดรถแล้วเดินเข้าไปในห้างเช่นกัน หงุดหงิดที่ตัวเองเผลอคลาดสายตาไป การจะตามหาคนภายใต้ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่เรื่องง่าย พิธานพยายามคิดว่าคนรักของเขาจะเดินไปที่แผนกใดและรีบเดินไปตามทางที่ตัวเองสันนิษฐานเอาไว้
แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะเดินตามร้านหนังสือ ร้านกาแฟ หรือที่ไหนที่เขาคิดว่าจะเป็นจุดหมายของคนรักก็ไม่พบ จนสุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ยืนคอตกถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
‘กูกำลังทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ’
ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่พิธานถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง จนสุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอดใจที่จะตามหา หันหลังเตรียมเดินกลับไปที่ลานจอดรถก็สะดุดตากับร้านเวชภัณฑ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบริเวณที่เขายืนอยู่
ไหนๆ มาแล้ว ซื้อของเข้าบ้านหน่อยแล้วกัน
ขายาวๆ ก้าวเข้าไปที่ร้านเวชภัณฑ์แล้วเดินหาโซนของใช้ส่วนตัวผู้ชาย ขณะก้มลงหยิบครีมโกนหนวดแบบที่เคยใช้มาไว้ในมือ เขาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนที่ยืนหันหลังให้เขากำลังเลือกของบนชั้นวางของถัดไปไม่ไกล
TBC
Achaya (Writer) :
การบาดหมางกันบางครั้งก็เกิดขึ้นมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเล็กๆ การไม่รับโทรศัพท์ การฟังคำคนอื่นแล้วคิดมาก แต่หากมองในมุมมองของแต่ละคน ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองที่ทำให้คิดเช่นนั้นได้เหมือนกัน อีกทั้งเหตุการณ์ที่เราเคยมองว่าเป็นแบบหนึ่ง แท้จริงแล้วอาจมีความจริงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็ได้
ขอบคุณที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์นะคะ