ในกลุ่มสนทนาของชมรมมีการเรียกรวมให้สมาชิกไปประชุมกันเพื่อนัดหมายเรื่องวันท่องเที่ยวงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ปีสี่ ข้อความที่ว่าถูกแจ้งอยู่ในกลุ่มก่อนวันนัดร่วมๆ สองอาทิตย์ พร้อมกับข้อมูลกำหนดการวันท่องเที่ยวซึ่งรุ่นพี่ฮายาชิเอามาเขียนแปะไว้เป็นระยะๆ กว่าจะถึงวันประชุมจริงๆ ทั้งเวลาทั้งสถานที่ สมาชิกทุกคนก็รับรู้กันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ซาโต้ ทาคุมิ
“ผมไปด้วยไม่ได้หรือครับ รุ่นพี่ไม่สงสารเด็กน้อยตาดำๆบ้างหรือ”
ฮารุโตะคิดว่าถ้าทาคุมิกอดขารุ่นพี่อาโอกิได้ก็คงจะทำไปแล้ว เพราะมาคลุกคลีกับคนในชมรม เพื่อนร่วมคณะของเขาจึงพอจะรู้ว่ารุ่นพี่อาโอกิมีแฟนแล้ว และตอนนี้แฟนของรุ่นพี่อาโอกิก็นั่งอยู่ไม่ไกลด้วย เจ้าตัวจึงแค่เกาะโซฟาทำตาปริบๆเท่านั้น
“รู้จักรุ่นพี่เขารึ ถึงจะไปด้วยนะ”
“รู้จักสิครับ”ด้วยการเข้าไปแนะนำตัวให้รุ่นพี่รู้จักเมื่อสองวันก่อน
เหตุการณ์ดังกล่าวมีที่ไปที่มาดังนี้คือ จู่ๆทาคุมิมาบอกเขาว่าอยากรู้จักรุ่นพี่ปีสี่ของชมรมที่กำลังจะเรียนจบ ตอนนั้นเขาพยักหน้ารับด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เพราะรุ่นพี่ฮอนดะเริ่มทำงานประจำในบริษัทที่เคยสมัครงานไว้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จนกระทั่ง ได้ไปทำงานพิเศษใกล้กับบริษัทที่รุ่นพี่ทำงานอยู่ ถึงได้มีโอกาสนัดเจอกัน
“พี่โยชิบอกว่า ถ้าไม่ติดขัดเรื่องงบ จะพาไปด้วยก็ได้”เรย์อ่านข้อความที่คุยกับรุ่นพี่ฮอนดะให้นาโอโตะฟัง เนื่องจากการประชุมนี้จัดขึ้นวันธรรมดาที่เจ้าของงานเลี้ยงอำลาไม่ได้สามารถมาร่วมได้ คนอื่นก็เช่นกันหากวันนี้มาไม่ได้ แต่ยืนยันว่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้หรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา
“ถ้าอย่างนั้น ไว้รอถามสมาชิกคนอื่นก่อนนะ”นาโอโตะพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เมื่อเห็นว่าถึงเวลานัดประชุมแล้วจึงเรียกรวมสมาชิกทุกคน
รายละเอียดของทริปนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เรียวตะเคยเขียนบอกไว้ในกลุ่มสนทนา ก่อนที่หัวข้อประชุมจะมาจบลงที่ถามความคิดเห็นเรื่องซาโต้ ทาคุมิ ถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่รู้จักทาคุมิ แต่เมื่อได้ยินว่ารุ่นพี่ฮอนดะ โยชิไม่มีปัญหา คนอื่นๆจึงไม่มีข้อขัดข้องเช่นเดียวกัน
“ทำไมถึงอยากไปละ”ฮารุโตะถามอย่างสงสัย
“เอ่า ก็ไปเที่ยว ใครๆก็อยากไปทั้งนั้น”
“แต่ซาโต้ซังไม่รู้จักใครเลยนะ”ถ้าเปลี่ยนเป็นฮารุโตะละก็ เขาคงไม่อยากไปร่วมกิจกรรมกับคนที่ไม่รู้จัก เพราะเมื่อไปก็ไม่รู้จะคุยกับใคร
“ก็นายไง”แต่เมื่อคนตอบเหลือบเห็นสายตาของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆฮารุโตะจ้องเขม็งมองมา เขาจึงเพิ่มชื่อคนอื่นๆเข้าไปอีก “รุ่นพี่อาเบะ รุ่นพี่อัตซึชิ แล้วรุ่นพี่อีกตั้งหลายคน”
ฮารุโตะจึงพยักหน้ารับรู้ ตอนที่เขาไปเที่ยวกับชมรมครั้งแรก ก็ยังไม่รู้จักใครมากมายเหมือนกันนี่นะ
สถานที่ไปชมซากุระครั้งนี้อยู่ในจังหวัดนาโกย่า ต้องออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้าที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ถึงจุดหมายปลายทางกันตอนใกล้ๆสิบเอ็ดโมง พวกรุ่นพี่ผู้ชายต่างวิ่งรี่ไปปูเสื่อจองที่ นอกจากจองที่ปูเสื่อยังต้องหาที่ตั้งกล้อง ส่วนกำลังพลที่เหลือถือปิ่นโตเดินตามกันมาทีหลัง
ก่อนวันเดินทางซึ่งก็คือเมื่อวาน กลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมและรองประธานชมรมได้นัดหมายไปช่วยกันทำข้าวกล่องปิ่นโตที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิ และเมื่อกล่าวถึงสมาชิกหญิง ซาโต้ อัตซึชิซึ่งเป็นแฟนของอาบะ ซึกิซากะจึงต้องตามไปด้วย ฮารุโตะซึ่งมักจะอาสาทำงานจิปาถะของชมรมอยู่แล้วขอตามไปเป็นลูกมือด้วยเช่นเดียวกัน
และเมื่อมีฮารุโตะ เด็กปีหนึ่งคณะวิทยาศาตร์อีกคนอย่างทาคุมิก็ขอตามไปด้วยเหมือนกัน แก็งหัวหน้าชมรมก็ไปคลุกอยู่ด้วย แต่กลุ่มนี้ไปนั่งเล่นนั่งคุยกันเสียมากกว่า
เริ่มเตรียมของกันช่วงบ่าย และแยกย้ายเข้านอนกันแต่หัวค่ำ โดยกลุ่มหญิงสาวนอนกันที่บ้านรุ่นพี่อาโอกิ และพวกผู้ชายนอนที่บ้านรุ่นพี่นาคามูระ ก่อนจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำกับข้าวเพิ่มเติมและเอากับข้าวทั้งหลายลงกล่อง
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะได้เดินเข้าไปในบ้านของรุ่นพี่นาคามูระ แม้ว่าช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมาเขาจะมาคลุกอยู่ที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิบ่อยๆก็ตาม
ภายในบ้านตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม แขวนภาพถ่ายไว้เต็มบ้าน ทั้งภาพวิวทิวทัศน์ ผู้คนหรือรูปครอบครัวที่ทำให้ฮารุโตะไปหยุดยืนพิจารณาอยู่นาน รุ่นพี่นาคามูระมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนซึ่งมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับน้องชาย ไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือแววตา
“ดูอะไรน่ะ”เจ้าของเสียงนอกจากจะพูดถามยังวางคางไว้บนศีรษะของเขาอีก ฮารุโตะจึงขยับหันไปมองไม่ได้ ได้แต่แหงนคอขึ้นมอง
“ก็รูปของรุ่นพี่นาคามูระ”
“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย กลับไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาส่ง”คนพูดเปลี่ยงจากวางคางไว้บนศีรษะย้ายมาวางไว้บนไหล่ของเขาแทน สองแขนก็โอบเอวดึงเขาไปแนบอก
“ไม่ดีกว่าครับ นอนที่ดีกว่า รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องลำบากด้วย”ฮารุโตะเตรียมเสื้อผ้าข้าวของมาตั้งแต่ก่อนมา เพราะมีการคุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าปีที่แล้วเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
ซากิไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เพียงแค่ถามดูอีกรอบเผื่ออีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เพราะถึงอย่างไร เขาเองก็เตรียมเสื้อผ้ามานอนค้างที่บ้านของเรย์เช่นเดียวกัน พอเขาตัดสินใจมานอนที่นี่ ทั้งเรียวตะและเอคิจิจึงตามมาตั้งวงกินเบียร์ที่บ้านของเรย์ด้วยกัน
“อะแฮ่ม”เสียงกระแอมกระไอดังขึ้น เรียกความสนใจให้เขาทั้งสองหันมอง ฮายาชิ เรียวตะยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู
“จะกินไหม เบียร์อ่ะ”
“เออ ไปก่อนเดี๋ยวตามไป”
ลับหลังรุ่นพี่ฮายาชิไปแล้ว ฮารุโตะจึงหันไปแกะมือคนที่ยังกอดเอวเขาไม่ปล่อย “ผมจะไปอาบน้ำนอนแล้วครับ”
“ไม่ไปกินด้วยกันก่อนละ”
“ไม่เอาละ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”แกะมือออกจากเอวได้ มือของอีกฝ่ายก็ย้ายไปเกาะที่ไหล่ ฮารุโตะจึงก้าวเท้าเดินนำไปทั้งอย่างนั้น ก้าวเท้าลงบันไดไปส่งหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงที่ห้องชั้นล่าง ก่อนจะเลี่ยงกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนที่ห้องของรุ่นพี่นาคามูระ
คืนนี้นาคามูระ เรย์จะย้ายไปนอนที่ห้องของพี่ชาย ส่วนห้องนอนของตน เขายกให้เพื่อนและรุ่นน้องรวมหกชีวิตนอนเบียดกันในห้องนี้ แม้จะบอกว่าให้ไปนอนห้องพี่ชาย หรือห้องของพ่อกับแม่ได้ก็ไม่มีใครยอมตกลง ทั้งที่เจ้าของบ้านอุตส่าห์คิดว่า เป็นโชคดีที่ทั้งพ่อและพี่ชายติดงานที่อื่นทั้งคู่
หลังอาบน้ำเสร็จ ฮารุโตะมาล้มตัวลงนอนบนฟูกซึ่งวางอยู่ชิดผนัง ทาคุมิเองก็ตามนั่งอยู่ใกล้กัน
“นอนตรงนี้นะ”
“อืม”ฮารุโตะพยักหน้ารับ แค่ครู่เดียวเขาก็ดิ่งเข้าสู่นิทรา
ทว่า ตอนตื่นขึ้นมาเขากลับถูกย้ายไปนอนอยู่อีกฝั่งในอ้อมกอดของรุ่นพี่ชิมิซึ อย่างไรก็ตามฮารุโตะได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา ปลุกทั้งทาคุมิและอัตซึชิ ก่อนจะเดินไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ข้างกัน
หลังจากข้าวกล่องและอาหารทุกอย่างเสร็จสิ้น มีรุ่นพี่อีกกลุ่มที่มาช่วยรับหน้าที่ขนย้าย
ดังนั้นฮารุโตะจึงเดินตัวเบาสะพายแค่กระเป๋าของตัวเองมาตลอดทาง
นั่งทานอาหารไปพลางนั่งเล่นเกมไปพลาง ไม่นานเท่าไหร่ รุ่นพี่ชิมิซึที่หายไปพักใหญ่ก็เดินถือเค้กเข้ามาหา และเสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดก็ดังออกมาจากสมาชิกทุกคน แม้จะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิด และพอจะรู้ว่าสมาชิกในชมรมชอบกิจกรรมเซอร์ไพรซ์ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัว ฮารุโตะน้ำตาคลอ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ เรียกว่าเป็นการฉลองวันคล้ายวันเกิดครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ที่เขาจำความได้คงไม่ผิดไปนัก
ตอนที่อยู่กับพ่อ เขาไม่เคยมีงานฉลองวันคล้ายวันเกิด แม้แต่เค้กสักก้อนยังไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าเพราะที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน
เมื่อย้ายมาอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ งานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเขาถูกจัดพร้อมกับเด็กคนอื่นๆที่เกิดในเดือนเดียวกัน เด็กคนอื่นอาจจะรู้สึกสนุก แต่ตัวเขาที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกไม่สนิทกับใคร กลับรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม
“ร้องไห้อย่างนั้นหรือ”รุ่นพี่ชิมิซึกระซิบถาม ระหว่างที่คนอื่นๆหัวเราะเฮฮา แย่งกันกินเค้กหลังจากที่เขาเป่าเทียนบนเค้กเสร็จเรียบร้อย
ฮารุโตะสั่นศีรษะ ก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกถึงน้ำใสๆที่หัวตากำลังจะไหลออกมา
“เสียใจที่ฉันเอาเค้กมาให้อย่างนั้นหรือ”
“เปล่าซักหน่อย”ว่าพลางซุกหน้าลงกับแผ่นอกของรุ่นพี่ซึ่งวาดแขนโอบไหล่เขาไว้
“ดีใจต่างหาก”เขาบอกเสียงอู้อี้ นาทีนี้เขาไม่นึกอายใครทั้งนั้น แค่อยากกอดอีกคนไว้ เรื่องเค้กวันเกิดอาจจะไม่ใช่ความคิดของรุ่นพี่ชิมิซึก็เป็นได้ แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองพิเศษกว่าคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงอารมณ์ดียิ้มหวานให้ใครต่อใครมากเป็นพิเศษ เมื่อมีคนส่งแก้วเครื่องดื่มมึนเมามาให้ เขาก็พร้อมจะยกแก้วขึ้นดื่มให้หมดในคราวเดียว ถ้าไม่โดนห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวแก้วที่สองก็เมาพับไปแบบครั้งที่แล้วหรอก”
เขาฉีกยิ้มให้คนเตือนพร้อมพยักหน้ารับคำ ยกแก้วขึ้นจิบช้าๆ แล้วกลับมาสนุกสนานกับเกมการละเล่นในกลุ่มเพื่อนกันต่อ
กว่าที่พวกเขาจะเลิกกินเลิกดื่ม ฮารุโตะก็ไม่สามารถยืนทรงตัวได้เสียแล้ว เพื่อนๆพี่ๆในชมรมอีกจำนวนหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“เอ้า เกาะดีๆนะ”ซากิร้องบอกขณะย่อตัวเพื่ออุ้มฮารุโตะขึ้นหลัง เมื่อทรงตัวยืนขึ้นได้จึงยื่นมือไปรับข้าวของที่สมาชิกที่ไม่มีอาการเมาเก็บกวาดส่งมาให้ บางคนก็พยุงคนเมาให้เดินกลับที่พัก มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาเป็นพักๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น
ซากิรับกุญแจห้องจากนาโอโตะ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าของเขาและหนุ่มรุ่นน้องซึ่งถูกฝากวางไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรมขึ้นมาถือ เดินตามกลุ่มเพื่อนขึ้นลิฟท์ ดูเหมือนว่าคราวนี้ฮารุโตะจะเมาไม่มาก เพราะถึงแม้จะถูกแบกอยู่บนหลังของเขา ก็ยังคุยกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ซ้ำเมื่อถึงชั้นที่ต้องลงยังมีการโบกมือลาให้
“รุ่นพี่ๆ ย่อตัวหน่อย จะลง”เมื่อหนุ่มรุ่นน้องว่าอย่างนั้น ซากิจึงทำตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ตอนที่ลงมายืนฮารุโตะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่พอก้าวเดินเท้าเท่านั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กเซถลาเหมือนจะล้มลงจนเขาต้องเข้าไปช่วยพยุง
“จะไปไหน”
“ไปอาบน้ำ ตัวเหม็น”
“อย่างนั้นถอดเสื้อก่อน เดี๋ยวจะช่วยอาบให้”ฮารุโตะปลดกระดุมถอดเสื้อตัวเองออกอย่างว่าง่าย พอถอดของตัวเองเสร็จยังหันมาถอดเสื้อให้เขาด้วย
“อาบด้วยกันเลย”
“ทำไมพูดจาน่ารักอย่างนี้ เมาจริงป่ะเนี่ย”
“เมา”พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ ซากิคิดว่าเหล้าที่กินเข้าไปคงมีผลไม่มากก็น้อย เพราะปกติฮารุโตะจะขี้อาย แม้จะโดนเขาบังคับให้ทำโน่นทำนี่เรื่องอย่างว่า แต่การจะมาเชิญชวนกันโจ่งแจ้งอย่างนี้ไม่เคยมีเสียหรอก
หลังอาบน้ำ ดูเหมือนว่าหนุ่มรุ่นน้องจะสร่างเมาลงเล็กน้อย แต่ออกอาการง่วงนอนชัดเจน ขนาดยืนให้เขาใช้ไดร์เป่าผมยังทำตาสะลึมสะลือ ซากิจัดการส่งคนที่ตัวเล็กกว่าจนถึงเตียงก่อนจะกลับมาจัดการสวมเสื้อผ้าเช็ดผมให้ตัวเองบ้าง และเมื่อเดินไปล้มตัวลงนอนบ้าง เขาหันไปเห็นฮารุโตะลืมตาแป๋ว ก่อนจะตะกายขึ้นมาบนตัวเขา
“ไม่ทำเหรอ”
“หือ ทำไมล่ะ”
“ก็...”เด็กหนุ่มโคลงศีรษะไปมาอย่างใช้ความคิด “ของขวัญไง”
“ของขวัญวันเกิดอ่ะนะ”
“อือ”แล้วก็โน้มตัวนอนหนุนบนอกของเขา
“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้นัดกับเจ้าพวกนั้นไว้ว่าจะไปถ่ายรูปแต่เช้า”
“อืม”ฮารุโตะครางรับแล้วก็นอนหลับไปเสียดื้อๆ จนเขานิ่งอึ้งร้องอุทานในหัวซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะต้องหลุดเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงจัดท่าให้อีกฝ่ายนอนบนเตียงดีๆ ถึงแม้ว่าฮารุโตะจะตัวเล็กกว่าเขามาก แต่โดนนอนทับไว้ทั้งตัวแบบนี้นานๆก็ทำให้หายใจไม่ออกได้เหมือนกัน
ฮารุโตะรีบขยับตัวซุกเข้าหาทันทีที่เขาขยับตัว ทั้งที่ตาสองข้างยังคงปิดสนิท ซากิจึงขยับจัดท่าให้นอนได้สบายอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่นิทราไปเช่นเดียวกัน
ฮารุโตะรู้สึกตัวมาสักครู่แล้ว แต่เขายังไม่อยากลุก ยังรู้สึกมึนๆงงๆและอึนๆ ปลุกปลอบใจตัวเองอีกพักใหญ่จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น เห็นหน้ารุ่นพี่ชิมิซึอยู่ตรงหน้า ใกล้กันจนสัมผัสลมหายใจร้อนผ่าว นอนมองใบหน้าของรุ่นพี่อีกพักใหญ่จึงยันตัวลุกขึ้น ท่อนแขนแข็งแรงจึงเลื่อนไปวางอยู่บนสะโพก แต่หนุ่มรุ่นพี่ยังนอนนิ่งคล้ายหลับลึก
เด็กหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง เข้าไปจัดการล้างหน้าทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ กลับออกมาเห็นรุ่นพี่ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม เขาจึงหยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์เปิดประตูออกไปจากห้อง พลางส่งข้อความหารุ่นพี่อาโอกิ
“อยู่ห้องอาหารชั้นหนึ่ง”หลังอ่านข้อความตอบกลับ เขาจึงกดลิฟท์ลงไปชั้นห้องอาหาร เปิดประตูเข้าไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ มองเห็นหนุ่มรุ่นพี่จับจองโต๊ะที่นั่งมุมหนึ่ง ฮารุโตะเดินตรงเข้าไปหา
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อืม อรุณสวัสดิ์ ลงมาคนเดียวหรือ”
“ครับ เห็นรุ่นพี่ชิมิซึยังไม่ตื่นเลยไม่อยากปลุก”
“คูปองอาหารเช้าน่าจะอยู่ที่ซากิ ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้ไปก่อน”
“ไม่เป็นไรก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับขึ้นไปเอา”
“ไม่เป็นไรหรอก ของเรียวตะกับเอคิจินั่นแหละ ว่าแต่นี่ สบายดีแล้วใช่ไหม”
ฮารุโตะยกยิ้มแหยๆ “ยังมึนๆอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม”
นาโอโตะหัวเราะ “นั่นสิ เป็นครั้งแรกที่ดื่มเยอะขนาดนี้นี่นะ เอ้าลองไปเดินหาซุปร้อนๆมาทานดู จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น”
เขาจึงลุกขึ้นไปหาซุปร้อนๆตามที่รุ่นพี่บอก นั่งละเลียดทานของอุ่นๆไปจนหมดถ้วยอาการผะอืดผะอมจึงค่อยทุเลาลง พร้อมกับความหิวที่ทวีความรุนแรงขึ้น เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบจานเตรียมหาอะไรที่หนักท้องมาทานต่อไป ขณะกำลังสอดส่องสายตาเลือกอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ฝ่ามืออุ่นร้อนและเสียงคุ้นเคยพลันมากระซิบข้างหู กระนั้นฮารุโตะก็ผละตัวออกห่างเล็กน้อย
“จะลงมาไม่มีโทรตามอ่ะ ทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง”ทาคุมิแกล้งบ่น
“ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นหรือยัง เดี๋ยวจะเป็นว่าโทรไปกวนอีก”ฮารุโตะบอกก่อนจะถือจานกลับมาที่โต๊ะ ทาคุมิจึงคว้าจานมาตักโน่นตักนี่ และเดินกลับมาที่โต๊ะบ้าง เขาเอ่ยปากทักทายรุ่นพี่ทั้งสองคน พร้อมกับนั่งลงข้างฮารุโตะ ระหว่างทานอาหารก็คุยกับรุ่นพี่ไปพลาง
ชิมิซึ ซากิบังเอิญเจอฮายาชิ เรียวตะและโมริ เอคิจิในลิฟท์สองคนนั้นแบกกระเป๋ากล้องและอุปกรณ์มาพร้อม เมื่อเจอเขาที่เดินออกจากห้องมาตัวเปล่าจึงถามด้วยความแปลกใจ
“แล้วกล้องแกละ จำได้ว่าเมื่อวานแกก็ไม่ได้เมามากนะเว้ย หรือฉันไม่ได้บอก”
“อ่อ ลืม”
“ลืม? ลืมที่ฉันบอกแก”
“ลืมเอากล้องลงมาด้วย”
“ขึ้นไปเอาก่อนไหม ทั้งเรย์ นาโอโตะ ฮารุจังแล้วน้องพูดมากก็อยู่ที่ห้องอาหารหมดแล้ว”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง
“เด็กนั่นอยู่ที่ห้องอาหาร?”ซากิตวัดสายตากลับมามองเพื่อนพร้อมคำถามเสียงเย็น แต่อย่างเรียวตะรึจะรู้สึกรู้สา เขาหัวเราะและถามกลับไปว่า “เด็กนั่นหมายถึงไอ้น้องพูดมากน่ะเรอะ”
“แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร”
“อ้าว อย่างนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แกนอนห้องเดียวกันแท้ๆ”
ซากิพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด จนเอคิจิต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ เมื่อลิฟท์หยุดลงและประตูเปิดออก เอคิจิผลักร่างสูงใหญ่ของเพื่อนสนิทออกไปยืนข้างนอก พร้อมบอกว่า “อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก แล้วก็กลับขึ้นไปเอากล้องมาด้วย ทานอาหารเช้าเสร็จจะได้ออกไปเลย”
เขารัวนิ้วลงบนปุ่มเพื่อเรียกลิฟท์กลับไปยังชั้นที่พัก มันน่าหงุดหงิดน้อยเสียเมื่อไหร่ นอนอยู่ด้วยกันแท้ๆจะไปไหนก็ไม่ยอมบอกกล่าว ต่อให้เขาหลับถ้าจะปลุกขึ้นมาซักหน่อย เขาก็ไม่ได้ว่าหรอกนะ ว่าแล้วก็รัวนิ้วบนแผงควบคุมลิฟท์อีกครั้งราวกับว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ความหงุดหงิดที่มีอยู่จางลงได้
ที่สำคัญเมื่อมาถึงห้องอาหาร ไอ้เด็กพูดมากยังมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ที่นั่งของเขาอีก ซากิจึงยิ่งอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้น แต่อาการของเขาในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครให้ความสนใจ จะมีแต่เด็กนั่นที่พอเห็นหน้าเขาก็ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจาเหมือนจะรู้ว่าตัวเองทำผิด ดีเลย หัดรู้ซะบ้างว่าทำให้เขาหงุดหงิด คราวหน้าจะไม่ได้ทำอีก
“หน้าเป็นตูดจนน้องไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว”เรียวตะเอ่ยแซวระหว่างที่พวกเขากำลังเดินถ่ายรูปในสวน กลีบดอกซากุระร่วงปลิวตามลมเป็นสาย แม้จะถ่ายรูปช่วงที่ซากุระบานกันเกือบทุกปี แต่พอเปลี่ยนสถานที่บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป
ซากิยกกล้องขึ้นจับโฟกัสสองคนที่เดินคู่กันอยู่ข้างหน้า ไอ้เด็กพูดมากนั่นหัวเราะคิกคักยามที่หยอกล้อเล่นกับคนของเขา ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำตัวระริกระรี้มากนักไม่อย่างนั้นเขาคงโมโหกว่านี้ เขาปรับเลนส์กล้องให้ทุกอย่างกลายเป็นภาพเบลอ ยกเว้นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่หันมามองทางเขาพอดี และกดปุ่มจับภาพนั้นไว้อย่างว่องไว จากนั้นจึงแสร้งหันไปส่องเลนส์กับอย่างอื่นเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีสงสัย
“มีอะไรหรือฮารุจัง”
เขาไม่ได้ยินเสียงตอบแต่พอจะเดาได้ว่าคนถูกถามคงจะสั่นศีรษะยิกๆตามนิสัย
พวกเขาต้องกลับมาเก็บของก่อนเวลาสิบเอ็ดโมง หลังจากเช็คเอาท์กันเสร็จ นาโอโตะเดินนำพาเข้าแวะร้านอาหารที่จองที่ไว้แล้วเพื่อทานข้าวเที่ยงก่อนเดินทางกลับ ซึ่งสรุปกันว่าขากลับที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนนี่สถานีอากิฮาบาระจะแวะเดินเที่ยวก่อนกลับ
ชิมิซึ ซากิคิดแผนเดินเที่ยวแถวอากิฮาบาระมาหลายอย่าง แต่อาจจะต้องโยนแผนการณ์ที่ว่าทิ้งไป เพราะคนที่ต้องการเดินเที่ยวด้วยยังไม่ยอมเข้าใกล้เขาเสียที
“รู้จักคำว่าง้อไหมเนี่ย”เรย์ที่นั่งอยู่อีกเบาะยื่นหน้ามากระซิบ
“อ่อ เพราะทะเลากับน้องเขาอยู่นี่เอง แกถึงเด้งมานั่งคู่กับฉัน”คนพูดชื่อมาซามุเนะ โทรุเรียนอยู่ชั้นปีและคณะเดียวกันกับเขา
“ทะเลาะกันเสียที่ไหน มันโมโหใส่น้องเขาไปฝ่ายเดียว น้องเขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”เรียวตะที่นั่งอยู่เบาะหน้ายังอุตส่าห์เอี้ยวหน้ามาคุย
“เฮ้ย แล้วยิ่งตีหน้าดุใส่ น้องมันขี้กลัวขนาดนั้นคงยิ่งเผ่นหนี โธ่! นึกว่าเพราะเพื่อนมาเที่ยวด้วยเลยไปทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เสียอีก”โทรุยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงขบขันกึ่งสงสาร ยกมือตบไหล่ของซากิป้าบๆคล้ายเห็นใจ คนที่หงุดหงิดอยู่แล้วจึงยิ่งโมโหเพิ่มขึ้น หน้าหงิกเสียจนเรียวตะหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่
ซากิอารมณ์ร้อนขี้หงุดหงิดโมโหง่ายก็จริง แต่เพราะเป็นคนปากหนัก มือหนักเท้าหนัก อาการฉุนเฉียวจึงออกแค่ใบหน้า ไม่พอใจมากๆเข้าก็ลงมือเสียที
“เหวอ!!!!!”เรียวตะโยกตัวหลบ เมื่อมือใหญ่ของเพื่อนสนิทตั้งใจโบกศีรษะเขาแบบเน้นๆ แต่เพราะสถานที่คับแคบการโยกหลบของเขาเลยไปกระแทกกับเอคิจิเต็มๆ จึงถูกจัดเน้นๆอีกครั้งจากคนที่นั่งอยู่คู่กัน
“เล่นพอหรือยังว่ะ”เอคิจิขมวดคิ้วลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ซากิจึงอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด คนเริ่มประเด็นจึงบอกซ้ำว่า
“ง้อไปซะก็หมดเรื่อง”
“โถ่... มันเคยง้อใครที่ไหน ผู้หญิงคนไหนงอนมันก็ทิ้งเขาเลยทั้งนั้น”เรียวตะยังไม่เข็ด เขาพูดแซวอย่างคะนองปาก โทรุจึงบอกวิธีแก้ให้อย่างง่ายๆว่า
“ไม่ต้องไปง้อหรอก ไม่ได้โกรธกันไม่ใช่หรือ แค่เดินเนียนเข้าไปคุยด้วยก็พอ”
“แล้วเลิกตีหน้ายักษ์ได้แล้ว”เอคิจิโน้มตัวมากล่าวเสริม
แน่นอนว่าไม่มีเหตุที่เขาต้องไปง้อเสียหน่อยแต่วิธีของโทรุก็นับว่าไม่เลว
เมื่อลงจากรถไฟที่สถานีอากิฮาบาระ บางคนเอาสัมภาระของตนเองไปฝากเก็บไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ บ้างแยกไปดูของที่ตัวเองสนใจ ซากิเดินตามรุ่นน้องสองคนที่สะพายเป้หลังชี้ชวนกันไปเดินดูของ ทาคุมิคงเคยมาเดินเที่ยวแล้วหลายครั้ง จึงเดินเลี้ยวซอยโน้นซอยนี้อย่างคล่องแคล่ว ต่างกับอีกคนที่มองซ้ายมองขวาด้วยอาการตื่นเต้น
พวกเขามีเวลาสองชั่วโมงในการเดินเที่ยว เพราะฉะนั้น ทาคุมิจึงไปหยุดที่ตู้เกมเป็นหลัก เขายืนมองดูอยู่ห่างๆ ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปคุยอย่างไรดี เนื่องจากแม้รุ่นน้องคนนั้นจะมองโน่นมองนี่อย่างสนใจ แต่ลักษณะอาการบอกได้ชัดว่า เพราะไม่เคยมาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงให้ความสนใจกับทุกสิ่งรอบตัว ซากิเดินตามจนกลับขึ้นรถไฟอีกรอบ กลุ่มเพื่อนเห็นเขาจึงยกยิ้มแซวให้เขาทำหน้าเซ็งใส่ แต่กระนั้นไม่มีใครถามอะไรอีกซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก
ลงจากรถไฟอีกครั้งเมื่อถึงสถานีปลายทาง คราวนี้เขาเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปจนถึงห้องพักของอีกฝ่าย
ฮารุโตะหันมามองเขาบ้างยามที่เขาขึ้นรถบัสคันเดียวกับเจ้าตัว แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ และหันมองพร้อมหยุดเดินอีกครั้งตอนที่เขาเดินตามหลังบนทางเท้าระหว่างทางไปห้องพัก แต่เขาไม่ได้หยุดเดินและเดินผ่านเจ้าตัวไป สีหน้าของฮารุโตะตอนที่เขาเดินผ่านดูตลกดีเหมือนกัน ชายหนุ่มยกยิ้มขำ
เร่งฝีเท้าเดินเพียงเล็กน้อยให้พอพ้นมุมเลี้ยว เขาจึงแอบเข้าข้างทาง ยืนรออีกครู่ใหญ่กระทั่งอีกฝ่ายเดินผ่านไป เขาจึงก้าวเท้าตามห่างๆ คราวนี้หนุ่มรุ่นน้องไปไม่ได้หันหลังกลับมามองเขาอีกเลย กระทั่งถึงห้องพัก ที่เจ้าตัวเพิ่งรู้ว่าเขาเดินตามมา หลังจากหันกลับมาเห็นเขาก็สะดุ้งโหยงด้วยท่าทางตกใจกลัวมากกว่าแปลกใจ จนเขาต้องหลุดหัวเราะอีกรอบ
“ไปอาบน้ำกัน”เขาเอ่ยชวนหลังจากเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเรียบร้อย ตอนนั้น ฮารุโตะที่ยืนมองเขามาตลอดจึงได้หันไปเตรียมของของตัวเองบ้าง และเมื่อยืนมือออกไปเด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงยื่นมือออกมาวางอย่างง่ายดาย ซากิมองมือข้างนั้น แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตามแอบลอบมองเขาอยู่เช่นนั้น แต่อากัปกิริยานั้นยังดูระแวดระวังภัย
เขากระชับมือ กระตุกเบาๆให้ฮารุโตะก้าวเดิน
ระหว่างเส้นทางนั้นยังคงไร้บทสนทนาเช่นเดิม แต่ทว่าตัวเขากลับมีความคิดมากมายในหัว ไฟทางยังคงสว่างไสวเช่นปกติ ต้นซากุระข้างทางผลิดอกสวยไม่ต่างในสวนที่นาโงย่าซึ่งพวกเขาเพิ่งไปดูมา ยามที่ลมพัดกลีบดอกร่วงปลิวลมมองคล้ายหิมะสีชมพู ความสวยงามของธรรมชาติที่มาพร้อมกับอุณหภูมิอากาศที่ค่อยๆอุ่นขึ้น
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
*//
ทาคุมิจะเป็นเพื่อน (จริง ๆ) ของฮารุโตะได้ไหมนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่จากประสบการณ์ของฮารุโตะก่อนหน้านี้ทำเราระแวงอยู่หน่อย
ตอนฮารุโตะล้มในห้องปฏิบัติการนั่นมีคนแกล้งสินะ แกล้งแรงไปไหม ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
รอตอนต่อไปค่ะ
ทาคุมิเป็นเพื่อนจริงๆค่ะ
และเหตุการณ์ในห้องปฏิบัติการนั่นแหละที่เราคิดว่าเหมือนจะไม่สมเหตุสมผล (แต่อยากเขียนถึงไง) เราคิดอยู่นานว่ามันเป็นไปได้ไหมที่โดนกระชากจนล้ม เพราะตามหลักแล้วมันต้องใช้แรงมาก แต่ถ้าคิดในมุมที่ว่าตูข้าหมั่นไส้และเกลียดคุณมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ (มั้ง) ส่วน 'ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ' มันมีค่ะ แต่ไม่มีคนพูด เท่านั้นแล//*