10
จีบน้อยหน่อยแต่อ่อยหนักมาก
---------------------------------
กว่าจะตื่นมาฟ้าก็มืดแล้ว แต่ที่ข้างเตียงมีโคมไฟดวงหนึ่งเปิดให้แสงสว่างทำให้ห้องไม่มืดจนเกินไป และไม่สว่างจนรบกวนการนอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเป็นฝีมือของคนตัวใหญ่ที่ลุกจากเตียงออกจากห้องไปตอนไหนไม่รู้
ไม่แค่โคมไฟที่อีกฝ่ายเปิดไว้ให้อย่างใส่ใจ ห้องยังถูกเก็บกวาดเปลี่ยนผ้าปูใหม่ตอนที่ผมคงหลับไม่รู้สึกตัว แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งยีหัวตัวเองแบบไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
แค่ตื่นมาหลังสร่างเมาเหมือนโลกมันหมุนกลับด้านไปหมด ความรู้สึกเสียใจที่อกหักจากน้ำรินยังคงไม่หายไป แต่คล้ายกับถูกเรื่องวุ่นวายที่ตื่นมากลบหายไปจนไม่มีเวลานึกถึง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือคนเดียวที่วนเวียนอยู่แต่ในหัว สลัดยังไงก็ไม่หลุดคือพี่สิงห์ที่แม้แต่ในฝันยังตามติด ไม่ให้เวลาผมได้คิดทบทวนอย่างเป็นจริงเป็นจังสักครั้งเดียว
‘พิสูจน์ชัดขนาดนี้แล้ว ตื่นมาจะปฏิเสธไม่รับผิดชอบพี่อีกไม่ได้แล้วนะ’
พอเริ่มลุกมานั่งคิดจริงจัง สมองบ้าบอดันไม่ใช่นึกทบทวนแค่คำพูดแต่ยิ่งนึกไปถึงการกระทำของพี่สิงห์เข้าซะอีก
โอเค ผมคงอกหักจนสมองกับหัวใจเออเร่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นที่ควรทำคือหยุดคิด
ผมลุกจากเตียงเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ออกมาก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดออก ผมสะดุ้งตัวแข็งเหลียวไปมองอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก พอเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้าห้องมาคือเฮียเสือก็ถึงกับถอนหายใจยาว
“ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยมึง ยังไม่ชินกับห้องใหม่รึไง”
เฮียมันถามเดินมาผลักหัวผมทีหนึ่งแล้วทรุดนั่งบนเตียง ผมเดินไปเปิดไฟในห้อง แล้วเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งที่ตั่งข้างหน้าต่าง แก้ตัวเสียงอ่อน
“ผมพึ่งตื่นน่ะเฮีย เลยยังงงๆ ก๊งๆ อยู่”
“ได้ข่าวเมื่อคืนแรดไปกินยาดองกับไอ้พวกคนงานมา เมาเป็นหมาเลยหนิ”
โปรดอย่าตอกย้ำเรื่องที่ชวนให้ใจบางๆ ของผมเต้นรัวเหมือนกลองเพล้ ก็เพราะแบบนี้ไงเมื่อกี้ตอนประตูเปิดถึงคิดว่าเป็นพี่สิงห์ไม่ใช่เฮียเสือ
แล้วพูดมาขนาดนี้ คงไม่ใช่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปแล้วหรอกนะ ผมพยายามสังเกตสีหน้าเฮียว่ารู้ลึกแค่ไหน พอไม่เห็นว่ามีอะไรมากกว่าหยอกเรื่องเหล้าก็แอบถอนใจ
“อยู่เบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไร คนพามาก็ดันทิ้งไปหาเด็ก ผมก็ต้องหาอะไรทำฆ่าเวลามั้งสิ”
“เด็กเด๊อที่ไหน ใครมาพูดอะไรให้ฟังอย่าไปฟังมาก”
หูย ปฏิเสธเสียงแข็ง หน้านี่ไม่มีพิรุธเลยนะเฮีย
“เด็กปรีย์ไง หรือไม่ใช่?” ยิ่งผมเห็นท่าทางไม่ปกติของเฮียเสือ ผมยิ่งล้อหนักขึ้น
“ปากดี สงสัยพี่สิงห์ดูแลดีเกินไป ผ่านไปวันเดียวท่าทางจะเป็นจะตายเลยหายเกลี้ยงกลับมาปากดีใส่กูได้ แล้วไงยาดองแรงมาก...ปากบวมเชียว”
งานนี้มีสะอึกซิครับ เหมือนโดนเอามีดแหลมๆ มาจิ้มใจดำ
ผมมองดูเฮียอีกที พยายามสังเกตว่าตกลงเฮียเสือรู้หรือไม่รู้เรื่องผมกับพี่สิงห์กันแน่ แต่ไม่รู้ว่าสกิลในการดูคนของผมมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไป หรือเฮียเสือเป็นปกติจนเกินไป ให้ตายก็ดูไม่ออก
“อย่างน้อยก็ดูแลดีกว่าคนบางคนที่ทิ้งผมไว้แล้วกัน” ผมบ่นอุบ
“หราาาาาา” เกลียดความลากเสียงยาวของเฮียมันจริงๆ
“แล้วธุระที่ไร่นั้นเสร็จแล้ว? ถึงกลับมาใส่ใจหลานรหัสหัวเน่าอย่างผมได้” ไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่ลองเฮียแกที่ปกติใส่ใจน้องกับหลานรหัสทิ้งกันไปได้แบบนี้ คงต้องสำคัญมากนั่นล่ะ
“อืม ทางนั้นมีคนกลับมาดูแลแล้ว เลยกะจะกลับมาเก็บซากเด็กหัวเน่าที่ริอ่านกินเหล้าไม่ดูความไก่อ่อนของตัวเอง เป็นไงความรู้สึกของการกินเหล้าครั้งแรก”
...เจ็บตูด
ผมเผลอนิ่วหน้าตอบกลับ ขมวดคิ้วกับน้ำเสียงแซวของเฮียที่เหมือนจะหัวเราะเยาะผมหน่อยๆ เจือความเจ้าเล่ห์ไว้นิดๆ ฟังไม่เข้าหูจนต้องปัดมือที่ยื่นมายีหัวผมจนกระเซิง
ปัง!
“ไปกินข้าว”
คุยกันอยู่ดีๆ พายุก็พัดถล่มห้อง ประตูที่เปิดอยู่โดนมือหนักๆ ของพี่สิงห์ที่หน้าบึ้งอยู่ปากประตูตบอย่างแรง
พี่แกพูดมาแค่สามคำแต่รังสีอำมหิตแพร่กระจาย แถมส่งสายตาคาดโทษมาให้ผมเหมือนหลั๋วจับได้ว่าเมียมีชู้ยังไงอย่างงั้นเลย
สายตากับท่าทางพี่จะชัดเจนไปไหน ตั้งแต่เปิดตัวว่าอยากได้ผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ พี่ก็ชัดเจนซะจนผมไปไม่เป็นเลย
มือเฮียเสือบนหัวผมชะงัก ผมเองก็ผละถอยออกห่างมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้กลัวแต่เกร็งนิดๆ แค่นั้นเอง
พี่สิงห์มาพูดมาส่งสายตาแค่นั้นแล้วก็สะบัดตูดจากไป ทิ้งผมไว้กับเฮียเสือที่หันมามองด้วยสายตาแปลกๆ ผมหน้าเจื่อน ยังไม่ทันจะแก้ตัว เฮียก็พูดลอยๆ ลุกจากที่นอน
“คนอะไรทำตัวเหมือนเป็นผัวเลยเนอะ”
อ๊ากกกกก สาบานได้ว่าเฮียไม่รู้!
ผมเหมือนถูกแช่แข็ง นั่งหน้าตื่นมองเฮียที่หันมายิ้มแล้วชี้ที่คอ แล้วเดินผิวปากออกห้องไป
ไม่ใช่...คงไม่ใช่หรอกมั้ง ถึงจะพยายามไม่คิดถึง แต่ผมก็ตาเหลือกรีบวิ่งกลับไปหน้ากระจก...มันมีจริงๆ รอยดูดดดดดดดดด ไม่ใช่แค่รอยเดียว แต่เต็มคอ!
แผ่นดินเอ๊ย สูบไอ้หลงลงไปที ไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
แต่ถึงยังไงผมก็ซุกตัวหนีหน้าคนอยู่ในห้องไม่ได้นาน เฮียเสือออกจากห้องไปแล้ว พี่สิงห์ไม่รู้เดินมาจากไหน ลากคอผมเดินออกจากห้องไปที่โต๊ะอาหารที่เก่าเวลาเดิม ไม่สนใจว่าผมจะพยายามดึงมือที่ลากตัวออกแค่ไหน ไม่สนใจสายตาล้อเลียนของเฮียเสือที่น่าจิ้มให้บอดด้วย
“ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า”
พอเราสองคนมาถึง เฮียก็ไม่พลาดถามตรงซะจนผมวางหน้าไม่ถูก
“คิดว่าไงล่ะ”
พี่สิงห์ตอบกลับ ยอมปล่อยมือจากออกจากตัวผมจริง แต่กดให้นั่งอยู่ข้างแก ซึ่งก็ฝั่งตรงข้ามกับเฮียเสือนั่นล่ะ
“จริงจังแค่ไหน” อยู่ๆ เฮียก็ปั้นหน้าขึงขังถามพี่สิงห์จนผมที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งแทบร่วงตกเก้าอี้
“จำเป็นต้องบอก รู้แค่สองคนก็พอ กินข้าวได้แล้ว”
กินไม่ลงครับ ถ้าพี่สองคนจะปั้นหน้าจริงจังแล้วจบลงที่เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของเฮียเสือแบบนี้ ใครมันจะไปกินข้าวลง
แล้วอะไรที่ว่า ‘รู้แค่สองคนก็พอ’ คุยกันสองคนแล้ว พี่เคยเปิดโอกาสให้ผมตอบอย่างอื่นนอกจากพยายามล่อลวงให้พยักหน้าคล้อยตามที่ไหนกัน
ผมได้แต่ถอนใจ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างวนกลับไปเหมือนเดิม คือยอมถูกพี่สิงห์ดูแลเอาใจใส่ตักกับข้าวส่งน้ำให้ยิ่งกว่าเมียแห่งชาติ หน้านี่แดงแล้วแดงอีกกับสายตาเฮียเสือที่ล้อเลียนไปตลอดมื้ออาหารที่ผมแทบกลืนข้าวไม่ลงคอ
ที่หมดจานก็เพราะพี่สิงห์ที่สวมวิญญาณหลั๋วในร่างเมียบังคับกลายๆ ทั้งนั้น
“กินเหล้าไหม”
พอมื้ออาหารจบลงแบบที่อาจมีแค่ผมที่นั่งอึดอัดอยู่คนเดียว ปล่อยให้ป้าคำปันกับเด็กในบ้านยกจานชามกลับเข้าครัวจนโต๊ะว่างโล่ง เฮียเสือก็ชวนผมขึ้น แต่ก็เหมือนเดิม...โดนพี่สิงห์สกัดดาวรุ่งกลับไปอย่างไว
“ไม่อนุญาต”
“ผมชวนหลานรหัส เกี่ยวกับพี่ที่ไหน”
“เสือ ดูปากฉัน...ไม่อนุญาตเว้ย”
“พี่ใช้สิทธิอะไรมาห้ามมัน ถามน้องมันก่อนไหมว่าอยากกินหรือไม่อยาก”
เอิ่ม พี่สองคนถามผมสักคำไหมว่าที่เถียงกันข้ามหัวไปมาแบบนี้ ผมโอเครึเปล่า
ผมกลอกตามองบนให้กับสองพี่น้องที่เห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอมาตั้งแต่เริ่มกินข้าวกันแล้ว แต่นาทีนี้เหมือนมีชนักติดหลัง มีปากเสียงมากไม่ได้ เดี๋ยวมันจะย้อนเข้าตัว
“หลง”
ในตอนที่ผมตัดสินใจจะแกล้งทำตัวเป็นอากาศธาตุ ปล่อยให้พี่สองคนมองข้ามหัวต่อไป ระเบิดลูกเล็กก็ถูกโยนมาจากพี่สิงห์ที่เรียกชื่อผมเสียงแข็ง
“คะ...ครับ”
“ได้ยินคำถามไหม”
ชัดเต็มสองหู ผมพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกข้าวเปลือก
“งั้นตอบ”
พี่สิงห์บีบบังคับทั้งน้ำเสียงทั้งแววตาพิฆาตเลย แต่เฮียเสือยังลอยหน้าลอยตายิ้มใส่ตาผม
“ผมอยากคุยกับเฮีย...ตามลำพัง”
ถึงหน้าตาเฮียแกตอนนี้จะดูพึ่งพาไม่ได้ก็เถอะ แต่ขืนยังเก็บๆ อะไรไว้ในใจคนเดียว ผมคงได้เป็นบ้าตายไปก่อนแน่ๆ
ในเมื่อเฮียแกก็ทำท่าเหมือนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับพี่สิงห์ ผมก็ควรปรึกษาเฮียแกไปเลยตรงๆ
“เรื่องอะไร” เสียงกดต่ำของพี่สิงห์บอกชัดเลยว่าท่าทางจะไม่ยอม
“เรื่องที่ผมกำลังสับสนอยู่” ถามมาตอบตรง เหลียวกลับไปมองตอบสายตาดุๆ ของพี่สิงห์ รู้สึกว่าไม่คิดอยากจะยอมอีก
ผมก็อยากมีเวลาคิดทบทวนอะไรๆ เหมือนกัน ไม่ใช่พลาดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ยอมตกอยู่ในสถานะคลุมเครือชวนอึดอัดใจต่อ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองคิดยังไงหรืออยากให้ให้เรื่องนี้มันจบยังไง
“ถามพี่ไม่ได้?”
“ไม่ได้ เพราะนอกจากคำตอบที่พี่อยากฟังแล้ว พี่ไม่ยอมให้ผมตอบคำอื่น”
เหมือนการมีคนที่สามที่ไว้ใจนั่งอยู่ด้วย จะทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น อยากน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าตอบอะไรไม่เข้าหูพี่สิงห์แล้ว ผมจะโดนแกโมโหใส่จนกระโจนเข้ามาขย้ำจับผมเคี้ยวกรุบๆ กลืนลงท้องล่ะ
“แล้วคิดว่าคุยกับเสือมันแล้ว ตอบคำอื่นแล้วพี่จะฟัง”
“ผมแค่อยากได้เวลาคิดทบทวน แค่นี้พี่ให้ผมไม่ได้?” ดราม่ามาดราม่ากลับไม่โกง แถมจะดราม่าให้มากกว่าด้วย
หน้าพี่สิงห์จริงจัง แต่หน้าผมจริงจังกว่าล้านเท่า
“สิบนาที”
เผด็จการก็ยังเป็นเผด็จการเหมือนเดิม ผมเห็นอยู่ว่าตอนลุกจากโต๊ะไปพี่สิงห์ยังส่งสายตาเหมือนข่มขู่เฮียเสือที่หัวเราะส่ายหน้ามองตามหลังไป
“ยาดองคงแรงน่าดู ทำเอาพี่ชายกูสมองกลับไปเลย”
คนเดินไปไกลแล้ว เฮียแกยังหัวเราะไม่หยุด แถมวกกลับมาแซวผมซะอีก
“คงงั้น...” ไม่ใช่แค่พี่สิงห์เถอะที่สมองกลับ ผมเองก็คงไม่ต่างกัน
“แล้วจะยังไงต่อ”
“มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนตั้งตัวไม่ติด ผมเลยไม่รู้ว่าตัวเองจะยังไง แต่เฮียไม่คิดว่ามันแปลกมั้งเหรอ ผมกับพี่สิงห์เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นะ ทำไมไม่เมาแล้วก็แล้วกันไป ต้องมานั่งคุยเรื่องรับผิดชอบไม่รับผิดชอบอะไรพวกนี้ด้วยเหรอ”
“แต่มึงก็ไม่ได้รังเกียจ”
เฮียเสือขมวดคิ้วนั่งมองจ้องหน้าผม ฟังจบก็ถามขึ้นมาคำหนึ่ง เป็นคำถามเดียวกับที่พี่สิงห์ถาม ก่อนจะเกินเลยกันไปอีกรอบทั้งที่ฤทธิ์ยาดองหมดไปนานแล้ว
คำตอบสำหรับผมมันเลยชัดเจนมากซะจนหน้าเปลี่ยนสี ถ้ารังเกียจมันจะมีรอบสามเกิดขึ้นได้ยังไง
“กูว่ามึงได้คำตอบแล้วล่ะ แต่ที่มึงกำลังสับสนตอนนี้เพราะเรื่องระหว่างมึงกับพี่สิงห์มันเริ่มต้นมาแบบก้าวกระโดดเกินไป ที่มึงต้องทำตอนนี้คือเคลียร์ความคิดตัวเองให้ได้ก่อน
ถ้ายังเปิดใจไม่ได้ก็ไม่ต้องพยายามฝืน ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่าพยายามใช้ความคิดแบบคนสมัยก่อนกดดันตัวเองว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเสมอไป สมัยนี้โลกมันเปิดกว้างแล้ว แค่อยู่กับคนคนหนึ่งแล้วสบายใจก็ไม่ต้องสนแล้วว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง”
“เฮียนี่ก็พูดมีหลักการเป็นกับเขาเหมือนกันเนอะ” ผมกะพริบตาปริบๆ นั่งฟังเฮียแล้วแอบพยักหน้าคล้อยตาม
“อ้าวไอ้นี่ เป็นเมียคนแล้วพูดให้มันน้อยๆ หน่อย” เฮียไม่พูดเปล่าดีดหน้าผากเอาซะเจ็บเลย
“เมียบ้านเฮียดิ” ผมนิ้วหน้ากุมหน้าผากงึมงำบ่น
“หรือว่าจะเป็นผัว แต่ไก่อ่อนแบบนี้ไม่น่าจะเป็นได้” เกลียดสายตามองหัวจรดเท้า แล้วหยักคิ้วให้แบบนั้นจริงๆ เลย
“ผมก็เป็นผัวได้ เฮียคอยดูแล้วกัน” ผมฮึดฮัดขัดใจ ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้เฟ้ย
“เออ ก็ดูไม่ได้ไม่ชอบอะไรหนิ” อยู่ๆ เฮียเสือก็ยิ้มกว้างพูดขึ้นมาลอยๆ
“อะไร?”
“เรื่องที่เกิดขึ้นไง คนไม่ชอบจริงๆ เขาไม่มานั่งคิดสับสนแบบที่มึงเป็นหรอก ป่านนี้คงหยิบมีดมาแทงพี่ชายกูไปแล้ว แต่มึงไม่ได้ทำไง แถมยังประกาศว่าจะเป็นผัวให้ดูด้วย หลง มึงลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ ว่าจะยังไงกับเรื่องนี้”
“อืม” ผมก็ไม่ได้รังเกียจความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ น่ะล่ะ ยิ่งได้คุยกับเฮียยิ่งรู้ตัว เลยรับคำไปเบาๆ
“เห็นแก่ที่มึงเป็นหลานรหัส จะบอกความลับให้อย่าง”
“ว่า...”
“ผู้ชายบ้านกูรักแล้วรักเลย ไม่มีเปลี่ยนใจ”
“เกี่ยวอะไรกับผม” ผมโวย
“อ้าว ก็มึงจะมาเป็นพี่สะใภ้กู กูก็ต้องบอกไว้ก่อนไง”
เฮียยังลอยหน้าลอยตาล้อไม่เลิก ได้...ถ้าจะเล่นผมงี้ ผมก็เล่นเฮียได้เหมือนกัน
“งั้นเฮียพาผมไปไร่นู่นหน่อยดิ”
“ไปทำไม?”
“อ้าว ผมก็จะไปกระซิบบอกเด็กปีย์เหมือนกันว่าผู้ชายบ้านนี้รักแล้วรักเลย ไม่มีเปลี่ยนใจ ต่อให้ปากแข็งว่าไม่ชอบหน้าแค่ไหน พอรู้ว่าเขากลับมาก็รีบวิ่งแรดไปหาทันทีเลย”
เห็นหน้าอึ้งๆ ของเฮียเสือแล้ว ผมสะใจชะมัด ผมยักคิ้วหัวเราะใส่แล้วรีบลุกเดินมาก่อนมันจะรู้สึกตัว
“ไอ้หลง!”
เดินมาไกลจนเกือบถึงห้องตัวเอง ก็ได้ยินเสียงคำรามเรียกชื่อผมของเฮียเสือดังลั่น แต่รู้ตัวตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว ผมรีบพุ่งเข้าประตูกะปิดหนีเสือขี้โมโหที่อาจวิ่งตามมาข้างหลัว
เพิ่งพุ่งเข้าไปยังไม่ทันหันมาปิดประตูลงกลอน ก็ชนเข้ากับกำแพงหนาแล้ว กว่าจะรู้ว่าที่ชนถูกไม่ใช่กำแพงแต่เป็นอกหนาของพี่สิงห์ก็โดนกอดไว้ในอ้อมกอดแน่นแล้ว
“พี่สิงห์!”
“นายเสือมันมาเป่าหูอะไรก็อย่าไปฟังมันมาก” คิ้วพี่สิงห์ขมวดเป็นปม สีหน้าเหมือนกับจะกังวลอะไรอยู่
“เฮียบอกให้ผมลองเปิดใจดู”
“อืม คำของผู้ใหญ่ฟังไว้มั้งก็ดี” พี่สิงห์เปลี่ยนสีหน้ากับคำพูดตัวเองอย่างไว
ผมกะพริบตาปริบๆ มองแล้วรู้สึกว่าผู้ชายตัวโตๆ หน้าดุๆ ในตอนแรกเจอก็ ‘น่ารัก’ ดีเหมือนกัน
“ยิ้มเหรอ?”
พี่มันหรี่ตามองจ้องหน้าผมเขม็ง จ้องจนยิ่งยิ้มกว้างถามกลับ พอเลิกสับสนอารมณ์ก็ดีขึ้นมา
“ทำไม ผมยิ้มไม่ได้เหรอ”
“ได้ ยิ้มบ่อยๆ น่ารักดี” มือใหญ่ยื่นมาหยิกแก้มผมเบาๆ อารมณ์มันเขี้ยวแปะอยู่เต็มหน้า
“เวลาพี่ยิ้มก็ดูดีเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมเจอหน้ากันตอนแรกพี่ถึงดุผมจังเลย แล้วดูตอนนี้ดิ...ขยันยิ้มเกินไปแล้ว”
ผมอดไม่ได้ เอื้อมมือไปดึงแก้มของพี่สิงห์คืนมั้ง
“เจอเด็กน่ารักไม่รู้จะทำตัวยังไง เลยเก็กหน้าดุไว้ก่อน”
ไม่แค่พูดเปล่า พี่สิงห์ยังยิ้มกว้างดึงมือผมที่จับอยู่ข้างแก้มไปหอม แถมยังส่งมองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่มอีก
โอ๊ย ถ้าเป็นผู้หญิงจะตัวเหลวละลายอยู่ในกอดนี้ของพี่สิงห์ให้ดู
“พี่สิงห์นี่ขยันหยอดจนเหมือนกำลังจีบผมเลย”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเขิน พอเขินแล้วก็อยากจะหนีไปให้พ้นกอดนี้เร็วๆ แต่พี่สิงห์ไม่ยอมปล่อย ผมเลยทำได้แค่เลี่ยงไปมองพื้นมองเพดานแทน
“ระหว่างเรายังต้องจีบอีกเหรอ”
พี่สิงห์จับคางผมให้หันไปสบตาวิบวับที่มองมา นิ้วเกลี่ยอยู่ที่ริมฝีปากล่างทำเอาผมหายใจลำบาก หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นยังไงไม่รู้
รู้แค่ว่าถ้ายังไม่หยุดสิงห์จอมหื่น เดี๋ยวเรื่องก็วนไปจบลงที่เตียงอีก ตอนนี้ผมทั้งเจ็บทั้งจุกเกินกว่าจะรับไหวแล้ว
ผมรีบดึงมือพี่สิงห์ออก สูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเองหลายครั้งถึงเริ่มต้นถามเรื่องที่คิดมาสักพักแล้ว
“จริงๆ มันควรเริ่มจากจีบล่ะ แต่เรื่องของเรามันออกจะแปลกไปเยอะเลย พี่สิงห์บอกผมได้ไหมว่าคิดยังไงกับเรื่องของเรา จริงๆ แล้วเป็นแค่เมา...เผลอตั...”
“ตั้งใจ” คำตอบสั้นๆ สองคำ สีหน้าพี่สิงห์ไม่กรุ้มกริ่มอีกแล้ว แต่ยิ่งกว่าจริงจัง
และเหมือนจะกลัวผมเข้าใจไม่มากพอ ยังอุตส่าห์ขยายความต่อ “เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยากได้ตั้งแต่แรก ตอนนี้ได้แล้วยังไงก็ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป ต่อให้จะไม่เต็มใจก็จะมัดไว้ข้างตัว ให้ตายยังไงก็ไม่ปล่อย”
เป็นความเผด็จการที่พาให้หัวใจอุ่นร้อนขึ้นมาแปลกๆ ถึงผมจะลงความเห็นว่านั่นเป็นความหวั่นไหว แต่ก็ยังนึกกลัวอยู่
“แต่ผมเพิ่งอกหักมา ยังเจ็บยังสับสนอยู่ เรื่องระหว่างเรามันเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป ผมเลยกลัวว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้มันจะเริ่มต้นผิดไปทั้งหมด อีกอย่างผมก็ไม่เคยกับ...ผู้ชายด้วย ถึงจะไม่ได้รังเกียจแต่ก็กลัวอยู่ดีว่านั่นอาจจะเพราะเสียใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าผมหวั่นไหวให้กับพี่ทั้งที่ยังเคลียร์ความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ผมกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำให้เรื่องระหว่างเรามันแย่ลง”
“ไม่เป็นไรไม่ต้องรีบ พี่รอได้” ไม่พูดเปล่ายังจับหัวผมซบลงกับไหล่ตัวเองซะอีก
ยอมรับว่าทั้งการกระทำและคำพูดนี้ทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นผิดจังหวะไปบ้างเหมือนกัน
ผมเงยหน้ามองพี่สิงห์ที่ยิ้มมองมา แล้วอดไม่ได้จะยิ้มตาม พอเห็นตาพี่สิงห์เป็นประกายขึ้นมาก็ชักรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
ไม่ทันจะผละถอยหนี จูบดูดดื่มลึกซึ้งก็จู่โจมเข้ามาพัวพันจนตัวผมอ่อนเป็นขึ้ผึ้งลนไฟ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ใกล้กันถึงสปาร์คติดกันง่ายขนาดนี้
ถูกจูบจนหายใจไม่ทัน ทุบหลังประท้วงไปเบาๆ พี่สิงห์ก็ถอนจูบออกห่าง ซบตรงซอกคอเริ่มต้นงับผม
“พอแล้ว ผมไม่ไหวแล้ว” ถ้ามีครั้งที่สี่ ผมคงต้องคลานลงจากเตียงจริงๆ
“ใครใช้ให้หลงน่ารักขนาดนี้ล่ะ อยู่ใกล้แล้วห้ามใจลำบากทุกที”
พี่สิงห์ถอนใจยาวยอมซบอยู่ที่ซอกคอผมดีๆ ไม่เลียไม่งับให้สยิวอีกแล้ว
“ตกลงพี่ไม่ได้กำลังสับสนอยู่จริงๆ เหรอ”
“สับสนเรื่อง?”
“ก็ที่ทำแบบนี้กับผมอาจเพราะกำลังหลงไง”
ความหื่นของพี่สิงห์และตัวผมที่โอนอ่อนไปซะทุกครั้งที่เข้าใกล้ ทำให้ผมชักเริ่มสงสัยว่าพวกเราอาจแค่กำลังหลงให้สัมผัสของกันและกัน เลยเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นความหวั่นไหว
“หลง!” ไม่ใช่คำตอบแต่เป็นเสียงเรียกชื่อผมที่ใกล้เคียงกับเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจจนผมหัวหด
ถามแค่นี้ต้องโมโหด้วย
“โอเค งั้นเรามาเริ่มกันใหม่ตั้งแต่ต้น หลงจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าที่พี่เป็นอยู่ตอนนี้แค่อยากได้ตัว” อยู่ๆ พี่มันก็ถอนใจยาว หน้าตาจริงจังมากจนผมกลัวใจ
“พี่จะทำอะไร”
“พี่จะเริ่มจีบไง”
“จีบ!” เมื่อกี้ไม่ใช่บอกว่าเรื่องระหว่างเรามาไกลเกินกว่าจะจีบกันแล้วหรอกเหรอ
“แล้วจนกว่าจะจีบติด พี่จะไม่แตะตัวหลงอีก หลงจะได้เชื่อซะทีว่าที่พี่อยากได้ไม่ใช่แค่ตัว”
พี่สิงห์พูดจบก็อุ้มตัวผมที่ยังนั่งอยู่บนตักลงบนเตียง มองผมด้วยสายตามุ่งมั่นก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ทิ้งให้ผมนั่งกะพริบตาปริบๆ อยู่บนเตียง ให้หัวเหมือนมีเสียงเอคโค่ของพี่สิงห์ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา
‘ที่พี่อยากได้ไม่ใช่แค่ตัวๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ’
คนไม่โง่จนเกินไป ฟังความหมายในประโยคนี้ไม่มีทางไม่เข้าใจ และเพราะเข้าใจหน้าเลยเห่อร้อนแดงไปถึงใบหู หัวใจที่เต้นผิดจังหวะนิดเดียวเมื่อกี้กลายเป็นเต้นรัวเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกแล้ว
การถูกจีบมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง!
--------------------------------------------------------
หลงเอ๊ยเมื่อไหร่หนูจะทันเล่ห์เหลี่ยมพี่ๆ เขา
พี่สิงห์บอกว่าจีบแต่อ่อยน้องหนักมว้ากกกกกมานานแล้วไหม - _ -'