เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น
ตอนที่ 37 : มนุษยนิยม
ดาวและเดือนถูกเรียกวนกลับไปบนเวทีอีกครั้ง
รอบนี้เป็นรอบตอบคำถาม ผู้เข้าประกวดจะขึ้นเวทีครั้งละ 15 คน รวม 4 รอบ โดยลำดับการขึ้นจะสุ่มขึ้นใหม่โดยไม่รู้ว่าเขาเองโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เขาได้เป็นคนตอบคำถามเป็นคนแรกของงานวันนี้เลย
“ขอเชิญตัวแทนเฟรชชี่บอยจากคณะแพทยศาสตร์ครับ”
เสียงพิธีกรดังขึ้นพร้อมกับขาของเขาที่ก้าวไปด้านหน้า รอบนี้คือรอบชี้เป็นชี้ตายของเขาเลย เขาหวังเอาไว้กับรอบตอบคำถามมากที่สุด เพราะแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาควบคุมได้ รอบการแสดงความสามารถพิเศษ เขาก็ไม่มั่นใจเลย เพราะว่าเขาแอบน้ำตาซึมจนเสียงเพี้ยนไปในตอนท้าย ส่วนเรื่องหน้าตาก็เป็นอะไรที่เขาแทบจะขอแพ้บายอยู่แล้ว เขาจะเอาอะไรไปสู้เดือนคณะอื่นๆ ได้
“คำถามแรกของวันนี้คือคำถามสำหรับคณะแพทยศาสตร์นะครับ” พิธีกรฝ่ายชายเป็นคนพูดเริ่ม พร้อมกับผายมือไปทางด้านซ้ายของเขาที่เป็นพิธีกรหญิงยืนประกบอยู่
“The question is… what philosophy has already changed the world in the past and will help humanity get through the serious problem in the future?”
(คำถามคือ... คุณคิดว่าปรัชญาใดที่สามารถเป็นโลกไปแล้วในอดีต และจะช่วยมนุษยชาติให้ก้าวผ่านปัญหาสำคัญไปได้อีกในอนาคต)
เสียงพิธีกรหญิงพูดด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเปรี๊ยะทำเอาเขาขนลุก และเกิดเสียงงึมงำทั้งจากทางฝั่งผู้เข้าประกวดและคนดู เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าปีนี้ช่วงตอบคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษด้วย
“เนื่องจากปีนี้ มหาวิทยาลัยของเราจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมนักศึกษานานาชาติ คณะกรรมการจึงเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้นักศึกษาใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ในกรณีที่อยากเปลี่ยนมาฟังคำถามและตอบเป็นภาษาไทย สามารถแจ้งได้นะครับ แต่กรรมการจะพิจารณาคะแนนลดลงในบางส่วน”
พิธีกรฝ่ายชายพูดต่อ พร้อมกับยิ้มให้เขาเป็นกำลังใจ ทุกคนที่นี่รู้พร้อมกันเมื่อกี้ว่าคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาดันซวย จับฉลากต้องขึ้นมาตอบเป็นคนแรก
“Humanism for humanity. In the dark age, the people fell into the trap called believe of inequality of humankind. All the man was created with the label which cannot be changed; the priest with the rules, the rich with the right and the poor with no way to escape. But after the Renaissance, the humanism; the philosophy which believe in the humanity, took place and changed the world forever. All humankind had the right to choose the way of life themselves. Only the man can change the world; consequently, only the philosophy that believe in the man can change the world. We have to trust in our efficiency and also respect to our equality. The most serious problem in the future world is not the inadequate of resource, the hyperinflation crisis in South Africa or the aging society in the world. It is that we are not accept in our difference. The only way to avoid the tragedy like Rwandan genocide or Jewish holocaust in World War II is believe. We have to believe in human and our difference. That is the reason why the humanism can change, move and save the world, and Liberalism also.”
(มนุษยนิยมสำหรับมนุษยชาติ ในยุคมืด ผู้คนจำนวนมากตกอยู่ในกับดักของความเชื่อเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ คนทุกคนเกิดขึ้นพร้อมป้ายคำสั่งที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ บาทหลวงกับการกำหนดกฎเกณฑ์ คนรวยกับโอกาสที่มากกว่า และคนจนกับการไม่มีทางเลือกในชีวิต แต่หลังจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ปรัชญาเรื่องมนุษยนิยมที่ว่าด้วยเรื่องการศรัทธาในความเป็นมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์จะเลือกชีวิตของตนเอง มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนโลก ดังนั้นย่อมมีเพียงมนุษยนิยมเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ด้วยเช่นกัน เราจำเป็นต้องเชื่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์และยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคตไม่ใช่การไม่เพียงพอของทรัพยากรธรรมชาติ ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในทวีปแอฟริกาใต้ หรือสังคมผู้สูงอายุของประชากรโลก แต่ปัญหาคือการไม่ยอมรับถึงความแตกต่างซึ่งกันและกัน หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากโศกนาฏกรรมอย่างสงครามกลางเมืองในรวันด้า หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองคือศรัทธา พวกเราทุกคนจำเป็นต้องศรัทธาในมนุษย์และความแตกต่างของพวกเรา และนี่คือเหตุผลว่าทำไม แนวคิดอย่างมนุษยนิยมเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อน และรักษาโลกไว้ได้ แนวคิดเรื่องเสรีนิยมก็เช่นกัน)
ไป๋ยกมือไหว้ขอบคุณหลังตอบคำถามอย่างคนที่ยังตื่นเต้นไม่หาย
เสียงปรบมือดังก้องขึ้นทั่วหอประชุมอย่างสนั่นหวั่นไหว ดังยิ่งกว่าตอนเขาร้องเพลงโชว์บนเวทีเมื่อกี้เสียอีก เขาได้แต่โค้งคำนับเพื่อขอบคุณแล้วขอบคุณอีก กว่าที่เสียงปรบมือเหล่านั้นจะค่อยๆ ซาลงก็เกือบครึ่งนาทีเห็นจะได้ เขายืนฟังคนอื่นตอบคำถามจนจบพร้อมกับเดินลงจากเวทีพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันอีก 14 คนที่เหลืออย่างใจเต้นระรัว
“เชี่ยยยยย ทำไมมึงตอบดีจังวะ”
ไอ้ว่านเดินเข้ามาตบไหล่เขาเป็นคนแรก พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้ม ส่วนไอ้เพียวก็เดินเข้ามาชมเขาด้วยเช่นกัน ในขณะที่โฟคกับอิฐเดินขึ้นเวทีไปแล้ว สองคนนั้นได้ตอบคำถามรอบเดียวกันทั้งคู่
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันหวะ คิดอะไรก็ตอบเลย เชี่ย กูว่าแกรมม่าผิดเยอะแน่เลยหวะ” เขาบ่น
“โหย ไอ้ไป๋ มึงตอบได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ก็เก่งเชี่ยๆ แล้ว มึงไม่เห็นคนอื่นเหรอ ขอตอบเป็นภาษาไทยทั้งนั้นอะ มึงเนี่ยดิโคตรโหด ตอบคนแรกแถมยังตอบเป็นภาษาอังกฤษเป็นคุ้งเป็นแคว กูว่ารอบนี้คะแนนมึงนำโด่งแน่เลย” ไอ้เพียวชมเขาออกมายาวเหยียด
“เออ ขอบคุณหวะ ฟังแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย ตอนแรกนึกว่าไปปล่อยไก่บนเวทีซะแล้ว” เขาตอบอย่างโล่งใจ
“ปล่อยไก่เชี่ยไรมึง ตอบดีขนาดนี้ เพื่อนกูสงสัยจะได้ตำแหน่งกลับบ้านแน่วันนี้ ได้ที่เท่าไหร่ก็ต้องเลี้ยงกูนะเว้ย ข้อหาใช้กูมาช่วยดีดกีตาร์จนได้ดี” ไอ้ว่านพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“เฮ้ย เดี๋ยวกูแว๊บออกไปดูไอ้โฟคกับไอ้อิฐตอบคำถามก่อนนะ ใกล้ถึงแล้ว พวกมึงจะออกไปดูด้วยกันเปล่า” ไอ้เพียวหันมาถาม หลังจากชะเง้อไปดูฝั่งหน้าเวที
“กูคงไม่ไปดูหวะ กูยังเครียดๆ ไม่ค่อยหาย ขอนั่งพักก่อนละกัน”
“มึงไปเหอะ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมันเอง” ไอ้เพียวพยักหน้ารับ ก่อนเดินแทรกตัวออกไป
เขามาหาที่นั่งหลบมุมฟังเพลงอยู่เงียบๆ
หลังจากช่วงการแสดงและตอบคำถามเขาก็ตื่นเต้นมากจนรู้สึกใจสั่นไปหมด ตอนนี้เขาไม่อยากดูใครตอบคำถาม สนใจใครหรืออะไรทั้งนั้น เขาแค่อยากจะให้การประกวดจบลงโดยไวเสียที หูฟังของเขาพาเขาจมดิ่งไปในโลกที่มีเพียงแต่เขาคนเดียว ในขณะที่ไอ้ว่านก็คอยนั่งอยู่ข้างๆ คอยดูเวลาดูคิวอยู่แทนเขา แต่มันก็ไม่ได้สนใจจะชวนเขาพูดคุยอะไรอย่างรู้นิสัยกันดี
“ไป๋ เขาเรียกขึ้นไปฟังประกาศผลรางวัลแล้ว”
ไอ้ว่านหันมาสะกิดเขาหลังจากที่ฝ่ายสตาฟเริ่มเข้ามารวบรวมผู้เข้าแข่งขันเพื่อเข้าสู่ช่วงประกาศรางวัลอันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของงาน เขาหันไปดูเวลาก็พบว่านี่เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เขาลืมเรื่องกินข้าวเที่ยงไปเสียสนิท แต่ช่างเถอะ ชายหนุ่มหยิบหูฟังฝากไว้ที่เพื่อนสนิทก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนผู้เข้าประกวดต่อไป
เสียงพิธีกรฝ่ายหญิงเอ่ยเกริ่นเข้าสู่ช่วงประกาศรางวัลอันดับสามแล้ว ไป๋ได้แต่ยืนลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ หันไปมองไอ้อิฐก็เจอมันหันมายิ้มให้เป็นกำลังใจ ส่วนไอ้โฟคอยู่ในองศาที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้ อุตส่าห์ตั้งใจจะไม่คาดหวังรางวัลอะไรอยู่แล้วแต่มันก็ตื่นเต้นอยู่ดี
“รางวัลเฟรชชี่เกิร์ลรองชนะเลิศอันดับสอง เธอมีผลงานการแสดงรำไทยได้อย่างยอดเยี่ยม และการตอบคำถามที่แสดงถึงวัฒนธรรมไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“รางวัลเฟรชชี่เกิร์ลรองชนะเลิศอันดับสองเป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะบริหารธุรกิจค่ะ” เสียงปรบมือดังลั่นหอประชุม พร้อมกับเจ้าของรางวัลที่ก้าวออกมาเบื้องหน้า
“รางวัลเฟรชชี่บอยรองชนะเลิศอันดับสอง เขามีผลงานการแสดงความสามารถพิเศษที่ยอดเยี่ยม ไม่เหมือนใคร และเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ จนกรรมการทุกคนให้คะแนนในช่วงความคิดสร้างสรรค์เต็มทุกคน”
“รางวัลเฟรชชี่บอยรองชนะเลิศอันดับสองเป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะทันตแพทยศาสตร์ครับ” ไป๋ตบมือออกไปอย่างดังลั่น ไอ้โฟค ไอ้โฟคเพื่อนเขาได้ที่สาม เชี่ย เก่งมาก
“รางวัลเฟรชชี่เกิร์ลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง เธอมีผลงานการตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการแทนที่นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากับอุตสาหกรรมพลังงานของชาติได้อย่างน่าประทับใจ”
“รางวัลเฟรชชี่เกิร์ลรองชนะเลิศอันดับสองเป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะวิทยาศาสตร์ค่ะ” เขาปรบมือไปอย่างยินดีด้วย ว่าแต่ใครจะได้เป็นรองฝ่ายชายนะ
“รางวัลเฟรชชี่บอยรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง เขามีผลงานการแสดงความสามารถพิเศษที่เรียกได้ว่าเฉียบขาดและประทับใจคนดูจนแทบลืมหายใจ รวมไปถึงความสามารถในการตอบคำถามที่ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”
“รางวัลเฟรชชี่บอยรองชนะเลิศอันดับหนึ่งเป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ครับ”
เชี่ย ไอ้อิฐได้ที่สองได้ไงวะ ขนาดไอ้อิฐยังได้ที่สอง เขาก็คงจะไม่ได้รางวัลอะไรแล้ว ไป๋ปรบมือไปพร้อมกับหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆ ตอนนี้เขาเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นตัวเต็ง เพราะตอนที่แสดงความสามารถพิเศษและตอบคำถาม เขาก็แทบไม่ได้สนใจผู้เข้าประกวดคนอื่นเลย
“รางวัลชนะเลิศเฟรชชี่เกิร์ลประจำปีการศึกษานี้ เธอมีผลงานการแสดงเดี่ยวดนตรีอย่างยอดเยี่ยมและไร้ที่ติ รวมไปถึงการตอบคำถามเรื่องปัญญาประดิษฐ์ที่ถือว่าแสดงถึงความรอบรู้และใส่ใจในการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างโดดเด่น”
“รางวัลชนะเลิศเฟรชชี่เกิร์ลเป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีค่ะ”
เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งทั้งหอประชุม ดาวมหาวิทยาลัยปีนี้ทั้งสวยและฉลาด เธออยู่รอบตอบคำถามเดียวกับเขา เธอตอบได้เยี่ยมและมีแนวคิดที่ดีจนต้องยอมรับเลย
“รางวัลชนะเลิศเฟรชชี่บอยประจำปีการศึกษานี้” ไป๋ใจสั่นเมื่อมาถึงรางวัลสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะบอกว่าไม่หวังอะไร แต่ใจมันก็ห้ามจะหวังไม่ได้อยู่ดี
“เขามีการแสดงที่แสนประทับใจ และเข้าถึงความรู้สึกของผู้ชมอย่างมาก” เขาได้แต่เม้มปากอย่างตื่นเต้น
“แต่ในช่วงตอบคำถาม ถือว่าทำออกมาได้เยี่ยมยอด จนได้คะแนนเต็มทุกช่องจากกรรมการทุกคน และเป็นผู้เข้าประกวดคนเดียวที่ได้คะแนนเต็มในการประกวดตอบคำถามในปีนี้”
“แนวคิดของคำตอบที่เฉียบคม ถูกถ่ายทอดผ่านภาษาที่ไหลลื่นและยอดเยี่ยม รวมไปถึงการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยมจนมหาวิทยาลัยคาดหวังให้เป็นต้นแบบของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่อไป...”
“รางวัลชนะเลิศเฟรชชี่บอยปีนี้เป็นของผู้เข้าประกวดจากคณะแพทยศาสตร์ครับ!”
ตาของเขาพร่าเลือนไปหมด หูของเขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว เขารู้สึกได้ถึงคนที่เข้ามาแสดงความยินดีและตบบ่าของเขาให้เดินออกไปรับรางวัลข้างหน้า
บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้ว ใครจะไปเชื่อว่าไอ้เด็กตี๋สุดเนิร์ดแว่นหนาเตอะตอนนี้จะกลายไปเป็นเดือนมหาวิทยาลัยได้ก็ไม่รู้
เขาโค้งคำนับให้กับคนรอบตัวอย่างขอบคุณหลายต่อหลายครั้งจนจำความไม่ได้
ขอบคุณ
ขอบคุณที่ให้เกียรติ
ขอบคุณมาก
ขอบคุณมากจริงๆ
นายพินต้า
ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่
www.twitter.com/ninepinta ผ่านมา 37 ตอนแล้ว เริ่มใจอ่อนหลงรักไป่ไป๋ของผมบ้างหรือยังครับ หลงรักหน่อยเร็ว ไป่ไป๋ไม่มีคนรักจนกลัวความรักไปแล้วเนี่ย อิอิ ปล. รู้ว่าตอนนี้แอบสั้น อย่าด่าหนูเลย อีก 2 - 3 วันก็มาลงตอนใหม่ให้แล้ว อดใจรอหน่อยนะ ถ้าเม้นเยอะ เดี๋ยวรีบมาต่อให้ไวเลย อิอิ