คิดถึงกันบ้างไหม
{9}
“สรุปทำแผนห้องกูนะ”
“โอเค แล้วไอ้กันไปพร้อมกูไหม”
“...”
“ไอ้น้องกัน!”
“อะ หือ อะไรนะ” ผมสะดุ้งจากภวังค์ทันทีที่ไอ้แป้งจับใบหน้าผมส่ายไปมา ผมไม่ทันได้ฟังว่าเพื่อนพูดอะไรกันเพราะจิตใจผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ก็ตั้งแต่คืนนั้นที่มีเรื่อง พี่ปั่นก็ไม่โผล่หน้ามาหาผมที่คณะเลย พอผมไปหาที่คณะก็ไม่เจอแม้แต่เงา
“มึงได้ฟังที่พวกกูคุยกันไหมวะ”
“ไม่อะ พูดใหม่ที” ผมส่ายหน้าไปมาพร้อมกับทำสีหน้างุนงง
“โอ๊ย ใครเอาสติน้องกันของกูไป รีบเอามาคืนที”
“จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เด็กวิศวะที่ไม่โผล่หน้าโหดๆ มาหาเพื่อนกูเป็นวันที่สี่แล้ว ยังต้องเดาอีกเหรอวะไอ้แป้ง” ใช่ รีบเอาสติมาคืนผมทีผมต้องทำงานส่งอาจารย์นะ ผมนั่งมองหน้าเพื่อนสองคนที่แซวเรื่องของผมอย่างออกรสออกชาติ ไปมา
“มึงโทรไปบอกเขาเอาสติมาคืนมันทีไอ้พี”
“พอๆ เลิกแซวมันเดี๋ยวได้น้ำตาไหลพรากๆ”
“ฟังนะน้องกันเพื่อนรัก กูและมึงและมึง ต้องไปทำแผนการตลาดที่อาจารย์นกสั่ง ที่ห้องกู เข้าใจนะลูก” ไอ้แป้งจับใบหน้าผมเงยขึ้นฟังคำพูดหวานๆ พร้อมกับเสียงน่าหมั่นไส้ของมัน จริงด้วย เข้าสู่ช่วงที่ผมกำลังจะโดนสูบเวลานอนของชีวิตไปอีกแล้วสินะ
“เออออออ”
สิ่งที่เด็กการตลาดทุกคนต้องเจอแน่นอนว่าคือแผนการตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเทเวลาและความคิดลงไปกับมันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมหาวิทยาลัยของผมที่ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องการประกวดแข่งขันแผนการตลาดเพราะเมื่อองค์กรหรือแบรนด์ไหนจัดการประกวดแข่งขันขึ้น ทีมจากมหาวิทยาลัยของผมก็มักจะคว้ารางวัลใหญ่ๆ มาตลอด
โดยส่วนใหญ่การทำแผนการตลาดจะทำกันเป็นทีม โดยทางผู้จัดจะกำหนดมาว่าในแต่ละครั้งจะต้องมีสมาชิกในทีมกี่คน ในครั้งนี้พวกผมได้รับโจทย์จากแบรนด์นมโคพาสเจอไรซ์รายใหญ่ของประเทศที่จัดการประกวดแผนการตลาดโดยต้องทำแผนที่มีสมาชิกสามคนต่อหนึ่งทีม ซึ่งอาจารย์ค่อนข้างคาดหวังมาก ตัวพวกผมเองก็คาดหวังว่าจะผ่านเข้ารอบลึกๆ และคว้ารางวัลใหญ่มา
แน่นอนว่าผมก็จับทีมกับไอ้แป้งไอ้พีเพื่อทำแผนแข่งในครั้งนี้ ผมยังจำได้แม่นว่าการแข่งทำแผนครั้งที่แล้วผมไม่ได้นอนต่อกันเป็นเวลานานถึงสี่วันติด เรียกได้ว่าหมดกาแฟเป็นแกลลอนเพื่อให้อยู่รอดจนงานเสร็จ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับความพยายามเพราะทีมของผมสามารถเข้าถึงรอบสุดท้ายได้ ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลอะไรติดมือกลับมาแต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก แถมแผนครั้งนั้นยังเป็นแผนเกี่ยวกับธุรกิจชาบู เล่นเอาพวกผมต้องตามลิ้มรสความอร่อยของชาบูหลากหลายแบรนด์จนควบคุมดูแลรูปร่างกันไม่ได้ กว่าจะลดหุ่นคืนมาให้ปกติก็ต้องออกกำลังกายกันอย่างหนัก
ผมเอารถกลับไปจอดที่หอก่อนจะมาที่คอนโดไอ้แป้งพร้อมกับไอ้พี ผมก็แอบสงสัยว่าทำไมไอ้น้องเหนือมันถึงมากับพวกผมด้วยวะ แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม มันคงสนิทกับไอ้แป้งไอ้พีเพราะตลอดเวลาที่เก็บตัวดาวเดือนก็มีแต่ไอ้เพื่อนผมสองคนที่คอยไปดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้
“พี่กัน วันนี้พี่คนนั้นไม่มาเหรอ”
“ใครวะ?”
“ก็พี่วิศวะคนนั้น..น่า พี่กัน ผมแซวเล่น”
“...”
“โอ๋ๆ”
“มึงเหอะ ตามพวกกูมาทำไม” ผมมองหน้าไอ้เหนืออย่างเคืองๆ ก่อนจะแขวะมันกลับ ไอ้เด็กนี่มันวอนหาที่จริงๆ ..เดี๋ยวผมจะไปบอกพี่นายว่าไม่ต้องเทคอะไรมัน
“อยากเรียนรู้วิธีทำแผนเก่งๆ จากพวกพี่ไงครับ”
“เหรอ”
“ใช่ครับ เชิญครับพี่เทค” ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมแปลกๆ ของน้องเทคก่อนจะเดินเข้าห้องของไอ้แป้งที่มีไอ้เหนือเปิดประตูส่งยิ้มแป้นแล้นให้ผมและไอ้พี ส่วนไอ้พีก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนประจำเดือนพึ่งมาวันแรกมาตั้งแต่อยู่บนรถ
“ไอ้กัน”
“หือ?”
“มึงสงสัยเหมือนกูไหมวะ” ไอ้แป้งเดินมายืนกระซิบกระซาบผมขณะที่ผมกำลังเตรียมขนมและของว่างเพื่อเป็นเสบียงตอนทำงาน
“สงสัยอะไร”
“ก็ไอ้สองตัวนั้น มึงว่ามันแปลกๆ ไหม” ผมมองตามสายตาของไอ้แป้งที่มองไปที่ไอ้พีกับไอ้เหนือซึ่งกำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่บนโซฟา แถมไอ้เหนือยังดูเหมือนกำลังพยายามง้อไอ้พีอยู่ หรือผมอาจจะคิดไปเอง
“ไม่มั้ง มึงคิดมาก”
“ไอ้น้องกัน มึงคิดเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”
“ทำงานให้เสร็จก่อน ไว้เดี๋ยวกูมาคิดเป็นเพื่อน” ผมเดินถือจานขนมออกจากเคาน์เตอร์เตรียมอาหารของไอ้แป้งพร้อมกับขำในพฤติกรรมเด็กๆ ของดาวสาขาที่ดีดดิ้นกระแด่วๆ กับความต้องการอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
“มาแล้วๆ ทำงานโว้ย”
“พี่กันขัดอารมณ์ว่ะ”
“กูพี่มึงนะเด็กเวร” ผมวางของลงบนโต๊ะเล็กในห้องนั่งเล็กก่อนจะเรียกเพื่อนมาทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะๆ แต่ไอ้เด็กเหนือดันมาแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ผมต้องด่าเสียก่อน
“ขอโทษครับบบบบ”
หลังจากนั่งแบ่งงานกันและสรุปบิ๊กไอเดียกันมาได้พักใหญ่ โดยที่ไม่ได้มองนาฬิกากันเลยสักคน เงยหน้าจากงานขึ้นมาอีกทีก็ปาไปเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกต้องการอาหารไปเลี้ยงท้องน้อยๆ ของผมที่ส่งเสียงเรียกร้องออกมาจนไอ้พีกลั้นขำแทบไม่ทัน ส่วนไอ้เด็กเหนือก็นอนหลับสนิทเสียจนพวกผมไม่กล้าปลุกมาวานให้ไปซื้อของกินมาให้
ไอ้แป้งก็นั่งงมกับงานในส่วนของตัวเองอย่างตั้งใจเสียจนไม่คำนึงถึงท่านั่งหรือสภาพผมที่กระเซอะกระเซิงของตัวเองเลย เล่นเอาผมกับไอ้พีถึงกับไม่กล้าชวนมันคุยเล่นหรือบอกมันว่าหิวและอยากพักเลย ทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนของตัวเองต่ออย่างเงียบๆ เช่นกัน
“กว่าจะเสร็จบทนี้ได้ กูจะบ้าตาย”
“...”
“อะไรของพวกมึง มองอย่างกับกูเป็นตัวประหลาด”
“เปล่า” ผมและไอ้พีเงยหน้าจากงานขึ้นมองไอ้แป้งที่พึ่งจะปริปากพูดคำแรกตั้งแต่ทำงานมา ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวว่าความตั้งใจทำงานของมันมากเสียจนเพื่อนอยากพวกผมกินอากาศแทนมื้อเย็นกันไปหลายชั่วโมงแล้ว
“พวกมึงไม่หิวกันหรือยังไง กูว่าน่าจะสี่ห้าทุ่มแล้วมั้ง ไปหาอะไรกินกันมึง กูนี่แสบไส้ไปหมด”
“สี่จริง แต่ไม่ใช่สี่ทุ่มแป้ง”
“สี่อะไรวะ พูดอะไรกัน”
“มึงก็ดูเวลาสิ”
“ชิพหายควายกินคน! ตีสี่แล้วเหรอวะ” ทันทีที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างขึ้นบอกเวลาปัจจุบัน ไอ้แป้งก็อุทานเป็นคำพูดแปลกๆ ของมันออกมาอย่างตกใจ เล่นเอาไอ้เหนือที่นอนอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมามองก่อนจะหลับต่อ ไอ้เด็กนี่มันก็นอนได้นอนดีเสียจริง ไหนว่ามาเรียนรู้งานวะ
“เออดิ มึงพึ่งหิว แต่พวกกูหิวจนกินตลาดนัดรถไฟเข้าไปได้ทั้งตลาดแล้ว ไอ้ห่า”
“กูขอโทษ แต่ก็ดีนะ นี่งานเราก็ใกล้เสร็จแล้ว วันที่เหลือจะได้ไม่เร่งเนอะ” ยัง ยังจะมาแถพูดข้อดีที่ไม่สบอารมณ์คนกำลังหิวๆ เพลียๆ อีก ผมกับไอ้พีถอนหายใจออกมาพร้อมกันก่อนจะขำกับพฤติกรรมของเพื่อนสนิทที่ดูจริงจังกับงานมาก แต่พอไม่ใช่เวลางานกลับทำตัวเหมือนเด็กไม่เลิก
“เออๆ กูหมดกาแฟไปสามแก้วจนกูไม่ง่วงแล้ว”
“กูหิว”
“ไอ้น้องกัน กูก็หิวไหมล่ะเพื่อน ใจเย็นๆ ดิ ตีสี่มึงคิดว่านกฮูกที่ไหนจะมาขายข้าวให้มึง”
“ร้านสะดวกซื้อก็มีนะเพื่อน” ผมพูดไปด้วยความรู้สึกหิวสุดๆ ถ้าจะให้มานอนก่อนตอนนี้ผมคงนอนไม่หลับเพราะปริมาณกาแฟที่อยู่ในตัวน่าจะเล่นเอาผมตาค้างไปได้อีกหลายชั่วโมง
“งั้นเดี๋ยวกูไปกับไอ้น้องกัน มึงเอาอะไรบ้างแป้ง”
“คุยกันไปก่อนนะกูไปล้างหน้าแป๊บ” ผมลุกขึ้นเดินอย่างคนหิวโหยเข้าห้องน้ำไปก่อนจะวักน้ำขึ้นล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น วันแรกที่ทำงานก็เล่นโต้รุ่งเลย ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะทำถึงเช้าขนาดนี้ด้วย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปใบหน้าที่ยังมีหยดน้ำเกาะและดูเปียกจากการล้างหน้าเมื่อสักครู่ผ่านเงาสะท้อนในกระจกพร้อมกับฉีกยิ้มให้ภาพออกมาดูขัดกับอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก่อนจะกดอัปโหลดลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของผม
Gunn_gunทำแผนสนุกสุดๆ ไปเลย!! ยังไม่ได้นอนไม่เท่าไหร่ เรื่องกินเรื่องใหญ่มากตอนนี้ #ใครใจดีซื้อข้าวมาให้ที
ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังจากอัปโหลดรูปและเช็ดหน้าให้แห้งเรียบร้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นกับเพื่อนที่นั่งพักเหนื่อยจากการทำงานอย่างหนักหน่วงตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมากันอยู่
“ไอ้พีไปกันได้แล้ว กูหิว”
“เดี๋ยว กูดูงานให้ไอ้แป้งอยู่ มึงรอแป๊บน้องกัน”
“โอเคครับพ่อ” ผมพองลมในปากจนแก้มป่องใส่เพื่อนทั้งสองที่นึกคึกมาขยันทำงานกันได้ตอนตีสี่กว่าๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กว่ามีคนมากดถูกใจหรือแสดงความคิดเห็นอะไรในรูปภาพที่ผมพึ่งลงไปไหม
ตื้ด ~
การแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสนทนาอย่างไลน์ดังขึ้นระหว่างผมกำลังเล่นอินสตาแกรมอยู่ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันดึกป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอนทักมาหาผม
Kumpa.pun : อยู่ไหน?เอ๊ะ..แล้วทำไมคนอย่างพี่ปั่นถึงยังไม่นอน แล้วเขาไม่โกรธผมแล้วหรือยังไงถึงทักมาคุยแบบนี้ งงไปหมดแล้วนะโว้ยยยย
GunGunktn : คอนโดไอ้แป้ง
GunGunktn : ทำไมยังไม่นอนวะพี่ผมตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ไปก่อนจะถามกลับในสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน
Kumpa.pun : ไม่เสือก
Kumpa.pun : เดี๋ยวไปหา แชร์โลเคชั่นมาปากดีได้แม้กระทั่งตอนตีสี่จริงๆ ไอ้พี่บ้านี่ แล้วอยู่ดีๆ จะมาหาผมเนี่ยนะ ทั้งที่หายหัวไปตั้งแต่คืนนั้น ผมไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่วะ
ผมทำการกดแชร์ตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันส่งให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมองเพื่อนทั้งสองที่ยังคงตรวจเช็กความเรียบร้อยของงานในส่วนที่ทำเสร็จแล้วอยู่ นี่พวกมันกะกินข้าวอีกทีตอนหกโมงเช้าเลยหรือยังไง
GunGunktn : หิว
Kumpa.pun : กำลังไป
ผมรู้สึกโคตรดีใจที่อีกฝ่ายยอมคุยกับผมปกติ ไม่ต้องเสียเวลาง้อนานเหมือนพวกผู้หญิงที่ผมเคยคบหรือเคยคุย งอนมาทีนึงนี่ต้องทุ่มทุนง้ออยู่นาน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่ปั่นงอนผมด้วย ถ้าหายงอนหายโกรธเองได้แบบนี้ก็ดี ผมจะได้ไม่เหนื่อย
ผมนั่งผละจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาที่ภาพเพื่อนความขยันของเพื่อนสองคนที่ยังไม่มีวี่แววจะเลิกทำงาน ผมไม่กล้าจะงอแงกับเพื่อนสักนิดเพราะดูพวกมันจะจริงจังกันมากๆ ผมได้นั่งรอผู้ที่กำลังจะมาเยือนคนใหม่ ว่าจะมาถึงตอนไหน
“เสร็จสักที ไอ้น้องกันไปได้แล้ว”
“เอ่อ..คือ”
ตื้ด ~
Kumpa.pun :ถึงแล้วลงมาผมทำตัวไม่ถูกคิดคำแถไม่ออกว่าจะโกหกเพื่อนอย่างไรให้มันไม่เก็บไปเป็นประเด็นมาล้อผมเรื่องที่ผมกำลังจะไปกับพี่ปั่น ผมก้มเหลือบมองข้อความที่แจ้งเตือนในหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะลุกขึ้นยืนยิ้มแหยๆ ให้กับเพื่อน
“มึง คือกูมีธุระ”
“ธุระตอนตีห้านี่นะ ขอความจริงไอ้น้องกัน!”
“ไม่เห็นต้องเสียงเข้มเลยนี่ครับพ่อ”
“กัน”
“พี่ปั่นมารับกู ตอนนี้รออยู่ข้างล่างแล้ว” ผมยิ้มให้เพื่อนอย่างเกรงใจพร้อมกับเอามือขึ้นมาเกาหัวแก้เขินอย่างเป็นอัตโนมัติ
“นึกว่าจะงอนเพื่อนกูได้นาน เออไปดิ”
“พวกมึงจะฝากซื้อข้าวไหม กูจะได้ซื้อมาฝาก”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวขัดอารมณ์พวกมึง กูไปซื้อมาให้ไอ้แป้งเอง”
“โอเค เดี๋ยวบ่ายเจอกันที่มอนะ” ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้กับเพื่อนก่อนจะหยิบกระเป๋าและของสำคัญเดินออกมาจากห้องแล้วกดลิฟต์ลงไปยังลานจอดรถของคอนโด
ผมมองหารถที่ผมคุ้นตาไม่เจอสักคัน แล้วไหนพี่ปั่นบอกว่ามาถึงแล้วยังไง ในขณะที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรหาอีกฝ่าย ประตูฝั่งคนขับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูทรงสปอร์ตคันหรูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่มีออร่าทะลุความมืดและแสงแดดอ่อนๆ ในตอนตีห้าครึ่ง
“จะยืนงงอีกนานไหม ขึ้นรถ”
“อือ”
ผมขึ้นรถไปก่อนจะนิ่งเงียบไม่ได้ชวนอีกฝ่ายคุยอะไรเพราะผมยังคงงงและไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอะไรจากตรงไหนดี แถมพี่ปั่นก็ดูนิ่ง นิ่งกว่าปกติที่เป็นอยู่แล้วเสียจนผมเกร็งไปหมด
รถเคลื่อนออกจากคอนโดของไอ้แป้งวิ่งไปบนถนนที่มีรถสวนไปมาอย่างบางตา ใช่สินี่มันพึ่งตีห้าครึ่งนี่นา ผมนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้าผ่านกระจกรถ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางที่คนขับจะพาไปคือที่ไหน
“กัน”
“ว่า?”
“คิดถึงกูไหม”
“...” อยู่ดีๆ ก็ดึงเข้าโหมดนี้เสียอย่างนั้น เล่นเอาท้องผมที่ตื่นมาเรียกร้องหาอาหารต้องหยุดพักก่อนเลย เปลี่ยนมาให้หัวใจที่เต้นเสียงดังในอกข้างซ้ายของผมทำงานหนักแทน
“ไม่เลยสินะ”
“อย่าคิดเองเออเองดิ”
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เหมือนที่มึงพูด”
“คิดถึง” ผมพูดคำคำนั้นออกมาพร้อมกับความร้อนที่เกิดขึ้นในดวงตาของผม และภาพที่พร่ามัวเพราะน้ำใสๆ กำลังเอ่อคลออยู่ในดวงตาของผม ทำไมกันวะ พูดกันดีๆ มันยากหรือยังไง ทำไมต้องประชดวะ
“ร้องทำไม หิวไม่ใช่เหรอ หรือโมโหหิวครับเด็กน้อย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย พี่หายไปไหนมาวะ ผมอุตส่าห์อยากเจอ อยากไปขอโทษเรื่องวันนั้นแท้ๆ หายไปทำไม” ผมสะอื้นพร้อมกับพรั่งพรูคำพูดที่ออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่ปะทุขึ้น โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยสักนิด
“กูขอโทษ เลิกร้องก่อน ไม่เท่เลยนะ”
“ผมเท่อยู่แล้ว พี่นั่นแหละ ไม่เท่” ผมปาดหน้าตาลวกๆ ก็จะยิ้มกับมุกที่พี่ปั่นเล่นให้ผมเลิกเศร้า ไม่บ่อยที่คนข้างๆ ผมจะเล่นมุกหรือพูดคุยอย่างอบอุ่นแบบนี้กับผม
“แค่เห็นรูปมึงยิ้มที่พึ่งลงกูก็หายโกรธมึงแล้ว”
“...”
“ที่ถามว่าคิดถึงไหม กูไม่ได้หมายถึงแค่สี่ห้าวันที่กูหายไป แต่ คิดถึงตอนที่เรายังคบกันอยู่ไหม”
“...”
“กูคิดถึงมากเลยนะกัน” ผมจุกในใจกับสิ่งที่พี่ปั่นพูดออกมา เพราะมันคือคำถามเดียวที่ผมคอยถามตัวเองตลอดช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมาว่า ที่ผมรู้สึกผิดมากครั้งนี้เป็นเพราะผมรักพี่ปั่นและคิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยคบกันเคยมีความสุขด้วยกันหรือเปล่า
“คิดถึง..เหมือนกัน”
“มึงอยาก..”
“...”
“กูรู้ว่ากูเคยทำมันพัง แต่ครั้งนี้กูสัญญา..”
“ไว้ค่อยคุยกันได้ไหม”
“โอเค กูจะรอวันที่มึงพร้อมนะเด็กน้อย”
“ขอบคุณนะ” ผมหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างๆ ในขณะที่รถกำลังติดไฟแดงก่อนที่มือหน้าจะลูบที่หัวผมเบาๆ พร้อมกับคนหน้านิ่งที่ส่งรอยยิ้มอย่างอบอุ่นที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยๆ ออกมา
หลังจากผมแทบจะเหมาของกินในร้านสะดวกซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่ปั่นก็มาส่งผมที่หอก่อนจะขอขึ้นมานอนเล่นที่ห้องผมด้วย ในเวลานี้ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะมาคิดเรื่องอะไรนอกเสียจากการจัดการอาหารและขนมที่อยู่ตรงหน้า ผมแกะห่อขนมพร้อมกับอาหารแช่แข็งที่ถูกอุ่นให้ร้อนด้วยไมโครเวฟตักเข้าปากอย่างไม่รอช้า ส่วนพี่ปั่นก็คลอเคลียกับลูกชายสุดที่รักอย่างเจ้ากำปั้นอยู่บนเตียง
ผมจัดการอาหารและขนมที่ซื้อมาจำนวนมากหมดภายในไม่กี่นาที ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่มีพ่อลูกเขาหยอกล้อกันอยู่
“ง่วงแล้ว”
“อย่านอน พึ่งกินอิ่ม”
“แล้วพี่ทำไมตื่นเช้าจัง”
“กูยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก”
“อ้าว แล้วเป็นคึกอะไรทำไมไม่หลับไม่นอน” ผมถามร่างสูงที่นอนเอาหัวมาหนุนตักผมด้วยความเคยชิน โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ห้ามหรือปฏิเสธการกระทำของเขาเพราะผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร หรือเพราะผมเคยชินเมื่อตอนเคยคบกันก็ไม่รู้
“เพราะคิดเรื่องเด็กหน้ามึนแถวนี้ กูเลยนอนไม่หลับ”
“ไม่ได้ใช้ให้คิด”
“ก็กูพอใจจะคิด”
“...” ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองมันร้อนผ่าวๆ เหมือนมีใครเอาถุงน้ำร้อนมาประคบที่แก้มทั้งสองข้างของผม อย่าบอกว่าผมกำลังเขินพี่ปั่นอยู่นะ
“หน้าแดงเป็นโคมจีนเลยนะมึงอะ”
“ข้าวมันเผ็ดเหอะ พอแล้ว ไปแปรงฟันมานอนดีกว่า”
“เขินก็บอกว่าเขิน หน้ามึนเอ๊ย” ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น นี่ผมกำลังเขินพี่ปั่นอยู่จริงๆ เหรอ คนอย่างไอ้กันไม่ยอมรับง่ายๆ หรอกน่า ชิ
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**