Chapter 27 Lion’s heart
ชื่อของผมคือเร็กซัส ไลโอเนล บุตรชายแห่งตระกูลไลโอเนล ผมไม่ใช่ลูกคนโตของบ้าน แท้จริงแล้วลูกคนแรกของบ้านเป็นธิดานามเรจิน่า (Regina) พี่เรจแก่กว่าผม 2 ปี เป็นหญิงสาวมากความสามารถ นางฉลาด เด็ดเดี่ยว ดุดัน กล้าหาญ และเก่งกาจ พี่มีทุกคุณลักษณะที่จะขึ้นเป็นผู้นำของบ้านคนต่อไป ติดเพียงอย่างเดียวคือการที่นางเป็นธิดา
แม้นางจะมีฝีดาบที่เก่งกล้า หรือสามารถสำเร็จเวทเสริมกำลังได้ตั้งแต่อายุยังน้อยจนล้มอัศวินชายมาถ้วนหน้า นั่นก็ยังไม่เพียงพอทำให้ผู้คนยอมรับนาง ผมให้ความเคารพพี่เรจเสมอ สำหรับผมแล้ว...นางคู่ควรที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไปมากกว่าผมเสียอีก แต่สุดท้ายความคาดหวังเหล่านั้นก็มาตกอยู่ที่ผม ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเกิดมาเป็นบุตรของบ้านนี้
ผมได้รับการฝึกฝนวิชาดาบและเวทเสริมกำลังตั้งแต่เด็ก เรียนรู้กฎหมาย, การปกครองและแผนการรบต่างๆแม้ประเทศจะสงบสุขมานานแล้ว ถูกสอนให้ยกย่องครอบครัว, คุณงามความดี, เกียรติยศและศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด และถูกส่งไปให้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงเช่นเดียวกับบุตรหลานของบ้านอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางและราชวงศ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเพื่อให้เราเรียนรู้กันและกันเผื่อเป็นคู่ครองกันในอนาคตด้วย พวกเราเล่นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
องค์หญิงเดลิเซีย หรือเรียกกันอย่างสนิทสนมว่าเดลซ่า นางอายุเท่ากันกับผม เป็นหญิงสาวสวย มีกิริยามารยาทงดงามสมฐานะเจ้าหญิง แต่ขณะเดียวกันก็ฉลาด ขี้เล่นและไม่ถือตัว อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ว่าชายใดได้เข้าใกล้ย่อมต้องหลงรักนาง แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกใดๆเกินเลยไปกว่าคำว่าน้องสาว
ผมเริ่มรับรู้ความ…แตกต่างของตนเองตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่าทำไมทั้งๆที่ผมสนิทสนมกับนางขนาดนั้น ผมถึงไม่รู้สึกอ่อนระทวย วูบวาบ หรืออะไรก็ตามแต่ตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับความรักให้กับนางเลย จนกระทั่งวันหนึ่งในโรงอาบน้ำโรงเรียนอัศวิน วันนั้นเป็นวันแรกๆหลังเปิดเทอม เด็กชายทุกคนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์กันหมดแล้ว สัดส่วนต่างๆของร่างกายเริ่มเจริญใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆที่ได้รับการฝึกฝนมาเริ่มเป็นมัดชัดเจนขึ้น มันสวยงามและน่าหลงใหลจนทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างจนอะไรที่ไม่ควรจะตื่นตัวกลับแข็งขืนขึ้นมากลางห้องน้ำ ผมนี่หาที่หลบแทบไม่ทัน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน...และทำให้ผมกังวลใจ
ผมถามตนเองว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับผมกันแน่...ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน จะปรึกษาใครก็ไม่กล้า ได้แต่พยายามปรับตัวให้ชินชาไป นานๆเข้ามันก็ได้ผล หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาเริ่มถึกหนาเกินความชอบของผมไปแล้วก็เป็นได้
ช่วงอายุ 17 ปี เป็นช่วงที่ผมอยู่ชั้นปีรองสุดท้ายของการเรียนอัศวิน ผมปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดเพราะคิดว่าตนเองแปลกประหลาด แต่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดเผยกับเพื่อนในกลุ่มว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกัน และกำลังคบหากับรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ หลายคนตกใจแต่เพราะว่าสนิทกันจึงไม่ก้าวก่ายเรื่องรสนิยมของกันและกัน
ผมตกใจระคนดีใจที่มีคนแบบผมอยู่ด้วย ลึกๆในใจก็มีส่วนอิจฉาที่เขาได้ลิ้มลองความรัก แต่สุดท้ายมันก็กลับตละปัดช่วงท้ายของปี รุ่นพี่คนนั้นสำเร็จการศึกษาแล้วจากเขาไปเพื่อสืบทอดตระกูล เขาทิ้งเพื่อนของผมไปเพื่อแต่งงาน ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าโศกเสียใจขนาดนั้นมาก่อน เพื่อนของผมเสียศูนย์ ทุรนทุรายจนแทบบ้า เพื่อนในกลุ่มต่างปลอบใจเขานานหลายสัปดาห์กว่าจะทำให้เขาตั้งหลักกลับมาได้ แล้วนั่นก็ทำให้ผมได้ตระหนัก...
ผมตระหนักได้ว่าชะตาของผมก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่คนนั้น สำหรับผมแล้วมันยิ่งใหญ่กว่าอีกเพราะต้องแบกชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ไว้ด้วย หากว่าผมทำตามใจของตนเองแล้วคบกับชายที่ผมชอบล่ะก็...เมื่อถึงวันที่ผมรับสืบทอดตระกูลและแต่งงานเพื่อสืบสกุล คนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนที่ต้องถูกทอดทิ้ง ผมจึงตั้งใจจะขุดหลุมฝังความต้องการของตนเองไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วทำหน้าที่ของตนเองต่อวงศ์ตระกูลต่อไป
ช่วงอายุ 18 ปี หลังจบการศึกษาแล้วพวกเพื่อนในกลุ่มต่างพากันไปฉลองพิธีที่เรียกกันว่า “ก้าวสู่ความเป็นชายชาตรี” เป็นพิธีในหมู่อัศวินที่แสดงว่าตนเติบโตจากวัยรุ่นสู่วัยหนุ่มแล้วด้วยการไปเสพสมกับหญิงสาว และหญิงสาวที่ยินยอมง่ายที่สุดนั่นก็คือโสเภณีในซ่อง ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ตอกย้ำสิ่งที่ต้องการปกปิดนั้นลงไปอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะตะขิดตะขวงใจที่ต้องเสพสมกับคนที่ไม่ใช่คนรัก หรือการไม่ให้เกียรติหญิงสาวอย่างที่ถูกสอนมาก็เถอะ...
ในเมื่อผมเป็นชายผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำของตระกูล เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ไว้ นี่จะเป็นการทดสอบที่ชี้ว่าผมสามารถทำหน้าที่นั้นได้...
...ทว่าทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า ผมไม่สามารถทำให้ตนเองมีอารมณ์ร่วมได้ ไม่ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะสวยงามหรือรูปร่างดีขนาดไหน ไม่ว่าเธอจะช่วยปลุกปั่นยังไงร่างกายผมก็ไม่สามารถมีอะไรกับเธอได้ ไม่สามารถเสพสมจนสุขกายได้แบบคนอื่นๆที่มาด้วยกัน ด้วยความเกรงใจผมจึงรีบจ่ายเงินแล้วออกมาทันที
“คุณชายไม่มีน้ำยา” พวกเพื่อนมันทักผมแบบนั้นทันทีในวันรุ่งขึ้น โสเภณีคนนั้นคงบอกเล่ากันปากต่อปากว่าผมสามารถมีอะไรกับหล่อนได้
“ไม่ใช่เฟ้ย ครั้งแรกของข้าจะต้องกับคนที่ข้ารักและแต่งงานด้วยเท่านั้น” ผมแก้ตัวด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย ผมอ้างมันหลายต่อหลายครั้งจนพวกเพื่อนผมเลิกล้อไปเอง และมันก็เป็นข้ออ้างที่ใช้หลอกตัวผมเองด้วย
จนกระทั่งอายุ 20 ย่าง 21 ปี ผมได้เป็นหัวหน้าหน่วยของอัศวินหมู่หนึ่ง ปกติแล้วเวลาปฏิบัติภารกิจใดๆจะออกไปเป็นทีม 6-9 คน โดยมีหัวหน้าทีมหนึ่งคน เป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงเพราะต้องดูแลชีวิตคนในทีม ด้วยความสามารถและผลงานของผมทำให้ผมได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ด้วยเหตุที่ประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมเป็นพันธมิตรกันทั้งหมดจึงไม่ต้องออกศึกใดๆ งานของเหล่าอัศวินมักจะเป็นการเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อปราบโจรบ้าง พวกนอกรีตบ้าง บางครั้งก็เป็นพวกมอนสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มักมีผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็กลุ่มสายอาชีพอื่นไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะพรานนักล่า, นักเวทย์, หรือนักบวช ภารกิจจึงมักลุล่วงด้วยความราบรื่น
หลังจากเสร็จภารกิจอันเหนื่อยล้าพวกอัศวินก็ต้องการผ่อนคลาย ในทีมของผมนี่มีแต่ตัวดีทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอายุไม่ห่างกันหรือว่าผมใจดีเกินไป ทำให้ถ้าไม่ใช่เรื่องภารกิจแล้วล่ะก็พวกเขาไม่ค่อยเชื่อฟังผมเท่าไหร่ เจ้าตัวดีพวกนี้มักจะไปหลับนอนกับหญิงสาวตามหมู่บ้านที่เดินทางไปช่วยเหลือ “ก็พวกนางอยากตอบแทนนี่” คือข้ออ้างของพวกเขา พวกนี้เตรียมตัวดีถึงขนาดพกยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ราคาแพงไปด้วยเลยทีเดียว และแน่นอนว่าพวกนี้ต้องชวนผมด้วย…
“โธ่...หัวหน้า สาวๆพวกนี้เขาอยากได้หัวหน้ากันจะตาย สนองให้สักหน่อยจะเป็นอะไรไป เนี่ย...ยากันท้องก็มี รับรองไม่มีหลักฐานมาตามตัวทีหลังชัวร์ ฮ่าๆๆ”
“อย่าให้มันมากนักเจ้าพวกตัวแสบ ถ้าไม่อยากโดนรายงานเบื้องสูงล่ะก็...” ผมขู่ไปแบบนี้ตลอดเพราะยังคงใช้ข้ออ้างเดิมว่าคนที่ผมมีอะไรด้วยต้องเป็นหญิงสาวที่ผมรักเท่านั้น ฉะนั้นแทนที่ผมจะไปร่วมวงคาวกามกับพวกลูกน้อง ผมเลือกที่จะเข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางมากกว่า
“เดี๋ยวทุกอย่างก็ลงตัวเอง เดี๋ยวพอเจอหญิงสาวที่ใช่มันก็ทำได้เอง” ผมบอกตนเองแบบนั้นมาตลอด…
...บอกมาตลอด จนกระทั่งได้มาพบกับคนที่นอนหมดสติในอ้อมแขนของผม...
…………………………………….
ผมเปิดประตูเข้าวิหารมา เดินผ่านทางเดินแคบแล้วก็พบห้องโถงใหญ่ มีเสาหินอ่อนทรงกลมเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับเก้าอี้ยาวทำจากไม้ที่ผุพังล้มระเนระนาดไปทั่ว ด้านในสุดมีแท่นพิธี คาดว่าน่าจะเป็นโถงกลางที่ใช้ประกอบพิธีกรรม
ผมค่อยๆวางรอสลงอย่างนุ่มนวลที่มุมห้อง หาห่อสัมภาระที่ไม่เปียกน้ำมาให้เขาหนุนนอน เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอกใดๆ จึงมอบหน้าที่เฝ้าคนเจ็บให้กับฟรีด ก่อนที่จะปลีกตัวไปสำรวจความปลอดภัยของที่พักรวมถึงหาของที่ยังพอใช้การได้อยู่มาอำนวยความสะดวก
โครงสร้างของอาคารโดยรวมยังสมบูรณ์แต่สภาพทรุดโทรมไปเพราะขาดการดูแล เฟอร์นิเจอร์ไม้ผุพังไปตามกาลเวลา มีทางเดินแยกไปยังปีกซ้ายและขวาของวิหาร ที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก สังเกตได้จากทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปจนลับตา ผมจึงเลือกสำรวจห้องเล็กห้องน้อยที่อยู่ห่างไปไม่มาก
ผมค้นเจอห้องที่น่าจะเป็นห้องปฐมพยาบาลเพราะมีซากเครื่องไม้คล้ายเตียงวางเรียงรายอยู่ ในห้องพอจะมีฟูกที่ยังใช้การได้อยู่ ผมจึงเลือกเอาเท่าที่จะขนได้ไปปูทับด้วยถุงนอนให้รอสนอนพัก
แม้จะอยากเอนกายล้มตัวนอนเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าแต่ก็ยังทำไม่ได้ สภาพเนื้อตัวของเราสองต่างก็ดูไม่ได้ เสื้อผ้าของเจ้านี่เปียกชื้นและเลอะคราบเมือก ส่วนชุดผมก็ชุ่มไปด้วยน้ำ ข้าวของที่อยู่บนตัวฟรีดก็พอๆกัน
โชคดีที่ไปเจอบ่อน้ำบาดาลเข้าจึงตักน้ำขึ้นมาเพื่อนำมาทำความสะอาดเนื้อตัว ผมหาผ้าสะอาดชุบน้ำเพื่อที่จะเช็ดตัวให้รอส ชุดเขาสกปรกมากแถมตัวก็ร้อนเหมือนเป็นไข้ ทว่าทันทีที่ลอกเขาออกจากชุด...หัวใจผมก็เต้นแรง ผิวขาวเนียนน่าสัมผัสเป็นลอนเป็นลายตามกล้ามเนื้อที่กระชับได้สัดส่วน ไม่ได้ผอมแห้งแบบพวกนักเวทย์ และไม่ได้หนาเตอะแบบพวกอัศวิน ผิวเนียนที่ผมได้จาบจ้วงสัมผัสไปแล้วครั้งหนึ่ง...
“เลิกฟุ้งซ่านได้แล้วหน่า” ผมส่ายหน้าเตือนตัวเองเบาๆก่อนที่จะเตลิดไปไกล รีบเช็ดตัวให้เขาจนสะอาด...ทุกซอกทุกมุม
“นี่มันสัญลักษณ์เดียวกับวาเรเรี่ยนเลย” ผมพินิจลวดลายอักขระคล้ายรูปมังกรนอนขดตัวที่หลังมือขวาของเขา ผมจำได้เรือนลางว่าเคยเห็นมันที่แขนของรุ่นพี่คนหนึ่ง
วาเรเรี่ยน เขาแก่กว่าผม 2 ปี เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเดรโกนัส ผมจำได้ดีว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนร่วมกับลูกขุนนางคนอื่นๆ เขาเป็นอัจฉริยะด้านการใช้เวทมนต์ เป็นคนหัวร้อนง่าย รักพรรครักพวก เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนที่ดี ทว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากกลับจากการศึกษาต่อตามธรรมเนียมของตระกูลฝั่งนั้น และยิ่งเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเมื่อน้องชายคนเล็กของบ้านเสียชีวิตลง เป็นข่าวอันหน้าเศร้า
“ทำไมเจ้าถึงมีรอยนี้ได้” ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเห็นมันบนตัวเขามาก่อน แต่ก็ละความสนใจไปเพราะสงสัยไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอเขาตื่นก่อนจะดีกว่า
เสื้อผ้าของเขาในห่อสัมภาระเปียกหมด ผมจึงสละชุดสำรองที่ยังแห้งอยู่ให้เขาได้สวมใส่ แม้ความสูงเราจะต่างกันไม่มากแต่ความหนาของร่างกายต่างกันพอสมควร ชุดที่ผมใส่ให้หลวมจนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวๆที่มีรอยแดงจางๆ ไหล่ที่ผมเคยฝังรอยกัดลงไป เลือดในกายผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา ผมรีบจับเขานอนในถุงนอนก่อนที่ผมจะคุมตัวเองไม่ได้
ผมผละตัวออกไปจัดการชำระช้างร่างกายตนเองบ้าง น้ำเย็นๆช่วยดับความพลุ่งพล่านในตัวได้ ผมสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวที่ยังเหลืออยู่ นำเสื้อผ้าไปตากรับแดดยามบ่ายข้างนอก ทาน้ำมันสมุนไพรนวดกล้ามเนื้อเพื่อคลายปวดจากการใช้เวทเสริมกำลัง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนข้างๆเขา สวมกอดเบาๆ แล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“ฮัดชิ่ว !!!” ผมตื่นและจามเมื่อผิวกายสัมผัสอากาศที่เริ่มเย็นตัวลง ถึงผมจะถูกฝึกมาให้ถึกทน แต่สวมแค่กางเกงแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน มองผ่านหน้าต่างของวิหารออกไปก็พบว่าใกล้มืดแล้ว ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของพวกแฟรี่ไกลๆ ผมยืมเสื้อคลุมที่เริ่มแห้งแล้วของเจ้านี่สวมออกไป จะให้เปลือยอกแบบนี้ออกพบพวกหล่อนคงไม่สมควรนัก
“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง” มันเดย์ถามขึ้นขณะที่แฟรี่ตนอื่นๆอีก 4-5 ตนวางกระเช้าผลไม้ลงใกล้ๆ
“ยังไม่ฟื้นเลย แต่น่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว ตัวร้อนน้อยลง หน้าไม่ซีดเแล้ว”
“เขาโชคดีจริงๆที่ได้อยู่กับท่าน ไม่เช่นนั้นคงไม่รอด”
พวกนางสัญญาว่าจะมาอีกทีตอนเช้า ผมกล่าวขอบคุณแล้วนำผลไม้เข้าไปเก็บ
ผมเดินออกไปนอกวิหารอีกครั้งเพื่อเก็บฟืน ค่ำคืนนี้อากาศน่าจะเย็น รากไม้และกิ่งไม้แห้งจากเจ้าโกเลมเป็นวัสดุก่อไฟชั้นดี และระหว่างนั้นผมก็ได้เจอของชิ้นหนึ่ง...มันคือสายหนังรัดข้อมือของรอส แปลกใจพอสมควรทำไมมันถึงมาขาดตกตรงนี้ได้
“มันจะเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่มือเขารึเปล่านะ” ผมพึมพำกับตนเองแล้วเก็บมันกลับมาด้วย
พอกลับเข้ามายังที่พักก็เป็นไปตามคาด รอสนอนสั่นคุดคู้ด้วยความหนาวจากอากาศที่เย็นตัวลง ผมรีบก่อไฟให้เขา นั่งลงเอาหลังพิงกำแพงแล้วจัดท่านอนใหม่ให้มานอนหนุนที่ตัก เอามือลูบเส้นผมสีน้ำตาลของเขาเบาๆ มองเปลวไฟสีแดงที่เต้นระบำไปมาพลางคิดถึงเหตุการณ์ตลอดการเดินทางสองสัปดาห์ที่ผ่านๆมา...การเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของผม
...............................................
ปล. การเรียนของที่นี่จะแบ่งเป็น 5 ระดับ
ช่วงต่ำกว่า 9 ปี ให้ศึกษาเองที่บ้าน
ช่วง 9-12 ปี ทุกคนจะเรียนวิชาพื้นฐานร่วมกัน และมีวิชาประจำอาชีพอย่างเวทมนต์ หรือการต่อสู้เป็นวิชาเลือก
ช่วง 12-15 ปี จะเข้าเรียนตามสายอาชีพที่สนใจ ระดับ Beginner
ช่วง 15-18 ปี จะเรียนเกี่ยวกับสายอาชีพของตนในระดับที่สูงขึ้น ระดับ Intermediate
ช่วง 18+ ปี จะสำหรับคนที่ต้องการชำนาญสายอาชีพของตน ระดับ Advance