囚牛 ใช่'รัก'รึเปล่า... ผมว่า'ใช่'นะ
เคยมีตำนานกล่าวไว้ว่ามังกรคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในแผ่นดินจีน ทุกคนต่างเคารพบูชา โดยจำแนกมังกรได้เป็น 9 จำพวก... อันประกอบไปด้วย ปี้ซี่ ชือเหวิ่น ผูเหลา ปี้อั้น เทาเทีย หยาจื่อ ซวนหนี เจียวถู และฉิวหนิว โดยมังกรแต่ละตัวจะมีความชอบที่แตกต่างกัน... จึงทำให้สถานที่ที่จะพบเจอมังกรแต่ละตัวนั้นมักจะไม่เหมือนกัน หากแต่แท้จริงแล้ว... มังกรทั้งเก้านั้นต่างก็คือพี่น้องที่กระจัดกระจายกันออกไป มังกรทั้งเก้านี้ต่างออกไปส่งต่อสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังดินแดนต่างๆทั่วชมพูทวีป... จนเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายพันปี...
--------------------------------------------------------------------------------------
‘เรื่องราวของลูกหลานฉิวหนิว มังกรที่ชอบเสียงดนตรี...’
เสียงดนตรีกระหึ่มดัง ร่างทั้งร่างโยกไหวไปต่างแรงอารมณ์มือข้างซ้ายจับคอร์ดกีต้าร์ไฟฟ้าก่อนจะใช้มืออีกข้างตวัดนิ้วขึ้นลงเพื่อทำให้เครื่องดนตรีในมือเกิดเสียง เมื่อท่าทางที่แสนเท่ห์บวกกับรอยยิ้มที่กระชากใจสาวๆเบื้องล่าง ไม่น่าแปลกเลยสักนิดกับเสียงกรี๊ดและเสียงเรียกชื่อของเขาจะดังจนเกือบกลบเสียงดนตรีในผับใหญ่
“มิวสิก!!!! อ๊ายยยยยย!!!!”เจ้าของชื่อโยกหัวตามจังหวะเพลงที่เริ่มเบาลง หยดเหงื่อเกาะพราวตามท่อนแขนล่ำและเสื้อกล้ามแขนกุดสีดำ ที่โผล่รอยสักออกมาจากด้านหลังแขนเสื้อทั้งสองข้าง...
“สวัสดีครับทุกคน... เจอกันอีกแล้วนะครับ ผมโอ้ครับ มือเบสพานครับ มือกลองซีเนียร์และคนสุดท้ายที่ทุกคนรอคอย กีต้าร์ มิวสิกครับผม!!”สิ้นเสียงแนะนำตัวจากนักร้องนำเสียงกรี๊ดยิ่งกระหึ่มดังหลายเท่าจนคนที่ถือครองไมค์ต้องบอกให้ช่วยลดเสียงลง...
“ครับผม... ขอบคุณทุกคนนะครับ ที่ผมบอกให้หยุดกรี๊ดเมื่อครู่ไม่ใช่อะไรนะครับ แต่ผมจะบอกให้ทุกคนเก็บเสียงไว้กรี๊ดในค่ำคืนนี้กับเซอร์ไพรส์ของพวกเรา ผมขอมอบเวทีนี้ให้มิวสิกครับ!”จบคำเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาอีกระลอกจนเจ้าของเสียงกรี๊ดต้องปั้นหน้ายิ้มแล้วส่งเสียงทักทายแฟนๆในขณะที่เพื่อนๆในวงค่อยๆทยอยกันลงไปพักในห้องรับรอง
“สวัสดีครับทุกคน... วันนี้ผมขอเล่นเพลงช้าๆสักเพลงนะครับ...”มิวสิกเปลี่ยนกีต้าร์ในมือเป็นกีต้าร์โปร่งก่อนจะเริ่มดีดมันไปช้าๆ...
“ขอบคุณที่เธอให้ฉันเข้าไป เรียนรู้ในรักครั้งใหม่ อย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้ใจตัวเองว่าฉันรักเธอ...”มิวสิกปราดสายตากวาดมองไปรอบๆทุกคนกำลังสนใจเขา... สนใจในดนตรีที่เขาเล่นและเคลิบเคลิ้มไปกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำมัน... นั่นคือความสุขของเขา...
“แม้ฉันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ทุกอย่าง ก็รักนั้นไม่มีสมการเป็นสูตรสำเร็จให้ใครอยู่แล้ว
แต่ฉันเองก็ยังตั้งใจอยากลองให้รู้ไป...”เขาร้องมันไปเรื่อยๆ และส่งยิ้มไปให้แก่ทุกคน ตั้งแต่เด็กเขาชอบที่จะเล่นดนตรี ชอบเสียงดนตรี ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์หรือเปล่า เพราะทั้งปู่และพ่อของเขาต่างก็ชอบเล่นดนตรีด้วยกันทั้งสิ้น มิวสิกเล่นดนตรีเป็นเกือบทุกชนิดทั้งไทยและเทศ แต่เครื่องดนตรีที่เขาเล่นหลักๆจะเป็นกีต้าร์ซะส่วนใหญ่ เพราะเขาสามารถพกพามันไปได้สะดวกและใช้ทำมาหากินได้บ่อยครั้ง... มิวสิกเล่นเพลงสมการไปเรื่อยๆจนจบเพลง เสียงตบมือและเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาเป็นระยะ เขาขอตัวลงจากเวทีก่อนจะตามไปสมทบกับเพื่อนๆที่ห้องรับรอง ปล่อยให้ดีเจมาทำหน้าที่ของตนเองต่อไป...
“ไงพวก... เอาซะสาวเสียงแหบเลยนะมึง...”โอ้ส่งเสียงหยอก เขาได้แต่ยิ้มรับเพราะกำลังกระหายน้ำอย่างหนัก หลังจากได้น้ำดื่มมาบรรเทาอาการแล้ว มิวสิกก็เดินมารวมกับเพื่อนๆที่
กำลังหารค่าตัวคืนนี้...
“อ่ะนี่ของมึง”ซีเนียร์ดันกองเงินที่วางกองๆกันไว้ให้เขา ซึ่งหลังจากคาดคะเนจำนวนของมันด้วยสายตาแล้ว เขาก็มองทุกคนที่เหลือ
“กูได้มากกว่าคนอื่นอีกแล้วใช่มั๊ยวะ? บอกให้หารเท่ากันไงมึง... ไอ้ซีเนียร์”เขาผลักหัวเพื่อนตัวเองที่คุมตำแหน่งหัวหน้าวงไว้อีกที ซีเนียร์จิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
“ค่าเสียงกรี๊ดไงมึง เอาๆไปเหอะ มึงอยากได้เปียโนหลังใหม่อยู่ไม่ใช่รึไง และที่กูให้มากกว่า นี่ก็ไม่ได้มากกว่าพวกกูเท่าไรหรอก อย่ามาทำตัวเป็นคนดี ไอ้สัด!”ซีเนียร์บ่นกลายๆ เขาเบ้ปากแต่ก็ยอมเก็บเงินเข้ากระเป๋าแต่โดยดี
“เอาล่ะเสี่ยมิวสิก... พาพวกกระผมไปเลี้ยงข้าวเลยครับ! อย่าช้า!”เสียงพาน มือเบสประจำวงที่รอโอกาสอยู่นานพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้วงจังหวะนึงที่ทุกคนต่างสนใจเงินในมือตนเอง และนั่นทำให้อีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันส่งเสียงประสาน
“ถุ้ย!!!”
และมื้ออาหารยามดึกก่อนเข้าบ้านของทั้งสี่ก็คือก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยผับที่เปิดตั้งแต่ 1 ทุ่มยันถึงตี 2 เวลาผับปิด
“เอ้า! บะหมี่ต้มยำสี่ชาม”เสียงเคร้งติดๆกันพร้อมกับกลิ่นน้ำซุปหอมฉุยจนทำเอาพวกเขาน้ำลายสอ ไม่ทันไรตะเกียบที่ถืออยู่ก็พุ่งลงไปจัดการเป้าหมายตรงหน้า ไปถึงสิบหน้าทีเสียงของพานก็ดังขึ้น
“ลุง บะหมี่ต้มยำอีกชามครับ”แล้วเจ้าของเสียงก็ลงไปโซ้ยบะหมี่ในชามต่อโดยไม่สนใจคนรอบข้างเช่นเคย...
ปึก!
แรงกระแทกจากด้านหลังที่ไม่เบานักทำให้มิวสิกยอมผละหน้าขึ้นจากชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อฟังคำของโทษจากอีกฝ่าย
“หึ! พวกนักดนตรีเฮงซวย...”แต่สิ่งที่ได้กลับทำให้เพื่อนของเขาอีกสามคนยืนขึ้นพร้อมกับโอ้ที่นั่งข้างๆเขากระชากคอเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่
“มึงพูดอะไรวะไอ้หน้าอ่อน...”เสียงที่พยายามกดลงต่ำ โอ้เป็นคนที่นับถือในดนตรีมากและเขาไม่ชอบได้ยินใครมาว่าดนตรีที่เขารัก
“ไอ้พวกดีแต่หน้าตา ใช้เป็นแต่กำลังไม่ใช้สมอง”เสียงนั้นยังดังไม่หยุดจนมิวสิกกลัวว่าโอ้จะทนไม่ไหวและซัดกับคนตรงหน้า... ใจเขาไม่ได้ห่วงโอ้เท่าไรหรอกเพราะตัวของมันบึกบึนพอกับเขาอยู่แล้ว แต่คู่กรณีนี่สิ ตัวเล็กกว่าโอ้เกือบครึ่ง ไม่รู้ว่าเคยออกกำลังกายรึเปล่า แถมแค่ถูกโอ้กระชากคอเสื้อก็ต้องยืนเขย่งเท้าเสียแล้ว ถ้าเกิดโอ้ผลักมันขึ้นมาสักที เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้ามันจะกระเด็นไปไกลถึงอีกฝั่งของถนน เขาก็ภาวนาให้โอ้ไม่ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าแล้วกัน...
“มึง!!!”หมัดที่เงื้อค้างถูกหยุดด้วยเสียงๆหนึ่ง...
“บะหมี่ต้มยำได้แล้ว... ถ้าจะชกไปโน่น... สถานีตำรวจ ไปชกให้ตำรวจดูเลย จะได้ไม่ต้องพังของร้านคนอื่น”ลุงเจ้าของร้านพูดเรียบๆดูท่าจะชินกับพวกนังเลงหรือวัยรุ่นขี้เมาที่ชอบมาต่อยตีกันบ่อยๆ โอ้สะบัดข้อมือทิ้งร่างของคนตรงหน้าลงก่อนจะนั่งลงแล้วกินบะหมี่ของชามตนเองต่อ...
“มีน้ำใจเหมือนกันนี่หว่า...”พูดเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง แต่มิวสิกที่อยู่ใกล้ดันได้ยิน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรหันกลับไปสนใจบะหมี่ของตัวเองต่อ... เสียงลากเก้าอี้ครืดคราดก่อนที่เมนูในร้านจะถูกตะโกนสั่งออกไปจากคนด้านหลัง
“เส้นเล็กเย็นตาโฟ ไม่เอาลูกชิ้นครับ”เขาหันไปมอง คนเมื่อกี้ยังไม่ยอมไปไหนอีก... กะจะอยู่รอให้ไอ้โอ้มันโมโหหันไปเอาก๋วยเตี๋ยวราดหรือไงนะ... เขากับเพื่อนๆพยายามกินให้เสร็จเร็วๆ อารมณ์ที่ดีดีถูกกลบมิดด้วยความอารมณ์เสียจากนักร้องนำในวง ไม่นานค่าอาหารก็ถูกเคลียร์วางไว้บนโต๊ะแล้วทั้งสี่ก็เดินออกมา โอ้บ่นพึมพำไปตลอดทางจนซีเนียร์ต้องเตือนสติเพื่อนก่อนจะคลั่งตายขึ้นมาจริงๆ เมื่อถึงป้ายรถเมล์มิวสิกถึงรู้ตัวว่าทำโทรศัพท์มือถือตัวเองหายไป...
“ให้กูโทรเข้าเครื่องมึงให้มั๊ย...?”พานยกมือถือตัวเองขึ้นถาม มิวสิกหยักหน้า พยายามตบกระเป๋ากางเกงและค้นกระเป๋าเป้ตัวเองจนทั่ว...
“ไม่ต้องหาแล้วมึง คนเก็บได้เขารออยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวรีบกลับไปเอาไป...”เสียงพานบอกหลังจากคุยกับคนที่เก็บมือถือเขาได้สองสามคำ มิวสิกเลือกที่จะร่ำลาเพื่อนๆที่ตรงนั้น เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาเดินไปเดินมาเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
“นายๆ”เสียงเรียกทันทีที่มิวสิกเดินไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิม พร้อมๆกับแรงสะกิดที่ไม่หนักไม่เบา เขาหันไปตามแรงก่อนจะพบกับคนตัวเล็กที่หาเรื่องเขากับเพื่อนเมื่อครู่...
“ของนายใช่มั๊ย... โทษนะที่เปิดดูโดยพลการ พอดีเห็นมันตกอยู่เลยจะหาเจ้าของ...”เสียงทุ้มต่ำพูดรัวๆก่อนจะยัดมือถือใส่มือของเขา
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะครับที่เก็บไว้ให้”มิวสิกก้มหัวนิดๆแทนคำขอบคุณก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
“เดี๋ยว!”มิวสิกเอี้ยวตัวกลับไปทางเดิมก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าเลิกลั่ก...
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษที่เรียกนะ”
“ไปเดินเล่นกันหน่อยมั๊ย...”เป็นเขาเสียเองที่เรียกอีกฝ่ายให้ไปด้วยกัน อาจเพราะหน้าตาที่ดูเหงาๆ หรือตัวเล็กๆที่กำลังสั่นน้อยๆ หรือเพราะเขาคือมิวสิก ผู้ที่ไม่ชอบเห็นคนดูถูกดนตรี ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรแต่เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ มือแกร่งจับหมับเข้าที่ข้อมือแล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยลากอีกฝ่ายให้ปลิวตามมาอย่างไม่ยากเย็น
“เฮ้ย! จะพาผมไปไหน ปล่อยเว้ย!”เสียงทุ้มที่ร้องตะแหง่วๆเหมือนแมวตัวน้อยทำเอาเขาหลุดขำมาไม่ได้... มิวสิกอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่เขาเห็นผู้ชายที่เขากำลังลากอยู่เหมือนแมว ทั้งๆที่คำๆนี้ควรใช้กับผู้หญิงด้วยซ้ำไป
“นายชื่ออะไร”มิวสิกเริ่มเปิดประเด็นถาม
“ซอง...”เสียงตอบกลับมาแผ่วเบา เจ้าของชื่ออ้าปากแต่ตากลับจ้องไปที่ข้อมือของตัวเองที่ขึ้นรอยช้ำ ทั้งๆที่มิวสิกมั่นใจว่าเขาแทบไม่ได้ออกแรงบีบเลยด้วยซ้ำ
“ซอง... ซองจดหมาย ซองผ้าป่า หรือซองขาว”มิวสิกถามก่อนจะได้สายตาเขียวปั๊ดที่ตวัดส่งมาอย่างรุนแรง จนเขาอดหัวเราะไม่ได้
“ซอง... Song ที่แปลว่าเพลงน่ะ”คำอธิบายที่ยาวขึ้นทำให้มิวสิกเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น...
“เอ๋... แปลกดีจังนะ ชื่อคุณกับผมมีความหมายแปลว่าเพลงเหมือนกันเลย...”
จบคำสนทนาเพียงแค่นั้นเมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นอีก ระหว่างเขาทั้งคู่มีเพียงความเงียบ จนกระทั่งท้ายที่สุดแล้วคนที่อดรนทนไม่ไหวจึงหันมาตะโกนถาม...
“คุณพาผมมาทำไม? พามาแล้วก็เงียบ ผมจะกลับแล้ว...”หลังพูดจบ ซองก็ตั้งท่าจะเดินออกไปแต่เสียงเพลงที่ดังจากปากทุ้มก็ทำให้เขาต้องชะงักค้างและหยุดฟัง...
“เธอเป็นยังไงฉันอยากรู้... เพราะฉันดูเธอไม่ออก บางทีเธอเป็นเช่นหมอกขาว และบางคราวเธอเป็นเหมือนควัน ฉันนั้นชักไม่มั่นใจ...”มิวสิกหันมาจ้องหน้าซองและซองก็จ้องหน้าเขากลับ... ชั่วครู่หนึ่ง ดูเหมือนซองจะเป็นคนที่มีความอดทนได้ไม่นานนัก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปนั่งกับพื้นหญ้า โชคดีที่แถวนี้เป็นสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ทำให้น้ำค้างไม่แรงเท่าที่ควร... มิวสิกนั่งลงข้างกันก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก
“เรามาเล่น 10 คำถามกัน... ผมเริ่มก่อนนะ คุณอายุเท่าไร”เหมือนอีกฝ่ายจะพอเข้าใจ เมื่อมิวสิกถามคำถามแรกไป อีกฝ่ายที่พร้อมก็ตอบแล้วสวนคำถามกลับมาทันที
“28 คุณมายุ่งกับผมทำไม”
“ผมสงสัยคุณ คุณทำไมถึงไม่ชอบนักดนตรี”
“ผมมีปมเกี่ยวกับดนตรี ทำไมคุณถึงเป็นนักดนตรี”
“ผมชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ปมคุณใหญ่ถึงขนาดเกลียดนักดนตรีทุกคนเลยเหรอ”
“ใช่ คุณต้องการอะไรจากผม”
“ผมอยากให้คุณชอบดนตรี คุณเล่าเรื่องปมให้ผมฟังได้มั๊ย”
“ครอบครัวผมถูกพวกรถนักดนตรีที่เมาปาดหน้าจนรถคว่ำตายทั้งหมด คุณพอใจหรือยัง”
“ยัง... ตอนนี้คุณอยู่ตัวคนเดียวสินะ”
“ใช่ ผมเกลียดคุณ”
“ยินดีครับ ครบสิบคำถามพอดี ขอบคุณนะครับที่ยอมเล่นกับผม”มิวสิกดึงหน้าเช็ดหน้าแล้วส่งให้อีกฝ่าย
“เช็ดน้ำตาหน่อยครับ ขอโทษทีที่ผมไปถามคำถามแทงใจดำคุณอย่างนั้น... แต่นักดนตรีไม่ได้ไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นทั้งหมดหรอกนะ คุณไม่น่าเหมารวมพวกเราทั้งหมด...”มิวสิกอธิบาย ซองเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะพยักหน้ารับ
“ผมรู้... แต่ผมทำใจไม่ได้ ผมไม่ได้อยากเกลียดพวกคุณ แต่ผมอยากหาใครมารับผิดชอบในเรื่องนี้บ้างก็เท่านั้น...”ซองว่า ที่จริงชื่อซองของเขา มันก็มาเพราะว่าแม่กับพ่อของเขาชอบฟังเพลงมาก และตัวเขาเองก็ชอบฟังเพลงมากเช่นกัน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นทำให้เขาเลิกฟังเพลงเลิกไปที่ไหนที่มีดนตรี เพราะมันเหมือนกับการไปกระตุ้นความทรงจำแย่ๆขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมรับผิดชอบให้ ผมจะทำให้คุณเลิกเกลียดดนตรีแล้วกลับมาชอบดนตรีอีกครั้ง... คุณน่าจะรู้นะ ดนตรีช่วยเยียวยาจิตใจของเราให้ดีขึ้นไวกว่าอะไรทั้งนั้น...”ซองมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา... ก่อนจะหัวเราะเบาๆ...
“ช่างผมเถอะ เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ... คุณไม่ต้องมารับผิดชอบหรอก ผมอยู่ของผมแบบนี้แหละ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก...”
“หลับตาลงนะ... นะคนดี ขอให้เวลานี้เธอหลับและพักผ่อน กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก... ให้เธอนอน แค่เพียงก่อน ที่ฟ้าจะสาง”มิวสิกดึงมีอีกคนไว้เบาๆก่อนจะร้องเพลงออกมาอีกครั้ง อีกมือล้วงกระเป๋าเป้ข้างกายหยิบเม้าส์ออแกน มันเป็นเครื่องดนตรีชนิดเป่าเครื่องเล็กๆเขาชอบพกมันไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ เพลงๆเดิมถูกเปลี่ยนจากการขับร้องเป็นการบรรเลง... น้ำตาของซองไหลมากกว่าเดิมแต่มิวสิกก็ยังไม่หยุดเป่า... ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้นในขณะที่มือที่จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก็บีบให้กำลังใจไม่ห่าง...
“หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ”มิวสิกเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่จู่ๆก็เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาทั้งๆที่เสียงสั่นเครือ... เสียงทุ้มๆที่สั่นดูน่าสงสาร แต่มิวสิกกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด...
และในค่ำคืนนั้นเองสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าความรู้สึกดีๆก็เกิดขึ้นกับคนสองคนที่ร้องเพลงด้วยกันไม่ห่าง... มีเพียงรอยยิ้ม เสียงดนตรีและเสียงร้องเพลงที่ขับกล่อมบรรยากาศโดยรอบ แซมด้วยเสียงแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่พากันร้องส่งเสียงเป็นระยะๆให้ทั้งสองหยุดฟังและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข...
“ฮัดเช่ย!!”
“ฮะๆ สมควร... ไปร้องเพลงตากน้ำค้างทั้งคืน... ตัวก็แค่นี้ สมควรเป็นหวัด รีบกลับไปนอนพักแล้วอย่าลืมกินยานะ...”มิวสิกสั่งหลังจากที่ทั้งคู่ลงจากรถเมล์ในช่วงเช้ามืดเพื่อกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน
“บ้านพี่อยู่แถวไหนอ่ะ นี้มันแถวบ้านผมเลย”หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนคืน ซองก็ได้รู้ว่าไอ้ผู้ชายตรงหน้าร่างสูงใหญ่นี้อายุน้อยกว่าตัวเองเกือบสามปี หลังจากนั้นเขาเลยบังคับให้อีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่ตลอด
“หลังนั้นอ่ะ หลังคาสีส้ม...”มิวสิกมองตามนิ้วมือที่ชี้ไปก่อนเขาจะอมยิ้มน้อยๆ... หลังจากที่ส่งอีกฝ่ายถึงบ้านแล้วเขาก็เดินไปบ้านหลังถัดไป...
“แล้วบ้านนายอยู่ที่ไหน”เหมือนซองจะเพิ่งนึกได้ แต่มิวสิกยิ้มแล้วชี้ไปในบ้านตรงหน้าที่อยู่ถัดจากบ้านของซองไปหนึ่งหลัง...
“หรือว่ามันคือพรหมลิขิต ที่ใครมาขีดไว้ แต่ก็ทำให้หัวใจ ได้ใช้รักใครสักคน...”มิวสิกหันมายิ้มแบบที่สาวๆเรียกได้ว่าโคตรน่าหลงใหลให้กันคนที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านอีกหลังแล้วผิวปากเดินเข้าบ้านไปแบบชิวๆ ปล่อยให้ใครอีกคนยืนหน้าแดงเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาทั้งคู่จะเดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อมาขึ้นรถเมล์...
‘ผมคิดว่าผมต้องรับผิดชอบพี่อีกเรื่องหนึ่งล่ะ’
‘เรื่องอะไรเหรอ?’
‘ก็ตอนนี้พี่อยู่คนเดียวใช่มั๊ย... ผมจะจีบพี่แล้วก็จะเป็นแฟนกับพี่ให้ได้ พี่จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้อีกแล้ว พี่ว่าดีป่ะ?’
‘บ้า...’
“บ้าไปกันใหญ่แล้วซอง... นายอายุ 28 ปีแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งโดนจีบครั้งแรกสิ”ซองตบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะไขกุญแจแล้วเดินเข้าบ้าน...
“พี่ซอง”เสียงตะโกนจากชั้นสองของบ้านหลังข้างๆทำให้เขาอดเงยหน้าขึ้นไปมองไม่ได้ มิวสิกชะโงกหน้าออกมาหลังจากถอดเสื้อกล้ามออกไปแล้วและพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า
“ที่ผมบอกว่าผมจะจีบพี่อ่ะ... ผมพูดจรองนะ... เตรียมตัวรอตอบรับความรักผมไว้เลยนะพี่”ตะโกนบอกจบก็ผลุบหายเข้าไปในห้องทิ้งให้อีกฝ่ายยืนหน้าเหวอสลับกับหน้าแดงอยู่อย่างนั้นไปอีกพักใหญ่
“จะบ้าเหรอไง...”พึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมา จนเขาต้องรีบหันควับกลับไปมองที่บ้านหลังข้างๆอีกครั้ง ผู้ชายวัยกลางคนกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกต... เขาเตรียมยกมือไหว้
“แย่หน่อยนะ เจ้ามิวสิกนี่มันตั้งใจจะทำอะไรมันจะทำจริงจังตลอด โดยเฉพาะเรื่องความรัก ถ้ามันรักใครมันก็จะรักจริงตลอด เชื้อพ่อมันแรงน่ะ ฮาๆๆ”ว่าจบก็เดินเข้าบ้านไปทิ้งให้คนที่กำลังจะยกมือไหว้ยกมือค้างกลางอากาศพอๆกับปากที่ยังคงหุบไม่ลง...
‘คนบ้านนี้ นี่มัน...’
ดูท่าเขาจะแพ้ทางผู้ชายบ้านนี้ทุกคนเลยแฮะ โดยเฉพาะคนลูก... แล้วแบบนี้เขาจะทนไหวมั๊ยเนี่ย... ทนไม่รับรักเจ้าหมอนั่นน่ะ โอ๊ย! เครียด!!!
--------------------------------------------------------------------------
TALK : คิดว่าจบมั๊ย... จบแล้วครับผม!
ไม่ต้องเรียกร้องเพิ่มเติมเพราะมีลูกหลานมังกรอีกแปดตัวรอคนเขียนอยู่...
เรื่องนี้ดูเรียบๆเนอะ คือสารภาพว่าไม่มีพล็อตอ่ะ แถๆให้จบ
อยากแต่งเรื่อยเปื่อยบ้าง... แต่มันก็ซึ้งนะ คนเขียนแอบซี๊ดน้ำมูกไปหลายที
เรื่องนี้เป็นซีรีย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันนะครับ แต่จะเป็นลูกหลานมังกรเหมือนกันทั้ง9คน
มีพล็อตอยู่บางตัว บางตัวก็ยังไม่มีพล็อตเลย...