สเน่หา...พาให้หลงใหลมัวเมา
จนอาจทำให้ลืมเลือนบางอย่าง
ตอนที่ 1
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นแผ่วในความมืดมิด ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยทำงานเดินลากเท้า พาร่างกายอันหนักอึ้งเข้าห้องเชื่องช้ายามที่ระบบไฟค่อยๆเริ่มทำงานอัตโนมัติ
จากความมืดแปรเปลี่ยนเป็นสว่างด้วยแสงนวลของหลอดไฟ ความเหนื่อยล้าทำให้เจ้าของห้องเดินมาทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนโซฟา ซุกหน้าเข้าหาความอ่อนนุ่มของเนื้อกำมะหยี่พรางปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง
การประชุมของวันนี้กินเวลาและพลังไปจนแทบเหลือแต่ซากกลับมา
ก๊อก ก๊อก
ทว่ายังไม่ทันจะหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อเพิ่มพลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดอย่างใจอยาก เสียงเคาะประตูตามมารยาทพร้อมทั้งเสียงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือของผู้มาเยือนก็รั้งสติชายหนุ่มเอาไว้
จังหวะฝีเท้าหนักๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์และกลิ่นกายอันแสนคุ้นเคยตรงเข้ามาใกล้ ก่อนจะทันได้เปิดเปลือกตาขึ้นแรงยวบตรงข้างตัวก็บ่งบอกว่าอีกฝ่ายนั่งลงข้างกันเป็นที่เรียบร้อย
“บริษัทผมใช้แรงงานพนักงานหนักขนาดนี้เลยหรือ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพรางลากสัมผัสไปตามหลังคอของคนหมดสภาพ จากนั้นจึงเคล้นคลึงลงน้ำหนักเป็นจุดยามสายตาจับจ้องอยู่บนผิวเนื้อเนียนที่ฝ่ามือแตะต้องอยู่ด้วยความรู้สึกอยากฝากฝังร่องรอยลงไป
มันเนียนละเอียดและลื่นมือจนไม่อยากให้มองไปแล้วพบแต่ความว่างเปล่า...
‘รพัฒน์’อาจจะดูโรคจิตที่มักคิดว่ารอยช้ำสีกุหลาบนั้นเหมาะกับผิวสีแทนนี้เหลือเกิน
แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบใจให้ทำอย่างนั้น ยามพลั้งเผลอยั้งใจไม่ทันคราวใดจึงโดนเสือดุตรงหน้าขู่ใส่ไปเสียทุกครั้ง
“ยังมีหน้ามาพูด”
ยังไม่ทันได้ทำตามใจอยาก เสือตัวใหญ่ก็ขู่ออกมาทั้งที่ร่างกายอ่อนแรง ก่อนสิ่งที่คนตรงหน้าทำจะเรียกเสียงหัวเราะให้หลุดจากลำคอ
เวลาสัตว์ที่ดุร้ายอ้อนมันมีวิธีการยังไง...ใช่การยกหัวขึ้นมานอนบนตักแล้วซุกซบใบหน้าเข้ากับหน้าขาของเขาเช่นตอนนี้หรือเปล่า
หากคิดว่าสัตว์ป่าตัวนี้ออดอ้อนไม่เป็นเห็นทีจะคิดผิด แม้จะไม่ได้เข้ามาคลอเคลีย ทำตัวน่ารักดั่งแมวแต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนถูกอ้อนยกยิ้มเอ็นดู จากสัมผัสตรงลำคอจึงเลื่อนมือขึ้นมาเป็นสางผมให้แผ่วเบา
“วันนี้คุณทำได้ดีมาก คอนเซ็ปต์และข้อมูลที่หามาไร้ที่ติ และผมชอบที่สุดเวลาคุณยืนพรีเซนต์งานด้วยความจริงจังอยู่ตรงหน้า...รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ละสายตาจากคุณเลยแม้แต่วินาทีเดียว”
“ที่ไม่ละสายตาเพราะคุณต้องการต้อนผมให้จนมุมน่ะสิ”
‘สาริน’เอ่ยขึ้นเสียงเขียวยามนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องประชุม อีกฝ่ายซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดซัดคำถามมาไม่ยั้งจนเกือบจะเอาตัวไม่รอด แม้ดวงตาคมจะไม่ละไปไหนเลยสักวินาทีแต่มันไม่ใช่ความเสน่ห์หาแต่เป็นสายตาแห่งความกดดัน
ทีบนเตียงไม่เห็นจะเป็นแบบนั้น
“ใครว่า ผมช่วยคุณต่างหาก การถามของผมมันเปิดช่องให้คุณได้โชว์สิ่งที่คุณเตรียมมา และมันโดดเด่นจนโปรเจกต์นี้ผ่านการอนุมัติอย่างไร้ข้อกังขา”
“จริงหรือ!”
ความเหนื่อยถูกลืมเลือน ความอ่อนล้าถูกสลัดทิ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากของคน รพัฒน์ทอดมองท่าทางของคนตรงหน้าแล้วหลุดหัวเราะ แม้จะทำไม่ถูกที่นำข้อมูลของบริษัทมาบอกก่อนแต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาอยากให้รางวัลคนเก่ง
“จริง บอร์ดบริหารทุกคนเลือกโปรเจกต์ของคุณ”
คำยืนยันนั้นทำให้สารินขยับตัวขึ้นนั่ง ลืมความเหนื่อย ความล้า และความหิวทั้งหมดไปแทบจะในทันที
“เยส ผมเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะทำสำเร็จคุณรู้ไหม ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งอาทิตย์”
“ผมรู้ เพราะงั้นผมถึงได้ให้รางวัลด้วยการมาบอกคุณทันทีนี่ไง”
สารินเหนื่อยและทุ่มเทแค่ไหนชายหนุ่มรู้ดี ตลอดทั้งอาทิตย์อีกฝ่ายทุ่มเวลาไปกับงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะนอน และนั่นทำให้รพัฒน์หงุดหงิดกับการไม่ได้กินเนื้อเสือนุ่มๆจนเอาไปลงกับลูกน้องหลายคน
“อยากมาบอกผมหรืออยากมาทำอะไรกันแน่”
ประโยคนั้นทำให้คนโดนรู้ทันยกยิ้ม ยอมรับง่ายๆด้วยการไม่ปฏิเสธจนได้รับค้อนหนึ่งวงมาเป็นรางวัล
“ก็ไม่ได้กินคุณมาเป็นอาทิตย์ จะให้ผมทนได้ยังไง”
“ผมยังทนได้”
“แน่ใจหรือว่าทนได้”
มือหนาวางลงมาตรงกลางกาย นัยน์ตาคมทอความเจ้าเล่ห์และยั่วยวน ไม่เพียงแต่แตะต้องลงมาตามอำเภอใจแต่รพัฒน์ยังขยับลูบไล้ปลุกความต้องการอย่างถือวิสาสะ
“ผมเหนื่อยนะรบ” ชื่อเล่นที่นานๆทีจะถูกเอ่ยเรียกทำให้สัมผัสนั้นหยุดชะงัก
“คุณขี้โกง”
“ผมขี้โกงตรงไหน?” สารินถามกลับยิ้มๆ
เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว หากยอมง่ายๆก็ย่อมโดนเบื่อโดยง่าย แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้สั่นไหวเพียงใดแต่ก็ควรมีชั้นเชิงในการยอม ไม่อย่างนั้นคนอย่าง รพัฒน์ ภัคโภคิน คงเบื่อตั้งแต่คืนแรกที่ได้ร่างกายเขาไป
อะไรที่ได้มายากๆผู้ชายมักจะชอบเสมอ
“คุณขี้โกงสอง”
“คุณเองก็ขี้โกง”
ไม่เพียงแต่การได้ยินชื่อเล่นที่เป็นจุดอ่อนของรพัฒน์ แต่นั่นก็เป็นจุดอ่อนของสารินเช่นเดียวกัน...
“คุณไม่คิดถึงผมหรือไง”
คำว่าคิดถึงไม่ใช่คิดถึงในแบบอ่อนหวานแต่สิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึงมันคือความร้อนแรงและลีลาบนเตียงหรือที่เรียกง่ายๆว่าเซ็กส์
สารินถอนหายใจยามมองสบกับดวงตาที่เต็มไปความต้องการ บางอย่างซึ่งคับแน่นอยู่ใต้ซิบกางเกงเด่นหราตั้งแต่ที่เขาได้หันไปเห็น
“อย่าถามด้วยคำที่ฟังดูหวานหูถ้าคุณไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”
“ผมหมายถึงอย่างนั้นสิ...ผมคิดถึงคุณ”
เสียงกระซิบถ้อยคำหวานที่แสนหลอกลวงดังขึ้นอยู่ข้างหู ก่อนลมหายใจร้อนผ่าวจะเป่ารินรดซอกคอ จากนั้นความนุ่มหยุ่นชื้นแฉะก็แตะลงบนผิวเนื้อในวินาทีต่อมา
คิดถึงแค่ร่างกายกันสินะ...
“รอบเดียวเท่านั้นรบ ผมเหนื่อย”
“อืม ตกลง”
-----
“โกรธผมหรือ”
ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับไหล่กว้างของคนที่นอนพลิกตัวไปอีกฝั่งยามเอ่ยถาม ผิวสีแทนบางส่วนซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มผืนหนามีร่องรอยของความร้อนแรงแต่งแต้มอยู่ประปราย แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณลำคอที่เจ้าของหวงแหนก็ยังคงไร้ซึ่งร่องรอยไม่มีอะไรผิดปกติเช่นเดิม
ยามบ่ายของวันหยุดที่ทั้งสองเพิ่งตื่นมีเพียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วตั้งแต่ตื่นมา ดูท่าว่ารพัฒน์จะทำให้เสือตัวนี้ไม่พอใจเข้าเนื่องจากไม่อาจห้ามอารมณ์ของตัวเองจนพลั้งเผลอทำมากกว่าข้อตกลง จนสารินหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทันทีที่ปลอดปล่อยความต้องการครั้งสอง
“...”
“สอง...ผมขอโทษ”
เสียงจุ๊บเบาๆและความอุ่นร้อนจากปากของอีกคนสัมผัสลงบนลาดไหล่ขณะที่สารินยังคงสนใจอยู่เพียงพนังสีขาวตรงหน้า
ที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรอีกฝ่ายเพียงแต่หากตามใจมากเกินไปก็คงจะเคยตัว...แค่นี้เขาก็เหนื่อยจะแย่
“ผมอดใจไม่ไหวจริงๆ”
“ผมบอกคุณแล้วว่าเหนื่อย”
“...ผมขอโทษ”
คนผิดเอ่ยเสียงอ่อนยามสารินพลิกตัวกลับมาหา ท่าทางเหมือนหมีตัวใหญ่กำลังเศร้าสร้อยเกือบทำให้คนทำเป็นโกรธหลุดหัวเราะ แม้จะบอกว่าท่าทางนั้นดูตลกแต่ก็รู้ดีว่ามันมีความรู้สึกบางอย่างซึ่งมีผลต่อหัวใจมากกว่าความขบขันเจืออยู่
ความรู้สึกยินดีที่อีกคนทำราวกับว่า...แคร์กัน
“อย่าใช้แรงงานผมมากนัก ผมแก่แล้ว รองรับความต้องการที่มากเกินของคุณไม่ไหวหรอกนะ”
โดยปกติแล้วถ้าอาทิตย์ที่ผ่านมาสารินไม่ติดงานคนอย่างรพัฒน์สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้ทุกวัน แรกๆหนักถึงขั้นที่ทำวันละหลายรอบจนต้องทำข้อตกลงว่าให้ทำได้เพียงวันละหนึ่งครั้ง โดยหากวันไหนรพัฒน์ไม่ได้ทำ เจ้าตัวก็จะบวกเพิ่มในวันถัดไป
“นั่นก็เพราะคุณ...คุณคือคนที่ผมถูกใจที่สุดเลยรู้ไหมสอง”
ประโยคนั้นควรทำให้คนฟังดีใจแต่เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ออกมาจากใจของคนพูดชายหนุ่มจึงทำได้เพียงยิ้มขมขื่นกับตัวเอง
ถูกใจของรพัฒน์มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกจากความสนุกทางร่างกาย
นั่นสินะ แล้วเขาจะหลงดีใจกับท่าทางงอนง้อก่อนหน้าไปทำไมกัน...ไร้สาระสิ้นดี
“วันนึงคุณคงเจอคนที่ถูกใจมากกว่าผม”
วันที่สารินกลัวว่ามันจะมาถึงในเร็ววัน
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมมีความสุขอยู่กับคุณจนไม่ได้คิดถึงคนอื่นเลย” อีกฝ่ายพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“หึ ไม่ได้คิดถึงคนอื่นแล้วอาทิตย์ที่ผ่านมา?”
คนอย่างรพัฒน์ไม่อาจอดทนเก็บความต้องการเอาไว้ได้นานขนาดนั้นเขารู้ดี แม้จะไม่เคยถาม ไม่เคยเข้าไปยุ่งเพราะเกินขอบเขตของสถานะตัวเองแต่ใช่ว่าไม่รู้ ต่อให้จะเจ็บแปลบทุกครั้งเมื่อรับรู้หรือนึกถึงแต่คนอย่างเขาจะทำอะไรได้ในเมื่อไม่ได้เป็นเจ้าของคนคนนี้
ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ใดๆ...ทั้งร่างกายและหัวใจ
“ไม่มีใครทำให้ผมสนุกได้เท่าคุณเลยสักคน”
ฝ่ามือหนายกขึ้นไล้ไปตามข้างแก้มยามเอ่ยคำตอบอันหวานหู รพัฒน์ไม่มีแววตกใจทั้งยังเอ่ยพูดด้วยท่าทีปกติ
เป็นสารินเองที่ควรจะชินและมองว่าปกติบ้างสินะ
“ผมควรดีใจใช่ไหม”
“แน่นอน...ว่าแต่คุณหายโกรธผมเรื่องเมื่อคืนหรือยัง”
สัมผัสที่ไล้อยู่บนแก้มเลื่อนลงมายังริมฝีปาก ข้อนิ้วแกร่งขยับไปมาอยู่บนความนุ่มหยุ่นเชื่องช้าราวกับกำลังกล่อมคนโกรธให้ใจอ่อน
“ผมมีสิทธิ์โกรธคุณด้วยหรือ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิสอง ถ้าคุณยังโกรธผมก็จะง้อ”
ยิ่งคนตัวโตกว่าทำเหมือนกับแคร์กันมากเท่าไหร่ใจของชายหนุ่มยิ่งเจ็บ...มันก็แค่เหมือนแต่ไม่ใช่
การถูกให้ความหวังนี้เองที่เกี่ยวพันและกังขังความรู้สึกเอาไว้จนแทบไร้เรี่ยวแรงหาทางออก บางคราวจึงเผลอยินดีกับการกระทำที่เป็นเหมือนภาพลวงตานี้ก่อนวินาทีต่อมาจะต้องหัวเราะเยาะให้ตัวเองกับความรู้สึกโง่ๆของตัวเอง
“อย่าพูดว่าง้อเลยรบ เราเลยวัยที่จะใช้คำนั้นกันแล้ว มันฟังดูตลก”
ผู้ชายตัวโตวัยทำงานสองคนกับคำกิ๊กก๊อกของเด็กรุ่นใหม่ฟังดูไม่เข้ากันเลยสักนิด
ง้อหรือ? ยังไงล่ะ สารินไม่ได้รับมือการกระทำที่เรียกว่าง้องอนจบเกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามันเป็นยังไง โกรธกัน ไม่พอใจ ขึ้นเตียงเดี๋ยวก็จบ
“ไม่เห็นตลกตรงไหน ผมง้อคุณเป็นนะ”
คิ้วได้รูปเลิกขึ้นเมื่อได้ยินรพัฒน์ยืนยันอย่างนั้น ประกายวาววับในดวงตาคมทำให้เกิดความอยากรู้ว่าคนพูดจะทำอย่างไร
“หึ ไหน จะง้อผมยังไง”
จุ๊บ
สัมผัสบางเบาแนบลงมาบนริมฝีปากที่จูบกันมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนจะผละออกโดยไม่ได้รุกล้ำอะไรมากไปกว่านั้น ความร้อนผ่าวติดตรึงอยู่ไม่กี่วินาทีจนเกือบจะไม่รู้สึก ทว่าการกระทำที่เขาบอกว่ามันเด็กนี้กลับเล่นงานคนโดนง้อจนใจเต้นแรง
“ง้อนะครับ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคแสนหวาน รอยยิ้มอ่อนโยน จูบบางเบา...หรือเพราะความโง่เง่ารอบที่ล้านของตัวเองที่ทำให้สารินแพ้ราบคาบ
สุดท้ายเขาก็ยอมโง่ให้กับการกระทำที่เป็นเพียงแค่ภาพหลอกตานี้อีกเช่นเคย-----
“คิดยังไงถึงชวนผมออกมาทานข้าวข้างนอก”
สารินเอ่ยถามคนตรงหน้าเมื่ออาหารเช้าในยามสี่โมงเย็นกลายเป็นมื้ออาหารสุดหรูที่รพัฒน์ชวนออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า กว่าจะทันรู้ตัวว่าถูกพามาที่ไหนก็เมื่อมาถึงจุดหมายแล้วเรียบร้อย ระยะห่างของแต่ละโต๊ะทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัวสมกับราคา พวกเขาไม่ได้มาสถานที่แบบนี้กันบ่อยนักจึงนึกสงสัยว่าอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายนึกอยากจะมา
“ก็ไม่คิดยังไง ผมแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
“ไม่ได้ทำดีเพื่อเอาใจผมเพราะไปทำอะไรสักอย่างมาใช่ไหม”
คำถามและดวงตาที่หรี่มองมาอย่างจับผิดทำให้คนถูกถามหลุดหัวเราะ แม้ว่าสารินจะไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจหรือน่าทะนุถนอมเช่นแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มอยู่กับคนตรงหน้าได้คือความสบายใจที่หาไม่ได้จากคนอื่น
สารินคือความสบายของเขา...
“ถ้าจะทำอะไรสักอย่างก็คงเป็นเรื่องที่เผลอกินคุณเกินไปหนึ่งรอบนั่นแหละ”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังค้อนขวับ แม้ว่าระยะห่างของแต่ละโต๊ะจะห่างออกไปไกลจนไม่มีทางได้ยินทว่าการพูดเรื่องนั้นในสถานที่แบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณก็งดไปเลย”
“ได้ยังไง ผมอุตสาห์ไม่กินคุณเป็นอาทิตย์เพราะปล่อยให้ทำงาน ถ้าผมทดเจ็ดวันนั้นความจริงผมต้องได้กินคุณเพิ่มอีกเจ็ดรอบเลยนะ”
ใบหน้าของรพัฒน์จริงจังราวกับนี่คือเรื่องงานซึ่งมีมูลค่าเป็นร้อยล้าน
“ให้ผมพักบ้างเถอะ ทำทุกวันคุณไม่เบื่อผมบ้างหรือไง”
“ไม่ ให้ผมทำอีกตอนนี้ยังได้”
“แต่ตอนนี้ผมหิวจะแย่แล้ว เมื่อไหร่อาหารจะมา”
หากให้คุยกันเรื่องนี้รพัฒน์คงสามารถคุยได้ไม่จบสิ้นจึงต้องยกเรื่องอื่นมาเป็นหัวข้อสนทนา ยิ่งพูดสารินยิ่งอยากข่วนใบหน้าของอีกคนให้เป็นรอย ตลอดทั้งวันนอกจากน้ำแล้วก็ไม่มีอะไรที่ตกถึงท้อง กว่าจะสามารถขุดตัวเองขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวได้ก็กินเวลามากกว่าปกติในขณะที่คนทำกลับอารมณ์ดียิ้มหน้าระรื่นตลอดทั้งวัน
“คงอีกไม่นานหรอก...นั่นไง เหมือนจะมาพอดี”
พูดยังไม่ทันจบประโยคดีบริกรก็เข็นรถซึ่งมีอาหารหน้าตาน่าทานเดินตรงมา ยามอาหารเซตแรกถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยสารินจึงไม่รอช้าหยิบมีดและซ่อมมาจัดการสเต็กตรงหน้าในทันที
จะให้รออะไรในเมื่อเขาหิวจะตายอยู่แล้ว
“ใจเย็นๆสิสอง เดี๋ยวติดคอ”
คนถูกเตือนทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองขณะที่ปากยังคงเคี้ยวตุ้ยๆรีบกลืนอาหารลงคอด้วยความหิวโหย รพัฒน์มองท่าทางนั้นพลางยกยิ้ม คนเคร่งขรึมยามอยู่บริษัทถูกลบด้วยภาพนี้จนแทบไม่เหลือเค้า ด้านที่หลายคนไม่เคยเห็นกลับเป็นเขาที่เห็นมันมาแล้วแทบทุกด้าน
“ผมหิว”
“ผมรู้ แต่ค่อยๆกินก็ได้”
มือหนาเอื้อมมาตรงหน้าจากอีกฝั่งก่อนข้อนิ้วแกร่งจะตวัดเช็ดบางอย่างให้ตรงมุมปาก การกระทำนั้นทำให้สารินหยุดชะงัก ซอสรสเลิศซึ่งติดไปตรงปลายนิ้วถูกทำความสะอาดด้วยการไล้เลียชิมรสต่อกัน
“อืม อร่อยดีนะ คุณชอบไหม”
คนถามเอ่ยถามด้วยท่าทางสบายๆโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำเมื่อครู่ส่งผลให้ใครบางคนใจเต้นจนโครมคราม
ให้ตาย อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแต่กลับมาใจเต้นเหมือนเด็กสิบห้า!
“...ก็อร่อยดี” เสียงกระแอมไอดังขึ้นเพื่อตั้งสติก่อนสารินจะรีบกลับมาสนใจเพียงอาหารตรงหน้าต่อ
“งั้นก็กินเยอะๆ”
“รู้แล้วน่า คุณเองก็กินเถอะ”
รพัฒน์พยักหน้ารับ ปล่อยให้คนหิวกินไปโดยไม่รบกวนอะไรอีกยามที่ตัวเองก็เริ่มต้นจัดการอาหารในจานของตัวเองเช่นเดียวกัน
มื้ออาหารดำเนินไปอย่างไร้ซึ่งบทสนทนา ต่างคนต่างนั่งทานอาหารของตัวเองเงียบๆกระทั่งทุกเมนูซึ่งถูกทยอยนำมาเสิร์ฟหมดลงรวมทั้งของหวานที่เป็นอย่างสุดท้าย
“คุณอยากไปไหนต่อหรือเปล่า ไหนๆก็มาถึงห้างแล้วไปเดินดูอะไรกันสักหน่อยไหม” รพัฒน์เอ่ยถามขึ้น
“ตามใจคุณ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย หรือว่าคุณจะไปด้วยกัน”
“ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบาย”
เมื่อร่างสูงเดินออกไปสารินจึงมีโอกาสได้นั่งสำรวจบรรยากาศรอบร้านอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านี้มัวแต่หิวและสนใจเพียงแค่อาหารจึงแทบไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่รพัฒน์พามาที่นี่ รสชาติของอาหารและบรรยากาศรอบๆถือว่าไม่เลวแต่โดยปกติแล้วเขาและอีกฝ่ายไม่ได้ชอบการออกมาทานอาหารข้างนอกนักจึงน่าจะไม่ได้มาใช้บริการบ่อยๆ
แต่ถ้ารพัฒน์จะมากับคนอื่น อันนี้เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...
“เห็นไกลๆไม่แน่ใจเลยเดินเข้ามาหา แล้วก็เป็นนายไม่ผิดจริงๆด้วย”
เสียงหวานแหลมของใครบางคนฉุดรั้งสติและสายตาของสารินให้กลับมาตรงหน้า เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครจึงรีบขยับตัวลุกขึ้นแล้วโค้งให้ทั้งที่ในใจอยากเดินหนีไปด้วยความเบื่อหน่าย
“สวัสดีครับ”
“มากับลูกชายฉันล่ะสิ รบยังไม่เลิกคั่วอยู่กับนายอีกหรือไง นานกว่าที่ฉันคิดเอาไว้นะ...หรือว่าเป็นนายเองที่พยายามรั้งลูกชายของฉันเอาไว้”
ประโยคจำพวกที่อีกฝ่ายมักพูดอยู่เสมอดังขึ้นอีกครั้งจนสารินได้แต่คิดกับตัวเองในใจว่าทำไมซื้อหวยถึงไม่ถูกแบบนี้
“ผมไม่ได้รั้งคุณรบครับ แต่คุณรบไม่เคยอยากไปไหนเอง”
ประโยคตอกกลับเรียบๆไร้ซึ่งอารมณ์และความเกรี้ยวกราดเล่นงานผู้หญิงตรงหน้ากลับได้มากกว่าความโมโห สายตาของผู้มีอายุวาวไรจน์ราวกับอยากจะฉีกทึ้งร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สารินรู้สึกหวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“หน้าไม่อาย! ผิดมนุษย์ผิดเพศแล้วยังมีหน้ามาพูดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ตารบเขาก็แค่ตื่นเต้นกับของแปลกอย่างนายเท่านั้นแหละ สุดท้ายอะไรที่เป็นของเทียมมันก็ไม่ถาวรไม่เหมือนกับของธรรมชาติ”
“แล้วผมจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้นครับ”
“หึ ฉันเป็นแม่ ฉันรู้ดีว่าลูกชายตัวเองเป็นคนยังไง อีกไม่นานเขาก็จะทิ้งนายเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมา”
“...”
“ฉันเตือนด้วยความหวังดี...ออกไปจากชีวิตของตารบซะก่อนที่นายจะทำให้ลูกชายฉันแปดเปื้อนและน่ารังเกียจมากไปกว่านี้”
“...”
“อ้อ อีกอย่าง...ความใคร่น่ะมันไม่คงทนเหมือนความรักหรอก นายเองก็รู้ดีนี่ว่าตารบไม่ได้รักนาย เพราะถ้ารักอาทิตย์ที่แล้วเขาคงไม่ไปไหนต่อไหนกับใครไม่ซ้ำหน้าหรอกจริงไหม”
รรินมองคนรุ่นลูกตรงหน้าด้วยสายตาเย้ยหยันระคนสมเพช เมื่อเอ่ยทุกสิ่งที่อยากพูดไปจนหมดจึงหมุนตัวกลับแล้วเดินออกจากร้านพลางทิ้งถ้อยคำไว้ทำลายอีกคนด้วยความสะใจ
ความรักของเพศเดียวกันมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจจะตายไป!
ทางด้านของสาริน ชายหนุ่มได้แต่ทรุดตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ของรพัฒน์เข้ามาหาแล้วเอ่ยพูดด้วยถ้อยคำประเภทนี้ แม้จะบอกว่าชินชาและไม่เคยถือสาแต่ประโยคสุดท้ายนั้นก็ส่งผลต่อความรู้สึกได้ไม่น้อย
‘ความใคร่น่ะมันไม่คงทนเหมือนความรักหรอก’
เขารู้...เขารู้ดีโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายมาบอกเลยด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้เหมือนผมเห็นผู้หญิงคนนั้น เธอได้เข้ามาหาคุณหรือเปล่าสอง”
รพัฒน์กลับมาจากห้องน้ำแล้วเห็นหลังของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกไปจากร้านแว๊บๆแต่ไม่ทันได้มองให้แน่ชัดว่าใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าจึงเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
ผู้หญิงคนนั้น...คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แต่ไม่เคยทำตัวเหมือนแม่
รรินทิ้งเขาให้ผู้เป็นพ่อดูแลตั้งแต่วันแรกที่คลอดออกมา ไม่แม้แต่จะสนใจใยดีหรือให้นมสักหยด ตลอดเวลาที่เติบโตรพัฒน์ไม่เคยได้รับความรักและการดูแลจากคนเป็นแม่ สิ่งเดียวที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการจากตัวเขาก็มีแค่ผลประโยชน์
“ไม่มีใครเข้ามาหาผมสักคน คุณคงตาฝาด”
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่เธอ”
“ผมจะโกหกคุณไปทำไมกัน...เรียบร้อยหรือยัง ผมนึกขึ้นได้ว่ามีของที่อยากจะไปดูอยู่พอดี”
สารินขยับตัวลุกขึ้นเต็มความสูง สลัดความคิดและประโยคที่ไหลวนอยู่ในหัวให้ออกไปยามปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติโดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ รพัฒน์ฉลาดเป็นกรดฉะนั้นจึงต้องเก็บท่าทีให้แนบเนียน
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นผมก็จะเชื่อ...คุณอยากไปดูอะไรก็ตามสบาย วันนี้ผมตามใจไม่อั้น”
“ใจปล้ำจังเลยนะ ถ้าอย่างนั้นผมจะเหมาให้คุณหมดตัว”
“หึ ก็เอาสิ ผมมีปัญญาจ่าย”
สารินส่ายหน้าน้อยๆให้กับความอวดรวยนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำออกจากร้านเพื่อเดินดูของอย่างที่ตั้งใจ
ในขณะที่ยังพอมีเวลาเขาขอตักตวงความสุขที่หลอกลวงตัวเองนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน...
-----
“สอง...จะขึ้นไปชั้นบนอยู่แล้วใช่ไหม งั้นพี่ฝากนี่ไปไว้ในห้องประธานหน่อย เมื่อกี้ลืมแนบไปด้วยน่ะ”
เอกสารหนึ่งแผ่นถูกยื่นมาให้ตรงหน้าจากคนที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนร่วมงาน อดิศรณ์เป็นรุ่นพี่ที่เข้ามาทำงานที่นี่ก่อนและคอยให้คำปรึกษาต่างๆแก่สารินเป็นอย่างดี
“ได้ครับ”
“เอาเข้าไปวางไว้กับแฟ้มบนโต๊ะเลยนะ แต่ถ้าคุณรพัฒน์ไม่อยู่ก็เอาคืนมาเดี๋ยวพี่จะเอาไปให้คุณธานินทร์เซ็นก่อน”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะหยิบแฟ้มงานของตัวเองที่ต้องเอาไปส่งรองประธานมาไว้ในมือ จากนั้นจึงเดินไปทางลิฟต์แล้วกดไปยังชั้นบนสุดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ข้อความหาใครบางคน
ถามให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายอยู่ห้องไหมจะได้ไม่ต้องแวะไปให้เสียเวลา
'ผมมีเอกสารจะให้เซ็น คุณอยู่ที่ห้องหรือเปล่า?'ไม่นานนักรพัฒน์ก็ตอบกลับมา
'ผมออกมาคุยงานกับลูกค้า ถ้ามีอะไรสำคัญฝากเอาไว้ที่คุณสมรได้เลย'เป็นอันว่าเข้าใจ สารินเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นจุดหมาย ชายหนุ่มแวะเอาเอกสารไปให้รองประธานซึ่งต้องการรายละเอียดเรื่องโปรเจกต์ที่นำเสนอไปทว่าเมื่อคุยงานของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ฮัลโหลครับ”
(สอง พี่ฝากเอางานไปไว้ในห้องคุณรพัฒน์เลยนะ พอดีคุณธานินทร์ไม่อยู่)
“ฝากคุณสมรไว้ได้ไหมครับ”
(พี่เจอคุณสมรที่คอฟฟี่ช็อปเมื่อกี้เอง สองเอาเข้าไปไว้กับแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเลยพี่กลัวเอกสารมันปลิวหาย)
“งั้นก็ได้ครับ”
(โอเค)
ปลายสายกดวางไปขณะที่สารินหมุนตัวไปอีกทางซึ่งเป็นห้องของผู้มีอำนาจสูงสุด หน้าห้องซึ่งเป็นโต๊ะทำงานของเลขาส่วนตัวไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของ ขณะที่ประตูซึ่งถูกปิดไม่สนิททำให้คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน
รีบร้อนออกไปจนไม่ได้ปิดประตูเลยหรือยังไง?
“อะ อย่าเพิ่งสิคะรบ”
มือที่วางลงบนลูกบิดชะงักกึกเมื่อเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งและจากประโยคที่ได้ยินมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าใครกำลังทำอะไร
“อ๊ะ อื้อ รบคะ เบาๆค่ะ”
เสียงครางหวานดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องโดยไม่ต้องนึกคิดหรือตีความอะไรให้มากไปกว่านั้น มือที่วางอยู่ที่เดิมกำเข้าหากันแน่น ข้อความซึ่งตอบกลับมาว่าออกไปคุยงานกับลูกค้าย้อนกลับเข้ามาในความคิด
สารินไม่เคยโกรธที่อีกคนมีความสัมพันธ์กับคนอื่นแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโกรธในคราวนี้คือการที่อีกฝ่ายโกหก...
และสารินเลือกจะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ให้คนทั้งสองได้ตั้งตัว
“อุ๊ย!”
หญิงสาวสะสวยในสภาพกึ่งเปลือยรีบคว้าเสื้อที่ตกอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาปิดช่วงบนของตัวเองเอาไว้ยามที่รพัฒน์ทำได้เพียงผละใบหน้าออกจากทรวงอกเปลือยเปล่านั่น
“สอง!”
TBC.
คุณรบคนชั่ววววว ใจร้ายกับคุณสองมาก หึ่ยๆๆๆๆ แต่งเองโมโหเอง
มาต่อจนครบ100%แล้ววว เป็นกำลังใจและคอมเมนท์ติชมกันหน่อยนะคะ (ไม่งั้นจะทิ้งให้ค้างนานๆเล้ย)
Fanpage :
https://www.facebook.com/writerexsoull/Tw :
https://twitter.com/exsoull_