Embrasse-moi the Series
Mon Fiancé
Chapter 2 ธารกำนัล (part 2)
รอยจูบของโรเบิร์ต เฮอร์ริคในยามบ่ายของวันรอยจูบของเขาประทับลงไปบนดวงใจของนาวาในคาบเรียนวิชาวรรณกรรมของวันนี้
Robert Herrick เป็นกวีชาวอังกฤษในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17
เขาเกิดในลอนดอนเมื่อปี 1591 ชีวิตวัยเด็กของโรเบิร์ตน่าเศร้านัก แม้จะเกิดมาในครอบครัวพ่อค้าที่ทำธุรกิจค้าขายทองคำเราอาจพูดได้ว่าเขาเกิดมาบนกองเงินกองทองขนานแท้ แต่เด็กน้อยโรเบิร์ตกลับอาพับ กำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัย
นายนิโคลัส เฮอร์ริค ผู้เป็นบิดาตัดช่องน้อยแต่พอตัว ชิ่งฆ่าตัวตายไปเสียตั้งแต่เด็กน้อยโรเบิร์ตอายุได้เพียง 1 ขวบ ช่างน่าเสียดายที่พ่อผู้ให้กำเนิดไม่มีโอกาสเห็นความสำเร็จของบุตรชายในฐานะกวีผู้เลื่องชื่อ
แม้จะอาพับไร้บิดา โรเบิร์ตกลับเติบโตมาเพื่อเป็นหนุ่มนักรัก
กลอนรักของเขาอุทิศให้แก่แอนเทีย… หญิงสาวที่อาจกล่าวได้ว่าเธอสามารถบัญชาเขาได้ในทุกๆสิ่ง
Anthea, who may command him any thing โรเบิร์ตเขียนกลอนให้แอนเทียหลายบทด้วยกัน แต่บทหนึ่งในชั้นเรียนวรรณกรรมอังกฤษที่นาวากำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าห้องได้หยิบยกมาในวันนี้มีชื่อว่า
To Anthea: ah, my Anthea!
Ah, my Anthea! Must my heart still break?
(Love makes me write, what shame forbids to speak)
Give me a kiss, and to that kiss a score;
Then to that twenty add a hundred more;
A thousand to that hundred: so kiss on,
To make that thousand up a million.
Triple that million, and when that is done
Let’s kiss afresh, as when we first begun.
But yet, though love likes well such scenes as these,
There is an act that will more fully please:
Kissing and glancing, soothing all make way
But to the acting of this private play:
Name it I would; but, being blush red,
The rest I’ll speak when we meet both in bed. จากบทกลอนดูเหมือว่ากวีมีอาการเหนียมอายที่จะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้
Name it I would; but, being blush red หากข้อความที่เขาส่งถึงแอนเทียหลุดออกมาจากริมฝีปากเขาแล้วละก็ ชายหนุ่มจะต้องเอียงอายจนแก้มแดงระเรื่อ เขาจึงตัดสินใจเขียนสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกมาเป็นบทกลอนอุทิศแด่แอนเทียผู้เป็นที่ปรารถนา… จะว่าไปแล้วจากเนื้อความของกลอน นาวาคิดว่าตัวเองได้เห็นมารยาชายจากนักรักโรเบิร์ต
แหม...มุกแอบจีบสาวของเฮียแกเนียนไม่เบา
ด้วยสภาพสังคมสมัยนั้นเป็นยุคที่การแตะเนื้อต้องตัว การพูดเกี่ยวกับเนื้อตัวของฝ่ายตรงข้าม หรือกระทั่งการเอ่ยความปรารถนาในเรื่องเพศเป็นสิ่งต้องห้าม โรเบิร์ตจอมเนียนจึงอธิบายมุขจีบสาวของเขาไว้ว่า
Love makes me write, what shame forbids to speak เพราะรักหรอกจึงเขียนถึงสิ่งที่ไม่ควรพูด ที่เขียนก็เพราะว่าความรักมันล้นอก ไม่ได้จงใจจะเอาเธอมากระทำมิดีมิร้ายเลยจริงจริ๊ง ฉันไม่ได้หื่นนะแอนเทียที่รัก โปรดเข้าใจ
Give me a kiss จูบฉันหน่อยสิ… เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีมดกัดที่หน้า พวงแก้มร้อนผ่าวโดยไม่ทราบสาเหตุ
and to that kiss a score นับแต้มจากจุมพิตครั้งนี้ นับไปจนถึงยี่สิบ นับเพิ่มไปเรื่อยๆจนถึงร้อย เพิ่มจากร้อยจนเป็นพัน เมื่อครบพันให้นับจนถึงล้าน จูบครบล้านให้เพิ่มเป็นสามล้าน …
and when that is done, let’s kiss afresh, as when we first begun… และเมื่อครบสามล้านครั้ง เรามาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
นับว่าเป็นกลอนที่มีจำนวนจูบเยอะที่สุดในโลกเท่าที่นาวาเคยอ่านมา มดแทบจะขึ้นหน้ากระดาษของเฮียโรเบิร์ตเพราะถ้อยคำเหล่านั้นบรรจุความปรารถนาอันหวานหยดของเฮียแกที่มีต่อคนรัก จนอาจมองได้ว่า จุมพิตที่โรเบิร์ตอยากมอบให้กับแอนเทีย เป็นตัวแทนของความรักความต้องการในตัวเธอที่เขามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้จูบกันครบตามที่ตั้งเป้าไว้
and when that is done กวีหนุ่มก็อยากขอเริ่มใหม่
let’s kiss afresh, as when we first begun เพราะความรักและปรารถนาที่เขามอบให้เธอนั้นมีค่าเป็นอนันต์ ไม่มีที่สิ้นสุด
Kissing and glancing, soothing การมอบจุมพิต การทอดสายตาเมียงมอง และการปลอบประโลมใจล้วนเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความสุขสมดั่งปรารถนาให้แก่เขาทั้งสิ้น
more fully please นาวาเกือบจะมองโรเบิร์ตผิดไป
รสจูบของกวีหนุ่มไม่ใช่การแสดงออกถึงความปราถนาเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องการปลอบประโลมคนรัก อยากสบสายตาของเธอผู้นั้น และนั่นทำให้รู้ว่าอีตาโรเบิร์ตไม่ได้สักแต่หื่นไปวันๆ เขาเป็นกวีหนุ่มที่มีรักท้วมท้น ที่โรเบิร์ตอยากจูบเพราะเขามีรักล้นใจ
แล้วจูบที่เราเสียไป เพราะอะไรกันนะ นาวาคิดกับตัวเอง พลางรู้สึกว่าใบหูร้อนผ่าว
แต่ช่างเถอะ ค่อยถามตอนอยู่บนเตียงก็ได้ เฮ้ย! ไม่ใช่ละ เจออีกที มึงโดนเชือดแน่ไอ้ตี๋ กวีโรเบิร์ตพรรณนาความปรารถนาของเขาไว้แค่รสจูบ เพราะที่เหลือเขาจะไปพูดต่อตอนอยู่บนตั่งบนเตียงกับสาวน้อยแอนเทีย
The rest I’ll speak when we meet both in bed. สรุปคือเฮียโรเบิร์ตแกขี้เขินจริงๆ เขินจนกระทั่งจะเก็บข้อความที่เหลือเอาไว้เพื่อพูดกับแอนเทียเพียงสองคน บนเตียง!
นกกระจิบรีบบินหนีไปเมื่อเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา“ออกไปจากหัวกูเดี๋ยวนี้” นาวาตะโกนลั่น
สระเก็บน้ำในมหาวิทยาลัยเป็นที่ที่เด็กหนุ่มชอบมาสูดอากาศ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้นาๆชนิด และที่สำคัญมีลมโกรกเบาๆตลอดทั้งวัน นาวาจึงชอบมานั่งผ่อนคลายหลังเลิกเรียนที่นี่เป็นประจำ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มทอดมองไปยังผืนน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกด้วยแรงลม จิตใจเขาจะสงบ เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่แอบมานั่งตรงนี้
แต่คราวนี้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
“ยัง ยังไม่ออกไปจากหัวกูอีก ออกไปนะไอ้ตี๋” นาวาแทบจะทึ้งหัวตัวเอง เมื่อเห็นใบหน้าของตรีเพชรลอยเข้ามาในภวังค์ ดวงตาเรียวรีคู่นั้นไม่เคยลบหายไปจากความทรงจำของร่างบางเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเป็นหน้ามึงกูยอมเห็นหน้าโรเบิร์ต เฮอร์ริคดีกว่า ไอ้หน้าจืด” นาวายังคงหงุดหงิด
การตะโกนออกไปดังๆ ช่วยให้เด็กหนุ่มบังเกิดความสะใจ แต่ไม่ได้ช่วยลบภาพความทรงจำและรอยสัมผัสที่ชัดเจนอยู่ในความรู้สึก ใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆของตรีเพชรในตอนนั้นสะท้อนชัดเจนเข้ามาในมโน นาวาตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้ สงสัยเขากำลังใกล้บ้าเต็มทน หรือไม่ไอ้ตี๋นั่นมันคงเป็นวิญญาณร้าย ตามมาหลอกมาหลอนกันได้แม้กระทั่งกลางวันแสกๆ
“คอยดูนะกูจะเอาส้นรองเท้าไปตีปากมึง ได้ยินไหมไอ้ตี๋ กูจะเอาส้นรองเท้าฟาดปากมึง ฟาดแรงๆเลยได้ยินไหม” นาวาตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล
“ได้ยินแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
นาวาตกใจที่จู่ๆมีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขั้น จนเมื่อหันไปมองเขาก็พบกับนัยน์ตาสีดำคุ้นเคย ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนกายกำยำยืนมองมาทางเขา ขายาวกำลังก้าวเข้ามาประชิดตัว
“พูดใหม่อีกทีสิ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อมายืนต่อหน้านาวา
นาวาเกาหัวแก้เก้อด้วยความตกใจ
“พี่ก็อยากโดนรองเท้าฟาดปากเหมือนกันเหรอ” นาวาถามออกไป
“หึหึ แล้วเราจะเอารองเท้าไปฟาดปากใคร ตะโกนลั่นเดี๋ยวคนก็รู้หมด” ชายหนุ่มโยกหัวนาวาด้วยความเอ็นดู
“ให้มันได้ยินสิดี วาคาดโทษมันไว้หนักกว่านี้ซะอีก” นาวาหักนิ้วเสียงดัง เรียกให้คิ้วหนาของชายหนุ่มผู้มาเยือนเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกัน ใครทำเราโมโหขนาดนั้น”
“ช่างมันเถอะพี่จอม วาแค่ซวยเจอมันตอนเช้า แล้วดันซวยซ้ำซวยซ้อนเสือกมาเจอมันตอนเที่ยงอีก ภาวนาอย่าให้เจอมันเย็นนี้ละกัน”
“ไม่อยากเจอขนาดนั้นเลย”
“ก็ใครจะไปอยากเจอมันล่ะเฮีย เจอมันวามีแต่เจ็บตัว เนี่ยตอนเช้าโดนมันขับรถชนเข้า ได้แผลมาดูต่างหน้าจืดๆของมันแผลเบ้อเร่อ ตอนเที่ยงวิ่งหนีมันจนสะดุดขาเก้าอี้ลมคะมำที่หอสมุดอีก ถ้าเจอมันตอนเย็นนะ มีหวังวาคงโดนรถทับตาย ซวยจริงๆ”
“เอาเถอะ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก” มือหนาของจอมทัพลูบหัวนาวาอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มเหยียดยิ้มน้อยๆให้กำลังใจ
“ปลอบวาหน่อยดิ” นาวาทำหน้ายียวน “เนี่ยวันนี้ทั้งวันเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรแล้ว”
“อือ” จอมทัพพูดแค่นั้น แต่ฝ่ามือของเขายังคงลูบหัวของคนร่างเล็กอย่างแผ่วเบา
“พี่นี่น้า… เป็นแบบนี้ตลอดเลย” นาวาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “หัดพูดให้มันเยอะๆเข้าดิ มัวแต่เป็นคนพูดน้อยอยู่อย่างนี้ เมื่อ
ไหร่พี่มีแฟนซะที วาอยากเห็นพี่มีฟงมีแฟนกับเขาบ้างนะ อยากเห็นหน้าพี่สะใภ้ใจจะขาดรู้ไหม”
“มีเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” จอมทัพตอบสั้นๆ พลางยิ้มเบาๆ
“เห้อ… ที่ผมให้ปลอบเนี่ยเพราะต้องการให้พี่หัดพูดเยอะๆ พี่จอมก็มัวแต่เก็บคำพูดอยู่อย่างนี้ คอยดูเวลาอยากปลอบใครขึ้นมาพี่จะจนหนทาง ถึงเวลานั้นอย่าหาว่าไอ้วาไม่เตือน”
จอมทัพเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนชายหนุ่มจะทิ้งตัวพิงพนักของเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงหน้าคมสันหันมองทัศนียภาพของสระเก็บน้ำ “พี่มีวิธีปลอบที่ดีกว่านั้น”
“มีวิธีที่ดีกว่าพูดปลอบด้วยเหรอพี่”
ชายหนุ่มคว้าข้อมือของคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น ก่อนเอ่ยบางสิ่งที่ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่นั้นฉาบแววยินดีอย่างปิดไม่มิด “เดี๋ยวพี่เลี้ยงเหล้า”
ของฟรีใครจะพลาดไม่มีใครอยากพลาดเหล้าฟรี ทฤษฏีนี้ใช้ได้กับหลายๆคน ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มเพื่อนของนาวา
ณ ร้านอาหารกึ่งบาร์ แอนด์ เรสเตอรองท์ นักศึกษาหกชีวิตกำลังพูดคุยสวรเสเฮฮากันอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน โดยมีจอมทัพอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงดินเนอร์รุ่นน้องที่ห่างไกลกับคำว่าเกรงอกเกรงใจอยู่หลายช่วงตึก
“เอายำวุ้นเส้นไม่ใสหอมใหญ่ แล้วก็ปลาสามรส…” เก้าพูดอยู่กับพนักงานรับออเดอร์
“ปลาสามรสเพิ่มขอเป็นสองที่นะคะ ส่วนยำวุ้นเส้นขอกุ้งเยอะๆค่ะ แล้วทุกเมนูช่วยทำเผ็ดๆหน่อยนะคะ” นิสาแทรกขึ้นมา
“ไอ้สา กูไม่กินเผ็ด” เก้าทักท้วง
“เอ๊ะ ก็กูจะกินเผ็ดๆอ่ะ”
กว่าจะสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้ สองรายนั้นเกือบทะเลาะกันกลางวงเพราะนิสาชอบอาหารสจัดในขณะที่เก้าไม่ชอบอาหารจัดจ้าน ท้ายที่สุดเหมือนว่านิสาจะใจอ่อนเลยปล่อยให้เก้าชนะ แต่ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดว่าเก้าไม่แมนพอเลยทานพริกไม่ได้ เก้าสวนกลับว่าใครจะไปแมนเท่านิสาผู้หญิงห้าวที่กระเดือกพริกแล้วไม่รู้สึกอะไร
ร้านนี้ตกแต่งด้วยโทนสีขาว ตามผนังร้านมีกรอบรูปบรรจุรูปถ่ายเก่าๆ ของครอบครัวเจ้าของร้านแขวนอยู่ทั่วทุกมุม ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในบ้าน แต่เป็นบ้านที่มีเสียงดนตรีเปิดคลออยู่ตลอดเวลา เพราะกลางร้านมีเวทีขนาดเล็กที่นักร้องกำลังร้องเพลงพร้อมเกากีตาร์โปร่งคู่ใจ
“ใจเย็นดิมึง ค่อยๆดื่มก็ได้ เบียร์นะเว่ยไม่ใช่น้ำหวานกระดกเอาๆ เดี๋ยวก็เมาพอดี” เก้าที่นั่งฝั่งซ้ายของนาวาร้องเตือนเมื่อเห็นเพื่อนกำลังดื่มเบียร์แก้วที่สามอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครๆรู้ว่าไอ้นี่คออ่อน ถ้าไม่รีบเตือนมีหวังเมาเลื้อย
“เรื่องของกู มึงเงียบไปเลยไอ้เก้า” นาวาหันมาต่อว่าเพื่อนแล้วกลับไปกระดกเบียร์เย็นๆตามเดิม ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันนี้เขาเจออะไรมาบ้าง
หนอยไอ้ตี๋ เอาคืนมานะว้อย เอาคืนมา!“พวกมึงทำมันโกรธหรือเปล่าวะ” เอ็มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น
ในกลุ่มเพื่อนของนาวามีเขา เก้า และนิสาที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน ส่วนเอ็มเรียนวิศวะ และแบงค์เรียนบริหาร ทั้งห้าเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยม พวกเขาสนิทกันมากเพราะนอกจากจะเคยเรียนห้องเดียวกันแล้ว ทั้งหมดยังเคยอยู่ชมรมถ่ายภาพที่ต้องออกไปบุกป่าฝ่าดง ร่วมทริปอันตรายต่างๆเพื่อไปถ่ายรูปสิงห์สาราสัตว์และแมกไม้พงไพร สามารถพูดได้ว่าทั้งห้าคนร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาแล้ว แม้นิสาจะเป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม แต่เธอก็ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป บุคลิกห้าวๆและรักในความผาดโผนทำให้เธอเข้ากับกลุ่มนักเรียนชายที่ได้ชื่อว่าสร้างเรื่องปวดกระบานให้ครูฝ่ายปกครองได้อย่างดีทีเดียว
“พวกกูเปล่า กูเจอมันก่อนเที่ยงกับตอนเรียนวรรณกรรมเท่านั้นแหละ” นิสาพูด “ตอนเรียนวรรณกรรมกูยังเห็นมันนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เลย ไม่เห็นว่ามันจะโกรธอะไรพวกกูนะ”
“หรือเป็นมึงไอ้แบงค์” เอ็มยังคงคาดคั้นคำตอบจากเพื่อนๆ “กูได้ข่าวมึงแอบไปจีบน้องมด คนที่ไอ้เตี้ยมันชอบ”
“ไอ้เชี่ยเอ็ม มึงจะพูดเรื่องนี้ทำห่าอะไร” แบงค์ที่นั่งตรงหัวโต๊ะเอ่ยขึ้น เขาจงใจหลีกหนีนาวาไปแอบนั่งหัวโต๊ะเพราะเรื่องนี้แหละ เรื่องก็มีอยู่ว่า นาวาแอบชอบสาวคนหนึ่งชื่อน้องมด เธอเป็นเด็กปีหนึ่งคณะบริหาร แบงค์ผู้รักเพื่อนสุดฤทธิ์ช่วยนาวาจีบสาวอีท่าไหนไม่รู้ ช่วยไปช่วยมาดันกลายเป็นจีบซะเอง “มันไม่ได้โกรธกู มึงอย่ามองกูด้วยสายตาแบบนั้น”
“ไม่ใช่ไอ้แบงค์หรอกที่กูโกรธ พูดไปมึงก็ไม่รู้จักแม่งหรอก” นาวาที่เงยหน้าจากเบียร์แก้วที่สี่พูดขึ้น “แต่กูก็ไม่ลืมสิ่งที่มึงทำไอ้เชี่ยแบงค์ น้องมดสุดสวยเป็นของกู กูจะแย่งคืนมา รอให้ถึงเวลากูคิดบัญชีกับมึงก่อนเถอะแล้วจะหนาว” นาวาหันไปคาดโทษกับคนที่แอบหนีเขาไปนั่งตรงหัวโต๊ะ ทำให้ที่นั่งด้านขวาของนาวาว่างอยู่
“เพราะไอ้หมาที่หอสมุดตัวนั้นคนเดียว” นาวาบ่นออกมาจนได้ยินกันทั้งโต๊ะ
“พี่ว่าวาเริ่มเมาแล้วนะ” จอมทัพที่นั่งฝั่งตรงข้ามข้างเอ็มและนิสาเอ่ยขึ้น “สั่งน้ำอย่างอื่นมาดื่มไหม”
“ไม่เอาพี่จอม วาไม่เมาง่ายๆหรอก”
“เดี๋ยวนะเมื่อกี้มึงว่า หมาที่หอสมุด?” เอ็มถามขึ้น
“นั่นดิ หมาเกี่ยวไรด้วยวะ” แบงค์อดสอดรู้สอดเห็นไม่ได้ “หรือมึงโดนหมากัด”
“เออเด่ หมามันกัดปากกูเนี่ย โบราณถึงว่าเล่นกับหมาหมาเลียปาก” นาวายิ่งพูดเพื่อนๆก็ยิ่งงง ไม่มีใครรู้หรอกว่าหมาตัวนั้นมันตี๋ๆ สูงๆ หล่อๆ ที่สำคัญหมามองเขาตาเยิ้มเลย “แม่ม เห็นกูนิ่งหน่อยทำเป็นได้ใจ เอาคืนมานะไอ้ห่า เอาคืนมาเลยเอาคืนมา!” นาวา
พึมพำกับตัวเอง
“พี่ว่าวาเมาแล้วจริงๆ” จอมทัพสรุปเพื่อคลายข้อข้องใจให้แก่ทุกคน
“ว่าแต่พี่เหอะพี่จอม ไปหิ้วปีกไอ้เตี้ยมาได้ไง” แบงค์ถามพี่รหัส
“บังเอิญเจอ” จอมทัพกล่าว
“แหม ถ้าพวกผมไม่โทรตามไอ้วาก่อน ก็คงไม่มีโอกาสได้กินของฟรีนะเนี่ย กับน้องกับนุ่งไม่เคยนึกถึงล่ะ” แบงค์กล่าวทีเล่นที
จริง
“ก็พวกเอ็งไม่อยู่” จอมทัพตอบ
“แล้วไหนเพื่อนพี่คะพี่จอม สาอยากเจอมานานแล้ว” นิสาถามถึงเพื่อนที่จอมทัพโทรชวนมาทานข้าวด้วยกัน “สาได้ยินเพื่อนผู้หญิงชอบพูดถึงพี่เพชรบ่อยๆ เค้าเมาท์กันว่าพี่แกหล่ออย่างนั้น เท่ห์อย่างนี้ เคยได้ยินแค่กิตติศัพท์แต่ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆสักกะที”
“เดี๋ยวมันก็คงมา”
“พี่เพชรคงดีใจนะ ขนาดทอมยังชอบ” แบงค์รุ่นน้องร่วมคณะของตรีเพชรหยอกล้อเพื่อนด้วยคำพูดที่บาดใจนิสา ก่อนก้มหลบน้ำแข็งที่เธอปามา
เมื่ออาหารที่สั่งไปทยอยวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างพร้อมเพรียง นาวาเริ่มรู้สึกมึนเพราะฤทธิ์เบียร์ เด็กหนุ่มเลยขอตัวออกไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น การสังสรรค์ของทั้งโต๊ะยิ่งสนุกเมื่อตรีเพชรคนดังเดินทางมาถึง นิสามองชายหนุ่มตาค้าง ชายหนุ่มดูดีสมคำล่ำลือจริงๆ ที่แต่สิ่งที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับตรีเพชรก็คือเขาเป็นคนที่อัธยาศัยดีเกินคาด ตรีเพชรเป็นกันเองกับรุ่นน้องทุกๆคน เมื่อออกนอกบ้านชายหนุ่มจะวางตัวเป็นคนละคน เพราะเขาคิดเสมอว่าตัวเองคือใคร และควรวางตัวแบบไหนในแต่ละสถานการณ์ การเข้ากับคนได้ก็เป็นคุณสมบัติของนักธุรกิจที่ดี
ตรีเพชรและจอมทัพรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะครอบครัวของทั้งสองค่อนข้างสนิทกัน พ่อแม่ของทั้งคู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หากพ่อแม่ของตรีเพชรยังมีชีวิตอยู่ ณ เวลานี้ คงจะนัดเจอกับพ่อแม่ของจอมทัพอยู่เป็นแน่ เพราะพวกพ่อแม่มักจะหาเวลาว่างไปพักผ่อนด้วยกันเพื่อย้อนระลึกถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งยังหนุ่มยังสาว
“พวกไอ้เปรมล่ะ” ตรีเพชรถามจอมทัพที่นั่งจิบเบียร์อยู่ฝั่งตรงข้าม คุณชายนั่งตรงเก้าอี้ริมขวาสุด เก่าอี้อีกตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ตอนนี้เป็นของรุ่นน้องของจอมทัพ นิสาบอกว่าเพื่อนของเธอกำลังเข้าห้องน้ำ
“อยู่บ้านนั่นแหละ โอ๋น้องไอ้เปรมมันอยู่” จอมทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หึหึ มึงก็เลยเนรเทศตัวเองออกจากบ้านมานั่งจิบเบียร์เล่นว่างั้น” จอมทัพและเพื่อนสนิทคนอื่นๆของตรีเพชรที่เหลือเช่าบ้านอยู่ด้วยกันข้างมหาวิทยาลัย “อย่าโกรธเด็กมันนักเลยว่ะ น้องมันน่ารักดีออก” ตรีเพชรคุยกับเพื่อน
“กูไม่เห็นจะรู้สึกอะไร” จอมทัพกล่าว ใบหน้าเรียบเฉย
“ให้มันจริงเถอะ” ตรีเพชรพูดขึ้นอย่างคนรู้ทัน
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สมองของตรีเพชรปลอดโปร่งที่สุด เขาไม่ต้องมัวหงุดหงิดเรื่องรถยนต์มีรอย ไม่ต้องมานั่งคิดมากกับคำพูดของเด็กปากเสีย ไม่ต้องพยายามสกัดกั้นตัวเองออกจากใบหน้าของเด็กแว่นแสนเฉิ่มที่ดูเหมือนว่ามันจะลอยเข้ามาในหัวทุกๆสามนาที เวลาได้พบเจอกับเพื่อน ได้ออกมาสังสรรค์ดื่มของมึนเมา มันทำให้เขาสามารถลบใบหน้าของนาวาออกไปได้บ้าง
เพราะวันนี้เขาทรมานกับการลืมใบหน้าของคนคนนี้เหลือเกิน เด็กคนนั้นเหมือนวิญญาณอาคาต ตามจองล้างจองผลาญเขาได้แม้กระทั่งตอนอาบน้ำหรือตอนแต่งตัว ผลที่ได้ก็ออกมาอย่างที่เห็น ไม่เซ็ตผม ไม่พรมน้ำหอม ไม่กล้าแม้แต่จะหยิบรองเท้าคู่ใหม่มาใส่ ไอ้เตี้ยทำเขาเข็ดขยาดไปเสียทุกๆอย่าง
ตรีเพชรอยากจะเอาชนะนาวาให้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่หนุ่มน้อยตำหนิเขามาก็ตาม
หลังออกมาจากห้องน้ำ นาวาก็ยังไม่รู้สึกว่าอาการมึนเมาของตัวเองจะหายไป เขาเดินโซเซไปนั่งฟุบลงที่โต๊ะ เด็กหนุ่มรู้สึกโลกหมุน สายตาพร่ามัว ได้ยินเพียงเสียงถามไถ่จากเพื่อน
“วามึงไหวไหมวะ” เก้าถามขึ้นอย่างห่วงใย พลางลูบหลังเพื่อนแผ่วเบา
“กูยังไหว” นาวา หันไปตอบเก้า
“วา” จอมทัพเรียกนาวาให้หันไปมอง “นี่เพื่อนสนิทพี่ชื่อตรีเพชร” นาวาหันไปหาคนที่เพิ่งมาใหม่ เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไป
แล้วจริงๆ ตรีเพชร หน้าเหมือนไอ้ตี๋ปากร้ายคนนั้นเลยนะ
“ไอ้เพชร นี่นาวารุ่นน้องที่ชมรมกู” จอมทัพหันไปแนะนำนาวาให้กับเพื่อน
โลกหยุดหมุนในเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองสบตากันไม่มีใครพูดอะไรออกมา นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว นาวาพยายามสลัดความมึนเมาออกไปจากสมอง และจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช่ไอ้ตี๋สมองกลวงคนนั้นจริงๆเหรอเพื่อนสนิทพี่จอม พี่จอมผู้แสนดีมีเพื่อนแสนชั่วช้าแบบนี้ได้ยังไงกัน โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปแล้ว
นาวาคิดว่าตัวเองเมาถึงได้เห็นใบหน้าของคุณชายหน้าจืดกำลังนั่งทำหน้าเสร่ออยู่ข้างๆเขา ตรีเพชรดูประหลาดใจไม่แพ้กัน ในหัวเขาได้แต่คิดว่าภาพเด็กสวมแว่นตรงหน้าเป็นเพียงผลข้างเคียงจากไอ้เตี้ยเอฟเฟค แค่โดนมันเตะเข้าทีเดียวถึงกับเห็นวิญญาณเด็กนั่นลอยมาหลอกมาหลอนกันเลยเหรอเนี่ย
“ไอ้วา จ้องรุ่นพี่กูอยู่ได้ หล่อถูกใจมึงหรือไง” แบงค์แกล้งแซวเพื่อนที่ทำหน้าอึ้งๆเมื่อเจอตรีเพชร
“ถูกใจเหี้ยไรมึงล่ะไอ้แบงค์ กูตกใจเหมือนคนเห็นผีมากกว่า” นาวาเหน็บตรีเพชร “เห็นแล้วสยองชะมัด”
“ไอ้วา มึงว่าพี่กูอยู่นะ” แบงค์พยายามเตือนเพื่อนที่ดูเหมือนจะเมาขาดสติจนด่าได้แม้กระทั่งคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก “ไอ้นี่มันเมาน่ะพี่เพชร อย่าไปถือสามันเลย เมาแล้วปากเสียอย่างนี้แหละ” แบงค์หันไปบอกตรีเพชร
“เหรอ นึกว่าพูดจาแบบนี้เป็นปกติ” ตรีเพชรพูดกับแบงค์แล้วหันไปทำหน้าเย็นชาใส่จอม “ไอ้จอม กูว่าน้องมึงมารยาทแย่ว่ะ หัดสั่งสอนเสียบ้างนะ”
จอมทัพที่เป็นคนกลางระหว่างนาวาและตรีเพชรกำลังทำสีหน้าปั้นหน้ายาก เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน ทำไมแค่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็สามารถรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ให้กันจากคนทั้งสอง หรือว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองคนนี้เจอกัน
“สั่งสอน?” นาวายกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกแก้กระหาย ก่อนสวนกลับไปว่า “สอนมารยาทตัวเอ็งก่อนเถอะไอ้ตี๋ ทำคนอื่นเขาเจ็บอ่ะ ควรขอโทษไม่ใช่ด่าปาวๆ มันเสียมารยาท” มือของนาวาเลื้อยไปอยู่บนบ่าของอีกฝ่ายอย่างปีนเกลียว อาการเมาเลื้อยเริ่มออกฤทธิ์ เพื่อนๆในกลุ่มกำลังมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ สองคนนี้ทะเลาะอะไรกัน
“อ๋อ ต้องทะเร่อทะร่ามาชนรถคนอื่นเสียหายก่อนใช่ไหม ถึงจะมีสิทธิ์มาเถียงข้างๆคูๆแบบนี้น่ะ ไอ้เตี้ยปากจัด”
“หนอยไอ้ตี๋ ไอ้ผีดิบ ถ้ากูปากจัดแล้วมึงมาจูบปากกูทำไม” นาวาถามออกมาเสียงดัง ทุกคนในโต๊ะต่างตกตะลึงกับสิ่งที่หนุ่มน้อย
พูดออกมา “เอาคืนมาสิ เอาคืนมา” นาวาเริ่มพูดจาป้อแป้ ไม่รู้เรื่อง
“ฉันเนี่ยนะ?” ตรีเพชรถามเสียงหลง “เหอะ นายต่างหากที่เป็นฝ่ายจูบฉันก่อน” ตรีเพชรเถียงกลับเมื่อเขาคิดว่าสิ่งที่นาวาพูดเป็นเรื่องไม่จริง ก็เด็กคนนี้เข้ามาจูบเขาก่อนจริงๆนะ
“ไม่จริง ทุกกคนอย่าไปเชื่อมันนะ” นาวาหันไปบอกกับทุกคน แล้วหันมาคาดโทษกับชายหนุ่มตัวโตที่ตอนนี้เขาเอามือสองข้างคล้องคอบังคับให้ชายหนุ่มหันมาทางเขาอยู่ “แกไอ้ตี๋ แกจูบก่อน อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”
ใบหน้าของนาวาที่ห่างไปเพียงคืบทำให้ตรีเพชรรู้สึกร้อนผ่าวตรงลำคอและใบหู เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตุบตับ หัวใจของเขาพองโตสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงแก้มขาวให้เป็นสีแดงสุกปลั่ง แต่ไม่วายคุณชายก็ยังยืนยันคำเดิม “ไอ้เตี้ย นายอย่าโมเม นาย
จูบฉันก่อน หน้านายเข้ามาเอง”
“หน้าแกต่างหาก ฉันจำได้ หน้าตี๋ๆของแกลอยเข้ามาก่อน แล้วลิ้นของแกก็เข้ามาด้วย” นาวาเถียงสุดใจ มือสองข้างยิ่งกระชับขึ้นเมื่อเห็นตรีเพชรบ่ายเบี่ยงท่าเดียว ก็ตอนนั้นไอ้ตี๋มันเริ่มก่อนจริงๆนินา
“ห๊ะ คิดไปเองหรือเปล่าไอ้แว่น นายต่างหาที่เป็นคนเอาลิ้นเข้ามา” ตรีเพชรไม่ยอม คุณชายคิดว่างานนี้เขาไม่ผิด “นายเริ่มเองนะเตี้ย แถมครางเบาๆอย่างกับติดใจงั้นแหละ”
“ตกลงมึงจะไม่ยอมรับใช่ไหมว่าขโมยจูบแรกกูไป ไอ้ตี๋ปัญญานิ่ม” นาวาเหลืออด เด็กหนุ่มเสียดายจูบแรกของตัวเองยิ่งนัก
“ไม่ยอมรับ เพราะฉันไม่ได้เริ่มก่อน” ตรีเพชรยืนยันหนักแน่น
“มึงจะไม่คืนให้กูใช่ไหม จูบน่ะ” แววตาของนาวาวาวโรจน์ เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“มันคืนได้ที่ไหนล่ะไอ้เด็กไง่” ตรีเพชรงงงวยกับน้ำคำของคนเมา
“งั้นกูทวงคืนเอง”
ท่ามกลางสักขีพยาน … then to that twenty add a hundred more
a thousand to that hundred: so kiss on …ริมฝีปากของนาวาประกบเข้ากับปากงามได้รูปของตรีเพชร
ดวงตาสีนิลของชายหนุ่มเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ หัวใจของเขาเต้นดังราวเสียงรัวกลอง ริมฝีปากนิ่มของเด็กคนนี้ให้
สัมผัสอ่อนหวานน่าค้นหา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เรียวลิ้นของทั้งสองกระหวัดหากันราวต้องการดื่มด่ำความหวานฉ่ำที่จิตใจหิวกระหาย
มือหนาของชายหนุ่มกดท้ายทอยของคนตัวเล็กให้ใบหน้างามนั้นเข้าใกล้เขาอีกนิด ชายหนุ่มเผลอไผลไปกับรสจูบของคนในอ้อมแขน อ้อมแขนที่โอบรัดร่างบางนี้ไว้อีกเช่นกัน เขาไม่เข้าใจ มันเกิดขึ้นตอนไหน เขากอดเด็กคนนี้ไว้เพราะอะไร ชายหนุ่มสลัดคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว เพราะสิ่งที่เขาสนใจตอนนี้มีเพียงความฉ่ำหวานจากริมฝีปากบางของคนในอ้อมกอด
จูบครั้งที่หนึ่ง เพิ่มเป็นครั้งที่สอง…
จูบของเจ้าสาวและเจ้าชายจะเพิ่มไปกี่ทบเท่าพันทวี เบื้องบนเท่านั้นที่รู้คำตอบ
น้ำใสๆหยดลงบนฝ่ามือของตรีเพชรที่กำลังจับพวงแก้มของนาวาอย่างทะนุถนอม ทำนบน้ำตาของเด็กหนุ่มพังครืน ทำให้หยาดน้ำตาไหลไม่ขาดสาย เมื่อตรีเพชรได้สติ ชายหนุ่มจึงถอนจุมพิตออกจากเรียวปากสุกปลั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่นั้นเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
จิตใจของชายหนุ่มหล่นวูบ
เขาทำเด็กคนนี้ร้องไห้!