ภาค 7 คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
“ทำอะไรอยู่น่ะ” อินทัชเดินนวยนาดลงมาจากบนบ้าน อวดเรือนร่างภายใต้เสื้อยืดที่เริ่มย้วยกับกางเกงขาสั้นที่แสนสั้น สำหรับอยู่บ้าน เห็นพี่ชายกำลังทำหน้ายุ่ง มือก็กดอะไรยุกยิกที่โน้ตบุ๊กส่วนตัว
“หางาน”
คนเป็นพี่ตอบ พลางทำหน้าเครียดกว่าเดิม นี่เขาอยู่บ้านในฐานะคนตกมาร่วมเดือน จนป่านนี้ไม่ว่าจะสมัครงานที่ไหนก็ยังไม่มีใครรับคนไม่มีประสบการณ์อย่างเขาเข้าทำงานเลย
ผู้ชายวัยสามสิบต้นๆ ซ้ำยังไม่ได้ทำงานมาไม่ต่ำกว่าห้าปี ใครจะอยากจะจ้างให้ไปทำงาน จริงไหม
“หาทำไม งานที่เขาจ้างแปลก็เยอะแยะไม่ใช่เหรอ” อินทัชเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำออกมาหนึ่งขวดออกมากระดกเข้าไปทั้งอย่างนั้น
“ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลย แก้วก็มี ทำไมไม่ใช้”
“บ่น”
“ก็มันขัดตา”
“ว่าไง เรื่องงาน” อินทัชรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากฟังคำบ่นของพี่ชายแต่เช้า
“อยากทำงานประจำบ้าง”
“ทำงานที่บ้านไม่ได้เหรอ นี่ไงก็แปลงานเหมือนเดิม อยู่เฝ้าบ้านให้ไทน์ด้วย ดีจะตายไป”
ฉันทัชถอนหายใจ ละสายตาจากหน้าจอมามองน้องสาว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “หนีจากปาลหนึ่ง มาเจอปาลสองงั้นหรือ”
อินทัชชะงักกับถ้อยคำเหนื่อยหน่ายแต่แฝงไปด้วยคำประชด “ขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ไทน์แค่หวังดี ไม่อยากให้เทมส์ต้องเครียดเรื่องงาน” น้องสาวหน้าสลดบอกเสียงอ่อย
“อืม ใครๆ ก็หวังดีกับเทมส์” ฉันทัชบอก “รู้ไหม ความหวังดีมันเหมือนดาบสองคม” มือเรียวสวยปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลงอย่างเบามือก่อนจะลุกออกไป
“เดี๋ยวสิเทมส์ อย่าโกรธกันเลยนะ” อินทัชรีบลุกจากเก้าอี้ เร่งเท้าไปหาพี่ชาย
“ไม่ได้โกรธ” ฉันทัชยิ้มก่อนจะพูดย้ำ “ไม่ได้โกรธจริงๆ ก่อนหน้านี้เทมส์เคยรับความหวังดีเอาไว้เพราะคิดว่าเขาหวังดีกับเรา แต่สุดท้ายก็อดคิดไม่ได้ว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเพื่อตัวเองหรือใครกันแน่”
“แต่ไทน์ไม่เคยคิดไม่ดีกับเทมส์” อินทัชจับแขนพี่ชายเอาไว้แน่น กลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีเข้าห้องนอนเหมือนอย่างเคย
“รู้น่า”
“ถ้ารู้แล้วจะลุกหนีไปไหนล่ะ” อินทัชยังไม่เชื่อ
“จะไปอาบน้ำ” ฉันทัชแกะมือของน้องสาวออก “ตอนบ่ายมีนัดสัมภาษณ์”
“จริงดิ!?”
“ก็ใช่น่ะสิ เนี่ยเขาเพิ่งส่งเมลมาคอนเฟิร์มตะกี้เอง พอดีดราม่าอยู่เลยอยากแกล้งไทน์ต่ออีกหน่อย”
“ไอ้พี่บ้า เทมส์คนบ้าเอ๊ย” อินทัชทุบไหล่พี่ชายเบาๆ ไปทีหนึ่ง โทษฐานทำให้คนสวยเสียขวัญและตกใจ
“ไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อืม เดี๋ยวไทน์ไปส่ง”
...
“คุณฉันทัชกรอกเอกสารเสร็จแล้วใช่ไหมคะ” ฉันทัชสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ มัวแต่ประหม่าที่จะต้องสัมภาษณ์
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าสู่วัฏจักรคนทำงานแบบนี้มานาน ยิ่งการสัมภาษณ์น่ะเหรอ ครั้งสุดท้ายก็ตอนสอบเลื่อนขั้นมาดูแลในส่วนของเฟิร์สคลาสและบิวสิเนสคลาสบนเครื่องบินนั่นแหละ
กี่ปีมาแล้ว?“ใช่ครับ”
“ค่ะ ท่านรองประธาน คุณก้องภพเชิญด้านในค่ะ”
“ครับ”
ฉันทัชลุกขึ้นตามหญิงสาวเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ของอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่เริ่มสมัครงานเขาก็พยายามคิดหาคำตอบดีๆ ไว้สำหรับตอบคำถาม อาทิเช่น
‘ทำไมถึงลาออกจากงานที่ทำอยู่’
‘ระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน ทำอะไรมาบ้าง’
‘คุณคิดว่าคุณมีจุดเด่น จุดด้อยอะไร’
‘เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า’
‘คุณทำอะไรได้บ้าง’เขาไม่มั่นใจว่าคำตอบที่เตรียมมาจะเพียงพอหรือถูกใจคนถามหรือไม่ ดังนั้นเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้งาน
ทว่า ทำไมงานสมัยนี้ถึงหายากเหลือเกิน
แค่ยังไม่เริ่มต้น ฉันทัชก็อยากจะร้องไห้ แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก
ฉันทัชสลัดศีรษะแรงๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อลดความฟุ้งซ่านในสมองของตัวเอง เขากำลังวิตกจริตกับการสัมภาษณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นเกินกว่าเหตุ
“เชิญค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
...
“สวัสดีครับ คุณฉันทัช” ทางนั้นทักทายมาก่อนทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากประวัติการทำงานของเจ้าของชื่อ
“สวัสดีครับ คุณก้องภพ” ฉันทัชยกมือไหว้ ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเห็นหรือไม่
“เชิญนั่งครับ”
“ครับ เอ๊ะคุณ” จังหวะที่เขาตอบ อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษในมือพอดี ทำให้ฉันทัชจึงเห็นใบหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้อย่างถนัด
“เจอกันอีกแล้ว” ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตากระเดียดไปทางตะวันตกแต่พูดจีนคล่องปร๋อคนนั้น
“อ่าครับ”
“นึกยังไงถึงได้มาสมัครงานที่นี่ครับ” ฝ่ายนั้นยิงคำถามแรก
“เอ่อ..” บ้าจริง เขาลืมคำถามนี้ไปเสียสนิท ฉันทัชไม่ได้เตรียมคำตอบนี้เอาไว้
“เรียนตามตรงนะครับ” เอาวะเป็นไงเป็นกัน ฉันทัชคิดอย่างนั้น
“ผมกำลังตกงาน งานอะไรที่พอจะตรงกับสิ่งที่ผมทำได้ ผมก็ยินดีทำหมดล่ะครับ” ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ฉันทัชไม่ได้กล่าว
“พูดตรงดีนี่” ก้องภพยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมถึงลาออกจากงานที่ทำล่ะ จากประวัติ คุณลาออกตั้งแต่อายุยี่สิบห้า แล้วทำฟรีแลนซ์ตลอดระยะเวลาที่เหลือจนถึงปัจจุบัน มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือ?”
ฉันทัชยิ้มเครียด คำตอบที่เตรียมมากระเจิงหนีไปหมด มาถึงขั้นนี้แล้ว ช่างมันแล้วกัน ถือเสียว่ามาลองทดสอบสัมภาษณ์ครั้งแรก
“ขอชี้แจงเป็นข้อๆ นะครับ เรื่องลาออกจากงาน ผมลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานหรือเพื่อนร่วมงานใดๆ” ฉันทัชยิ้ม เรื่องแพรวานับเป็นปัญหาร่วมงานด้วยหรือเปล่า ฉันทัชไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนมักจะตายเพราะความจริง
“ส่วนที่ว่าทำไมผมถึงทำฟรีแลนซ์เพราะว่าอยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อครับ ผมเลยหาอะไรทำอย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“คุณบอกว่าคุณลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว จะว่าอะไรไหม ถ้าผมอยากทราบเหตุผลที่ว่านั้น” ฉันทัชไม่คิดว่าจะมีคนถามตรงๆ แบบนี้ เขาจึงแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีออกไปโดยไม่รู้ตัว
ก้องภพสังเกตเห็นสีหน้าของผู้สัมภาษณ์จึงยื่นทางเลือกให้ “ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ หากคุณลำบากใจ”
“จะมีผลกับการสัมภาษณ์หรือเปล่าครับ”
“ไม่เชิงครับ แต่จะบอกว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ใช่” ก้องภพสบตาเขาก่อนจะพูดต่อ “คนเรามีเหตุผลส่วนตัวหลายอย่างที่จะลาออก แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนนั้น หนักเบาเท่ากันหรือเปล่า”
“ครับ” ฉันทัชคิดว่าตนเองเข้าใจความหมายที่ก้องภพสื่อ
“เช่น เหตุผลส่วนตัวที่ลาออกก็เพราะมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเจ้านายในที่ทำงานหรือฉ้อโกง”
“ผมไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น” ฉันทัชรีบปฏิเสธ แต่ถ้ากับผู้โดยสารนี่คงจะใช้ล่ะมั้ง
“ผมไม่ได้หมายถึงคุณ แค่ยกตัวอย่างให้ฟังถึงเหตุผลส่วนตัว” ก้องภพไหวไหล่เล็กน้อย
“ถ้าคุณได้ฟังอาจจะคิดว่ามันไร้สาระกับเหตุผลที่ผมลาออก”
“เหตุผลก็คือเหตุผล จะอย่างไรก็คือเหตุผล คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร” ก้องภพบอกกึ่งแนะนำ
“ผมลาออกเพราะความรัก”
“ก็ไม่เลวนี่” ก้องภพยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้มีทีท่าหรือสีหน้าดูถูกออกมาให้เห็น
“ครับ?” ฉันทัชแปลกใจไม่คิดว่าจะได้รับฟีดแบ็กแบบนี้จากก้องภพ
“คุณไม่ได้ใช้แค่สมอง แต่ใช้หัวใจกับชีวิตด้วย ก็ดีนะ ไม่แข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ดี”
ก้องภพเอ่ยชม
ฉันทัชทำหน้านิ่งเฉยเพราะไม่แน่ใจกับคำพูดของก้องภพ
“ผมอาจจะพูดคลุมเครือไปหน่อย แต่นั่นเป็นคำชมนะ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วทำไมถึงอยากกลับเข้ามาทำงาน มาใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนล่ะ สมัยนี้คนเขามีแต่ออกไปทำธุรกิจส่วนตัวกันทั้งนั้น”
“คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าล่ะมั้งครับ”
“โอเค คำอธิบายง่ายๆ แต่เข้าใจได้ เอาล่ะ จริงๆ แล้วคุณสมัครเข้ามาในตำแหน่งเกี่ยวกับการแปลหรือล่าม แต่ผมเปลี่ยนใจ จะรับคุณเข้ามาในตำแหน่งเลขาของผมก็แล้วกัน”
“หมายความว่าไงครับ” ฉันทัชยิ่งตกใจ นี่อีกฝ่ายกำลังจะหลอกให้เขาดีใจเก้อหรือเปล่า
“หมายความว่าผมรับคุณเข้าทำงานไง”
“ขอบคุณครับ คุณก้องภพ” ถึงจะดีใจที่ฟลุกได้งานแต่ฉันทัชกลับไม่วางใจ “คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าผมจะทำงานนั้นได้ แล้วอีกอย่าง เอ่อ..ขอโทษนะครับ คุณก็มีเลขาอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ”
ฉันทัชไม่อยากมองโลกในแง่ดีจนเกินไป มีอย่างหรือสอบถามสองสามคำก็รับเขาเข้าทำงานเสียแล้ว จะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ผมรับสมัครตำแหน่งเลขาด้วย คุณคงไม่สนใจเลยไม่เห็นประกาศรับสมัคร”
“อ่าครับ”
“เรื่องงานเลขาจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แต่คุณมีประวัติทำงานบนเครื่องบินต้องเดาใจผู้โดยสารและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อยู่บ้าง งั้นคงเรียนรู้ไม่ยากที่จะเดาใจผมหรือแก้ไขปัญหาหรอก”
“ผมเลิกทำมานานแล้ว คุณแน่ใจหรือครับ” ฉันทัชอยากเขกกบาลของตัวเองนัก ได้งานแล้วแท้ๆ แต่ยังโอ้เอ้หาเรื่องให้เขาเปลี่ยนใจ
“ไม่รู้สิ ผมมองคนไม่ค่อยพลาดหรอกนะ” ก้องภพยิ้มอย่างมีเลศนัยอะไรบางอย่าง
ฉันทัชคิดในใจ ว่าที่เจ้านายในอนาคตของเขาต้องรู้ตัวพอดูล่ะว่าค่อนข้างมีเสน่ห์ไม่น้อยกับเอกลักษณ์ที่แสดงออกมาเหล่านั้น ดูแล้วคงเจ้าชู้ไม่เบา
“คุณคิดว่าผมเรียกคุณมาสัมภาษณ์โดยที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรมาเลยงั้นหรือ ผมเป็นนักธุรกิจ ไม่ยอมเสียเวลาเรียกคนมาสัมภาษณ์พร่ำเพรื่อหรอก ผมจะเรียกเขามาเพราะคิดว่าเขาตรงกับความต้องการของผม”
“คุณเห็นผม?”
“ผมไม่ได้ไปติดตามอะไรคุณหรอกนะ คุณฉันทัช” ก้องภพหัวเราะเล็กน้อย
“เราเคยเจอกันที่ฮ่องกงแล้วผมก็เห็นฝีมือคุณตอนทำงาน ไม่มีอะไรให้กังขา ขนาดประธานหลี่ ยังเอ่ยชม เขาไม่ได้ชมใครง่ายๆ หรอกนะ”
“ขอบคุณครับ” ฉันทัชเพิ่งรู้ว่า ชายสูงอายุท่าทางใจดี กับเด็กคนนั้น แซ่หลี่
“จะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”
“ครับ?”
“มาเริ่มเร็วหน่อยก็ดี ผมจะได้ให้เลขาเขาสอนงานคุณได้ทันก่อนที่จะลาออกไป”
“ขอถามได้ไหมครับ ทำไมเขาถึงลาออก”
“ไม่ใช่ความลับอะไร เหตุผลเดียวกับคุณนั่นแหละ ลาออกเพราะความรัก สามีอยากให้อยู่บ้านเตรียมเลี้ยงลูก”
“อ่า..เหรอครับ” ฉันทัชกลืนน้ำลาย นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตอนที่ลาออกไปอยู่ที่บ้าน ช่วงแรกมันก็สนุกดีนะ แฮปปี้ลัลลาเลยล่ะ แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง ถ้าไม่หาอะไรทำจะรู้สึกโคตรของโคตรเบื่อ จนแทบจะหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีค่าเลยล่ะ
“สรุปเริ่มงานได้เมื่อไหร่” ก้องภพถามอีกครั้ง ฉันทัชรีบดึงสติกลับ
“ต้นเดือนครับ” ผู้ว่าจ้างเหลือบวันที่ทางนาฬิกาข้อมือก่อนจะพยักหน้า
“ตกลง”
“ขอบคุณครับ”
ฉันทัชยิ้มให้กับงานใหม่ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
...
“เป็นไงบ้างจ๊ะ หน้าตาสดใสเชียว” คุณหญิงกิ่งกานต์ทักทายอดีตคนรักของบุตรชาย ถึงความสัมพันธ์ของคู่นั้นจะเปลี่ยน แต่สำหรับคุณหญิงแล้วฉันทัชก็ยังเป็นเหมือนลูกชายเธออีกคนหนึ่ง
คุณหญิงกดรีโมทปิดจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า หมายจะคุยกับฉันทัชให้อิ่มจุใจ
“ข่าวสมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ มีแต่ฆ่ากันตาย”
“ใครฆ่ากันตายครับ” ฉันทัชเออออ ถือโอกาสหาเรื่องคุยกับอีกฝ่าย
“แม่ก็ไม่รู้หรอกจ้ะ ก็ฟังไปเรื่อย เสี่ยสักคนนี่ล่ะยิงผู้หญิงคนหนึ่งตาย”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
“เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ล่ะจ้ะ คนหนึ่งขอเลิกอีกคนไม่ยอม ตกลงไม่ได้ อะไรเทือกๆ นั้น” คุณหญิงกิ่งกานต์ส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอาใจ
“แค่นั้นก็ถึงกับยิงกันทีเดียว” ฉันทัชกลืนน้ำลาย แค่นี้ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกัน
“จิตใจโหดเหี้ยมกันเหลือเกิน” คุณหญิงจิบน้ำชาเสียอึกใหญ่
“แล้ววันนี้ไปไหนมาหรือ แต่งตัวดูเป็นทางการเชียว หรือว่าไปทำงานมาจ๊ะ”
“ไปสัมภาษณ์มาครับ”
“อ้อ งั้นเหรอ รู้ผลแล้วหรือยัง” เธอถามด้วยความสนใจใคร่รู้
“ครับ เทมส์ได้งานทำแล้ว”
“ดีใจด้วยนะจ๊ะ จะไม่เหนื่อยไปใช่ไหมลูก ไม่ได้ทำงานนอกบ้านมาตั้งหลายปี” คุณหญิงดีใจอย่างที่พูดออกไป แต่ท้ายประโยคพลันนึกขึ้นได้จึงบอกต่อด้วยความเป็นห่วง
ฉันทัชส่ายหน้าเป็นคำตอบ ยิ้มอ่อนโยนมอบให้กับความห่วงใยของคุณหญิง ทั้งที่เขาไม่ใช่ลูกหลานบ้านนี้แท้ๆ เพียงแค่เป็นคนรัก ซ้ำตอนนี้ยังลดความสัมพันธ์เหลือแค่คนรู้จัก กระนั้นมารดาของปาณัสม์ก็ยังใส่ใจถามหาเขา
...
นึกย้อนครั้งแรกที่ได้เจอกัน คุณหญิงกิ่งกานต์ไม่ชอบหน้าเขาอย่างกับอะไรดี เขาที่ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรนัก ต้องนับเลขในใจถึงร้อยต่อด้วยพัน จนเกือบจะถึงหมื่นอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้โต้เถียงอีกฝ่ายกลับไป
“แม่ครับ นี่เทมส์ แฟนผมเอง”
“สวัสดีครับ” ฉันทัชยกมือไหว้มารดาคนรัก
“สวัสดี” คุณหญิงรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ พลางมองฉันทัชตั้งแต่หัวจดเท้า จนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินราวกับตัวเองเป็นสินค้าชนิดหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“ปาล มานี่” คุณหญิงหันไปเรียกบุตรชาย
“ครับแม่?”
“รสนิยมแกเปลี่ยนหรือ แม่ว่าคนที่แล้วดีกว่านี้” นางเปรยตามาทางฉันทัชนิดเดียว ก่อนจะพูดกับปาณัสม์ต่อ
“แม่ครับ” ปาณัสม์มีสีหน้าลำบากใจจังหวะที่หันมามองฉันทัช ปกติแม่ของเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ กับคนก่อนๆ ก็ไม่พูดถึงขนาดนี้ หากไม่ชอบ นางจะทำแค่เมินเฉยปล่อยผ่านไป
คุณหญิงทำอย่างที่ลูกชายคิดจริงๆ นางเดินผ่านฉันทัชไปโดยไม่สนใจ ฉันทัชที่ยืนกำมือแน่นต้องข่มใจเอาไว้เพราะไม่อยากให้ปาณัสม์ลำบากใจ
เขารู้ดี การเป็นคนกลางมันเหนื่อยแค่ไหน
เมื่อกลับถึงบ้านได้ ฉันทัชเริ่มปฏิบัติการณ์โวยวายบ่นกับอินทัชเสียยืดยาว
“เขาไม่ให้เกียรติเทมส์เลย พูดออกมาได้ว่า ‘แม่ว่าคนที่แล้วดีกว่านี้’เหอะ พูดมาได้ยังไง เทมส์ก็ยืนอยู่ตรงนั้นแท้ๆ”
“ใจเย็นก่อน” อินทัชปลอบพี่ชายเสียงหวาน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ไม่ยงไม่เย็นแล้ว เทมส์จะเลิก” ฉันทัชในวัยยี่สิบสามประกาศออกมา
“เลิกเลยเหรอ”
“ใช่ เลิก”
“งั้นก็เลิก” นอกจากอินทัชจะไม่ห้ามแล้วยังยื่นโทรศัพท์ไปให้ฉันทัชอีกด้วย พี่ชายมองโทรศัพท์เครื่องนั้นนิ่งแต่ไม่กล้ารับมันมา “โทรสิ จะได้เลิกให้มันจบๆ”
“ไทน์!”
“เทมส์คบกับปาลนะไม่ใช่แม่เขา” อินทัชถอนหายใจ “อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่แม่เขาไม่ชอบเทมส์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือ ลูกชายเขาคบผู้หญิงมาทั้งนั้น ไม่ตวาดไล่ออกมาก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“แต่เทมส์..” ฉันทัชทำท่าจะเถียงต่อแต่ก็ถูกอินทัชยกมือห้าม
“พอๆ เลิกเถียง รักลูกชายเขา ก็ต้องรักแม่เขาด้วย รู้ไหม”
“แม่เขาไม่ชอบเทมส์” ฉันทัชยังโอด
“ไม่ชอบแล้วไง จะปล่อยไว้แบบนี้หรือ” อินทัชมองฉันทับแวบหนึ่ง “แล้วแต่นะ ไทน์ขอแนะนำนะถึงเขาไม่ชอบ เทมส์ก็ต้องพยายามหน่อย สักวันหนึ่งมันอาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้”
“แล้วถ้าสุดท้ายแม่ของปาลก็ยังไม่ชอบเทมส์ล่ะ”
“เราชาวพุทธ ก็คิดเสียว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมแล้วกัน”
“ห๊ะ!?” ฉันทัชอึ้งในคำตอบของน้องสาว
“อีกอย่างหนึ่ง ห้ามลืม ท่องไว้เลย ห้ามทำนิสัยเสียต่อหน้าเขา ห้ามโวยวาย อย่าบ่นเยอะ ที่สำคัญ อย่าใจร้อน รู้ไหม”
“ทำไมต้องห้ามเยอะแยะขนาดนี้”
“จะไม่ทำก็ได้ ไม่ได้บังคับ นี่แค่แนะนำ เทมส์มีข้อเสีย ใครๆ ก็มีข้อเสีย ถ้าปรับได้ก็ปรับ ถ้าเลิกนิสัยพวกนั้นได้ก็เลิกซะ ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย เข้าใจไหมว่ามันดีกับเทมส์”
“คร้าบบ คุณแม่ไทน์” ฉันทัชประชดเข้าให้ อินทัชส่ายหน้าไม่รู้ว่าพี่ชายตัวดีมันจำแล้วเก็บเอาไปใช้บ้างไหม
...
ฉันทัชคิดถึงเวลานั้นแล้วก็อยากจะขำออกมา ไม่นึกว่าวันนี้ คนตรงหน้าเขาจะดีกับเขามากถึงเพียงนี้ ต้องขอบคุณน้องสาว ขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้
เสมือนว่าเขามีแม่ให้อุ่นใจอีกคนหนึ่ง
“อยู่เล่นกับน้องปัณณ์ก่อนไหม อีกสักพักก็คงได้เวลากลับมาจากโรงเรียน” คุณย่าของเด็กหญิงถาม
ฉันทัชส่ายหน้าอีกครั้ง “อย่าดีกว่าครับ เทมส์ไม่อยากให้หลานมีความหวัง”
“เหลวไหล” คุณหญิงดุ “ถึงจะเป็นเด็กเจ็ดขวบ แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้ความจนแยกแยะอะไรไม่ได้”
ทว่าพอเธอเห็นสีหน้าลำบากใจของฉันทัชจึงเป็นส่ายหน้าออกมาบ้าง “เอาล่ะๆ แม่ไม่บังคับ ยังไม่อยากเจอหลานก็ไม่เป็นไร แต่งานวันเกิดแม่ต้องมารู้ไหม พาไทน์มาด้วย”
“ช่วงนี้ไทน์งานแน่นมากเลยครับแม่ ยังไงเทมส์จะลองถามให้”
“ดีจ้ะ บอกไทน์ด้วย ถ้าว่างก็มาหาแม่ด้วย แม่อยากไปช้อปปิ้ง”
ฉันทัชหัวเราะ “ได้ครับ” เพราะอินทัชเข้าใจรสนิยมด้านแฟชั่นโดยเฉพาะกับสตรีได้ดีกว่าเขา
“ไม่ต้องมาหัวเราะ เราก็ต้องมาด้วย แล้วก็ห้ามหายไป แม่ไม่สนใจหรอกนะว่าจะเลิกกับเจ้าปาลหรือไม่ ยังไงเทมส์ก็เหมือนลูกแม่คนหนึ่ง”
“ขอบคุณครับ” ฉันทัชคร้านจะเถียงถึงเรื่องในอนาคต หากปาณัสม์มีคนรักใหม่ มันคงเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควรเลยล่ะ
คิดถึงเรื่องคนรักใหม่ของปาณัสม์แล้ว ฉันทัชนิ่วหน้าออกมา แม้ว่าจะเป็นฝ่ายเดินออกมาจากอีกฝ่ายเอง แต่ภาพของปาณัสม์กับแฟนใหม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็ต้องยอมรับให้ได้
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” คุณหญิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ปะ..เปล่าครับ
“แม่...”
“คุณหญิงคะ” คุณหญิงกิ่งกานต์ทำท่าไม่ค่อยเชื่อ จังหวะที่กำลังจะซักไซ้ถามต่อก็ถูกแทรกขึ้นมาจากเด็กในบ้านเสียก่อน
“มีอะไรหรือ”
“ของของคุณปาลจะให้เอาไปเก็บไว้บนห้องเธอเลยไหมคะ”
“อืม ขนขึ้นไปเลย มาวางตรงนี้ก็เกะกะเสียเปล่าๆ”
เด็กในบ้านรับคำก่อนจะลุกออกไป สักพักเดียว ฉันทัชก็เห็นคนงานชายอีกสองสามคนขนของที่ว่านั้นขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าวของของปาลหรือครับ ทำไมถึงดูเยอะแยะ อย่างกับย้ายบ้าน” ฉันทัชตั้งข้อสังเกต
“ใช่จ้ะ แม่ให้มันย้ายกลับมาอยู่บ้านเอง คราวนี้ไม่ดื้อไม่บ่นอะไร ยอมกลับมาแต่โดยดี”
“ครับ” ฉันทัชรับคำไม่กล้าคิดต่อว่าเพราะอะไร กลัวจะเป็นการเข้าข้างตัวเอง
“อันที่จริง แม่ให้เจ้าปาลกลับมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเทมส์นะ” คุณหญิงแง้มสาเหตุบางอย่างออกมา
“เพื่อเทมส์?”
“ใช่จ้ะ คอนโดนั่น มันเป็นชื่อเทมส์ไม่ใช่หรือ”
“ครับ แต่คุณแม่เป็นคนซื้อ”
“มันก็ใช่ แต่แม่ตั้งใจซื้อให้เทมส์ตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้วลูก แม่แค่กังวลว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นเทมส์ก็ยังมีคอนโดห้องนั้น”
“ขอบคุณครับ แต่อยู่กับไทน์ก็สะดวกดีครับ ไม่เหงาด้วย” ฉันทัชพูดเพื่อให้คุณหญิงสบายใจ
“เอาเถิดจ้ะ แบบนี้ล่ะ ดีแล้ว เทมส์กลับเข้าไปอยู่ได้ตลอดเวลานั่นแหละ ไม่ต้องกังวล แม่จะให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดบ่อยๆ”
“ขอบคุณครับ” ฉันทัชเลือกไม่ปฏิเสธเพราะรู้จักนิสัยของผู้สูงวัยดี ถ้าหากเธอตัดสินใจไปแล้ว นั่นคือคำประกาศิต
“แม่รู้ว่าเป็นเรื่องของเด็ก คนแก่อย่างแม่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งวุ่นวาย แต่ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก แม่ก็อยากให้เทมส์ลองคิดทบทวนเรื่องเจ้าปาลใหม่อีกครั้งนะลูก” คุณหญิงวางมือบนหลังมือของฉันทัชอย่างอ่อนโยน
“เทมส์...”
“แม่รู้จ้ะ” มารดาของอดีตคนรักเคาะมือเบาๆ บนหลังมือฉันทัชสองสามครั้ง “แม่รู้ว่าเทมส์มีความสุขกับชีวิตในช่วงนี้ดี แม่ผิดที่ไม่เคยอบรมปาลตั้งแต่แรกๆ ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ จนทุกอย่างมันยากเกินที่จะเยียวยา”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ต่อให้ปาลเอาแต่ใจแค่ไหน แต่ถ้าเทมส์ไม่ยอม ใครก็มาบังคับเทมส์ไม่ได้หรอกครับ” ฉันทัชพูดตามที่ใจคิด
“แม่ก็หวังว่าเทมส์จะไม่โทษตัวเองเหมือนกันนะ” คุณหญิงยังเป็นห่วง
“ไม่เลยครับ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เทมส์ก็เลือกที่จะตามใจปาลอยู่ดี”
===================================
ทีแรกจะมาวันอังคาร แต่ว่า เนื่องจากอารมณ์เศร้าจากการดูอนิเมะ ปรมาจารย์ลัทธิมาร บวกกับอารมณ์ที่ฟีลบลู
เขมเลยมาลงนิยายค่ะ (คือมันไม่เกี่ยวเลยนะ แหะๆ)
ตอนนี้พาไปสมัครงานค่ะ ตอนหน้า (วันอังคาร) เขมจะพาไปไหนมารออ่านกันนะคะ
เปิดตัวละครใหม่ ที่ไม่ใหม่เสียที เขาผลุบโผล่อยู่หลายตอนแล้ว กว่าจะมีชื่อได้ก็ผ่านมาหลายตอน
และตอนนี้ไม่มีพระเอก เขมจะเอาปาลไปเก็บไว้ก่อนนะคะ กระแสพระเอกเรามาแรงจริงๆ ค่ะ
อยากเมาท์มากมายเลย แต่กลัวคนอ่านจะบอกว่าเวิ่นเว้อ ฮ่าๆ
ปล 1 ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน ถึงแม้ฟีดแบกจะบอกว่าอยากให้กดชักโครกทิ้งปาลไปเสีย
ปล 2 เขมมีแบบสำรวจเรื่อง LOTTO สื่อรักค่ะ (ไม่ใช่การสั่งจอง) หากสนใจ
จิ้มเลยค่ะปล 3 ตอนพิเศษ LOTTO สื่อรัก ก็ลงเพิ่มด้วยน้า ถ้าใครคิดถึงไอ้น้ำ ก็ตามไปได้เลยค่ะ
ลิงก์นี้เลยค่ะHASHTAG #ภาคต่อของความรัก
ไปคุยกันในทวิตได้น้า เขมอยากเมาท์ อิอิ
Twitter และ
Facebookedit : แก้ไขคำผิดค่ะ ถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ