วันพุธกลางคืน
[ คนที่นั่งอยู่ทางซ้าย ]…ผมชอบ ‘วันพุธกลางคืน’
…เพราะนอกจากโปรโมชั่นหนังมันจะราคาพิเศษแล้ว
…คนยังน้อยอีกต่างหาก
‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ ผมย้อนคิดถึงประโยคขายของหนังเรื่องนี้พลางมองจอใหญ่ตรงหน้าที่เริ่มฉายมามากกว่าห้านาที
จุดเริ่มเรื่องของหนังก็คล้ายกับหนังผีทั่วไป เรื่องราวที่มักมาพร้อมกับความมืด เปิดปมด้วยเหตุการณ์ชวนสงสัย เสียงเพลงที่บิวต์อารมณ์ให้คนดูตายใจก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงกรีดร้องและความตายของตัวละคร
กึก!
เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบจากทางฝั่งซ้ายมือของที่นั่งแถวเดียวกันนั้นทำให้ผมหันไปมองอย่างสงสัย
…นอกจากผมแล้วดูเหมือนจะยังมีอีกคนที่กำลังนั่งดูหนังด้วยกัน
ผมเผลอยิ้มที่มุมปากอย่างช้าๆ เมื่อแสงสว่างจากหน้าจอในฉากต่อมาส่องให้เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง แวบแรกยังแอบรู้สึกดีที่เหมือนจะได้เจอคนคอเดียวกันในช่วงเวลาแบบนี้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางที่เห็นนั่งนิ่งๆ อยู่เมื่อกี้กลายเป็นแทบจะสิงเก้าอี้เข้าไปอยู่แล้ว มือของเขาดูเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่างข้างตัวก่อนจะชะงักแล้วก้มลงไปมองบนพื้นเหมือนนึกขึ้นได้ทำเอาผมต้องเอนตัวออกมาจากพนักพิงเมื่อก้มมองตาม
…กล่องป๊อบคอร์นที่กลายเป็นศพอยู่พื้นพร้อมเลือดสีข้าวโพดคั่วที่กระจายเป็นวงกว้าง
ผมเผลอมองท่าทีนั้นอย่างสนใจว่าเขาจะทำอะไรต่อ สุดท้ายเหมือนคนคนนั้นจะคิดได้เลยยกสองมือขึ้นมาปิดตาตัวเองแล้วอาศัยการผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วนั้นแทน
…คนเราก็นะ กลัวแล้วยังมาดูคนเดียวอีก
ผมคิดพลางส่ายหัวอย่างระอา ดึงตัวเองกลับมาพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อดูหนังแต่สายตาดันไปตกอยู่กับกล่องป๊อบคอร์นที่ได้มาเพราะโปรโมชั่นของวันนี้ที่ผมยังไม่ได้แตะมันเลยแม้แต่น้อยพลางเหลือบไปมองคนที่อยู่อีกฝั่งอย่างครุ่นคิด
…เอาไปให้เขาดูจะมีประโยชน์มากกว่า
ยังไม่ทันจะได้ทบทวนความคิดนั้นอีกรอบ ผมก็เผลอพาตัวเองหิ้วทั้งกล่องป๊อบคอร์น แก้วเป๊บซี่และกระเป๋าสะพายลุกไปทางเขาเสียเดียวก่อนจะหย่อนตัวลงตรงเก้าอี้แถวๆ นั้นทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเมื่อคิดได้ว่ามันคงแปลกอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้เดินเอาของไปให้ทั้งที่ไม่รู้จักกัน เลยยกเลิกความคิดนั้นแล้วหันกลับไปดูหนังที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าแทน
เหมือนเป็นธรรมเนียมของหนังสยองขวัญที่จะมาพร้อมกับตำนานหรือเรื่องราวที่ถูกส่งต่อมาคนแล้วคนเล่าเพื่อการันตีความหลอนและความน่ากลัวของเรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งให้คนเชื่อว่ามีอยู่จริง
ผมคิดตามพลางมองภาพหน้าจอกำลังฉายถึงประวัติสุดเฮี้ยนของรถผีสิงที่ถูกเปลี่ยนมือคนเป็นเจ้าของไปเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของคนเก่าได้เสียชีวิต โดยจุดร่วมที่พอชี้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับการตายปริศนาครั้งนี้ได้คือเจ้าของรถทุกคันต้องเป็นหญิงสาว
โครม!
เสียงดังลั่นโรงหนังเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉากประสานงาระหว่างรถบรรทุกกับกับรถคันนั้นที่มีเจ้าของเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเรื่องเล่าทำเอาผมที่กำลังนั่งคิดตามเนื้อเรื่องเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งอยู่ไม่น้อยเลยพานคิดไปถึงอีกคนที่น่าจะตกใจพอกันอยู่ไม่น้อย
…หรือบางที ก็อาจจะมากกว่า
จากบรรยากาศของหนังสยองขวัญแทบกลายเป็นหนังคอมเมดี้เมื่อผมเห็นอีกคนถึงกับยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ด้วยท่าทีตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะเอาขาลงอย่างนึกขึ้นได้เมื่อฉากนั้นได้ผ่านไป เขายกมือไหว้ใครก็ไม่รู้เพราะผมมองไม่เห็นพลางเอามือปันฝุ่นบนเก้าอี้ที่เลอะเพราะรองเท้าของตัวเองเบาๆ
…ตลกชะมัด
ผมได้แต่ขำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเขยิบเข้าไปอีกนิดด้วยความตั้งใจแรกที่คิดอีกรอบแล้วว่าจะเอากล่องป๊อบคอร์นไปแบ่งให้
เรื่องราวความหลอนได้เดินทางมาถึงตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นผู้หญิงในที่สุดเมื่อรถผีสิงคันนั้นตกเป็นของเธอ เหตุการณ์ไม่ปกติได้เกิดขึ้นซ้ำเช่นเดียวกับตอนที่รถคันนั้นมีหญิงสาวคนอื่นเป็นเจ้าของ และดูเหมือนเนื้อเรื่องจะพีคสุดก็ในวันที่ผู้ชายซึ่งเป็นแฟนของเธอนั้นไม่อยู่บ้าน
…บางทีผมก็สงสัย หรือจริงๆ แล้ว ผู้ชายคือยันต์กันผี ทำไมผีถึงออกมาในวันที่ผู้ชายไม่อยู่ทุกที?
เหตุการณ์เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่เมื่อตัวเอกขับรถไปตามถนนและวิทยุก็เริ่มเปิดขึ้นเองอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงเพลงทำนองคุ้นหูก่อนจะถูกสัญญาณบางอย่างเข้าเสียง และตอนนั้นเสียงเพลงท่วงทำนองสดชื่นก็ได้เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง
ปึก!
เสียงของเก้าอี้ที่ตอนนี้ห่างกันเพียงไม่กี่ที่นั่งดังขึ้น คนคนนั้นยกมือขึ้นปิดตาอีกครั้งเมื่อเรื่องราวปูทางมาเหมือนกำลังจะเจอจุดพีค เขายกมือขึ้นปิดตา มองผ่านรอยแยกก่อนจะนั่งชันเขาอีกครั้งเพื่อหาหลักยึดหลังจากที่เจ้าตัวคงคิดได้ว่าแค่มืออย่างเดียวคงยังไม่พอ
…หรือบางที ป๊อบคอร์นนั่นเขาอาจต้องการกล่องมากกว่าจะเอามากิน
ผมคิดอย่างขำๆ รู้ตัวอีกทีก็เผลอยื่นกล่องป๊อบคอร์นในมือไปช่วยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ บังสายตาจากจอหนังตรงหน้าหลังจากที่ย้ายสำมะโนที่นั่งมานั่งข้างเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เชี่ย!” เขาอุทานขึ้นอย่างตกใจก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาตื่นๆ
“ทำอะไร…?!” เขาทำท่าจะถามต่อแต่เพราะผมขี้เกียจอธิบายให้มากความเลยยัดกล่องป๊อบคอร์นไปให้เขาถือซะเอง
“ให้ยืม”
“ห๊ะ?” เขามองผมสลับกับกล่องป๊อบคอร์นในมืออย่างสงสัยก่อนจะหันไปสนใจหนังตรงหน้าต่อเพราะเสียง ‘แป๊ก’ ที่คล้ายกับเสียงดีดนิ้วที่ดังขึ้นมา
ตัวเอกของเรื่องลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงเมื่อครู่นี้หลังจากผ่านเหตุการณ์หวิดความตายและพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ สายตาที่พร่ามัวของเธอถูกปรับโฟกัสให้ชัดขึ้นและหยุดลงที่จอนาฬิกาแบบดิจิตอลที่ตอนนี้ปรากฏตัวเลขบอกเวลา 13.13 น. สายตาของเธอกวาดไปยังมุมอื่นของห้องอีกครั้งก่อนจะพบแฟนเธอที่กำลังมองมาจากข้างเตียงด้วยแววตาแสนเป็นห่วง
กึก!
…แล้วกล่องป๊อบคอร์นก็ถูกยกขึ้นมาบังสายตาไว้อย่างที่คิดจริงๆ
แฟนหนุ่มของเธอเดินมาหยุดลงตรงข้างเตียงพลางเอ่ยถามอาการ เธอยิ้มเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงก่อนจะเหลือบไปเห็นเส้นผมสองสามเส้นที่ไหล่ข้างซ้ายของเขา เธอพยุงตัวขึ้นมาโดยมีเขาคอยช่วยเหลือก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเส้นผมแล้วชูขึ้นตรงหน้าเพื่อให้แฟนของเธอดู เขาทำหน้างงเล็กน้อยแล้วคว้าไปทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใส่ใจนัก
เส้นผมค่อยๆ ร่วงลงไปยังก้นถังจากสองเส้นเพิ่มจำนวนเป็นสิบ ยี่สิบ ร้อยและมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาจอดัง พรึ่บ! แล้วภาพก็ตัดไป
เฮือกกก!
เสียงหายใจเข้าอย่างกะทันหันทำเอาผมถึงกับต้องหันไปมองอย่างตกใจ เห็นคนข้างๆ ที่เผลอยกเท้าขึ้นมาอีกครั้งกับกล่องป๊อบคอร์นที่ยังค้างอยู่ในมือที่วางไว้ตรงที่วางแขน
…สงสัยฉากเมื่อกี้คงปิดตาไม่ทัน
ผมคิดอย่างอดสงสารไม่ได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นในกล่องที่ปริมาณยังเต็มกล่องจนทำท่าจะหกแหล่ไม่หกแหล่ เขาหันมามองอย่างงงๆ ก่อนจะถือป๊อบคอร์นไว้ข้างๆ ตัวเพื่อช่วยให้ผมหยิบกินได้ง่ายขึ้นเมื่อฉากตรงหน้ากลายเป็นเวลากลางวันที่มาพร้อมเสียงนกร้องเรียบร้อยแล้ว
“ไหว้ใคร?” ผมกระซิบถามอย่างอดไม่ได้เมื่อคนข้างตัวเอาเท้าลงจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้ใครอีกแล้วก็ไม่รู้ก่อนจะปัดนอบเลอะของฝุ่นที่เกิดจากรองเท้าเพื่อให้เก้าอี้สะอาดเหมือนเดิม
“ป้าแม่บ้าน”
“หืม?” ผมมองอย่างสงสัยพลางเหลือบมองรอบตัวก็ไม่เห็นว่ามีใครก่อนจะคลายคิ้วที่มุ่นกันไว้หลังจากที่นึกออกก่อนจะต้องกลั้นยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเจ้าตั
“เราทำเบาะเลอะไง”
…เรา?
เพราะผู้ชายสายเถื่อนรอบตัวเลยเหมือนไม่ค่อยได้ยินพวกเพื่อนมันใช้คำนี้แทนตัวมานานมากแล้ว
…ก็น่ารักดี
“อ่า” ผมขานรับคำบอกเล่านั้นเมื่อเห็นเจ้าตัวยังมองมาที่ผมไม่วางตาก่อนจะเห็นเขายื่นกล่องป๊อบคอร์นคืนมาให้
“เอาไปใช้เหอะ”
“ไม่ได้คืน” เขาว่าจนผมต้องเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“กินให้หน่อย เดี๋ยวมันหก” เขาพยักหน้าคะยั้นคะยอจนผมต้องยอมหยิบมากินอีก
“ช่วยกัน” ผมว่าก่อนจะแกล้งยืนป๊อบคอร์นชิ้นหนึ่งไปที่ปากของคนข้างๆ เขาหรี่ตามองก่อนจะอ้าปากงับมันไปแบบไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นัก
“ไม่ได้ใส่ยาพิษหรอกน่า” ผมบอกก่อนจะวางกำปั้นเบาๆ ลงบนศีรษะของคนตรงหน้า
“ใส่เกลืออ่ะดิ เค็มเชียว” เขาแกล้งตีหน้ายุ่งก่อนจะหลุดขำออกมาจนผมต้องยิ้มตาม
“หึ”
เธอพบว่ามันน่าแปลกทั้งที่เธอเจ็บเสียขนาดนั้นแต่รถกลับเสียหายเพียงเล็กน้อยขนาดที่ว่าใช้เวลาซ่อมมันเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น แต่เธอก็พยายามลืมๆ มันไปและยังใช้รถคันนั้นในชีวิตประจำวันซ้ำไปซ้ำมา แต่เหตุการณ์แปลกๆ ก็ยังไม่หยุด หากแต่มันกลับเกิดขึ้นและดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเฉพาะเวลาที่เธออยู่คนเดียวอีกครั้ง
พ่อของแฟนเธอเสียชีวิตลงจากอาการป่วยเรื้อรัง เขาล่วงหน้าไปก่อนและเธอสัญญาว่าจะตามไปหลังจากเคลียร์งานของวันนี้เสร็จเรียบร้อยพร้อมกับรถของเธอ
“อีกแล้ว” เสียงพึมพำจากคนข้างๆ ทำให้มือผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นเปลี่ยนมาจับกล่องแล้วยกขึ้นให้บังสายตาให้แทน
“มันยังไม่ออกมา” เขาเลื่อนมันลงแล้วหันมาทำหน้ายุ่งใส่ผม
…กลัวก็กลัว แต่ก็ดื้อจะดู
เธอขับรถมาตามทาง สองข้างทางเริ่มเป็นป่าต้นไม้ใบหญ้าเมื่อรถได้แล่นมาถึงบริเวณที่เป็นรอยต่อระหว่างเมืองซึ่งเป็นเขตชนบท แล้วเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอเหลือบไปมองแวบหนึ่งก่อนจะคว้าสายหูฟังแบบอินเอียร์ขึ้นมาใส่แต่เสียงวิทยุก็ดูจะดังขึ้นอีกจนเสียงมันลอดเข้ามาในหูทำให้เธอต้องเร่งเสียงเพลงจากโทรศัพท์ให้ดังขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว
เธอเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันเมื่อเห็นเข็มบนหน้าปัดแจ้งเตือนว่าน้ำมันใกล้จะหมด พนักงานในปั๊มมองรถที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาอย่างงงๆ เสียงวิทยุในรถดังมากจนลอดออกมานอกตัวรถจนทำให้คนมองสงสัยว่าทำไมคนขับถึงได้ใส่หูฟังอีกชั้นทั้งๆ ที่ในรถก็เปิดเพลงออกเสียงดัง
รถที่จอดสนิททำให้เสียงวิทยุเงียบลงจนเธอต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปลดส่ายหูฟังแล้วเดินลงมาที่สเตชั่นเพื่อเติมน้ำมันแบบบริการตัวเอง ก่อนจะจดมิเตอร์จากตัวเครื่อง แล้วเดินมาจ่ายตังค์ที่พนักงาน
ฉับพลันเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เฮือกกก!
ผมหันไปมองคนที่สะดุ้งอย่างตกใจก่อนจะสัมผัสได้ถึงอีกคนที่เบียดเข้ามาหาจนผมต้องกลั้นยิ้ม
เธอหันกลับไปมองด้วยความหวาดผวาก่อนจะเพ่งมองพลางเดินเข้าไปใกล้อีกนิด
อีกนิด
และอีกนิด
มีใครบางคนอยู่ในรถ!
เธอสะดุ้งอย่างตกใจพลางหันกลับมามองพนักงานอย่างขอความช่วยเหลือ
แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใคร
เธอหันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนกก่อนจะหันกลับไปมองในรถอีกครั้ง
ไม่มีใครอยู่ในรถ
มือของเธอเลื่อนไปจับไม้กางเขนตรงอกผ่านเสื้ออย่างอัตโนมัติก่อนจะพุ่งไปที่รถเพื่อรีบเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย เสียงวิทยุดังคลอขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงสตาร์ทรถทำให้เธอรีบควานหาหูฟังมาใส่จนมือสั่นก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเส้นผมเกือบสิบเส้นที่พันอยู่กับสายหูฟัง
“เชี่ยยย!”
เธอกรีดร้องก่อนจะปาหูฟังออกไปทางหน้าต่างแล้วรีบขับรถออกไปเลยไม่ทันเห็นสายลมพัดหวนที่พัดเอาเส้นผมเหล่านั้นลอยตามมาและกลับเข้ามาในรถอีกครั้ง
“ฉิบหาย!” ผมนั่งขำไอ้คำสบถประกอบฉากที่ยังคงมีให้ได้ยินเป็นระยะๆ จนต้องเหลือบไปมองที่มาของเสียงที่ตอนนี้คงไม่เหลือกล่องป๊อบคอร์นไว้บังสายตาอีกแล้วเพราะเจ้าตัวเล่นขยำจนกล่องมันบุบๆ เบี้ยวๆ ซะขนาดนั้น
“เอา” ผมตัดสินใจหยิบเสื้อช็อปออกมาจากกระเป๋าก่อนจะโยนไปให้ เขาหันมามองอย่างงๆ ก่อนจะชูมันขึ้นมาด้วยสายตามีคำถาม
“ส่วนไอ้นี่ก็ทิ้งไปได้แล้วมั้ง สภาพนี้” ผมว่าก่อนจะดึงกล่องป๊อบคอร์นที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องเปล่าออกมาจากมือคนถือแล้วเสียบมันไว้ในที่วางแก้วตรงที่นั่งว่างข้างขวา เขาหันมามองตามเล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจเมื่อฉากต่อไปปรากฎขึ้นมา
คันเร่งถูกเหยียบด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเกินค่าความเร็วที่กำหนด เธอขับรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่สายตากลับมีสมาธิอยู่กับถนนข้างหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แล้วเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง
น้ำหนักเท้าที่มากขึ้นทำให้ตอนนี้เข็มบนหน้าปัดที่แสดงค่าความเร็วรถเกินที่กฎหมายกำหนดไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำตาเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แต่ก็ยังคงประคับประคองรถให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
เสียงวิทยุค่อยๆ มีสัญญาณรบกวนที่เข้ามาแทรกอีกครั้งเหมือนคราวที่แล้ว เธอเหลือบวิทยุอย่างประสาทเสีย ก่อนเสียงติดขัดจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง เธอน้ำตาไหล ส่ายหัวไปมาอย่างคนพยายามไม่รับรู้อะไร สองมือที่ยังต้องจับพวงมาลัยทำให้เธอไม่สามารถปิดกั้นการได้ยินจากเสียงนั้นได้
“เสื้อผมครับ เบาๆ” ผมหันไปสะกิดคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะเพิ่มความกดดันไปตามฉากในหนังจนมือที่มีเสื้อของผมอยู่เป็นประกันเล่นขยำมันจนยู่ยี่
…อยากจะปล่อยไป แต่พรุ่งนี้ยังต้องใส่เรียน
“ขอโทษๆ” เขาตอบกลับแบบไม่ได้หันมามองเพราะสายตายังคงมองตรงไปที่จอหนังแต่ก็ยอมคลายเสื้อตามคำขอเสื้อ ทำเพียงยกมันขึ้นมาปิดตาเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉากที่เรียกได้ว่าไคลแมกซ์แล้ว
อยู่ๆ เสียงกรีดก็ร้องหายไป เธอหายใจเข้าอย่างแรงด้วยความวิตกพลางเหลือบไปมองวิทยุที่ดูเหมือนจะหยุดไปแล้วจริงๆ นั่นทำให้เธอคลายความกังวลลงมาเล็กน้อย น้ำหนักที่เหยียบคันเร่งไว้ตั้งแต่ตอนแรกถูกผ่อนลงลงก่อนจะเอื้อมไปคว้าแอลกอฮอล์จากเบาะหลังที่ติดรถไว้มาดื่มย้อมใจเพื่อระบายความเครียด
และในจังหวะที่เธอกำลังเอื้อมมือจะไปหยิบขวดแก้วตรงเบาะหลังทั้งๆ ที่ที่สายตายังจดจ่ออยู่ถนนตรงหน้านั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ค่อยๆ แตะลงบนแขนเปลือยเปล่า เธอหอบหายใจหนักขึ้นก่อนจะค่อยๆ ชะลอรถเพื่อหันกลับไปมอง
แต่ก็ไม่พบอะไร
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอี้ยวทั้งตัวไปเพื่อหยิบขวดแก้วและในจังหวะที่กำลังจะหันกลับมาเพื่อเร่งความเร็วรถอีกครั้งนั้น
โครม!
เฮือกกก!
มือของคนข้างๆ ก็ตะปบลงที่แขนผมก่อนจะออกแรงบีบอย่างใจจนผมแทบสะดุ้งก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วปล่อยให้เขาจับต่อไปแบบนั้น
เสียงไซเรนดังก้องไปทั่ว ภาพถ่ายจากมุมโดรนแสดงให้ภาพตัวเอกที่นอนจมกองเลือดอยู่บนถนน เมื่อภาพลอยสูงขึ้นเลยทำให้เห็นว่ารอบตัวเธอเต็มไปด้วยซากรถของเธอคันนั้นที่คาดว่าน่าจะถูกรถบรรทุกที่คว่ำอยู่ข้างทางฉีกออกเป็นสองท่อนจนเจ้าตัวกระเด็นออกมาอย่างที่เห็น และเมื่อภาพลอยเป็นมุมสูงขึ้นไปอีก ตำรวจและเจ้าหน้าที่หลายนายกำลังเดินทางเข้ามาในพื้นที่และทำการเก็บกู้ชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์บนถนนเส้นนี้กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง
มุมของภาพลอยขึ้นจนสุดแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะหลุดโฟกัสจากเหตุการณ์ข้างล่าง กลับทำให้พบว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งที่กระเด็นออกมาจากตัวรถเช่นเดียวกัน
เป็นร่างที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน เห็นเพียงแค่เส้นผมที่ยาวจนเป็นเอกลักษณ์เพียงเท่านั้น
แฮ่!
“เชี่ยๆๆๆ!” คนข้างๆ ผมถึงกับสบถออกมาเป็นชุดเมื่อภาพบนหน้าจอฉายกลับไปเป็นเหตุการณ์จากมุมมองของตัวเอกซึ่งเป็นฉากก่อนเกิดอุบัติเหตุอีกครั้งเลยทำให้รู้ว่าเธอเห็นอะไรก่อนที่เท้าจะพลาดไปเหยียบคันเร่งจนพุ่งเข้าประสานงากับรถบรรทุกที่อยู่อีกฝั่งของถนนจนพลิกคว่ำ
ผู้หญิงผมยาวที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับของเธอนั่นเอง
‘‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’
แล้วหนังก็จบด้วยประโยคปิดที่คุ้นตากันดื้อๆ แบบนี้
…หนังฝรั่งนี่เชื่อใจไม่ได้เลยจริงๆ
ไฟที่ถูกปิดจนมืดตั้งแต่หนังเริ่มฉายค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับม่านปรับขนาดจอที่ถูกหดกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ผมเตรียมตัวจะลุกก่อนจะนึกได้เลยหันไปมองอีกคนก็เห็นเจ้าตัวมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
“นี่เสื้อ ขอบคุณครับ” เขาบอกอย่างเก้อๆ ก่อนจะยื่นเสื้อคืนมาให้
“ครับ” ผมผงกหัวรับก่อนจะรับเสื้อช็อปกลับมาผาดบ่า
“ไปยัง?”
“ไปไหน?” เขาทำหน้างงจนผมอยากขำพลางมองหน้าคนที่ทำให้หนังสยองขวัญของผมกลายเป้นหนังคอมเมดี้ไปซะอย่างนั้น
“ไม่กลับบ้านรึไง?”
“อ้อ กลับดิ” เขาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะลุกขึ้น
แกรบ!
เสียงเท้าที่เหยียบเข้ากับป๊อบคอร์นที่กระจายอยู่บนพื้นทำให้เขาก้มลงไปมองก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินออกไปทำเอาผมเผลอยกมือไหว้กับเขาขึ้นมาอีกคน
“ป้าแม่บ้านเหรอ?”
“อื้อ ป้าแม่บ้าน” ผมหลุดยิ้มออกมากับความคิดแปลกๆ ที่เจอเป็นรอบที่สามแล้วแต่ก็ยังไม่ชินสักที
เราสองคนเดินออกมาก่อนคนที่เดินออกมาก่อนจะหยุดลงที่หน้าโรงหนัง เขาหันมามองผมเก้อๆ อย่างทำตัวไม่ถูก่อนจะยกมือให้ในทำนองบอกลา
“เรา เอ่อ กลับนะ” เขาบอกก่อนจะผงกหัวให้เตรียมตัวจะไป
“ผมหิว”
“ครับ?” เขาทำหน้างงเล็กน้อย
“ผมหิวอ่ะ” ผมย้ำเจตนาเดิมอีกครั้ง
…จริงๆ ก็หิว
…แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น
“แล้ว…?” เขามุ่นคิ้วให้อย่างไม่เข้าใจ
“กินข้าวกัน… มั้ย?” สุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายเอ่ยชวนก่อน เขายกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลาทำให้ผมเห็นตัวเลขที่หน้าจอพร้อมๆ กับเขาที่ทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา
00.13 น.
“ถ้าไม่หิวก็ไม่เป็น…”
“จะกินอะไรล่ะ?” เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะเอ่ยปากถาม ทำเอาสมองผมต้องประมวลผลด้วยความเร็วว่าจะมีอะไรที่ยังเปิดอยู่ในเวลาแบบนี้
“แมค?” ผมนึกถึงร้านอาหารฟาสฟู๊ดส์ที่ตั้งแบบสแตนด์อโลนอยู่ตรงพื้นที่ด้านหลังของห้างเลยสามารถเปิด 24 ชม.ได้ แม้ว่าจะเลยเวลาห้างปิดไปแล้วก็ตาม
“โอเค” เขาพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวกลับเพื่อเดินไปยังทิศทางของบันไดเลื่อน ผมเดินตามก่อนจะก้าวลงไปยื่นบนขั้นเดียวกันนั้นพลางมองหน้าอีกคนอย่างสงสัย เขาหันกลับมามองอย่างงงๆ แต่ก็ยังยิ้มให้คิดว่าในใจเขาก็คงสงสัยไม่ต่างกัน เลยคิดไปถึงประโยคประจำในหนังที่เพิ่งดูไปเมื่อครู่นี้ที่ว่า ‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ ทำเอาผมหลุดขำออกมาอย่างอดไม่ไดก่อนประโยคที่หลุดมาจากคนข้างๆ จะทำเอาผมต้องขำออกมามากกว่าเดิม
“จะว่าไป… นาย… มายังไงนะ?”TBC.
อาจจะอัพช้าหน่อย แต่จะพยายามไม่ดองจนเกินไปนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^_______^
Zenzaii
ปล. คุณ ืniyataan หนังในเรื่องเราแต่งเองค่ะ มโนเอาจากหนังที่เคยดู ^^