บทที่ ๒๙
พิรุณ๑วิปโยค
รอยแผลบาดลึกฝังคมกรีดลงหัวใจพจน์มากขึ้นทุกขณะ ดุจความเจ็บปวดนั้นทวีริ้วรอยมิรู้จบสิ้น หลังปลดปล่อยความอัดอั้นจนสิ้นค้างคา หักใจนำความกล้าขึ้นลบล้าง ทุกข์ทรมานใดรอคอยอยู่เบื้องหน้าไม่อาจรู้ แต่ตอนนี้ตนเจ็บสมใจผู้กำหนดโชคชะตาเป็นที่ปรากฏแล้ว
“พจน์...ไข้ลดลงแล้ว ดื่มน้ำอีกหน่อยนะ” ภพดนัยจรดแก้วน้ำลงริมฝีปาก แล้วโผกอดบุตรชายแน่น บัดนี้เด็กหนุ่มกลับสู่โลกปัจจุบันอีกหน พยักหน้าอือออตอบรับ
“ผมสบายดีแล้วครับ คุณพ่อ” ภพดนัยใช้หลังมือวัดอุณหภูมิหน้าผากด้วยพะวง เสียงสายฝนยังคงกระหน่ำมิหยุดหย่อน ใบหน้าสวยหล่ออย่างเดียวกับพจน์ ขยับระโหยอ่อนแรงพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“พ่อนึกว่าเราจะเป็นไข้หนักจนเกือบต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวอยู่แล้ว” วางผ้าเช็ดตัวลงข้างอ่างน้ำพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก “อยู่ๆก็มีอาการแบบนี้ พ่อใจคอไม่ดีเลย”
“ผมโอเคแล้วครับ แล้วคุณพ่อไปไหนมาหรือครับ” ปลายขากางเกงทั้งสองเปรอะเปื้อนโคลนจนผิดสังเกต
“เปล่าน่ะ นอนลงก่อนเถอะพจน์”
ภพดนัยเหม่อมองแม่น้ำเจ้าพระยานอกหน้าต่าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาหลายนาทีแล้ว
“ฝนตกหนักติดต่อกันแบบนี้ มีหวังน้ำคงท่วมตามมาแน่” ภพดนัยเปลี่ยนเรื่องตั้งข้อสังเกต ยิ้มอ่อนแรงให้บุตรชายพร้อมเกลี่ยผมปรกหน้าออก “มาเที่ยวต่างจังหวัดทั้งทีกลับเจอสภาพอากาศแบบนี้ แย่จังเลยนะ”
พจน์เผยอเปลือกตาพินิจมองหยาดฝนกระหน่ำพรมสู่ผืนดินพร้อมเสียงร้องคำรนและแสงแปลบปลาบแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ราวกับสายฝนเป็นตัวแทนโศกาลัยในโชคชะตาอันเลวร้ายของชาติภพล่วงผ่าน ด้วยเงาอดีตชาติทั้งสองต่างพบจุดจบรันทดใจ เกินกว่าจะกล่าวปรับทุกข์ให้ใครช่วยแบ่งเบา ก่อนความหนักอึ้งในหัวจะกดทับให้สติหลับใหลสู่นิทราอีกครั้ง
“ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนพายุมรสุมบริเวณทุกภูมิภาคของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ พายุลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ปกคลุมประเทศไทยมีแนวโน้มตกหนักขึ้น โดยมีลักษณะของฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกแรง อาจมีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนทุกภูมิภาคระวังอันตรายจากลมพายุที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งที่ก่อสร้างที่ไม่แข็งแรง และคอยเฝ้าระวังเหตุอุทกภัยซึ่งตอนนี้เกิดขึ้นบริเวณจังหวัดภาคใต้ และภาคกลางตอนล่างแล้ว”เสียงประกาศดังมาจากหน้าจอโทรทัศน์ภายในห้องไม้เรือนทรงไทย ภพดนัยยืนกอดอกพิจารณารายงานข่าวด้วยสีหน้าเครียด และทันทีเมื่อเห็นดวงตาน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้น เขาก็ขยับเข้าหาบุตรชายโดยเร็ว
“กี่โมงแล้วครับ”
“เจ็ดโมง พจน์ตอนต่อเถอะ เดี๋ยวพ่อยกอาหารเช้ามาให้”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างกับไม่เคยนอนเต็มอิ่มเท่านี้มาก่อน อาการปวดหัวและปวดใจหายขาดราวกับปลิดทิ้ง ยังคงเหลืออยู่เพียงภาพอดีตชาติแจ่มชัดและไม่มีวันลบเลือน
“พายุเข้าน่ะ ได้ข่าวว่าทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกและอาเซียนโดนพายุถล่มกันหมด ตัวหายร้อนแล้ว อาบน้ำอุ่นนะพจน์ เสร็จแล้วตามไปที่ห้องอาหาร พ่อคงต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมเที่ยวสำหรับวันนี้สักหน่อย” ภพดนัยกำชับแล้วผละจาก
“ไอ้พจน์ มึงมันนิสัยไม่ดีทิ้งกูให้นอนกับไอ้ยักษ์พวกนั้นได้ยังไง” น้องน้ำโวยวายผลักประตูเข้ามาคล้อยหลังภพดนัย ทำหน้านิ่วโกรธผสมงอนจนน่าหมั่นไส้
“ไอ้ภามกับไอ้พีทมันทำ...อะไรมึงงั้นเหรอ” พจน์แกล้งทำหน้าตกใจ
“เฮ้ย เปล่า มึงห้ามคิดลามกนะ ก็แค่พวกมัน...” น้องน้ำหน้าขึ้นสีทันที พจน์เห็นอาการขวยเขินแบบนั้นก็นึกสนุกรีบเกาะไหล่เซ้าซี้เอาความให้ได้
“มันทำอะไรวะ” ทำตาโตเท่าอีกฝ่ายแล้วแหย่อย่างสนอกสนใจ
“ก็พวกมัน...ถอดเสื้อ อวดหุ่น ไหนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินร่อนไปทั่วห้องเลย” น้องน้ำหลับตาตัวสั่นลูบแขนขนหัวลุก “ไม่พอยังนอนแบบไม่ใส่บ็อกเซอร์ด้วย แล้วมึงคิดดูว่ากูจะนอนหลับไหม มึงมันขี้โกง นอนหลับเต็มอิ่มเลยสิท่า”
ไอ้น้ำชี้หน้า ดวงตาสะลึมสะลือหาวแล้วหาวอีก สงสัยจะไม่ได้นอนอย่างที่มันว่าจริงๆ พจน์จึงโอบตัวลูบหลังกล่อมปลอบปลุกด้วยวาจา
“เอาน่า มึงจะกลัวอะไรพวกมันวะ ลูกผู้ชายเหมือนกัน คราวหน้าก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามซิกแพคใส่พวกมันเลย มีหวังไอ้สองคนนั่นไม่กล้าถอดเทียบกับมึงอีกแน่ๆ” กอดหน้ากอดหลังเจ้าตัวเล็กกว่า
น้องน้ำนิ่งฟังพยักหน้างึกๆเหมือนโอนอ่อนเห็นด้วยกับคำยุ พจน์กลั้นขำแทบแย่แต่ต้องทำหน้าตึงให้น่าเชื่อถือไว้
“เอาแบบนั้นหรือวะ แต่คงไม่ต้องละมั้ง เย็นนี้เราก็กลับแล้วนี่ ไม่ได้ค้างต่ออีกคืนนี่หว่า” น้องน้ำหลวมตัวหลงกลเข้าตามแผนแกล้งของพจน์โดยไม่ระแวงแคลงใจ
“มึงไม่เห็นข่าวอ๋อ น้ำท่วมกรุงเทพฯแล้ว โรงเรียนทุกโรงฯประกาศหยุดโดยไม่มีกำหนด กูว่าเราคงต้องอยู่ที่นี่อีกสักคืนสองคืนว่ะ”
“เฮ้ยจริงดิ กูไม่รู้ว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้ งั้นขอโทรหาแม่แปบ เออ...” น้องน้ำรีบหันมาเหมือนมีเรื่องค้างคาในใจ “มึงกับไอ้กันยกเลิกคำท้าถอดความโคลงฯกันแล้วเหรอวะ นี่ก็เลย ๗ วันมาแล้วด้วย กูเป็นห่วง เอ่อ ไอ้พวกนั้นมันฝากถามมาว่ะ” น้ำรีบเสริมเมื่อเห็นพจน์เงียบผิดปกติ
“อืม...ยกเลิกละ” พจน์ตอบเพียงแค่นั้นไม่ได้ขยายความใดๆ ชลนธีก็วิ่งดุกดิกจากไปทันที
‘เจ้าหมอนั่นได้กลับมานอนพักที่รีสอร์ทตามคำขอร้องของพจน์หรือเปล่า’รายงานข่าวเพิ่งสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครผ่านพ้นเมื่อสักครู่ พร้อมประกาศปิดสถานศึกษาทุกแห่งอย่างไม่มีกำหนด ภาพท้องถนนมีแต่น้ำท่วมเจิ่งนองราวกับทะเลสาบปรากฏให้เห็นทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ รถราติดขัดเต็มท้องถนนซ้ำซ้อนอีก นอกจากฝนตกหนักแล้วนักข่าวยังบอกอีกว่าน้ำทะเลหนุนสูงผิดปกติในรอบหลายสิบปี จึงทำให้การระบายไม่ทันท่วงทีและท้องที่กรุงเทพมหานครจึงพบจุดจบเช่นนี้ ข้อความกลุ่มสนทนาชมรมฟุตบอลในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนจากโค้ชว่า ยกเลิกกำหนดการแข่งขันในวันจันทร์หน้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด
พจน์เฝ้าติดตามข่าวสารเมื่อพบแต่เรื่องเดิมก็ตัดสินใจกลับไปยังห้องตัวเองเพื่อชำระล้างร่างกายและแต่งตัวเพื่อหาอะไรรองท้อง เพราะเสียงร้องครวญแสบทรวงจนต้องหาของอร่อยมาระงับ ระหว่างเดินผ่านระเบียงลัดเลาะสู่ห้องตัว พจน์ได้ยินคำสนทนาแว่วจากห้องพักด้านขวา สังเกตสุ้มเสียงทุ้มกว้างไม่ผิดแน่เป็นศาสตราจารย์วิชัย กำลังเจรจาความกับชาญณรงค์อยู่ แม้เสียงฝนตกกระทบหลังคาและพื้นกระดานดังเปาะแปะ แต่ถ้อยสนทนาจะไม่น่าสนใจเลยหากไม่มีคำหนึ่งผุดขึ้นออกชื่อตัวจนหูผึ่ง
“ผมคิดว่า
พจน์ เป็นกุญแจสำคัญ สำหรับไขปัญหานี้ให้กระจ่าง โดยเฉพาะหลักฐานสำคัญซึ่งอาจารย์ตามหาอยู่” จำได้ว่าเป็นคำพูดของชาญณรงค์
“ตาพจน์ เกี่ยวอะไรด้วย” คุณปู่ตั้งข้อสังเกต
“พจน์เป็นเด็กน่าสนใจ ทั้งฉลาดมีไหวพริบกว่าเด็กปกติ รวมทั้งมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดู ใครเห็นก็มักชอบพอเป็นที่รักใคร่ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพาพจน์ไปหา
คนคนนั้น”
คุณปู่ไม่ได้โต้ตอบ ความเงียบอ้อยอิ่งอยู่ชั่วขณะ
“ผมคิดว่าหลักฐานนี้จะต้องเป็นเอกสารหนังสือตำราอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งปรากฏการณ์ชั้นหินตะกอน หรือแม้แต่เรื่อง...ขอโทษนะครับ เรื่องราวหลังจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ล้วนไม่อาจชักนำให้ผู้คนเชื่อถือได้ ผมมั่นใจว่าหลักฐานชิ้นสำคัญจะต้องมี และเราต้องให้บรรณารักษ์คนนั้นช่วยครับ”
“ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด ปริศนาสถานที่นัดพบยังอับจนอยู่ พ่อณรงค์มีความเห็นอย่างไร”
“ตามที่อาจารย์กล่าว ว่าหนแรกเผอิญเจอ ณ วัดศรีสวาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ประมวลจากข้อมูลสอดคล้องและเชื่อมโยงกันแล้ว ตามข้อพิจารณาของผม สถานที่นัดพบในวันแรมหกค่ำคงไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากวัดไชยวัฒนารามเท่านั้น”
“ทำไมพ่อถึงมั่นใจขนาดนั้น ศาสนสถานหลายแห่งในอยุธยาและมีความสำคัญกว่าวัดไชยวัฒนารามมีมากมายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน”
“วัดศรีสวายแต่เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีลักษณะเป็นปรางค์สามยอดแบบขอม ปรากฏพบเทวรูปและศิวลึงค์ทำด้วยสำริด จึงสันนิษฐานว่า วัดศรีสวายนี้คงเป็นสถานที่พวกพราหมณ์ใช้ทำพิธีโล้ชิงช้าหรือตรียัมปวาย เช่นนั้นสถานนัดพบแห่งที่สองบนพื้นพิภพคงไม่พ้นราชธานีลำดับสองต่อจากอาณาจักรสุโขทัย และมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดศรีสวายคือประกอบด้วยสถาปัตยกรรมแบบอย่างขอม และมีกลิ่นอายของศาสนาพราหมณ์ปะปนอยู่”
“วัดไชยวัฒนารามถูกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองแบบมาจากนครวัด โดยปรางค์ประธานนั้นสื่อถึงคติความเชื่อว่าเป็นดั่งยอดเขาพระสุเมรุ ไม่ผิดแน่พ่อณรงค์” คุณปู่ร้องอย่างลืมตัว
“วันแรมหกค่ำเดือนสิบสองคงไม่พ้นสถานที่นี้แน่ครับ อาจารย์” ชาญณรงค์ยืนยัน
“มายืนลับๆล่อๆอะไรตรงนี้วะ ไอ้พจน์” นิธิกอดอกพิงเสามองภัทรพจน์ด้วยหางตา เด็กหนุ่มหน้าสวยบุ้ยใบ้ให้ปิดปากแล้วลากจูงคนตัวสูงบางให้ห่างจากหน้าห้องพักของศาสตราจารย์วิชัย
พจน์ผลักประตูเข้าสู่ห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้น ปล่อยมือจากกันแล้วหายใจหอบ ล้มตัวนอนบนเตียงอ่อนนุ่ม นิธิยังคงแต่งชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์รัดรูปขาดเข่าตัวเดิม มันส่งสายตาเยือกเย็นเป็นเชิงคำถามมาให้
“มึงกลับมาตอนไหนวะ” เลียบเคียงถาม
“เมื่อเช้า” ตอบห้วนๆ
“อ้าว แล้วเมื่อคืนไปอยู่ไหน ไม่เห็นโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาหากูสักนิด” พจน์เอนลุกคว้าโทรศัพท์มือถือเช็ครายละเอียด นึกเป็นห่วงเจ้านี่อย่างประหลาด มันจับจองมองพจน์ไม่วางตา ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงราวกับชั่งใจ
“กู...”
“มึงทำธุระเสร็จแล้วงั้นสิ” จ้องกลับหน้านิ่ง อยากรู้เหตุผลที่มันหายตัวทั้งคืนแต่ไม่อยากรบเร้าคาดคั้น
“มึงไม่โกรธกูแล้วใช่ไหม” คิ้วขมวดแน่น ดวงตาเหยี่ยวสาละวนรอคำตอบ
พจน์หลบตาร้อนแรงนั้นเสมองสายฝนพรำด้านนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มประดุจยามวิกาล
“กูตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดกับมึงอีก จะไม่ยอมมองหน้า หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้มึงคิดว่ากูยังหวังในตัวมึง แต่เพียงแค่เห็นแววตา...” เลี่ยงดูมือตัวเอง แล้วเสริมว่า “ไม่รู้ว่ะ มันเหมือนมึงโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน ไร้ญาติขาดมิตร หรือกระทั่งไร้พ่อแม่ กูเห็นภาพนั้นชัดเจนจนทนไม่ได้ที่จะเห็นแววตานั้นซ้ำสอง ครอบครัวมึงอยู่ที่ไหนวะ ต้องมีใครสักคนดิที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยเป็นที่ปรึกษา คอยดูแลเวลาที่มึงไม่โอเค ถึงมึงจะไม่ใช่คนปกติธรรมดาก็ตาม”
นิธิจดจ่อแต่ภัทรพจน์พร้อมความอาทร
“วินาทีที่มึงผลักไส ไม่อยากเห็นหน้ากูอีก มึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง”
พจน์ผินหน้ามองท่วงทีโศกซึ่งเคยทำลายกำแพงความตั้งใจพังพินาศราบคาบ
“กูแทบตายทั้งเป็นเลยเว้ย กู...กูเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง มันรู้สึกราวกับหัวใจแตกหักหยุดเต้น” พจน์ฮึดถอนสายตาออก ด้วยไม่อาจทนฝืนได้นาน “ชีวิตกูมันสารเลวเหลวแหลก สมควรแล้วที่จะได้ลิ้มรสสำนึกผิดระคนตรอมตรมให้สาสม แต่ไม่เคยคิดว่าจะเร็วขนาดนี้
ไม่ ไม่เคยคิดจนกระทั่งได้มาพบมึง”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” พจน์ถามคำถามเดิมอีกครั้ง
ไอ้กันส่ายหน้าเช่นเดียวกับวันแรกที่พบเจอ
“ทำไมวะ ทำไมรู้สึกว่ามึงกับกูเคยเจอกัน ในเมื่อมึงแต่งโคลงพยากรณ์ถึงตัวกูแบบนั้น จะไม่ให้คิดได้ยังไงว่า เมื่ออดีตชาติทหารราชองครักษ์ของพระเจ้าอนันตราช ชื่อ กาวี จะไม่เคยพูดคุยกับพระเจ้าวัชรโกมลแม้สักคำหนึ่ง”
“ไม่ ไม่เคยคุย ไม่เคยเจอ ไม่เคยอยู่ในสายตามึง แต่ความรักอันบริสุทธิ์ของกูที่มีต่อมึงคือความจริงแน่แท้” กันปฏิเสธยืดยาว หางเสียงมีแววหน่วงโศกาดูรมากขึ้นทวีคูณ
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาคุย มาเจอ มาอยู่ในสายตา ยอมมาปกป้องกูแบบนี้ ในเมื่อมึงเองก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะทำตั้งแต่แรกแล้ว หรือคำว่า
รัก ของมึงก็ไม่ต่างจากคนอื่น ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ไปเถอะ ไม่ต้องลงมือลงแรงปกป้อง หากกูจะต้องตายด้วยน้ำมือของจอมปีศาจในชาติภพนี้ซ้ำอีกหน ก็ปล่อยให้มันเป็นไป”
“ไอ้พจน์ มึงฟังนะ กูรักมึงยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ยอมสละได้ทั้งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ในชาติภพนี้กูคงไม่มีวันพลาดท่าให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก”
“มึงห้ามไม่ได้หรอก ทั้งภพชาติคนธรรพ์ หรือกินนร กูล้วนเคยตายมาแล้ว” กันบดกรามเป็นสันนูน “ตอนนี้จอมปีศาจกำลังวางแผนเล่ห์กระเท่อย่างไร หรือคิดปองล้างรอโอกาสอยู่ที่ไหน อาจภายในวันนี้หรือวันพรุ่งวันรืน มันคง
สังหารกูได้ง่ายดายเหมือนเช่นทุกชาติภพที่ผ่านมา”
“อย่า...ได้พูดคำนั้น” กันขบฟันแน่น ดวงตาแข็งกร้าวมุมานะ พจน์ขยับลุกยืนเมื่อได้ระบายความในใจกับใครสักคนก็พลันอกโล่งผ่องแผ้วจนปรากฏรอยยิ้มพราว ก้าวเท้าประชิดตัวนิธิ เอื้อมมือแตะบนอกหนากระเพื่อมถี่กระชั้น
“ขอบใจสำหรับทุกสิ่งซึ่งกล่าวไว้เป็นสัจจะคำมั่น หากต้องมาฝืนทนเจ็บปวดเพราะกูไม่อาจรักมึงตอบได้ ก็จงไปเสียเถอะ กูไม่มีหัวใจไว้รักใครอีกแล้ว”เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลวิงวอนใบหน้าเรียวแหลม พลันเห็นหยดน้ำหนึ่งหลั่งจากดวงตาคมดุไม่สมควร มันเป็นทั้งผู้มีคุณเคยช่วยชีวิตอาพล ทั้งคอยปกป้องครอบครัวพจน์ และพจน์ไม่อยากทำให้กันต้องเสียใจอีก ไม่อยากเห็นน้ำตาลูกผู้ชายต้องรินไหลเพราะตนเป็นต้นเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าอุปมาสายฝนร่ำไห้ ก็เขย่งปลายเท้าจูบซับหยดน้ำใสเหนือแก้มตอบให้แห้งเหือด
50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป______________________________
๑ พิรุณ : ฝน
______________________________
ช่วงพูดคุยตอบคำถามกว่าจะรักกันได้ สู้ๆนะ มาตะ-พจน์
รักแท้ย่อมมีอุปสรรคขวากหนามเป็นธรรมดาครับ คอยเป็นกำลังใจให้พจน์กับมาตะด้วยนะครับ รวมถึงคนแต่งด้วย อิอิ
ถึงกับถอนใจเฮือกเลยหรอครับ เอาน่า เดี๋ยวทุกอย่างก็คลี่คลายครับ
กว่าจะจบแต่ละเรื่องช่างปวดใจนัก
ครับ ถ้าหายปวดใจแล้วก็มาต่อเรื่องปวดใจอันใหม่กันต่อเลย อิอิ
ตามอ่านอยู่แล้วคราบ นิยายในดวงใจขนาดนี้ หานิยายดีๆแบบนี้ยากแล้วทุกวันนี้ ดูสิพจน์จะทำยังไงต่อไป จะห้ามหัวใจตัวเองให้มาแข็งแกร่งได้รึเปล่า ยิ่งอ่านมันยิ่งลุ้นระทึกอ่ะ
ดีมากครับ อิอิ ดีใจที่นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายในดวงใจของคุณครับ พจน์จะกลับมาเข้มแข็งได้ไหมหลังจากเจอเหตุการณ์มากมายผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งเรื่องความรัก ทั้งเรื่องอดีตชาติ ภาวนาให้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนนี้กล้าหาญ สู้ๆ นะพจน์
ขอบน้ำใจพี่ท่านเหลือประมาณ น้องมิได้เข้าพบพานเพจนี้เสียหลายเพลา บทประพันธ์ของพี่ท่านยังทรงคุณค่าดุจเดิมมิเปลี่ยนแปลงตามเวลากาลแลยิ่งทวีคูณด้วยถ้อยคำอักขราประเสริฐล้ำ อันมธุรสวาจาโต้ตอบกับมวลมิตรของพี่นั้น ช่างโสตเสนาะเพราะหูเสียนี่กระไร น้องพึงได้เห็นน้ำใสใจจริงของพี่ท่านแล้วในครานี้...
..น้องมีการอันขุ่นข้องหมองใจใคร่แถลง ด้วยภัทรพจน์ร้องไห้ฟูมฟายจนเกินการจวบจนน้ำตาธารเป็นโลหิตนั้น น้องมิเห็นสม ด้วยตนมิใช่อิตถีเพศนั่นก็หนึ่ง ไฉนฤาจึ่งทำตนอ่อนแอได้เพียงนี้ ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าสวามีนั้นมิใช่ผู้ที่ไปเกี้ยวพาราสีผู้นั้นก่อนแลการจุมพิตที่บังเกิดก็หาได้เริ่มด้วยคู่ครองของตนไม่ เหตุเป็นดังไม่คาดฝันพัลวันเยี่ยงนี้มิควรมีซึ่งผลดั่งน้องนี้ได้แจ้งไป อีกทั้งตนยังเป็นคนในเบื้องปัจจุบันที่ข้ามภพย้อนกาลกัลป์กลับไปได้ ใยมิมีความแข็งแกร่งทานทนต่อเล่ห์กลอันเกิดขึ้นแลพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุสมัย เป็นดั่งนี้แล้วไซร้ น้องจึ่งใคร่สงสัยในตัวพจน์...
แต่น้องก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าพี่ท่านนั้นไซร้ จักน้อมนำพาทุกคนไปสู่อดีตสมัยอันพระเจ้าระพีกานต์...
หากน้องนี้ได้ล่วงเกินสิ่งใดไป ขอพี่ท่านให้อภัยน้องด้วยเทอญ..
เป็นคอมเม้นต์ที่ยาวถูกใจผู้เขียนจริงๆครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ความเห็นของผู้อ่านไม่ได้เป็นสิ่งล่วงเกินต่อผู้เขียนแต่อย่างใดเลย หนำซ้ำยังจะเป็นเหมือนกระจกหลายๆบานคอยสะท้อนข้อคิดเห็น ข้อผิดพลาดต่างๆกลับมาเป็นกำลังใจ หรือการปรับปรุงให้งานเขียนพัฒนายิ่งๆขึ้นอีกต่างหาก ผมเสียอีกต้องขอบคุณ /\ คุณด้วยซ้ำ เอาล่ะ เรามาเริ่มประเด็นเรื่องน้ำตาสายโลหิตที่คุณได้ท้วงติงมาดีกว่า โดยผมจะขอแจกแจงเป็นสามประการด้วยกัน
๑. ทำไมพจน์ถึงฟูมฟายร้องไห้ ดูอ่อนแอราวกับสตรีเพศก็ไม่ปานในประเด็นนี้ผมอาจจะคิดพิเคราะห์ลงลึกไม่มากพอ จนกลายเป็นข้อขัดใจสำหรับคนอ่านหลายๆท่าน คือต้องอย่าลืมว่า พจน์เป็นผู้ชาย คุณสมบัติของเพศชายควรจะเข็มแข็งอดทนมากกว่าสตรีเพศเป็นสิ่งถูกต้อง การร้องไห้ฟูมฟายดูอ่อนแอแบบนี้จึ่งสมควรจำกัดไว้ในเพศหญิงจะเหมาะสมกว่า ในข้อนี้ผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และน้อมรับไว้เป็นข้อปฏิบัติสืบไป อย่างที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า ผมอาจจะคิดตื้นลึกไม่มากพอ คือ พิจารณาแต่เฉพาะหัวอกตัวละครในขณะนั้นเข้าเทียบกับความรู้สึกตนเป็นพื้นฐาน หากคนที่เรารักและผูกพันกันมาแต่ชาติภพก่อน ทั้งอัศจรรย์ถึงขั้นเชื่อมนำพามาพบกันแม้จะอยู่ต่างภพกันนี้ จะรู้สึกประการใดหากถูกใครก็ไม่รู้ประทับรอยจูบซ้ำรอยของตน และมาตะยังเป็นคนรักคนแรกที่พจน์ฝากกายฝากใจไว้ด้วย ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงแปลกมิใช่น้อย แต่จะถึงขั้นต้องร้องไห้ฟูมฟายหรือเปล่านั้น ก็คงกลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมจึงขออภัยมา ณ ที่นี้
๒. ทำไมแค่การเห็นมาตะถูกจูบโดยบุหลันถึงขั้นต้องร้องไห้กลั่นเป็นสายโลหิต ด้วยฝ่ายมาตะมิได้เป็นผู้ริเริ่มซ้ำถูกล่วงเกินเสียอีกไม่ยินยอมเต็มใจ การจะเกิดเหตุอันก่อเป็นน้ำตาสายโลหิตได้นั้น คือต้องขื่นขมทนทรมานเหลือล้ำกล้ำกลืน ดังเช่นอดีตชาติกินนร เป็นต้น และเป็นลักษณะอาการเฉพาะหนึ่งเดียวสำหรับพจน์คนเดียวเท่านั้น เนื่องด้วยไม่เคยปรากฏอาการนี้ในใครอื่นอีก เช่นนั้น การเห็นมาตะถูกจุมพิต โดยเต็มใจหรือไม่จนต้องร้องไห้ออกมาก็คือกับเหตุผลเดียวกับข้อแรก และถามว่าสาหัสสากรรจ์จนจำต้องเกิดเป็นน้ำตาสายโลหิตหรือไม่นี้ ผู้เขียนไม่อาจจะชี้นำได้ แต่ด้วยขณะนั้นทุกอย่างปูทางมาว่า พจน์รักมาตะ ทั้งฝากรักฝากตัวกัน แม้จะอยู่คนละภพความรักก็ชักนำมาหากันจนเจอ ความผูกพันล้ำลึกนี้ผู้เขียนคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะทำให้พจน์หลังน้ำตาเป็นสายโลหิตได้ โดยตอนนั้นพจน์อาจจะหลงลืมว่ามาตะมิได้ยินยอม แต่ภาพรอยจูบอันควรเป็นตนกลับแทนที่ด้วยคนอื่นฝังแน่นเสียแล้ว ก็ยากจะคำนึงสิ่งอันประกอบขึ้นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั้นได้
๓. ทำไมพจน์ซึ่งเติบโตในยุคปัจจุบันที่น่าจะเคยคุ้นกับพฤติกรรมแสดงความรักแบบนี้สมควรจะชินชาแล้ว ไยถึงไม่มีความเข้มแข็งพอจะอดทนในสิ่งที่มาตะถูกโขมยจูบได้ จริงครับ ที่สังคมในปัจจุบันเปิดกว้างเปิดเผยในเรื่องการแสดงความรัก พจน์เองก็คงเคยมีประสบการณ์อย่างการโดนจูบหรือการจูบคนอื่นมาบ้าง น่าจะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตใดๆ จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำตาสายโลหิตได้ ผมก็จำเป็นต้องยกข้ออธิบายในสองข้อข้างต้นมาเป็นข้ออ้างอิงซ้ำอีกหน และสรุปสั้นๆด้วยคำถามที่ว่า หากคนที่เรารักถูกคนอื่นแสดงความรักไม่ต่างจากตนเคยกระทำมาก่อนแบบนี้ ถึงตัวเองจะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อคนคนนี้คือคนที่ผูกพันมาตั้งแต่อดีตชาติและชาตินี้ก็หวนมาพบกันอีกครั้งจะรู้สึกอย่างไร ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสิ่งที่เขียนไปแล้ว ทั้งที่มีอีกทางเลือกหนึ่งให้เขียนคือ พจน์อาจจะแค่โกรธหรืองอนมาตะก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน น้ำตาสายโลหิตนี้จึ่งเป็นแค่สัญญลักณ์อย่างหนึ่งที่แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้เท่านั้นครับ หวังว่าคุณจะพอใจกับคำอธิบายของผม หรือถ้าไม่เหมาะใจก็ขออภัยด้วยครับ และผู้เขียนขอน้อมรับความผิดนั้นมาสู่ตัวเองแต่ผู้เดียว
สำหรับเหตุการณ์อดีตชาติพระเจ้ารพีกานต์นั้นที่ยังคลุมเคลือไม่ชัดเจนก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมแน่ครับ ขอบคุณสำหรับคำทักท้วงดีๆนี้ครับ หวังว่าจะมาชี้แนะผมอีกนะๆๆ