Chapter 18
When you come into my world
[Matthew]“นั่งก่อนสิ”
“ครับ”
น้ำเสียงเรียบแฝงความกดดันทำให้ผมเผลอสูดหายใจ พ่อจ้องนิ่งเมื่อผมนั่งตรงข้ามเขา โต๊ะทำงานของพ่อกั้นพวกเราเอาไว้ แต่ไม่กั้นความกดดันที่พ่อแผ่ออกมาสักนิด
สัญชาตญาณผมบอกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
“เอริค คอลลินส์”
“เป็นชื่อที่เพราะดีนะครับพ่อ” ผมยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร แม้จะรู้ดีว่าการแสดงห่วยๆ นี่ไม่มีวันตบตาเสือร้ายแห่งรอสซ์ได้ก็ตาม “ใครเหรอครับ”
“พ่อให้โอกาสแกอีกครั้งแมท…” พ่อถอนใจ ประสานมือวางบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า ผิวหนังเหี่ยวย่นรอบดวงตาที่กระจ่างใสดูขัดกัน พ่อแก่แค่ร่างกาย แต่จิตใจพ่อเต็มไปด้วยพลังน่าเกรงขาม “อย่าฝ่าฝืนคำสั่งพ่อ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”
“โอ้ พระเจ้า ให้ตายเถอะ!” ผมเสยผมตัวเองแรงๆ อย่างหงุดหงิด สบตาพ่ออย่างตรงไปตรงมา “ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวเรา?”
“บางเรื่องให้พ่อจัดการเอง แกทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ”
“ผมเป็นห่วง พ่อรู้หรือเปล่า”
“พ่อรู้” พ่อเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เหมือนพ่อไม่จัดการอะไรเลยใช่ไหม?”
“พ่อน่าจะรู้คำตอบดี” ผมถอนหายใจ “สื่อเล่นข่าวกันใหญ่ ปัญหาไม่แก้ไขสักที เอลตัน มิลาโนเตรียมล้างมือรับช่วงต่อ ส่วนพ่อต้องจ่ายค่าปรับ...ผมรู้นะว่าตระกูลเรารวย แต่ค่าปรับนั่นเราไม่สมควรต้องจ่ายด้วยซ้ำ ยิ่งข่าวออกมา ชื่อเสียงบริษัทเรายิ่งแย่ ความน่าเชื่อถือลดลง หุ้นตกตัวแดงเป็นแถบ ให้ตาย…”
“ทุกอย่างมีทางแก้เสมอ พ่อกำลังแก้ในวิธีของพ่ออยู่”
“ให้ผมรู้ไม่ได้เลยเหรอ มีอะไรที่พ่อปิดบังไว้หรือไง”
ผมตัดสินใจถามตรงๆ พ่อเงียบไป เขาจ้องหน้าผม คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พ่อเหมือนเซบาสเตียน เวลาคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างชอบขมวดคิ้ว ทั้งสองคนเหมือนกันจนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนนอก
“จัดการเรื่องตัวเองไปแมท”
“โอเค ตอบแบบนี้คงจะไม่อยากบอกจริงๆ” ผมยักไหล่
“อย่าแอบจัดการอะไรลับหลังอีก”
“ครับ ผมไม่ทำอะไรก็ได้”
“แมท…” พ่อกดเสียงต่ำ ดวงตาหรี่ลง มันดูอันตราย “รู้ใช่ไหม ว่าพ่อไม่ได้หมายถึงแค่แกคนเดียว”
“...”
“พ่อรู้หมดนั่นแหละว่าพวกแกสองคนรวมหัวกันสืบเรื่องนี้” พ่อว่าเสียงเรียบ ผมไม่ประหลาดใจที่พ่อรู้ ถ้าเขาไม่รู้สิถึงน่าประหลาดใจ “รู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พ่อจะส่งบอดี้การ์ดตามเฝ้าเซ็บ ฝากบอกเขาด้วยถ้าคิดปฏิเสธ เรื่องจะยุ่งยากกว่านี้ เตือนน้องแกซะ ถ้ายังไม่อยากถูกแยกกับไอ้หนุ่มหัวแดงนั่น...คงรู้ดีว่าพ่อไม่ได้พูดเล่น”
“ถ้าแตะต้องแพทริค เซ็บคงไม่พอใจพ่อแน่”
ผมเผลอกระตุกยิ้ม เซบาสเตียนเอ็นดูแพทริคจนผมรู้สึกได้
“พ่อรู้ แต่เซ็บก็ไม่เคยพอใจพ่ออยู่แล้วนี่ ส่วนแก…” พ่อเว้นจังหวะสักพัก มุมปากเหยียดยิ้ม “...บริษัทสาขาต่างประเทศค่อนข้างมีปัญหา ถ้าแกยังขัดคำสั่งพ่อ บางทีพ่ออาจต้องรบกวนแกไปจัดการงานที่นั่น”
ผมกัดฟัน ฝืนยิ้มจนกลายเป็นแสยะ
“ทราบแล้วครับ”
พ่อพยักหน้ารับ โบกมือไล่ผมออกจากห้องทำงาน ทันทีที่หันหลังให้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสีหน้าอีกต่อไป พนักงานที่อยู่บริเวณนี้เมื่อเห็นหน้าผมก็พากันก้มหน้าเดินหลบ เว้นแต่แจสเปอร์ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าผม
“โดนหนัก?”
“โดนขู่หนัก” ผมพ่นลมหายใจ สาวเท้าเดินกลับห้องทำงานตัวเอง “หงุดหงิดเป็นบ้า”
“ดูหน้าก็รู้” เขาแค่นเสียง “บราวน์นี่กับกาแฟดำสักแก้วไหมล่ะ”
เขาเอ่ยปากเสนอเมนูที่ผมชอบทานเวลาเครียด นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้ในสถานการณ์ที่หงุดหงิดสุดๆ จะหาคนรู้ใจผมมากกว่าแจสเปอร์คงไม่มี ผมตบบ่าเขา แจสเปอร์บ่นทันทีที่ผมทำสูทเขายับ
“ได้ก็ดี ขอบคุณ”
แจสเปอร์รับคำหน้าหงิกงอ เขาเดินแยกไป ผมกลับเข้าห้องทำงาน ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ หมุนตัวหันหลังให้โต๊ะ มองออกนอกกำแพงด้านหลังที่เป็นกระจกใสทั้งแถบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ
“ไงเซ็บ...อยากฟังข่าวร้ายไหม”
[Sebastian]
ผมคิดว่าตัวเองมีความอดทนสูงพอสมควร แต่ความอดทนของผมกำลังหมดไป
“เลิกตามสักที”
ผมกดเสียงใส่บอดี้การ์ดชุดดำสองคนที่เดินตามหลังห่างออกไปสามเมตร รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอีกหลายคน...ไม่ต่ำกว่าหก ที่คอยดูผมจากที่ไกลๆ เกือบอาทิตย์แล้วที่พ่อส่งบอดี้การ์ดมาตามดูแลผม มันน่าหงุดหงิดเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะมีใครคอยดูแลทุกฝีก้าวแบบนี้
“ไม่ได้ครับคุณเซบาสเตียน คุณท่านสั่งไว้”
“ให้ตายสิ!”
ผมสบถอย่างหัวเสีย พวกเขาเงียบ ไม่ตอบโต้มากไปกว่านั้น นี่คงเป็นข้อดีอย่างเดียว พวกเขาไม่พูดมาก ทำให้ผมพอจะหลอกตัวเองได้ว่าไม่มีคนคอยติดตาม แต่ถึงอย่างนั้น…
“อ่า เซ็บ…”
“ไม่ต้องไปมอง อย่าสนใจ” ผมพูดดักเมื่อแพทริคเอาแต่เหลือบตามองบอดี้การ์ดด้านหลังผม ไม่กล้าเดินเข้ามาหาหรือทำอะไรอย่างที่เคยทำ นี่เป็นอีกอย่างที่ผมหงุดหงิด แพทริคกลายเป็นแมวยักษ์ตื่นคนตั้งแต่ผมมีบอดี้การ์ดตามติด “แพท มาเร็ว เดี๋ยวไม่ทันนัด”
“สรุปเราจะไปไหนกันครับ คุณยังไม่บอกผมเลย”
“เดี๋ยวก็รู้น่า”
ผมขยี้หัวเขาเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ แพทริคบ่นอุบว่าผมชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ผมเดินนำเขาขึ้นรถ ทันทีที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองคน เจ้าแมวยักษ์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่
“น่ากลัวเป็นบ้า”
“ฉันบอกว่าอย่าไปมอง” ผมสตาร์ทรถ “นายชอบหันไปมองเจ้าพวกนั้นเองนี่”
“ก็พวกเขาจ้องผมเขม็งขนาดนั้น คุณก็รู้เวลามีสายตาใครจ้องมามันอดมองกลับไม่ได้”
“แล้วนายก็เกร็งซะเอง”
“พ่อคุณต้องมีคำสั่งลับให้พวกเขาจับตามองผมแน่ๆ” แพทริคตั้งข้อสังเกต ผมเองก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน “สรุปคุณจะไม่บอกจริงๆ เหรอว่าที่มารับผมวันนี้เราจะไปไหนกัน”
“อยากให้นายเซอร์ไพรส์” ผมลอบยิ้มในขณะหักพวงมาลัยรถไปตามเส้นทางที่คุ้นชิน ด้านหลังคือรถของบอดี้การ์ดที่ขับตามมาติดๆ
“ผมจะหัวใจวายตายไหม”
“แมวมีเก้าชีวิตนี่”
“ตอนนี้เหลือชีวิตเดียว”
“อีกแปดหายไปไหนซะล่ะ?” ผมแกล้งถาม อยากรู้เขาจะตอบกลับมายังไง
“ให้คุณไปหมดแล้ว”
“หึ…”
ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แพทริคดูผ่อนคลายลงแล้ว เขาไม่ถามอีกว่าผมจะพาไปไหน เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ไว้ใจเจ้าของมันมากทีเดียว เห็นทีผมคงต้องให้รางวัลเขาสักหน่อย
“ซะ เซ็บ…”
“ใจเย็น อย่าสั่น”
“ผมคิดว่าผมกำลังจะหัวใจวายตายจริงๆ” เขาหันมองผม หน้าตาน่าสงสารจนอยากดึงมากอดแล้วตบหลังปลอบ “คุณไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่คุณ ผมจะได้แต่งตัวดีๆ กว่านี้”
“นี่ก็ดีแล้ว” ผมตบไหล่เขา ก่อนหน้านี้ผมบอกให้เขาแต่งตัวสุภาพหน่อย หลังเลิกงานแพทริคเลยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ “ลงจากรถเถอะ”
“เซ็บ ผม...คือผม…”
ผมลงจากรถ เดินอ้อมมาประตูอีกฝั่ง เปิดมันและหิ้วคอเสื้อแมวยักษ์ที่พองขนทำตัวเกร็งออกมา เพราะรู้ไงว่าเขาจะเกร็งแบบนี้ ผมเลยไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่ ไม่งั้นแพทริคคงกระโดดหนีผมแน่ๆ
“สูดหายใจลึกๆ เด็กดี มองหน้าฉันนี่แพท” ผมจับคางเขาให้หันมามองผม ดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายกังวล ผมเกาคางเขาเบาๆ เจ้าตัวครางฮือในลำคอ หน้าตาน่าสงสาร “แม่ฉันใจดีนะ”
“เซ็บ” แพทริคเรียกผมเสียงเบา “ถ้าแม่คุณไม่ชอบผมล่ะ ผมไม่มีอะไรเลยนะ เป็นแค่เทรนเนอร์ฟิตเนสธรรมดาๆ ผมไม่มั่นใจ ผม…”
“นายไม่จำเป็นต้องมีอะไร ของพวกนั้นฉันมีอยู่แล้ว” ผมตบบ่าเขาหนักๆ เรียกสติคนที่แพนิคให้กลับมา “สิ่งที่นายจำเป็นต้องมีคือรักฉันให้มากๆ ก็พอ เข้าใจไหม”
แพทริคเงียบไปอึดใจ เขาจ้องหน้าผม แววตายังไม่มั่นใจเหมือนเดิม แต่ไม่แพนิคเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว เขาพยักหน้ารับ ผมเลยยิ้มให้กำลังใจเขาไปทีนึงก่อนเดินนำเข้าไปข้างใน
“คุณเบลกับท่านอื่นๆ รออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ”
“ขอบคุณครับป้าแมรี่”
ผมเดินมาถึงห้องอาหาร เคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วเปิดเข้าไป โต๊ะอาหารตัวยาวถูกตกแต่งอย่างดี แต่มีเพียงห้าที่นั่งปลายโต๊ะเท่านั้นที่มีคนนั่งอยู่ แม่ยิ้มให้ผมจากเก้าอี้หัวโต๊ะ ขวามือแม่คือลุงเบอนาร์ดและอเล็กซ์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม อีกฝ่ายอายุเท่าแมทธิว
“สวัสดีครับ”
“พวกเรากำลังรออยู่เลย” แม่ยิ้ม เบนสายตาไปทางแพทริคที่ยืนแข็งอยู่ข้างผม “สวัสดีจ้ะ แพทริคใช่ไหม”
“ครับ สวัสดีครับ”
“เรียกน้าเบลก็ได้นะ” แม่ผมออกปาก ผมเหลือบมองแพทริค เขาตาโตไปแล้ว
“ฉันเบอนาร์ด ลุงของเซ็บเขา”
“ฉันอเล็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก” อเล็กซ์ยิ้ม ผายมือให้พวกเรา “นั่งก่อนสิ”
ผมลูบหลังแพทริค ให้เขาคลายกังวลก่อนนั่งบนเก้าอี้ติดกับแม่ ตรงข้ามผมคือลุงเบอนาร์ด แพทริคนั่งข้างผม ตรงข้ามเขาคืออเล็กซ์ แม่สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้นำอาหารมาเสิร์ฟ ระหว่างนั้นก็ชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย
“เซ็บพูดเรื่องของเธอให้ฉันฟังเยอะเชียวล่ะแพทริค”
“จริงเหรอครับ” เจ้าแมวยักษ์หูผึ่ง ก่อนรีบสงวนท่าที “อ่า...ขอโทษครับ ผมตกใจไปหน่อย ไม่คิดว่าเซ็บจะพูดถึงผมให้คุณฟังด้วย”
“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน”
“ครับ?”
“เซ็บไม่ค่อยเล่าเรื่องคนอื่นให้ฉันฟังหรอก ยกเว้นคนนั้นจะสำคัญจริงๆ”
“แม่ครับ” ผมแทรกขึ้นมา “อย่าทำให้เขาได้ใจสิครับ”
“เราก็ไปแกล้งน้อง ชอบเขาขนาดนี้จะทำเป็นไม่สนใจทำไม”
“หึ น้องน่าแกล้งกว่าที่แม่รู้อีกครับ” ผมตอบหน้านิ่ง แอบเหลือบตามองแพทริคที่นั่งข้างกัน ใบหูอีกฝ่ายแดงจัด ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
“วิ้ว...หวานกันจังเลยนะ”
“อยากมีบ้างหรือไงอเล็กซ์” ผมเลิกคิ้วถามคนแซว อเล็กซ์เลยหัวเราะหึๆ ตอบกลับมา
“ก็มีอยู่นะ อย่าดูถูกไปเชียว”
“หืม ไม่พามาให้พ่อรู้จักบ้างล่ะ” ลุงเบอนาร์ดหันขวับ “ลูกไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้สักนิด อย่าบอกนะว่าปิดบังพ่อไว้นานแล้ว”
“โอ้ ความลับ
” อเล็กซ์แตะนิ้วกับริมฝีปาก ส่งเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์
“ลูกคนนี้นี่”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายลง ผมนึกขอบคุณอเล็กซ์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศ อาหารและเครื่องดื่มทยอยมาเสิร์ฟจนครบ แพทริคปรับตัวได้แล้ว เขาพูดคุยกับทั้งสามคนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมเห็นอย่างนั้นก็โล่งใจ แพทริคเป็นคนเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว แค่รอบนี้เขากังวลมากเกินไป ผมรู้ดีว่าฐานะตัวเองกับแพทริคต่างกัน และมันอาจข่มเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่อยากให้แพทริคสนใจเรื่องพวกนั้นมากนัก
“นายอดทนเก่งมากแพท ถ้าเป็นฉัน โซลเมตไม่ตอบรับเสียงเรียกตั้งหลายปี คงไม่สนใจแล้ว”
“ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมแพ้ไปก่อน”
“ดีแล้วที่ไม่ยอมแพ้ไปก่อน” ผมพูดขึ้นมา “ขอบคุณที่ทนรอ”
“คนเรามักอดทนเมื่อคนนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับเรา” แม่พูดขึ้น ผมชะงัก มองหน้าแม่ แววตาหม่นลงเล็กน้อยก่อนกลับมาสดใสเหมือนเดิม “แม่ดีใจที่ลูกเจอคนพิเศษของตัวเองเซ็บ”
ผมเองก็อยากให้แม่เจอคนพิเศษของตัวเองเหมือนกัน
มันเป็นแค่ความคิด ผมไม่ได้พูดออกไป
“ว่าแต่…” ลุงเบอนาร์ดเปลี่ยนเรื่อง เขามองแพทริค “เห็นว่าเป็นเทรนเนอร์ใช่ไหม”
“ครับ”
“ฉันค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักนิดหน่อย” ลุงกระแอม “ปรึกษาได้ไหม”
“ได้แน่นอนครับ ไว้ว่างๆ คุณนัดผมได้เลย”
“ตอนนี้ฉันก็เล่นกล้ามท้องอยู่ที่ฟิตเนสนึง” อเล็กซ์เสริม “เทรนเนอร์โหดเป็นบ้า ถ้าเจอนายเร็วกว่านี้ฉันเทรนกับนายดีกว่าแพท นายดูใจดีกว่าเยอะเลย”
“แต่ตอนเทรนผมเข้มนะครับอเล็กซ์”
“เฮ้ ไม่เอาน่า”
“ทำไมถึงมาเป็นเทรนเนอร์ล่ะ ฉันถามได้ไหม” แม่พูดขึ้น สีหน้าสนใจ แพทริคยิ้มรับ เขารีบอธิบายด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ตอนเด็กๆ ผมสุขภาพไม่ดีเท่าไหร่ ตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ที่บ้านเลยเริ่มให้ออกกำลังกายครับ หลังจากนั้นสุขภาพก็ดีขึ้น ผมเลยเลือกเรียนวิทย์กีฬาแล้วมาทำงานเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสของลุงน่ะครับ”
“นอกจากนี้เคยอยากเป็นอย่างอื่นบ้างไหม”
“อืม…” แพทริคทำท่าคิด “ถ้าความฝันตอนเด็กๆ ผมเคยอยากเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์นะ งานอดิเรกสมัยเรียนผมชอบแข่งกับเพื่อนในสนาม บางทีก็ขับออกทริปเป็นกลุ่ม แต่แม่ผมกังวล เธอบอกว่าอันตราย ผมเลยเลิกเพื่อให้แม่สบายใจ อีกอย่างก็มองว่าเอาเป็นอาชีพประจำไม่ได้”
“น่าเสียดาย” อเล็กซ์พึมพำ “ความรู้สึกตอนสายลมปะทะมันรู้สึกเป็นอิสระดีมากเลย”
“ใช่ครับ คุณก็ชอบเหรอ?”
“เรียกว่าหลงใหลเลยล่ะ” อเล็กซ์หัวเราะ ดูชอบใจที่ได้คุยกับคนที่มีความชอบเดียวกัน “แต่ช่วงนี้พักอยู่ พอดีร่างกายไม่เอื้ออำนวยนิดหน่อย”
“ฉันกำลังจะถามเลย” ผมเกริ่น มองหน้าอเล็กซ์ จากนั้นไล่สายตามองข้อมืออีกฝ่ายที่พันผ้ายืดไว้จนเกือบถึงข้อศอก “แขนเจ็บเหรอ เห็นขยับตัวหยิบอะไรไม่ถนัดตั้งแต่ต้นแล้ว”
“ใช่ ให้ตายเถอะ ถ้านายรู้ว่ามันเกิดเพราะอะไรจะต้องบอกว่างี่เง่าแน่ๆ”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
ผมถามด้วยความสงสัย เท่าที่ผมรู้จัก อเล็กซ์ไม่ใช่คนซุ่มซ่าม
“ตอนไปซ้อมยิงปืนที่สนามน่ะ” เจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เดินไม่ดูทางมาชนฉันเข้าเต็มๆ ข้อมือเลยกระแทกขอบกระถางต้นไม้แถวนั้น เจ็บร้าวขึ้นมาเกือบถึงศอก”
อเล็กซ์พ่นลมหายใจหนัก ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มดับอารมณ์หงุดหงิด
“ดีที่เจ็บแค่มือเดียว” ลุงเบอนาร์ดส่ายหัว “ไม่รู้จักระวังตัวเองเลย”
“ไม่เอาน่าพ่อ มือข้างถนัดก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย”
“คราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบนี้แล้วนะอเล็กซ์” แม่พูดขึ้นมา “ดูอย่างน้าสิ ถนัดทั้งสองมือ ถ้าข้างไหนเจ็บอีกข้างก็ยังใช้งานได้”
“พระเจ้า นี่เราจะคุยกันเรื่องมือเจ็บต่อหน้าแพทจริงๆ เหรอ เสียบรรยากาศหมด”
“ตามสบายครับ ผมไม่คิดมากอะไร” แพทริคปฏิเสธ “แต่แนะนำว่าช่วงนี้งดใช้ข้อมือข้างที่เจ็บนะครับ กล้ามเนื้อจะอักเสบเอา ถึงจะดูเหมือนไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ”
“ขอบใจมาก ฉันจะระวัง”
อเล็กซ์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายดูชอบแพทริคมากทีเดียว แม่กับลุงเองก็มีท่าทีที่ดี ผมรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง ว่ากันตามตรง ไม่ใช่แค่แพทริคที่กังวล ผมเองก็กังวลเหมือนกันว่าครอบครัวตัวเองจะเข้ากับแพทริคได้ไหม ในเมื่อพวกเราค่อนข้างอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันพอสมควร
ผมกังวลมาก แน่ล่ะ...ใครๆ ก็อยากให้ครอบครัวเข้ากับคนที่ตัวเองชอบได้ แต่ถ้าผมแสดงอาการออกมา แพทริคคงสติแตกมากกว่าเดิม ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเลยต้องเก็บอาการเพื่อเป็นหลักให้แพทริครู้สึกสบายใจ เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ทำได้ดีในสถานการณ์ที่เขารู้สึกวางใจ ผมอยากให้เขาวางใจผม
และแพทริคไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาทำได้ดีทีเดียว
“ขอบคุณที่มาพบพวกเรานะ ถ้าฉันทำอะไรให้เธออึดอัดต้องขอโทษด้วย”
“ไม่เลยครับคุณเบล”
“น้าเบลจ้ะ” แม่แก้คำ “ฉันบอกเธอกี่ทีแล้วแพทว่าอย่าเรียกกันห่างเหินแบบนั้น”
“ขอโทษครับ ผมยังไม่ชินเท่าไหร่” เขาหัวเราะเบาๆ “จะพยายามเรียกให้ชินนะครับน้าเบล”
“ไม่ต้องเกร็งไป พวกเราใจดีกว่าที่เธอคิด” ลุงเบอนาร์ดหัวเราะหึๆ
“ว่างๆ แวะมาอีกได้นะ คุยกับนายสนุกดี”
“แต่ตอนนี้ขอพาแพทกลับก่อนนะครับ” ผมโอบไหล่เจ้าแมวยักษ์ แพทริคหันมา เขายิ้มให้ผม “ค่ำแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงานอีก กลัวจะพักผ่อนไม่พอ”
“โธ่เซ็บ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”
“อย่าเถียง”
“โธ่…”
“ฮ่าๆ น่ารักกันจริงๆ พวกนาย” อเล็กซ์เอ่ยแซว
“เดินทางปลอดภัย” แม่บอก สายตาเหลือบมองด้านหลังผม ตอนนี้พวกเรายืนอยู่หน้าบ้าน แม่กับลุงและอเล็กซ์ออกมาส่งพวกเรา “เห็นลูกยอมมีบอดี้การ์ดแบบนี้แม่ก็เบาใจ”
“อย่าพูดถึงพวกเขาเลยครับ” ผมกลอกตา หงุดหงิดเมื่อนึกถึงคำขู่ของพ่อที่ฝากมากับแมทธิว
“เชื่อแม่เถอะ แบบนี้ดีแล้วล่ะ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ หันไปทางแพทริค “กลับเลยนะ?”
“ได้ครับ” เขาตอบรับ จากนั้นถึงบอกลาทุกคน “ขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอบคุณที่ต้อนรับผมอย่างดี”
แพทริคค้อมหัว จับมือลุงเบอนาร์ดกับแม่เป็นการกล่าวลา เมื่อถึงตาอเล็กซ์ เจ้าแมวยักษ์รีบเปลี่ยนมือเป็นอีกข้างทันทีที่เห็นอเล็กซ์ยื่นมือออกมา ผมเห็นอเล็กซ์ยิ้มให้เขา แววตาเป็นประกายวาว
และผมเริ่มหวงขึ้นมาเล็กน้อย
ร่ำลากันเรียบร้อย ผมกับแพทริคหันหลังเดินแยกออกมา สวนกับชายคนนึงในชุดสูท แพทริคเกือบเดินชนเขาเนื่องจากเอาแต่มองหน้าผมไม่ยอมมองทางเดิน
“ระวังหน่อย” ผมดุเจ้าตัวยุ่ง ก่อนเหลือบตามองชายคนนั้น “ขอโทษด้วย ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ?”
“ไม่ครับคุณเซบาสเตียน” เขาค้อมหัว ผมคุ้นหน้าอีกฝ่ายว่าเป็นคนของลุงเบอนาร์ด
“ดีแล้ว”
ผมพยักหน้ารับ ดันหลังแพทริคให้เดินนำไปข้างหน้า
“คุณเบอนาร์ดครับ…”
เสียงชายคนนั้นดังแว่วอยู่ด้านหลัง ผมอดหันกลับไปมองไม่ได้…
“เซ็บ?”
“หืม ว่าไง” ผมหันกลับมาเมื่อแพทริคส่งเสียงเรียก เขายิ้มให้
“จับมือผมไม่ปล่อยเลยนะ”
“จับไม่ได้เหรอ” ผมกระชับมือเขา “ไม่อยากปล่อยนี่”
แพทริคอมยิ้ม ไม่ตอบรับ ผมเลยถือว่าเขาอนุญาต
“เป็นไงบ้าง”
ผมถามเมื่อพวกเราออกรถมาได้สักระยะ แพทริคโอดครวญทันทีที่ผมเปิดประเด็น
“ตื่นเต้นแทบตาย หัวใจผมเต้นตุบๆ ไปหมด”
“แต่นายก็ทำได้ดีนะ”
“เพราะมีคุณอยู่ข้างๆ ไงครับ” คนปากหวาน พอมีช่องก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ผมยิ้ม ตามองถนนตรงหน้า แต่ก็พอเดาได้ว่าเจ้าแมวยักษ์คงกำลังมองผมและยิ้มหวานอยู่แน่ “คุณเป็นพลังให้ผมจริงๆ นะเซ็บ”
“ตอนแรกนายเกร็งตัวพองขนไม่ยอมออกจากรถด้วยซ้ำ”
“ตอนนั้นผมตั้งตัวไม่ทันนี่ครับคุณ”
“พอตั้งตัวได้ก็คุยจ้อเชียว” ผมอดค่อนแคะไม่ได้ “คุยกับอเล็กซ์ถูกคอจนลืมฉันเลยนะ”
“หืม…” เขาลากเสียง “คุณหึงผมเหรอครับ”
“ไม่รู้ ความหมายเดียวกับหวงหรือเปล่าล่ะ” ผมยักไหล่ “ที่รู้ๆ คือหวงนาย”
“พระเจ้า คุณอย่าเล่นกับใจผมแบบนี้”
“ใจเต้นเหรอ” ผมขำในลำคอ “แรงมากไหม?”
“แทบทะลุจากอก”
ผมหัวเราะกับน้ำเสียงจริงจังติดโอเวอร์ของแพทริค
“อาทิตย์หน้าฉันมีบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย จำได้ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ที่บรรยายคู่กับเมลิน่า”
“อา...จำได้ครับ”
“ถ้าว่างก็มาฟังได้นะ เป็นงานเปิด คนนอกเข้าได้แต่ต้องสำรองที่นั่ง แต่ถ้าไม่อยากฟังก็เดินเล่นตามบูธข้างในได้ พวกนักศึกษาตั้งบูธกิจกรรมสนุกๆ เยอะแยะ”
“อืม ผมดูก่อนนะครับ ไม่แน่ใจว่าขอลาได้หรือเปล่า”
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
“แต่ผมอยากไปนะ” แพทริครีบพูด ผมเหลือบมองเขา “เดี๋ยวคุณโดนแย่งไปทำยังไง”
“ใครจะแย่ง?”
“เมลิน่า”
“เด็กขี้หวง” ผมหัวเราะในลำคอ “ตอบแบบไม่คิดเลยนะ”
“ไม่รู้ล่ะ ผมขอไปคุมคุณหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”
“นายก็มีเจ้าของแล้วเหมือนกัน”
“รู้ครับ รอคุณจับใส่ปลอกคออย่างเดียวเนี่ย”
“ถูกจับใส่นานแล้วไม่รู้หรือไงแพท”
“หือ?”
“ตั้งแต่นายเดินเข้ามาในโลกของฉัน ฉันก็จับนายใส่ปลอกคอ ไม่อนุญาตให้ออกไปแล้วแพท ยังไม่รู้ตัวอีก”
แพทริคเงียบไปอึดใจ ก่อนเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ หางตาผมเห็นเขาขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ วินาทีต่อมา ปลายจมูกของแพทริคก็กดลงบนแก้มผม
“ถึงอนุญาตผมก็ไม่ออกครับ”
ผมนึกสงสัยว่าเราจะชอบใครมากขึ้นกว่าเดิมทุกวันได้ยังไง
และแพทริคทำให้ผมเข้าใจคำตอบของคำถามนั้น
_________________________________________________________
บทนี้พามารู้จักครอบครัวเซ็บทางฝั่งคุณแม่บ้าง แค่นี้เจ้าแมวก็เกร็งตัวพองขนแย่แล้ว ถ้าไปเจอซีมอนนี่คงช็อกตัวแข็ง 555
ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ #คุณผู้มากับสายฝน