Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 24
“กลับรถเจนภพ กลับไปที่โรงแรมนั่น” พิชช์ฌานสั่งมือขวาคนสนิทหลังจากที่รถออกวิ่งมาเกือบถึงครึ่งทางแล้ว
“ทำไมล่ะครับคุณฌาน เราใกล้ถึงสนามบินแล้วนะครับ”
“ไม่ใช่ทางนั้น ฉันว่ามันไม่ใช่ อาคิราห์ไม่มีวีซ่าแน่ๆ ไม่มีทางออกนอกประเทศได้” นักการเมืองหนุ่มพูดเหมือนพูดคนเดียว เจนภพเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทาง”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ให้คนไปเช็คที่ท่าเรือ ห้ามเรือทุกลำออกจากท่าตอนนี้” พิชช์ฌานดีดนิ้วเสียงดัง ตะโกนบอกคนขับรถซ้ำให้รีบเลี้ยวรถกลับไปยังทางเดิม
ชายหนุ่มนั่งเครียดมาตลอดทาง มือประสานบีบแน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว ทั้งกังวลและเป็นห่วงสารพัดแยกแยะไม่ถูกปนกับความโกรธเกรี้ยวที่ทวีมากขึ้นทุกทีโดยเฉพาะยามที่ได้รับรายงานว่ามีเรือหนึ่งลำแอบออกจากท่าไปแล้ว
“ตามเรือลำนั้นมาให้ได้ ช่วยประสานท้องที่ให้ด้วย” พิชช์ฌานพูด ทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้าที่มืดสนิทเช่นเดียวกับจิตใจของเขาตอนนี้ ไม่รู้เลยว่าป่านนี้อาคิราห์ไปอยู่ที่ไหนแล้ว จะอยู่บนเรือที่เขาสงสัยหรือเปล่า
“คุณฌานครับ ถ้าเราทำแบบนั้นมันจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่นะครับ พวกนักข่าวจะรู้เรื่องนี้แล้วแห่กันมาทำข่าว”
“ก็ยิ่งดีไง ทางไหนฉันก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่เจอตัวอาคิราห์ก็พอ” ชายหนุ่มพูด ยกมือขึ้นบีบขมับ
“ผมเกรงว่ามันจะไม่ดีนะครับ ระหว่างนี้อาจมีพวกสวมรอยมาหาประโยชน์ได้ครับ ขอให้คุณพิชช์ฌานช่วยพิจารณาใหม่อีกทีครับ” คนสนิทค้าน
นักการเมืองหนุ่มนิ่งไปนานแล้วถอนหายใจยาว
“นายพูดถูก ฉันใจร้อนเอง ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยประสายงานอย่างเงียบเชียบที่สุด ระหว่างนี้ฉันจะไปคุยกับผู้ว่าฯ เผื่อจะมีทางอื่น” ชายหนุ่มก้าวยาวๆกลับขึ้นไปที่รถ “อาคิราห์อาจจะไม่ได้ไปกับเรือลำนั้น ...เจนภพ นายลองไปถามหากล้องวงจรปิดตรงแถวหาดมาดู เรื่องนักข่าวเดี๋ยวฉันจัดการเอง...ไปสิ”
“ไม่ได้ครับ ผมต้องติดตามคุณฌานอย่างใกล้ชิดครับ” เจนภพท้วง “คุณเพิ่งเกือบโดนลอบสังหารนะครับ”
“ลอบสังหาร? ไอ้ระเบิดนั่นน่ะเหรอ เป้าหมายไม่ใช่ฉันหรอก”
“ยังไม่แน่นะครับ ตอนนี้ผมไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากตัวผมเอง ขอให้ผมได้ติดตามคุณไปเถอะครับ” เจนภพพูดเสียงหนักแน่น “เรื่องคุณอัยย์หายตัวไปก็สำคัญ แต่ชีวิตของคุณฌานสำคัญกว่านะครับ”
พิชช์ฌานอึ้งไป
“ไม่มีใครสำคัญกว่าใครหรอก เราสำคัญเท่าๆกัน...ถ้าอย่างนั้นนายก็ตามฉันมา ฉันจะไปพบผู้ว่าฯ”
บ้านพักของท่านผู้ว่าฯเปิดไฟสว่างทั่ว ท่านดูตกอกตกใจไม่น้อยตอนที่พิชช์ฌานเข้าไปขอความช่วยเหลือ สีหน้าชายหนุ่มร้อนใจจนผู้ใหญ่พลอยเป็นกังวลไปด้วย
“ลุงจะให้คนช่วยออกตามหา ไม่ต้องห่วงนะถ้ายังอยู่ในเขตนี้ล่ะก็ ยังไงก็หาเจอแน่นอน” ชายวัยกลางคนพูดเนิบๆ “มาที่นี่ทำไมไม่บอก ไม่เจอหน้ากันนานแล้วนะเจ้าฌานตั้งแต่สมัยเรียนจบมหาลัย งานแต่งเมียลุงก็ไม่ได้ไปเพราะติดดูงานอยู่ต่างประเทศ”
“ผมต้องขอประทานโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มตอบ หน้าจ๋อยสนิทอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คนมองถึงกับหัวเราะเบาๆ
“เป็นห่วงมากรึ เมียโอเมก้าคนนี้...เห็นทีจะมีดีสินะ”
“ผม...” พิชช์ฌานพูดไม่ออก นั่งบีบมือตัวเองด้วยสีหน้าคล้ำเครียด นัยน์ตาก็เหลือบมองนาฬิกาตลอดเวลา นับถอยหลังที่จะตามหาคนที่หนีไปดื้อๆ
“เอาเถอะ ...ใจเย็นๆ ลุงจะช่วยปิดข่าวเอาไว้ก่อนจนกว่าจะเจอเมียก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณครับ”
พิชช์ฌานกลับออกมาจากบ้านท่านผู้ว่าฯ ข่าวจากคนของเขาที่กระจายตัวออกตามหาก็ยังไม่มีข่าวมาเลย เจนภพเองก็ติดต่อหาวีดีโอกล้องวงจรปิดมาดูจนได้
“เห็นแค่มุมนี้ครับ หลังไวๆ น่าจะเป็นคุณอัยย์” เจนภพชี้นิ้วไปบนหน้าจอให้เจ้านายดู ร่างโปร่งบางเดินแกมวิ่งไปทางตึกแถวข้างๆที่เป็นร้านค้า “แถวนี้เป็นร้านขายของที่ผมพาคุณอัยย์ไปซื้อชุดว่ายน้ำครับ”
“ตอนนั้นอาคิราห์แวะร้านไหนบ้าง”
ชายหนุ่มพูด ก้าวยาวๆขึ้นรถสั่งให้ขับไปจอดที่หน้าตึกแถวแห่งนั้น ร้านรวงพากันปิดไปหมดแล้ว บางร้านก็ปิดประตูเหล็กจนมองไม่เห็นด้านใน พิชช์ฌานก้าวผ่านร้านขายชุดว่ายน้ำไปยังร้านข้างๆ
“ปิดร้านไปหมดแล้ว อาคิราห์ไม่น่าจะมาที่นี่” ชายหนุ่มพูดอย่างครุ่นคิด “เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน หรือว่าเป็นแค่ทางผ่านไปทะลุที่ไหน”
“ข้างหลังนี้เป็นกำแพงติดกับถนนข้างหลังครับ ไม่น่าจะไปไหนได้ถ้าไม่ได้ขึ้นรถ”
“..................” พิชช์ฌานเงียบ เวลาที่ผ่านไปทำให้ความหวังของเขาเริ่มลดลงทุกที ขนาดคนของผู้ว่าฯก็ยังหาไม่เจอ แล้วเขาจะไปพลิกแผ่นดินตามหาอาคิราห์ได้ที่ไหนกัน
ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอเชียวเหรอ...นัยน์ตากลมโตปรากฏขึ้นในความคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ที่ทำเป็นดีด้วยก็เพราะจะหาทางหนีทีหลังแบบนี้งั้นหรือ เพียงแค่คิดชายหนุ่มก็ปวดหนึบไปทั้งใจ ไหนจะลูกของเขาที่อยู่ในท้องของอีกฝ่ายอีก
เล่นหายไปทั้งแม่ทั้งลูกแบบนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรล่ะ ...อยากทรุดตัวลงนั่งที่พื้นเพราะหมดแรงเต็มที แต่ว่าชายหนุ่มก็หักห้ามใจเอาไว้ เขาไม่สมควรแสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูกน้องเห็น อาการคลื่นเหียนถูกกดข่มเอาไว้ภายในเพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องคิดทำ
เกือบจะถอยกลับอย่างหมดหวังแล้ว ตาเขาก็เหลือบไปเห็นตัวอักษรบนประตูกระจกที่อยู่หน้าร้านที่ห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปโดยเร็ว ข้อความบนนั้นทำให้คิ้วเข้มขมวดฉับ เขาร้องเรียกมือขวาทันที
“เจนภพ ....ติดต่อคุณธีรดลเร็ว ฉันอยากได้ข้อมูลผู้ค้าของบริษัทที่เช่าห้องนี้ ด่วนที่สุด”
...บริษัทรับจัดหางานโอเมก้า?...เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นที่ๆอาคิราห์มา ชายหนุ่มเม้มปากครุ่นคิดหนักหน่วง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะยังอยู่ข้างในตึกนี้ก็เป็นได้
เขาเกือบจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดหวังตอนที่ตามตัวคนของบริษัทรับจัดหางานโอเมก้ามาเปิดประตูห้องให้เข้าไปสำรวจข้างใน มันว่างเปล่าและมืดทึมไร้คนอยู่จริงๆตามที่พนักงานบริษัทบอก
“ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้วครับ ไม่มีใครอยู่จริงๆ” พนักงานโอเมก้าคนนั้นพูดเรียบๆ ยืนยันกับเขาเสียงแข็ง “ผมไม่ได้โกหก พวกคุณมาหาใครกันผมไม่เข้าใจ”
“ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าหาใครหรือว่าอะไร” พิชช์ฌานที่ยืนนิ่งอยู่พูดขึ้น ก้าวเข้าไปหาโอเมก้าคนนั้นอย่างกดดัน “เธอคิดว่าฉันมาหา ‘ใคร’ งั้นหรือ”
“ก็...ผมเห็นคุณมาค้นบริษัทผม ผมก็ต้องเข้าใจว่าหาคนสิครับ”
“ฉันอาจจะหาของก็ได้ไม่ใช่หรือ เอาล่ะโอเมก้า...พูดความจริงมา ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
“เธอชื่อวีรัตน์สินะ ....คู่ของเธอคืออัลฟ่าสตีเฟนที่ทำงานบริษัทนี้แล้วก็ส่งของทะเลออกนอกด้วยใช่มั้ย ได้ยินว่าเขามีเรือหลายลำ” พิชช์ฌานพูดเนิบๆ เอื้อมมือไปแตะที่ติ่งหูของโอเมก้าอย่างคุกคาม “อยากให้ฉันบุกตรวจเรือของสามีเธอไหม ฉันว่าเขาน่าจะมีของหนีภาษีนะ”
“ของหนีภาษีอะไร....เขาทำงานสุจริต คุณถอยออกไปนะ”
พิชช์ฌานปล่อยมือแล้วเดินกลับไปที่รถ เจนภพขยับเขามาแทน เขาแตะที่เอวของตัวเองพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าพกอะไรอยู่ จากนั้นก็ถามเสียงต่ำ
“จะยอมบอกดีๆหรือต้องให้ผมระเบิดเรือคุณทิ้งก่อนสักลำสองลำพร้อมกับสามีคุณครับ”
ข่าวที่เค้นมาจากโอเมก้าคนนั้นทำให้พิชช์ฌานกัดฟันแน่น หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทุกอย่างมันจะยิ่งเลวร้ายและแผ่วงกว้างเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาคิราห์อาจจะออกนอกประเทศไปทางเรือแล้ว
“เราต้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศ” ชายหนุ่มพูดขึ้นช้าๆ “เรื่องต้องถึงหูพ่อของอาคิราห์แน่”
“เรื่องใหญ่มากๆเลยครับ อาณาเขตน่านน้ำสำคัญมาก อาจจะเกิดสงครามได้เลยถ้าฝั่งนั้นเข้าใจผิดในกรณีที่เราบุกไปโต้งๆ” เจนภพตามความคิดของเจ้านายทันแล้ว “ยังไงก็ต้องถึงหูท่านนายกฯครับ แต่ว่าชื่อเสียงคุณฌานคง....”
“ฝ่ายนั้นเล่นฉันพังยับแน่ๆ” พิชช์ฌานพึมพำ “ถึงขั้นเมียหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ฉันต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาส...” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นลูบใบหน้า เขาไม่ได้นอนมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วตอนนี้ “เจนภพ ปล่อยข่าวว่ามีคนระเบิดห้องพักหวังทำร้ายอาคิราห์ น่าจะเป็นพวกอนุรักษ์ฯโอเมก้า ส่วนตอนนี้อาคิราห์ปลอดภัยแล้วอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบไอ้บริษัทหางานโอเมก้าเฮงซวยอะไรนี่ด้วย บอกไปว่าสงสัยมีการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ทำให้เป็นข่าวใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“คุณพิชช์ฌานครับ” เจนภพท้วง แค่ฟังก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ เผลอๆผลลัพธ์ของมันอาจจะรุนแรงเกินกว่าที่พิชช์ฌานจะรับไหวก็เป็นได้ “เรายังไม่รู้ว่าธุรกิจนี้เกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพลคนไหนบ้างนะครับ พรรคของเราอาจจะกระทบ..”
“ฉันคิดดีแล้วเจนภพ ...ถ้าจะพังก็ต้องพังกันไปข้างนี่ล่ะ” นักการเมืองหนุ่มตอบ ลืมตาขึ้นมองขอบฟ้าที่เริ่มปรากฏสีทองจางๆ ใกล้รุ่งสางแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้คนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นจะอยู่ที่ไหนในทะเลกว้าง
ได้แต่หวังว่าเราจะได้พบกันอีก แม้ว่าเจ้าตัวอาจจะไม่อยากพบหน้าเขาก็ตาม
.....................................................................................
เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยเป็นภาษาท้องถิ่นดังขึ้นรัวเร็วเหนือศีรษะ อาคิราห์เงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความหวัง ขยับเข้าไปใกล้
“ช่วยด้วย...ช่วย..” อาคิราห์ส่งเสียงผ่านช่องว่างของตาข่ายออกไปเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่มาด้อมๆมองๆที่ด้านบนเหนือประตูไม้ เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกทว่ากลับมีมือหนักๆเอื้อมมาปิดปากของเขาเอาไว้
“ชู่ว...ไม่ได้นะ ถ้าถูกพบ...พวกเราจะตายกันหมด” นิลกระซิบข้างหูเขาเบาๆ “เงียบเถอะ”
อาคิราห์แอบมองผ่านช่องว่างของตาข่ายอวนลากปลาด้านบนอย่างผิดหวัง เสียงฝีเท้าหนักๆทยอยจากไปแล้วหลังจากที่ชะโงกหน้าลงมาสำรวจใต้ท้องเรือที่เต็มไปด้วยปลากองใหญ่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง เจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่เห็นโอเมก้าเกือบสิบชีวิตที่นั่งซุกอยู่ด้านล่าง
ประตูไม้ถูกปิดลงตามเดิม นิลปล่อยมือจากเขาแล้วถอยไปนั่งเงียบๆ อาคิราห์เงยหน้าขึ้นถามทันควัน
“ถ้าถูกพบจะเป็นยังไง”
“พวกเขาจะจับพวกเราไปทารุณ” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ “โอเมก้าที่หนีออกนอกประเทศแล้วถูกจับได้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ไร้เจ้าของ”
คนฟังอ้าปากค้าง
“แต่พวกเขาเป็นตำรวจไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สำคัญเท่ากับพวกเราเป็นโอเมก้าหรอก” แทมมี่ที่นั่งอยู่อีกฟากตอบกลับมา “คิดว่าถ้าพวกเขาเจอเราแล้วจะส่งตัวพวกเรากลับบ้านง่ายๆงั้นเหรอ ...อย่างน้อยก็คงถูกกักบริเวณให้อยู่บำเรอพวกมันอีกเป็นปีๆกว่าจะมีกำหนดส่งตัวกลับ”
“..............” อาคิราห์เงียบกริบ เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่าแม้แต่ผู้รักษากฎหมายอย่างเช่นตำรวจก็ยังไม่สามารถพึ่งพาได้ในสถานการณ์เช่นนี้
“มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว กฎหมายเขียนเอาไว้เพื่อปกป้องคนที่แข็งแรงและรังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ใช่คุ้มครองอย่างที่ควรจะเป็น พวกเขาอาศัยช่องว่างของกฎหมายพวกนี้”
“ทำไมถึงไม่ยุติธรรมเลย” ลูกชายของนายกรัฐมนตรีครางออกมา
“เพราะกฎหมายถูกเขียนโดยอัลฟ่าและเบต้า” นิลตอบตรงเผ็ง “กฎหมายคุ้มครองโอเมก้าที่ร่างโดยผู้กดขี่โอเมก้า คิดว่ามันจะเป็นยังไง”
คนฟังนิ่งอั้นไปอีก
“ทำไมถึงไม่มีโอเมก้าคนไหนออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเองบ้าง”
“แค่เอาตัวรอดไปวันๆก็หมดเวลาแล้ว จะมีใครไปสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ” แทมมี่พูดกลั้วหัวเราะเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เรือจะเข้าเทียบท่า
รออยู่นานมากว่าประตูข้างบนจะถูกเปิดออกอีกครั้ง คนบนนั้นใช้รอกลากเอาอวนปลาขึ้นไปทำให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามายังท้องเรือบ้าง อาคิราห์รีบขยับตัวลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม
“ปีนขึ้นมา” เสียงห้วนๆดังขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับมือที่เอื้อมลงมาฉุดที่คอเสื้อของเขาอย่างหยาบคาย อาคิราห์เบี่ยงตัวหลบ ปัดมือนั้นออกอย่างแรงจนเจ้าของมือจุ๊ปาก “อย่าฤทธิ์มาก”
“อย่าทำรุนแรง” เสียงของใครอีกคนที่อยู่ข้างบนนั้นเตือน อีกฝ่ายฮึดฮัดแต่ก็ยอมให้อาคิราห์ปีนขึ้นมาเองแต่โดยดี
โอเมก้าที่เหลือทยอยกันขึ้นมายืนบนดาดฟ้าเรือ รอบด้านของเขามืดสนิทลงแล้วแทบมองไม่เห็นลายฝ่ามือของตัวเอง ผ้าห่มเหม็นๆโปะลงมาบนศีรษะและไม่ยอมให้เอาออก มันเหม็นอับผสมกับกลิ่นคาวปลาจนอยากอาเจียนอีกรอบ
“เราต้องปกปิดกลิ่นน่ะ” มิรินเดินเข้ามาหาเขาแล้วกระซิบเบาๆ เธอเองก็มีผ้าผืนใหญ่คลุมอยู่เช่นกัน
พวกเขาเดินตามกันไปเรื่อยๆจากท่าเรือขึ้นไปบนฝั่ง ได้ยินเสียงซุบซิบเป็นภาษาพื้นเมืองดังเบาๆอยู่รอบตัวมาจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่เป็นเงาตะคุ่มๆน่ากลัว อาคิราห์ห่อตัวลงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปจนชิดเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักมากขึ้น
นิลเองก็เงียบกริบ แม้แต่แทมมี่ที่ดูจะพูดเก่งที่สุดก็ยังพลอยเงียบไปด้วย พวกเขาเดินไปตามทางเดินแคบๆเหมือนตรอกเล็กๆจากตรอกนั้นทะลุไปตรอกนี้ พื้นดินชื้นแฉะกับโคลนเหลวๆเปื้อนขึ้นมาถึงข้อเท้า อาคิราห์อุทานรีบเดินหนีพวกหนูตัวใหญ่ๆที่วิ่งตัดหน้าไปอย่างกระชั้นชิด สภาพรอบกายเสื่อมโทรมเหมือนสลัมที่เขาเคยแต่จินตนาการยามได้ยินพี่เลี้ยงเล่าถึง
ไม่เคยนึกว่ามันมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ด้วย
“ถึงแล้ว” อาคิราห์อยากจะอุทานออกมาตอนที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น ทว่าบรรยากาศของ ‘สิ่งปลูกสร้าง’ ตรงหน้าทำให้เขาเข่าอ่อนกว่าเดิม มันเหมือนอาคารร้างมากกว่าจะเป็นที่พักอาศัยอย่างที่พวกนั้นบอก
“ข้างในสภาพดีกว่านี้แน่ๆ” มิรินพูดเหมือนปลอบใจตัวเองและเพื่อนๆไปพร้อมๆกัน
“อยู่ที่นี่ไปก่อน” ผู้ชายตัวใหญ่ที่ดึงคอเสื้อเขาพูด อาคิราห์กวาดตามองไปรอบๆห้องเล็กๆแคบๆที่เดินตามเข้ามา สภาพมันไม่ต่างจากข้างนอกเท่าไหร่นัก ภายในห้องมีฟูกบางๆวางเรียงรายเอาไว้ที่พื้นชิดมุมหนึ่ง หน้าต่างเล็กๆมีลูกกรงติดอยู่ฝั่งตรงข้ามพอให้ระบายอากาศอับๆได้เล็กน้อย ห้องนี้เล็กกว่าห้องน้ำที่บ้านของเขาด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงว่าจะอยู่เข้าไปได้อย่างไรเกือบสิบคน
“ไหนบอกว่าจะมาต่อเครื่องที่นี่ไงล่ะ” อาคิราห์ถามขึ้น
“มันไม่ได้ง่ายๆอย่างนั้นหรอกนะ ตำรวจเดินให้ควั่กทั้งเมืองไม่เห็นเหรอ อยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลา...อ้อ อย่าพูดมาก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่” ประโยคหลังอีกฝ่ายตะคอกใส่หน้าเขาโดยเฉพาะ
อาคิราห์ผงะถอยหลังไปสองก้าว คนพวกนั้นเดินกลับออกไปแล้วพร้อมกับปิดประตูลงกลอนเอาไว้จากด้านนอกอย่างแน่นหนา โอเมก้าคนอื่นถอยจับจองฟูกของตัวเองบ้างก็ล้มตัวลงนอนราวกับไม่เดือดร้อนกับสถานที่นี้เอาเสียเลย อาคิราห์กวาดตามองอย่างหวาดๆ เดินตามไปนั่งข้างๆเพื่อนใหม่ที่ดูน่าไว้ใจมากที่สุด
“เราต้องนอนที่นี่จริงๆเหรอ” เขาถามนิลอีกครั้ง เห็นฝ่ายนั้นกำลังใช้มือปัดแมลงออกจากที่นอนอย่างคล่องแคล่ว แต่พออาคิราห์เห็นแมลงสีน้ำตาลเข้มตัวยาวรีได้ถนัดก็ตาเหลือก รีบกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างขยะแขยง
“เป็นอะไรไป ก็แค่แมลงสาบ” นิลพูดห้วนๆเหมือนรำคาญ “นอนที่นี่ก็ดีแล้วนี่ มีฟูกกับเครื่องนอนพร้อม ห้องน้ำก็มี ดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก”
“เราต้องอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่” เขาพูดเสียงเครือโดยไม่ตั้งใจ แต่แค่คิดว่าต้องนอนที่นี่จริงๆก็น้ำตารื้นแล้ว คิดถึงเตียงนอนนุ่มๆและห้องสะอาดสะอ้านที่บ้านขึ้นมาจับใจ
“ก็จนกว่าจะได้ต่อเครื่อง” แทมมี่ตอบกลับมาแทน “จะนอนหรือไม่นอนล่ะหนู ถ้าไม่นอนฉันขอผ้าห่มนะ”
“นอนสิ...นอน” อาคิราห์รีบตอบ ดึงผ้าห่มไปกอดเอาไว้แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกอย่างแรง เขาสะดุ้งเฮือกเพราะฟูกมันบางมากเสียจนเหมือนนั่งลงไปกับพื้น หมอนก็เป็นหมอนสี่เหลี่ยมแข็งๆที่ไม่มีทางนอนสบายอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าจะไม่เคยซักเลยสักครั้ง
ทว่าโอเมก้าคนอื่นกลับล้มตัวลงนอนหลับไปอย่างง่ายดาย บางคนก็หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ล้างเอากลิ่นคาวปลาเหม็นเน่าพวกนั้นออกจากตัวเลยด้วยซ้ำ อาคิราห์นั่งกอดเข่าพิงกำแพงทอดสายตามองรอบตัวอย่างหมดแรง ยิ่งสังเกตก็ยิ่งเห็นความสกปรกเลอะเทอะ ที่นี่มันยิ่งกว่ารูหนูเสียอีก
ภาพชีวิตสุขสบายแสนอิสระที่เมืองนอกพังทลายหายไปในพริบตา ตอนแรกก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะโดนหลอกเข้าจริงๆ ตอนเดินลงเรือมาก็ยังแอบฝันว่าคงจะไม่เหมือนอย่างที่คิดหรอก แต่ยิ่งเวลาผ่านไปจนถึงตอนนี้ ตอนที่นั่งกอดเข่าอย่างหมดหนทางอยู่ที่นี่ มันทำให้อาคิราห์ต้องยอมรับความจริงว่าเขาคิดผิด
แถมยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไรด้วย
“มัวแต่นั่งอยู่นั่นแหละ รีบไปอาบน้ำซิ” ประโยคหลังของนิลอ่อนลงบ้างเล็กน้อย คงเพราะเห็นเขากำลังนั่งปาดน้ำตาอยู่เงียบๆกระมัง
“ไม่มีผ้าขนหนู” อาคิราห์พูดแกมสะอื้นเบาๆ คนฟังเลิกคิ้วเหมือนแทบไม่อยากเชื่อ
“ก็ใช้เสื้อเช็ดเอาสิ ผ้าคลุมนี่ก็ได้มั้ง” ผ้าคลุมที่คลุมหัวมาตอนแรกนั่นน่ะรึ มันเหม็นจนเขาเขวี้ยงทิ้งไปตั้งแต่แรกที่เข้ามาในนี้แล้ว อาคิราห์เบ้ปากรับผ้าอีกผืนของเพื่อนมาอย่างจำใจ ลุกขึ้นเดินลากเท้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ริมสุด
ยืนต่อแถวรอคิวจากโอเมก้าอีกสองคน สองคนนั้นก็ดูจะไม่สนใจอะไรเขาเลย ยืนนิ่งๆทื่อๆเหมือนหุ่นยนต์หรือไม่ก็คนที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
อาคิราห์สะดุดใจ เขายืนกวาดตามองไปรอบๆห้องนั้นอีกครั้ง โอเมก้าเหล่านั้นถึงจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือแววตาที่คล้ายยอมรับต่อโชคชะตาของตัวเองแต่โดยดี ไม่มีความขัดขืนหรือแม้แต่น้อยใจ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่แล้ว
“ถึงตาเธอแล้ว เร็วเข้า” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับปลายนิ้วจิ้มมาแรงๆ อาคิราห์สะดุ้งรีบเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม
มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆแคบๆเท่าแมวดิ้นตาย ขนาดเขาเป็นคนผอมก็ยังขยับตัวลำบาก ส้วมแบบหลุมอยู่ข้างซ้าย ส่วนข้างขวามีก๊อกน้ำที่คนก่อนหน้านี้เปิดน้ำทิ้งใส่ถังเอาไว้ให้ น้ำสีขุ่นคลั่กจนอาคิราห์ไม่แน่ใจว่ามันเอาไว้ใช้ทำความสะอาดตัวหรือจะยิ่งทำให้เนื้อตัวสกปรกมากกว่าเดิมกันแน่ แต่จะมองหาน้ำจากที่อื่นก็ไม่มีให้เห็นอีก ชายหนุ่มเลยย่อตัวลงใช้ขันบุบๆตักน้ำขึ้นมาล้างมือกับเท้าพอให้สะอาดขึ้นกว่าเดิม
จะเอาขึ้นมาล้างหน้าก็ทำใจไม่ลง ยิ่งอาบน้ำทั้งตัวเหมือนอยู่ที่บ้านยิ่งไม่มีทาง เขาตักน้ำราดๆแขนขาพอให้สดชื่นขึ้นแล้วก็รีบเปิดประตูกลับออกมา มองเมินสบู่ก้อนเล็กๆเบี้ยวๆอย่างไม่ไยดี
“ห้องน้ำเปื้อนมาก”
“อืม” นิลรับคำแล้วล้มตัวลงนอน อาคิราห์จะปลุกขึ้นมาคุยต่อก็เกรงใจ เขาล้มตัวลงนอนตรงกลางระหว่างนิลกับแทมมี่ ห่อตัวลงอย่างอึดอัดเพราะถูกแทมมี่เบียดเข้ามา
เสียงฝีเท้าและกลิ่นเหม็นๆลอยวนอยู่รอบตัว อาคิราห์นอนเบิกตาค้างมองเพดานที่มีหยากไย่ประดับอยู่แทนที่แชนเดอร์เรีย จนกระทั่งเขาผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน