[Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]  (อ่าน 50508 ครั้ง)

ออฟไลน์ Spoypopoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
 คือดีต่อใจ ผลัดกันอ่อยเนอะ ได้ๆ เราโอเค //คว้ายาดม

ออฟไลน์ jinnyjayb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แพทน่ารักมาก อบอุ่นมาก

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เหมือนมันจะอึมครึมๆแต่มันก็สดใสได้เมื่อมีแมวส้ม

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
มารอฝนตกค่ะ

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 15

We don’t talk anymore

 
[Matthew]


ผมเป็นมนุษย์ประเภทเบื่อง่าย ทำงานนั่งโต๊ะทุกวันชีวิตก็ไร้สีสัน บางครั้งเลยต้องหางานนอกมาทำให้ชีวิตตัวเองเร้าใจขึ้นมาบ้าง :)

“แจสเปอร์เตรียมรถให้หน่อย วันนี้นายออกไปกับฉัน งานที่สั่งเมื่อกี้พักไว้ก่อน”

ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ สั่งงานใหม่และแคนเซิลงานที่เพิ่งสั่งเขาไปเมื่อห้านาทีที่แล้วทิ้ง

“FUCK!”

โอ้...ผมจะคิดว่าแจสเปอร์ตื่นเต้นจนหลุดสบถใส่แล้วกัน :)


“ต้องเข้าไปด้วยไหม”

แจสเปอร์ถามผม น้ำเสียงเขาหงุดหงิด ผมหันไปยิ้มให้จนอีกฝ่ายชักสีหน้ามากกว่าเดิม

“แน่นอน ฉันขาดนายได้ที่ไหนกันคุณผู้ช่วยมือดี”

“เกลียดตำแหน่งนี้ชะมัด”

แจสเปอร์สบถก่อนเปิดประตูรถลงไป ผมตามเขาไปติดๆ ตรงหน้าเราคือ JY Tyre Distributors ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายอะไหล่และยางล้อรถประเภทต่างๆ จากข้อมูลที่เจคอปให้เซบาสเตียนมา ผมคิดว่าตัวเองน่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติมจากที่นี่บ้าง

“สวัสดีครับ สนใจยางหรืออะไหล่รุ่นไหนสามารถติดต่อสอบถามได้นะครับ” พนักงานต้อนรับตรงมาหาผมอย่างรู้งาน ผมยิ้มให้เขา บอกความต้องการตัวเองออกไป

“ผมขอพบผู้จัดการสาขาครับ” นี่ไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำสั่ง พนักงานหนุ่มยิ้มค้าง

“คือว่า…”

“บอกเขาว่าแมทธิว รอสซ์ต้องการพบ” ผมยื่นนามบัตรไปตรงหน้าคนที่ยืนแข็งค้างเมื่อได้ยินนามสกุลผม อา...นามสกุลดังแบบนี้ทำอะไรได้สะดวกขึ้นเยอะ

“สะ สักครู่นะครับ รบกวนนั่งรอก่อน”

เขาผายมือไปยังโซนห้องรับรองด้านข้างที่มีความเป็นส่วนตัว ผมพยักหน้า เดินไปอย่างว่าง่าย แจสเปอร์เดินตามหลัง เขาบ่นพึมพำเรื่องผมใช้อำนาจได้น่าหมั่นไส้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ เราจะมีอำนาจไปทำไมถ้าไม่ใช้?

อ้อ ยกเว้นเซบาสเตียนน้องชายผมไว้คนนึงแล้วกัน

“คิดว่าจะได้กลับไปเยอะแค่ไหน” แจสเปอร์ถาม ผมยักไหล่

“เท่าที่คำว่ารอสซ์จะกดดันเขาได้”

“เกลียดนายจริงๆ”

“แต่ฉันชอบนายนะ”

ผมแกล้งขยิบตาให้แจสเปอร์ เขากลอกตา สีหน้าเหนื่อยใจ ไม่ได้เขินอายหรือทำตัวไม่ถูก แจสเปอร์กับผมเป็นโซลเมตกัน แต่ความรู้สึกของพวกเราไม่ได้เกินเลยกว่านั้น บางทีคำว่าโซลเมตก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก แต่เป็นบัดดี้ดีๆ ที่รู้ใจเราสักคน

“สวัสดีครับคุณรอสซ์”

“เรียกผมว่าแมทธิว” ผมลุกขึ้นจับมือกับผู้มาใหม่ เหลือบตามองป้ายชื่อตรงอกเขา

Eric Collins (Manager)

“ผมเอริคครับ” เขาแนะนำตัว สีหน้ายิ้มแย้มอย่างมืออาชีพ “เชิญนั่งก่อนครับ เห็นว่าคุณมีธุระกับผม?”

“ครับ”

“เชิญตามสบายเลยนะครับ ถ้าผมช่วยคุณได้ก็จะช่วยแน่นอน”

“แน่นอนครับ คุณช่วยผมได้” ผมหัวเราะ หันไปทางแจสเปอร์ อีกฝ่ายหยิบไอแพดขึ้นเปิดยื่นให้เอริคอย่างรู้งาน “ยางรุ่นนี้ คุณพอจะรู้จักใช่ไหมครับ”

“ครับ รุ่นนี้กำลังมาแรงมาก” เขาตอบรับ เงยหน้าขึ้นสบตาผม “คุณแมทธิวสนใจเหรอครับ”

“สนใจครับ แต่ไม่ได้สนใจจะใช้” ผมยิ้ม สบตาเอริค เขายังคงมีใบหน้าเรียบสงบ แต่แววตาดูกังวลใจ “ผมสนใจว่า ‘ใคร’ ใช้ต่างหาก และมี ‘ใคร’ ที่ซื้อมันไปจากที่นี่บ้าง”

“ข้อมูลลูกค้าผมไม่สามารถเปิดเผยได้จริงๆ ครับ”

“คุณแน่ใจ?”

“...”

“แจสเปอร์” ผมเรียกเขา อีกฝ่ายขานรับ หยิบไอแพดเปิดรูปหนึ่งขึ้นมา คราวนี้แจสเปอร์ทำหน้าที่ไล่บี้แทนผม

“อาทิตย์ที่แล้วคุณมีนัดทานข้าวกับคุณธิโอนี่ครับ” เอริคเงียบไปเมื่อเห็นรูปแอบถ่ายตัวเขากับบอดี้การ์ดคนสนิทของพ่อผม เขาเม้มริมฝีปากแน่น คงไม่คิดว่าห้อง VIP จะถูกแอบถ่ายออกมาได้ แต่คนของผมทำได้…

...รอสซ์ทำได้เกือบทุกอย่างนั่นแหละ

“แจสเปอร์ นายเข้าประเด็นเร็วเกินไป” ผมแกล้งปรามผู้ช่วยตัวเอง “คุณเอริคนึกคำตอบไม่ทันเลยเห็นไหม”

“ขอโทษทีครับคุณแมทธิว” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ในประโยคนั้นแฝงแววเสียดสี “ผมไม่คิดว่าคุณเอริคจะตั้งตัวไม่ทัน คิดว่าเขารู้เจตนาพวกเราและเตรียมตัวแต่แรกแล้วซะอีก”

“พวกคุณต้องการอะไรครับ”

“ผมนึกว่าคุณจะไม่ถามซะแล้ว” ผมยิ้ม ประสานมือเอนตัวพิงพนักโซฟา “ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน คุณคงได้ข่าวเรื่องที่พ่อผม ซีมอน รอสซ์ถูกลอบยิง”

“ครับ ผมทราบ”

“และการที่คุณมีนัดกับธิโอ บอดี้การ์ดคนสนิทของเขาในสถานที่เป็นส่วนตัวพอสมควรแบบนั้น...” ผมโคลงศีรษะ จุ๊ปากเบาๆ หรี่ตามองคุณผู้จัดการที่สีหน้าไม่สู้ดี การเว้นจังหวะแบบนี้ทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัด ซึ่งผมชอบทำอยู่บ่อยครั้ง “...แสดงว่าหัวข้อที่คุยกันเป็นความลับพอสมควร เช่นว่า...ธิโอขอให้คุณนำเอกสารบางอย่างให้เขา”

“...”

“เอกสารที่ทำให้ผมสืบหาตัวมือปืนที่ลอบยิงพ่อผมได้”

“คุณธิโอไม่ให้ผมเผยแพร่มันต่อ” ในที่สุดเอริคก็ตอบกลับ เขาถอนใจ คิ้วขมวดยุ่ง สีหน้าลำบากใจ “ผมรับปากเขาแล้ว จะมีแค่รอสซ์เท่านั้นที่ได้ข้อมูลนี้ไป”

“แล้วผมไม่ใช่ ‘รอสซ์’ อย่างนั้นเหรอ?”

ผมเน้นเสียง จงใจโน้มตัวไปข้างหน้า สบสายตากับเอริคไม่ละไปไหน นี่คือเทคนิคการกดดันคนที่ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก รอสซ์ไม่ใช่ฝ่ายถูกคุกคาม และไม่เคย แต่รอสซ์คือผู้คุกคาม

“คุณกำลังทำให้ผมลำบากใจนะครับ”

“คุณอย่าคิดว่าตัวเองกำลังผิดคำพูด” แจสเปอร์ทำหน้าที่โน้มน้าวต่อ แต่ถ้าเอริคยังไม่ยอม โซลเมตของผมก็พร้อมเปลี่ยนเป็นข่มขู่เขาได้ “คุณแมทธิวก็คือรอสซ์ เจ้านายผมแค่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนพวกผมพร้อมช่วยเหลือ คุณจะไม่เดือดร้อนที่นำข้อมูลของลูกค้ามาเปิดเผย”

“ผม…”

“แต่ถ้าคุณไม่…” แจสเปอร์ปรับเสียงจนเย็นเยียบ ผมหลุดยิ้ม นึกชอบตอนเขาเข้าโหมดโหดแบบนี้ชะมัด “...เรื่องที่คุณเปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้คุณธิโอ ผมรับรองว่าคุณเดือดร้อนแน่นอน”

“คะ คุณ…” เอริคเบิกตากว้าง “ยะ ยังไงคุณธิโอก็เป็นคนของพ่อคุณ เขาไม่ปล่อยให้ผมเดือดร้อนแน่นอน”

“คุณอยากลองไหมล่ะครับ” ผมหัวเราะ สบตาเอริคอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ พ่อผมมีอำนาจมากกว่า เขาช่วยคุณได้แน่ ถึงผมปล่อยข้อมูลออกไป แต่ก็แค่นั้น เขาช่วยในส่วนที่เขาควรรับผิดชอบ แต่เรื่องหลังจากนั้น ผมว่าเขาคงไม่เสียเวลามาช่วยคุณ ในเมื่อคุณหมดประโยชน์กับเขาแล้ว”

“คุณคิดจะทำอะไร?!”

“อืม นั่นสิ ทำอะไรดี” ผมแสร้งทำเป็นคิดหนัก มองสีหน้าบิดเบี้ยวของเอริคอย่างเพลินใจ “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ไม่ต้องห่วง คุณได้สนุกแน่”

“คุณแมทธิว ผมขอร้องล่ะ”

“ผมก็ขอร้องคุณเหมือนกัน” ผมแทรกขึ้น เน้นย้ำที่คำว่าขอร้อง แต่น้ำเสียงไม่ได้หมายความตามประโยคนั้น หึ...มันตรงกันข้ามเลยล่ะ

“ผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง” เอริคตั้งข้อสงสัย “คุณธิโอกำชับผมขนาดนั้น ซ้ำเขายังไม่ให้คุณรู้เรื่องเอกสาร ถึงคุณจะเป็นรอสซ์ก็เถอะ ไม่ใช่ว่า…”

น้ำเสียงและแววตานั้นคลางแคลงใจ ผมสบตาเขา ยังคงมีท่าทีสบายใจแม้จะโดนอีกฝ่ายสงสัย เป็นแจสเปอร์ซะเองที่พูดเสียงเย็นขึ้นมา

“อย่ากล่าวหาเจ้านายผมถ้าคุณยังไม่มีหลักฐาน”

“ผมแค่ตั้งข้อสังเกต”

“ข้อสังเกตของคุณจะทำให้คุณลำบากนะครับ” แจสเปอร์เขม็งตาจ้องเอริค “เจ้านายผมค่อนข้างรีบ น่าเสียดายที่เรามีเวลาให้คุณตัดสินใจจำกัด”

“ผม…”

“คุณมีทางเลือกนะเอริค คุณจะเลือกทางไหนดีล่ะ” ผมยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน แรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเอริคก็ยกสองมือยอมแพ้ ผมกระตุกยิ้มให้กับชัยชนะ

“ผมจะส่งไฟล์รายชื่อให้คุณทางอีเมล แต่ขอร้องอย่าให้ผมเดือดร้อนไปมากกว่านี้”

“แน่นอนครับ” ผมรับปาก โคลงศีรษะไปทางคุณผู้ช่วย “แจสเปอร์”

แจสเปอร์พยักหน้ารับ ลุกขึ้นผายมือเชิญเอริคให้เดินนำไปที่ห้องทำงานเขา คุณผู้จัดการที่น่าสงสารไม่มีทางเลือกหลังจากนี้ ผมหยิบไอแพดขึ้นเช็กตลาดหุ้นไปพลางๆ เพื่อฆ่าเวลา หลังจากนั้นไม่นานแถบแจ้งเตือนบนจอก็แจ้งว่าผมได้รับอีเมลฉบับใหม่

ผมยิ้มอย่างพอใจ

ก็แค่นี้ ทำให้เรื่องมันยากจนเสียเวลาหลายนาทีไปได้

V
V
V
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 22:53:18 โดย JackXy Wu »

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
V
V
V

[Patrick]

ผมคิดว่าตัวเองกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง มันรบกวนอยู่ในใจ สลัดยังไงก็ไม่หายสักที

“แพท!”

“ฮะ ว่าไงครับ” ผมสะดุ้ง เงยหน้ามองตามเสียงตะโกนเรียก เทเรซ่ายืนอยู่ตรงหน้า เธอกอดอกก้มลงจ้องผม คิ้วขมวดแน่นเป็นปม

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ไม่ไปพักเที่ยงเหรอ?”

“วันนี้ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่แล้วก็...ผมสบายดี” อาจจะสบายดี อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น ถ้านับทางกายภาพน่ะนะ แต่พอตอบแบบนั้นเทเรซ่ากลับถอนใจใส่

“แน่ใจว่าสบาย ฉันเห็นนายทำหน้าแบบนี้มาสามสี่วันแล้วนะ”

“โอเคๆ” ผมยกสองมือยอมแพ้ “พระเจ้า เธอนี่ช่างสังเกตจริง อย่างที่เธอว่า ช่วงนี้ผม...ไม่สบายใจน่ะ”

“เรื่องอะไร บอกฉันได้ไหม” เทเรซ่าทรุดนั่งบนพื้นข้างผม พวกเรานั่งอยู่ในห้องฝึกโยคะ มันเงียบสงบเหมาะกับการคิดอะไรต่างๆ โดยเฉพาะในเวลาพักเที่ยงแบบนี้ “สะดวกใจจะเล่าก็ได้นะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“เรื่องของเซ็บน่ะ”

“เขาไม่รับรักนายหรือไง”

“โธ่เทซ ไม่เอาน่า” ผมโอดครวญ “อย่าพูดแบบนั้นสิ พระเจ้า! ผมใจแกว่งเลยเนี่ย”

“ล้อเล่นน่า เขาดูชอบนายจะตาย” เทเรซ่าหัวเราะ เธอจ้องมองผม “ว่าแต่เขาทำอะไรให้นายไม่สบายใจล่ะ”

“ไม่รู้สิ ผมแค่…” ผมยักไหล่ มันยากจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดตามจริง “ช่วงนี้เขาค่อนข้างดื้อกับผมนิดหน่อย ผมรู้ว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่ผมแค่เป็นห่วง”

“อืม ความจริงฉันไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน” เทเรซ่ากลอกตา แหงล่ะ ผมไม่ได้ลงรายละเอียด แถมจู่ๆ ก็โพล่งมาดื้อๆ เธอจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก “แต่ฟังดูแล้วนายกลัวว่าจะวุ่นวายมากไปจนเขารำคาญใช่ไหม ฉันตีความหมายถูกหรือเปล่า”

“นั่นแหละ ผมกลัวเขารำคาญอย่างที่เธอว่า”

“อา…”

“สถานะของพวกเราไม่ได้ชัดเจนพอให้ผมก้าวก่ายเขามากขนาดนั้น ให้ตายสิ”

“ใจเย็นน่า นายได้พูดกับเขาตรงๆ หรือยัง”

“ผมพูดแล้ว”

“แล้วเขารับปากนายไหม หรือยังไง?”

“เขาก็รับปาก สัญญากับผมตามที่ผมขอ”

“แล้ว…” เธอลากเสียง “...ยังไงต่อ นายกลัวเขาผิดคำพูด?”

“เซ็บเห็นนิ่งๆ แบบนั้น ถ้าเธอรู้จักเขานะเทซ เธอจะรู้ว่าเขาดื้อมากแค่ไหน”

“เรื่องนี้มันทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจกัน” คำพูดของเทเรซ่าทำผมนิ่งไป เหมือนความกังวลที่ผ่านมาหลายวันถูกแช่แข็งชั่วขณะ ผมสบตาเธอ เทเรซ่ายิ้มให้คล้ายจะปลอบใจ “มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย นายแค่เชื่อใจเขาก็พอน่าแพท”

“นั่นสินะ”

“เลิกคิดมากได้แล้ว” เทเรซ่าขยี้หัวผม ผมปัดมือเธอออกจนอีกฝ่ายหัวเราะ

“เดี๋ยวจะโดนนะเทซ”

“ทำไม หวงเหรอ เก็บไว้ให้คุณเซ็บขยี้ได้คนเดียวสินะ”

“แน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

“คุณเซ็บจะรู้ไหมนะ ว่าแมวยักษ์ของเขาอยากถูกจับใส่ปลอกคอจะแย่”

เทเรซ่าส่งเสียงล้อ ผมหรี่ตา ผุดลุกขึ้นไล่จนเธอวิ่งหนีออกไปนอกห้อง ความกังวลหายไปชั่วขณะหนึ่ง และผมหวังว่าเซบาสเตียนจะไม่ทำให้สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริง


“คิดถึงคุณ”

“บอกทุกครั้งที่เจอกัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ไม่เบื่อ เพราะคิดถึงคุณจริงๆ ครับ”

ผมส่งยิ้มให้เซบาสเตียน วันนี้เรามีนัดกันหลังผมเลิกงาน ตั้งแต่วันที่เขามารับผมไปทานข้าวเย็น เราก็ไม่ได้เจอกันอีก ผมยุ่งกับงาน ส่วนเซบาสเตียนต้องเตรียมหัวข้อในการบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย แน่นอน ผมคิดถึงเขาแทบบ้า พอได้เจอหน้าเลยอยากอ้อนยิ่งกว่าเดิม

วันนี้ผมเป็นฝ่ายขับรถมารับเขาที่หน้าคอนโดฯ เรามีแพลนจะไปทานข้าวเย็นกับดูหนังรอบดึก เซบาสเตียนกับผมมีรสนิยมชอบหนังแนวเดียวกันพอดี การเลือกหนังที่จะดูเลยง่ายขึ้นไปอีก

พวกเราแวะทานอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งกลางตัวเมือง ที่นี่อยู่ใกล้กับโรงหนังที่จะดูกัน เดินถัดไปอีกแค่สองป้ายรถก็ถึงแล้ว

หัวข้อสนทนาเป็นไปอย่างเรียบง่าย คำถามธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่อย่าง งานเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ตอนกลางวันทานอะไร แต่ผมกลับตกหลุมรักในความเรียบง่ายนั้น เหมือนเราแชร์ชีวิตประจำวันด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอยู่ในใจจนผมอยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ถ้าเซบาสเตียนไม่ว่าอะไร

“ฉันบอกนายหรือยัง”

“ครับ?” ผมเงยหน้าเมื่อเซบาสเตียนเกริ่นมาแบบนั้น เขาสบตาผม มุมปากกระตุกยิ้ม

“คู่บรรยายงานวิชาการฉันน่ะ”

“ทำไมครับ”

“เมลิน่า” ชื่อนั้นคุ้นหูผมอย่างประหลาด ผมขมวดคิ้ว พยายามขุดความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนั้นขึ้นมา แต่ช้ากว่าเซบาสเตียน “เมลิน่า มอเรนคนที่เกือบจะเป็นคู่หมั้นฉันไง”

“อา…” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย ให้ตาย

“หึงไหม”

“ไม่...ครับ” ผมตอบเสียงเบา รู้ดีว่าในใจหึงเขาสุดๆ แต่ถ้าบอกว่าหึง เซบาสเตียนคงมองว่าผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่มีเหตุผล

“แย่นะ”

“ฮะ?”

“อยากให้แมวยักษ์แถวนี้หึง” เขาว่าหน้าตาย ดวงตาสีมรกตเป็นประกาย “แบบนี้ไม่สนุกเลย”

“เซ็บ” ผมโอดครวญ “คุณแกล้งผมอีกแล้ว”

“นายน่าแกล้ง...” เขายักไหล่ เบนสายตามองผ่านกระจกร้านออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนกลับมาสบตาผม “...ไม่รู้ตัวเหรอ”

“ถ้าผมแกล้งคุณกลับบ้างอย่างอแงนะครับ”

“นายไม่กล้าหรอก”

“ผมกล้ากว่าที่คุณคิดนะ”

ผมหัวเราะ เซ็บมองผม เขาส่ายหัวไปมา มุมปากยกยิ้ม พวกเราคุยเล่นไปเรื่อยจนกระทั่งจัดการอาหารมื้อนั้นเรียบร้อย ผมกับเซบาสเตียนเดินออกจากร้านหลังชำระค่าอาหารที่เคาน์เตอร์เสร็จ

“เซ็บ” ผมเรียก แต่เหมือนเจ้าตัวกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ผมวางมือบนไหล่เขา เซบาสเตียนชะงัก หันกลับมามองผม คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า” เขาส่ายหัว “กำลังคิดว่านายจะกินป๊อบคอร์นด้วยไหม”

“ผมไม่ค่อยชอบกินอะไรตอนดูหนัง” ผมตอบ “ถ้าคุณชอบ ซื้อแค่ถังเล็กก็พอครับ”

“ฉันไม่ชอบกินอะไรตอนดูหนังเหมือนกัน”

“งั้นซื้อแค่โค้กแล้วกัน แก้วเดียวหรือสองดี ผมไม่ชอบน้ำอัดลมเท่าไหร่” ผมขอความคิดเห็นเขาในขณะเดินตรงไปยังลิฟต์ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาสักที ผมหันมอง พบว่าเขากำลังมองไปทางหนึ่ง คิ้วขมวดแน่น “เซ็บ? เฮ้ มองอะไรครับ”

“ฮะ อา…” เขาขานรับก่อนส่ายหัว “เหมือนเห็นคนรู้จักน่ะ แต่ไม่แน่ใจ ช่างเถอะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ

“เฮ้แพทริค!” ใครบางคนตะโกนเรียกจากด้านหลัง ผมหันกลับไปตามเสียงนั้น

“เฮ้ โทมัส?”

“เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนาน” เขาตรงมาทักทายทันที “ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ เพื่อนนัดบอกไม่ว่างตลอด”

“ก็ยุ่งตามปกตินั่นแหละ กว่าฉันจะเลิกงานก็เย็น เลยอยากพักมากกว่า” ผมตอบกลั้วหัวเราะ เบี่ยงตัวให้โทมัสเห็นเซบาสเตียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “อา ส่วนนี่เซบาสเตียน”

“สวัสดีครับ” โทมัสทัก “เพื่อนแพทเหรอครับ”

“สวัสดีครับ” เซบาสเตียนตอบ เขายื่นมือมาจับมือเพื่อนผมตามมารยาท “เรียกว่าเพื่อนก็ได้ครับ”

ผมหน้ามุ่ย ไม่ค่อยพอใจกับคำว่าเพื่อนของเขาเท่าไหร่ เลยแอบขยับปากบอกโทมัสว่าเซบาสเตียนเป็นโซลเมตผม พอรู้ว่าเซบาสเตียนเป็นใคร เพื่อนผมก็เบิกตาโตทันที

“โอ้…”

“ชู่” ผมรีบส่งสัญญาณไม่ให้โทมัสโวยวายอะไร ไม่งั้นเซบาสเตียนต้องตีผมแน่ๆ

“แพท” เซบาสเตียนเรียกผม “นายคุยกับเพื่อนไปก่อน เดี๋ยวฉันมา ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

“โอเคครับ ผมรออยู่หน้าลิฟต์นี้นะ”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินแยกไป ทิ้งผมไว้กับเพื่อนจอมสอดรู้สองคน

“เล่ามาให้ไวเลยนะแพท โซลเมตคนนี้ที่นายเคยมาบ่นบ่อยๆ ใช่ไหมว่าเขาไม่ตอบรับเสียงเรียกของนายสักที”

“จะมีคนไหนได้ล่ะ”

“แล้วทำยังไงเขาถึงตอบนายได้เนี่ย” โทมัสแสดงสีหน้าชัดเจนว่าอยากรู้สุดๆ “เขาดูเป็นคนเงียบๆ แฮะ หรือนายไปกวนจนเขารำคาญต้องพูดด้วย?”

“ฉันไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้นสักหน่อย”

“นายแน่ใจ?”

“เฮ้ นี่ฉันเพื่อนนายนะ” ผมโวยวาย ส่วนโทมัสหัวเราะร่าที่ยั่วโมโหผมได้

“โอเคๆ ฉันหยุดก็ได้ แล้วนายจะพาเขามาแนะนำกับเพื่อนๆ ไหม” โทมัสเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ปาร์ตี้กันสักหน่อย ไม่ได้รวมตัวกันนานแล้ว นายพาเขามาเปิดตัวกับเพื่อนๆ ด้วยเลย”

“ขอฉันคิดดูก่อน”

“หวงหรือไง”

“หวง” ผมพยักหน้ารับ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด “เซ็บค่อนข้างเข้ากับคนอื่นยากน่ะ ฉันกลัวเขาอึดอัด ต้องถามเขาก่อน”

“โอ้ ได้สิ ได้เรื่องยังไงนายค่อย…”

คำพูดของโทมัสเบาลง มวลอากาศบีบรัดส่งเสียงวิ้งข้างหู หลังจากนั้นโลกทั้งใบก็จมสู่ความเงียบ โทมัสถอนใจ เขาขยับปากให้ผมอ่านคำพูดได้ว่า ‘หน้าฝนเฮงซวย’ มันไม่ผิดจากที่โทมัสว่าเท่าไหร่ ชีวิตบนโลกใบนี้ช่วงหน้าฝนเป็นอะไรที่ลำบากไปหมด

อา...เสียดายจัง แบบนี้คงดูหนังไม่ได้แล้ว

‘หยุดนะ! บ้าเอ๊ย!’

เสียดายได้ไม่ทันไร จู่ๆ เสียงเซบาสเตียนก็ดังก้องในหัวปะปนเสียงหอบหายใจหนัก ทุกความคิดหยุดชะงักทันที

“เซ็บ อะไร เกิดอะไรขึ้น?!”

‘เวรเอ๊ย!’

“คุณอยู่ไหนน่ะ!”

‘บันไดหนีไฟชั้นสาม!’

“ผมกำลังไป!”

ผมวิ่งออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ได้บอกลาโทมัส เขาเองก็คงดูออกว่าผมกำลังรีบเลยไม่ได้รั้ง ประตูทางหนีไฟอยู่ไกลจากจุดที่ผมอยู่พอสมควร ผมวิ่งสุดฝีเท้า นึกขอบคุณร่างกายตัวเองที่แข็งแรงทำให้ไม่หน้ามืดไปซะก่อน

เสียงของเซบาสเตียนยังดังก้องในหัวเป็นระยะ เขากำลังไล่จับใครบางคนอยู่ มีบางครั้งที่กลั้นเสียงเอาไว้ ผมนึกสังหรณ์ใจว่าอาจมีการลงไม้ลงมือกัน

ให้ตายเถอะ!

ผมผลักประตูทางหนีไฟตรงหน้าจนมันเด้งไปกระแทกกำแพงด้านหลัง หากเป็นช่วงเวลาปกติเสียงคงดังก้อง ผมกวาดสายตามองหาเซบาสเตียน ไม่รู้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว

“คุณอยู่ไหนเซ็บ!”

‘ข้างล่าง แฮ่ก ลงมาแพท!’

ผมวิ่งลงไปทันที ร่างของเซบาสเตียนกับชายคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า เขาสวมแมสสีดำปิดปากไปครึ่งหน้า ฮู้ดสีเข้มคลุมศีรษะทำให้ผมไม่สามารถเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน

ชานพักบันไดแคบจนผมกลัวว่าเซบาสเตียนจะพลาดท่าได้รับบาดเจ็บ เซบาสเตียนพยายามจะจับตัวเขาไว้ แต่อีกฝ่ายขัดขืนจึงเกิดการลงไม้ลงมือกัน ผมเลือดขึ้นหน้าทันทีที่เห็นชายคนนั้นถีบเซบาสเตียนเข้าที่ท้องอย่างจัง!

“อึก!”

“เซ็บ!” ผมพุ่งเข้าไปประคองตัวเขาไว้ไม่ให้ล้ม

“แพทปล่อยก่อน!” เขาพยายามดันตัวออกจากผม ตาเขม็งจ้องไปยังคนที่วิ่งหนีลงไปอีกชั้น เซบาสเตียนแรงเยอะกว่าที่ผมคิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็สลัดผมทิ้งแล้ววิ่งตามไปทันที

“เซ็บ!” ผมวิ่งตามเขาไปติดๆ

“มันสะกดรอยตามฉัน!” เขาตะโกนบอก “ตั้งแต่ที่ร้านอาหารแล้ว!”

เสียงเตือนในหัวผมดังลั่น รู้ทันทีว่าเซบาสเตียนหมายความว่ายังไง นี่อาจเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงซีมอน รอสซ์ และเซบาสเตียนจะไม่ยอมปล่อยพวกนี้ไปแน่!

“ให้ตายสิเซ็บ!” ผมสบถออกมาอย่างหัวเสีย เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ที่แยกตัวบอกจะเข้าห้องน้ำคือมาตามล่าอีกฝ่าย “ไหนคุณบอกจะไม่ทำอะไรอันตรายไง!”

เสียงของผมส่งไปไม่ถึงเซบาสเตียน ทั้งที่ช่วงเวลานี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของผม มีแค่พวกเราที่ได้ยินเสียงกันและกัน แต่เซบาสตียนปฏิเสธและผลักผมออกจากโลกของเขา

ผมทั้งโกรธทั้งน้อยใจ เขาเลือกทำอะไรคนเดียวโดยไม่ปรึกษาผมสักนิด

โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เซบาสเตียนวิ่งไปประชิดชายคนนั้นสำเร็จ เขาโถมตัวเข้าใส่จนพากันกลิ้งไปกระแทกกำแพงเกือบตกบันได

เซบาสเตียนกระชากคอเสื้อเขาให้ยืนขึ้น ซัดหมัดเข้าใส่ใบหน้าชายคนนั้น ผมรีบเข้าไปช่วยเขาจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้โดยการล็อกแขนทั้งสองข้างจากด้านหลัง

“ใครส่งแกมา!”

แต่ถึงเขาจะตะโกนดังแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

“เซ็บใจเย็นก่อน ตอนนี้มันไม่ได้ยินที่คุณพูดหรอก”

พลั่ก!

“แม่ง!” ผมสบถออกมาเมื่อถูกชายคนนั้นแทงศอกเข้าที่สีข้างจนเผลอคลายแรงจับ แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้มันฉวยโอกาสดิ้นหลุด

“เซ็บระวัง!”

ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นมันอาศัยจังหวะที่ผมพลาดท่าออกแรงผลักจนเซบาสเตียนเซเกือบตกบันได...เกือบไปแล้วถ้าผมไม่พุ่งไปคว้าตัวเขาเอาไว้ นั่นเปิดโอกาสให้มันหนีไปได้ เซบาสเตียนทำท่าจะตามไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกระชากข้อมือเขาไว้อย่างแรงจนอีกฝ่ายสบถลั่นด้วยความเจ็บ

“แพทริค!”

“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงเซบาสเตียน!!!”

“แล้วจะให้ฉันปล่อยมันไปเนี่ยนะ?!” เขาตะโกนใส่ผม สะบัดข้อมือออกอย่างแรง เซบาสเตียนขยี้เส้นผมตัวเองจนยุ่งเหยิง เสียงสบถดังลั่น “เวรเอ๊ย! ทั้งที่เกือบจะจับมันได้แล้ว นายไม่รู้หรือไงว่าถ้าฉันเค้นได้ว่าใครส่งมันมา…”

“คุณก็คิดอยู่แค่นี้!” ผมตะโกนขัด เขม็งตาจ้องเซบาสเตียนที่นิ่งไป “คิดแค่จะจับมัน ไม่สนใจความปลอดภัยตัวเอง ถ้ามันมีอาวุธล่ะ?! เมื่อกี้ถ้าผมคว้าคุณไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น คุณคิดบ้างไหม? หรือคุณคิดว่าสู้กับมันสุดตัวจนตกบันไดคอหักตายเป็นเรื่องที่ควรทำแล้ว!”

เสียงผมดังก้องทั่วบริเวณพื้นที่คับแคบ ผมสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับอารมณ์ตัวเอง

“แพท…” เขาเสยผม ดูไม่สบอารมณ์ “บันไดไม่กี่ขั้นไม่ทำให้คอหักตายได้หรอกนะ”

“คุณสัญญากับผมแล้วเซ็บ” ผมพูดเสียงเรียบ สบตาเขานิ่ง ควบคุมลมหายใจหอบถี่จากแรงอารมณ์ให้สงบลง “คุณสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องอันตราย คุณรู้ดีว่าผมห่วงคุณ คำว่าห่วงของผมมันไม่สำคัญพอสำหรับคุณใช่ไหม?”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ผมได้รับกลับมา เซบาสเตียนขมวดคิ้ว เขาทำเพียงถอนใจ

“กลับเถอะครับ ปากคุณแตก อย่าลืมทำแผลด้วย”

ผมเดินนำออกจากบริเวณนั้น เซบาสเตียนเดินตามมาเงียบๆ ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก โลกของผมเงียบงันตั้งแต่ตอนนั้น ผมขับรถกลับมาส่งเขา ไม่มีบทสนทนาใดๆ มีเพียงสัญญาณไฟกะพริบจากคอนโซลหน้ารถซึ่งเป็นระบบที่ถูกเปิดใช้ตอนฝนตกเมื่อคนขับไม่สามารถได้ยินเสียงแตรรถหรือเสียงสัญญาณเตือนได้

มนุษย์สามารถคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ผมไม่สามารถทำอะไรเพื่อความปลอดภัยของเซบาสเตียนได้เลย เขาตัดสินใจทำมันคนเดียว นั่นหมายความว่าเซบาสเตียนไม่เคยมองว่าผมสามารถช่วยอะไรเขาได้เลยหรือเปล่า?

ผมอยากให้เขาเชื่อใจผมบ้าง สักนิดก็ยังดี

จนกระทั่งขับรถมาส่งเซบาสเตียนที่คอนโดฯ ผมก็ยังไม่พูดกับเขา พวกเราเลือกไม่พูดอะไรกัน ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน

ผมไม่รู้ว่าเซบาสเตียนรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ผมเหมือนคนจมน้ำ

ใต้ผืนน้ำ ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิท แรงดันกดตัวผมให้จมลึกลงไป ถ้าหากเซบาสเตียนเปรียบเหมือนอากาศ สำหรับผม ตอนนี้อากาศใกล้หมดลงทุกที มันทรมาน แต่เป็นความทรมานที่ผมยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ ในเมื่อผมเป็นคนผลักไสอากาศนั้นไปเอง

ผมยังไม่อยากคุยกับเขาตอนนี้

ไม่...แม้แต่คำเดียว


_________________________________________________________

พาร์ทนี้ควรเป็นของแพทเดี่ยวๆ อะ แต่เราชอบคุณแมทไงเลยขอแบ่งพื้นที่ให้คุณเขาหน่อย 5555 ยังยืนยันนะคะว่านิยายเรื่องนี้ฟีลกู๊ด แต่เพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไปเราจำต้องใส่มาม่าเข้าไปนิดหน่อย ไม่ต้องกลัวค่ะ เราสายสุขนิยม เดี๋ยวก็ดีกันแย้ววว บทนี้ก็อิ่มมาม่ากันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวเอาบทหน้ามาง้อ อะฮึ่ม -///-

ฝากคอมเมนต์หรือติดแท็ก #คุณผู้มากับสายฝน ส่งฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.ตอนหน้าอาจมีคนเรือล่ม ถ้าอยากรู้โพก่อนอ่านตอนถัดไปหาได้ในแท็กนิยายนะคะ แต่ถ้าอยากตื่นเต้นก็...5555555555



ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
อยากให้ฝนตกแต่มันต้องไม่ใช่ใช่อารมณ์แบบนี้สิ
แมวส้มกำลังจะได้อ้อนเจ้าของแล้วเชียว

ปกติว่าชอบคุณแมทแล้วนะ
แต่พอคุณเขาแสดงอำนาจด้วยเสน่ห์ของรอสซ์มันยิ่งหลง

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คุณเสือดำตกอยู่ในอันตราย เป็นห่วง...งงงง    :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ nkl31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราว่าเราลงเรือถูกอยู่นะ แพทคือคนกด ใช่มะ

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
Chapter 16

Hey, I Like You


[Sebastian]


เพราะผมชินกับการอยู่คนเดียวมาตลอดจนลืมว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิม มีใครบางคนเป็นห่วงและอยากให้ผมห่วงตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากโกรธ แพทริคคงกำลังน้อยใจ ผมคิดอย่างนั้น

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งโง่อยู่หน้าจอทีวีแบบนี้นานแค่ไหน ภาพบนจอขยับแต่ไร้เสียง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งในวันฝนตก ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอย่างที่ควรเป็น แต่สิ่งที่ไม่ควรเป็นคือแพทริคไม่ชวนผมคุยเหมือนทุกครั้ง ผมถูกความเงียบดูดให้จมลงไป

ลึกลง…

ลึกลงกว่าเดิม...

ผมเคยคิดว่าความเงียบไม่มีเสียง

กระทั่งวันนี้

ที่ความเงียบมีเสียงดังจนน่ารำคาญ

“แพท...”

ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ การเปล่งเสียงเรียกชื่อเขากลายเป็นสิ่งไม่คุ้นชิน

“...แพทริค”

ฝั่งนั้นยังเงียบ ไม่มีการตอบรับ ผมพร่ำเรียกชื่อเขา คำขอโทษหลุดจากปาก หวังจะได้รับการให้อภัย ผมไม่เคยทะเลาะกับแพทริค ผมไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้จะรับมือยังไง ที่ผ่านมาเหมือนเราสนิทกันมากขึ้นทุกวัน แต่วันนี้ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงเราอาจไม่เคยรู้จักตัวตนจริงๆ กันเลยก็ได้

แพทริคอดทนรอผมตอบรับเสียงเขามาหกปี

แต่ตอนนี้ผมกลับทนความเงียบที่เขามอบให้ไม่ได้แม้แค่นาทีเดียว

“ฉันจะไปหานาย”

ผมพูดทิ้งท้าย แพทริคไม่ได้ส่งเสียงห้าม และผมถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต


‘ขอโทษด้วยนะคะ คุณแพทริคไม่สะดวกให้คุณขึ้นไปค่ะ’

ผมกวาดสายตาอ่านตัวอักษรบนกระดานไวท์บอร์ดที่พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์โชว์ให้หลังส่งข้อความสอบถามเจ้าของห้อง ผมพยักหน้ารับทราบ หันหลังเดินจากจุดนั้น สายตามองออกนอกคอนโดฯ ฝนตกหนักกว่าตอนแรก และถ้าแพทริคไม่อนุญาตให้ผมขึ้นไปสักทีล่ะก็…

“ฝนตกแรงมาก” ผมพูดขึ้น เชื่อว่าอีกฝ่ายได้ยินชัดทุกคำ “นายคิดว่าคนเราทนตากฝนได้นานแค่ไหน?”

เงี่ยหูฟัง ในความเงียบนั้นเหมือนได้ยินเสียงขบฟันกรอด

ผมเปิดประตูออกไป อากาศเย็นปะทะผิวจนขนลุก ผมก้าวไปข้างหน้า เม็ดฝนตกกระทบผิวเมื่อเดินพ้นชายคาคอนโดฯ ผมนั่งลงบนขอบกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ มันตั้งประดับอยู่ด้านหน้า ปล่อยให้สายฝนชะโลมร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเปียกโชก

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น แพท” ผมพูด เสียงสั่นเล็กน้อย “ให้รู้กันไป...ระหว่างนายกับฉัน ใครมีความอดทนมากกว่า”

ผมรู้ดีว่านี่เป็นการเล่นกับความรู้สึกเขา แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

สงครามประสาทดำเนินต่อไป ผมเมินสายตาแปลกๆ ของผู้คนที่มองมา พวกนั้นคงคิดว่าผมเป็นบ้าที่นั่งตากฝนทั้งที่มีร่มให้หลบ ใช่...ผมก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันที่ใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากแพทริค

หรือบางทีผมอาจสำคัญตัวผิด?

ผมถอนใจ ยกมือปาดน้ำฝนที่ไหลผ่านใบหน้าจนน่ารำคาญทิ้งเป็นระยะ ให้ตาย ผมเกลียดฝนชะมัด ไม่รู้ว่านั่งอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ รู้แค่ความหนาวทำให้ผมชินชา หรือผมควรพอแค่นี้?

ผมก้มหน้าคิดอะไรไปเรื่อย ก่อนสัมผัสได้ว่าสายฝนที่ตกลงบนศีรษะหยุดลง

ฝนหยุดแล้ว?

ไม่สิ…

ผมมองคนที่ยืนตรงหน้า ไล่มองตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปข้างบน แพทริคจ้องผมตอบ ใบหน้าเขาเรียบนิ่ง ในมือถือร่มสีเหลืองยื่นมาบังฝนให้ผม

“ลุกตามผมมา”

เขาออกคำสั่ง และผมทำตามแต่โดยดี


เป็นครั้งที่สามที่ผมมาห้องแพทริค เขาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และผ้าเช็ดตัวยัดใส่มือผมโดยไม่พูดอะไร ผมเม้มริมฝีปาก พาตัวเองเข้าห้องน้ำชำระร่างกายที่เย็นเยียบอย่างรวดเร็ว

ผมกลับออกมาอีกครั้ง โซฟาหน้าจอโทรทัศน์ห้องนั่งเล่นว่างเปล่า แพทริคไม่ได้อยู่ตรงนี้เหมือนตอนที่ผมเข้าห้องน้ำ เหลือเพียงซู้กกี้ที่ขดตัวนอนหลับสบายอยู่บนเบาะนอนของมันที่มุมห้อง

ผมเดินมาหน้าประตูห้องนอนแพทริค ยกมือเคาะตามความเคยชิน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเคาะไปเขาก็ไม่ได้ยินเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ในห้องมีแค่แสงสีส้มสลัวจากโคมไฟสองข้างเตียง แพททริคนั่งอยู่บนนั้น เอนตัวพิงพนักด้านหลัง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กวางอยู่ที่ตัก เขาไม่เงยหน้ามองผม เอาแต่ขมวดคิ้วพิมพ์อะไรบางอย่าง

ถึงไม่ได้ยินเสียง อย่างน้อยหางตาน่าจะเห็นว่ามีใครเข้ามา

แพทริคเมินผมอย่างสมบูรณ์

ผมตัดสินใจขึ้นเตียงไปนั่งข้างเขา ไหล่ชนไหล่ ไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายส่งต่อมาที่ผม ถ้าเป็นปกติแมวยักษ์ตัวนี้คงทิ้งทุกอย่างในมือมาอ้อนมาซบผมแล้ว

ผมถอนใจ เอียงหัวที่ชื้นจากการสระซบลงบนไหล่เขา ลองอ้อนอีกฝ่ายบ้าง เผื่อจะใจอ่อน แพทริคเกร็งจนรู้สึกได้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นถึงได้ผ่อนคลายลง เขายังไม่ปริปากพูดกับผม แต่ก็ดีกว่าบอกให้ผมเอาหัวออกไปจากไหล่เขาแล้วกัน

ผมหลับตาลง ปล่อยตัวจมกับความคิด มันยุ่งเหยิง ตีกันจนชักปวดหัว ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่ปวดหัวคือคิดมากไปจนเครียด หรือเพราะฝนเล่นงานจนไม่สบายเข้าแล้วจริงๆ

ผมคิดอะไรไปเรื่อย เวลาไหลผ่านเชื่องช้า บรรยากาศอึดอัดแต่ไม่เท่าตอนแรก จู่ๆ แพทริคก็ขยับตัว เขาทำท่าจะลุก ผมจำต้องดึงหัวตัวเองกลับอย่างช่วยไม่ได้ ในใจวูบโหวง เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เหมือนแหล่งพึ่งพิงสุดท้ายกำลังหายไป

แพทริคลุกจากเตียงไปจริงๆ ผมมองตาม เขาเดินไปมุมห้อง เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบผ้าขนหนูมาอีกผืน จังหวะที่หันกลับมา พวกเราสบตากัน แพทริคนั่งลงข้างผมเหมือนเดิม ส่วนผ้าเช็ดตัวนั้นถูกคลุมลงบนหัวผม เจ้าแมวยักษ์ออกแรงขยี้เบาๆ จนเส้นผมชื้นๆ เริ่มหมาดขึ้น

ไม่มีคำพูดระหว่างเราเหมือนเดิม

ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“แพท” ผมจับข้อมือเขาไว้ หันหน้าสบตากับอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าซีดมองสู้ไม่หนีไปไหน “อย่าเงียบได้ไหม ขอโทษ จะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“...”

“แพทครับ”

“ผมโกรธคุณมาก” ในที่สุดเขาก็พูดกับผม ความเงียบไม่เสียงดังจนน่ารำคาญอีกต่อไป “โกรธคุณมากแต่ก็เป็นห่วงคุณมากเหมือนกัน”

“ฉันรู้” ผมลูบหัวเขา เลื่อนมือลงมา ประคองใบหน้าแพทริคไว้ด้วยสองมือ เกลี่ยปลายนิ้วกับแก้ม “รู้ว่าเป็นห่วง ขอโทษที่ผิดสัญญา ขอโทษที่ไม่ฟังอะไรนายเลย ฉันขาดสติไปเอง จะไม่ให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

“อย่าทำแบบนั้นอีก มีอะไรให้บอกผม” เขาวางมือทาบกับหลังมือผม สายตาจริงจัง “คุณไม่เชื่อใจผมเหรอ คิดว่าผมพึ่งพาไม่ได้สักนิดหรือไง?”

“นายพึ่งพาได้” ผมตอบเขา น้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม แพทริคเหมือนเด็กหลงทาง แววตาเขาสั่นไหว “แต่ที่ฉันทำไปโดยไม่บอกนายเพราะฉันคิดแค่ว่านี่เป็นเรื่องของฉัน จะดึงนายมาเสี่ยงอันตรายด้วยได้ยังไง”

“เฮ้ ผมบอก…!”

“อย่าเพิ่งขัด” ผมยั้งเขาไว้ ตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แพทริคขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ยอมเงียบฟัง เขาเป็นเด็กดีกับผมเสมอ “ข้อแรกคือฉันเคยชินกับการจัดการอะไรคนเดียว ต่อไปจะคิดถึงนายให้มากๆ ข้อสอง ฉันเป็นห่วงนาย เหมือนที่นายเป็นห่วงฉัน ตลกดีว่าไหมที่ความเป็นห่วงของเราสองคนทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“...”

“อย่าทำหน้าแบบนั้น ฉันจะพยายามปรับตัว...พวกเราจะปรับตัวเข้าหากันให้มากกว่านี้ โอเคไหมเจ้าแมวยักษ์”

“ครับ แต่อย่าทำแบบนี้อีก อย่าทำเหมือนผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ อย่าทำเหมือนคุณต้องจัดการทุกอย่างคนเดียว คุณน่ะดื้อ! ผม…”

ผมยื่นหน้าไปใกล้ ปิดปากแมวยักษ์ช่างบ่นด้วยปากตัวเองจนเสียงทุ้มนั้นขาดหายไป ผมจูบซับย้ำๆ จนแน่ใจว่าเขาจะไม่ปริปากพูดอะไรอีก จากนั้นถึงผละออกมา จูบข้างแก้ม หวังว่าแพทริคจะรู้ว่าจูบนี้หมายความว่ายังไง ผมอยากปลอบเขา ปลอบให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

แพทริคนิ่งไป เขาไม่ขัดขืน ปล่อยให้ผมสัมผัสอย่างอิสระ ทั้งริมฝีปาก ใบหน้า สันกรามและปลายคางตามที่ต้องการ ผมวกกลับมาที่ริมฝีปากเขาอีกครั้ง สัมผัสครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ผมเป็นฝ่ายชักนำ เป็นผู้คุมเกม รุกไล่ให้อีกฝ่ายยอมจำนน ลมหายใจร้อนเป่ารดผิวหน้า แพทริคหายใจหอบ เขาพยายามจะสู้ ท้ายทอยผมถูกประคองไว้ ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยไปมา ขนอ่อนบริเวณนั้นลุกซู่ มันวูบวาบ มวลบางอย่างหมุนวนอยู่ในท้อง

แพทริคไล้ปลายนิ้วลงบนหลังผม แตะเบาๆ เข้าที่กระดูกสันหลัง ปลายนิ้วเคลื่อนลงต่ำตามข้อกระดูก เชื่องช้า สวนทางกับริมฝีปากเขาที่แทบดูดกลืนผมเข้าไปทั้งตัว

“แพท” ผมกระซิบเสียงพร่า ฉวยโอกาสตอนเขาปล่อยให้หายใจถามออกไป “จะทำ?”

“อยากทำ”

เขากระซิบชิดใบหู เป่าลมร้อนจนผมขนลุกอีกครั้ง

“งั้นนี่ถือเป็นการง้อนาย” ผมยื่นข้อเสนอ สบตากับแมวยักษ์ที่แววตาไม่ปิดบังความต้องการไว้อีกต่อไป “ทำตามที่นายต้องการ แล้วหายโกรธฉัน”

“ผมไม่ได้อยากทำเพราะเหตุผลนั้น” เขาขมวดคิ้ว ดูไม่สบอารมณ์ แพทริคขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน เขาผละตัวจากผม คล้ายกำลังหักห้ามใจ

“เฮ้” ผมส่งเสียงเรียก คว้าข้อมือรั้งไว้ ขยับเข้าใกล้กดจูบบนหลังท้ายทอยแพทริค ขบเม้มเบาๆ จนเขาหลุดเสียง ก่อนยื่นหน้ากระซิบข้างแก้ม “แต่ฉันอยากให้นายทำ”

“เซ็บ คุณ?”

เขาเอี้ยวหน้ากลับมา แววตางุนงง ผมกระตุกยิ้ม

“ทำสิ” ผมว่า ยั่วยุเขาด้วยเสียงหัวเราะและรสจูบ จับล็อกคางแพทริคไว้ไม่ให้หันหนี กัดลงบนริมฝีปากล่างอีกฝ่าย ดึงเบาๆ เพื่อเร้าอารมณ์ “หรือนายไม่อยากทำ?”

แมวยักษ์คำรามฮึ่ม หลังจากนั้นผมก็ถูกผลักให้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนกับหัวเตียง แพทริคคร่อมผมเอาไว้ จากมุมนี้แมวยักษ์ดูแปลกตาไป แววตาคู่นั้นหรี่ลง จ้องตรงมาที่ผม คล้ายนักล่ากำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการเหยื่อของตัวเองอย่างไร

บางทีแพทริคอาจไม่ใช่แมวยักษ์ ความขี้อ้อนนั้นแค่พรางตาไม่ให้เห็นร่างที่แท้จริง

“คุณมันร้ายเกินไปแล้วนะเซ็บ”

“ตรงไหน” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ตรงที่อยากให้นาย…”

“เซ็บ!”

เขาคำรามฮึมฮัม ก้มหน้าบดจูบลงบนริมฝีปากผม รสจูบร้อนแรงจนแทบหายใจไม่ทัน ผมไขว้แขนเกี่ยวคอเขาไว้ ออกแรงกดอีกฝ่ายไม่ให้หนีไปไหน เสียงหอบหายใจปะปนกันจนฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร อากาศภายในห้องร้อนจนผมอยากกระชากเสื้อผ้าพวกเราออกไปซะ

แพทริคเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่ออยู่บนเตียง เขากระหายอยาก ไม่รู้จักพอ ริมฝีปากไม่หยุดนิ่ง ไล้โลมตะโบมจูบผมไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ฝ่ามือร้อนบีบเคล้นไหล่ผม ลากไล้ลงมาที่แผ่นอก ออกแรงขย้ำโดยไม่ออมแรง มันเจ็บจี๊ดจนต้องส่งเสียงประท้วง

“เฮ้!”

“คุณโทษตัวเองเถอะเซ็บ” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่ากลั้วเสียงหอบหนัก “กล้ามเนื้อคุณแน่นจนผมอยากเคล้นให้มันขึ้นรอยนิ้วมือผมจริงๆ พระเจ้า!”

“อา แพท!”

ผมหลุดเสียงกระเส่า ปลายนิ้วซุกซนของแพทริคสะกิดส่วนอ่อนไหวบนแผ่นอก ผมเผลอเชิดหน้า หลับตาเกร็งตัวกับสัมผัสนั้น สะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นและความเจ็บจี๊ด พอก้มมองถึงเห็นว่าแมวยักษ์ตัวดีกำลังคันเขี้ยว เขาซุกหน้ากับอกผม ขบเม้มดูดดุนที่จุดนั้น ฟันคมครูดสะกิดผ่านผิวผ้าคล้ายจะแกล้งกัน

ใช่เขาแกล้ง

ผมรู้ทันทีที่ดวงตาสีฟ้าช้อนขึ้นมองจากมุมที่ต่ำกว่า ผมนึกสงสัยว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป เขาเคลื่อนตัวลงต่ำ เสื้อยืดผมถูกเลิกขึ้น แพทริคคำรามฮึ่ม ถ้าฉีกเสื้อให้ขาดได้เขาคงทำไปแล้ว มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อแพทริคซุกใบหน้าลงมา ฝากร่องรอยไว้บนตัวผม ปลายลิ้นชื้นเลียวนรอบแอ่งสะดือ ฟันคมครูดผ่านผิว กดจูบซับสลับไปมา เขาปลุกปั่นอารมณ์ผมจนแทบกระเจิง

รู้ตัวอีกทีแพทริคก็เคลื่อนลงต่ำกว่าเดิม

เขาอยู่ในจุดที่อันตราย...

...อันตรายสำหรับผม


V
V
V

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
V
V


ดวงตาสีฟ้าซีดเหลือบขึ้นมองผมอีกครั้ง แววตาเข้มกว่าเดิม มุมปากกระตุกยิ้มร้ายกาจไม่เหลือเค้าแมวยักษ์ขี้อ้อนตาใสตัวเดิม ผมหลุบตามองเขา อีกฝ่ายส่งปลายนิ้วแตะขอบกางเกงผม พวกเราสบตากันนิ่ง ผมปล่อยให้แพทริคดึงรั้งกางเกงยางยืดที่ใส่นอนลงมา

แล้วก็โยนทิ้งไป เหลือแค่ชั้นใน

“คุณตื่นแล้ว”

“ใช่ ฉันยังไม่หลับ” ผมโต้กลับ แพทริคหัวเราะ วางมือลง ‘บนนั้น’ กดเคล้นจนผมซี้ดปาก “ฮึ่ม! แพท!”

“คุณก็รู้” เขาหัวเราะร่วน “ว่าผมหมายถึงอะไรที่ตื่น”

“งั้นนี่ล่ะ” ผมขยับตัวส่งเท้าวางแนบกับกลางลำตัวแพทริค มันดุนดันสู้ทันทีที่ถูกสัมผัส “เจ้าหนูของนายตาใสไม่แพ้กันเลยนี่”

“ซี้ด เซ็บ…” แพทริคสูดปาก แววตาที่จ้องมาคาดโทษ ผมหัวเราะในลำคอ ลากปลายเท้าลงน้ำหนักบดตรงส่วนที่ผมรู้ดีว่ามันแทบทำให้ผู้ชายอย่างเราคลั่งได้เลยล่ะ “เซ็บ!”

“เฮ้ เบาหน่อย!”

ผมร้องเตือนแมวยักษ์ที่หน้ามืดโถมตัวเข้าหาผมอีกครั้ง เขาจับขาผมออกให้พ้นทาง แทรกตัวเข้ามาตรงกลาง กอบกุมความต้องการของผมที่ลุกโชนด้วยสองมือ ปลุกปั่นจนผมตาพร่า ในท้องวูบโหวงและหดเกร็ง มันยากที่จะไม่รู้สึกอะไรในเมื่อแพทริคใช้มือเก่งจนผมกลั้นเสียงแทบไม่ไหว

“มันดูน่าอร่อยนะ” เขาพูดขึ้นมา ตวัดลิ้นเลียริมฝีปาก

“อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”

“คุณกำลังยั่วผมนะเซ็บ”

“ใช่ ฉันยั่วนาย” ผมยอมรับตามตรง เอนตัวพิงพนักด้านหลัง เท้าศอกกับขอบหัวเตียง เสยเส้นผมชื้นเหงื่อที่ปรกหน้าผากตัวเอง หลุบตามองแพทริคที่อยู่ต่ำกว่า ขาขวาผมเหยียดราบกับที่นอน ส่วนขาซ้ายตั้งชัน แพทริคอยู่ตรงกึ่งกลางนั้น “หรือลิ้นนุ่มๆ ของนายมีดีแค่ตอนจูบ?”

ไม่มีคำตอบจากแพทริค แต่แววตาวาววับกับการที่เขาก้มหน้าลงโอบรับตัวตนผมเข้าสู่โพรงปาก นั่นถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

หัวสมองผมพร่าเบลอ ไม่รู้อะไรร้อนกว่ากันระหว่างอุณหภูมิร่างกายผมกับโพรงปากของแพทริค

และให้ตายเถอะพระเจ้า! เจ้าลิ้นร้ายกาจนั่นไม่ได้มีดีแค่ตอนจูบจริงๆ ด้วย

ผมแทรกปลายนิ้วกับกลุ่มผมสีจินเจอร์ กดนวดเบาๆ ลงบนหนังศีรษะสลับกับจิกทึ้งมัน แพทริคครางอือตอนที่ผมแกล้งกดหัวเขาลงต่ำ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเชิดหน้าซี้ดปากเมื่อโดนปลายลิ้นกดลงส่วนปลาย ลมหายใจผมถี่กระชั้น ขยับสะโพกบดเบียดปากนุ่ม ผมถูกชักนำตามจังหวะที่แพทริคมอบให้ มือทั้งสองข้างของเขาคลึงเคล้นรูดรั้งไม่หยุดพัก

“อะ อา ขยับปากนุ่มๆ ของนายหน่อย อืม อย่างนั้น...เด็กดี”

ความรู้สึกโหมทะยานขึ้นสูง ปลายเท้าผมเสียดสีกับเตียง ลมหายใจถี่กระชั้น ผมหอบหายใจหนัก ความเสียวซ่านกลายเป็นร่องรอยยับย่นบนผ้าปูเตียงสีขาว มัวเมากับสัมผัสที่ได้รับ

ผมหลุบตามองเขา เจ้าตัวกำลังทำสิ่งที่ผมมอบหมายอย่างตั้งใจ ศีรษะที่ถูกปรกคลุมด้วยเส้นผมสีจินเจอร์ผงกขึ้นลง ทุกๆ การขยับนั้นทำผมอยู่นิ่งไม่ไหว สะโพกขยับไปโดยไม่รู้ตัว

จู่ๆ แพทริคก็เหลือบตาขึ้นมา

ดวงตาสีฟ้าเข้มลง ฉายประกายร้ายกาจ เขาจ้องผมในขณะที่ริมฝีปากปรนเปรอให้ไม่หยุด ปลายลิ้นตวัดเลีย จงใจลากช้าให้ผมเห็นชัด

มันมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ท้องผมบิดมวน ลมหายใจหอบถี่ เสียงครางหลุดจากปาก กระตุกและบิดเกร็งทันทีที่แพทริคขบเม้มส่วนปลาย ผมรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังจะพังทลาย

ฟันคมครูดเนื้ออ่อน

เหมือนลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู

หลังจากนั้นผมก็พังทลายจริงๆ

“อึก!”

“แฮ่ก พะ แพท…” ผมเรียกชื่อเขา เจ้าแมวยักษ์เงยหน้ามองผม ริมฝีปากเลอะเทอะไปหมด “อย่ากลืนเชียวเจ้าแมวดื้อ!”

ไม่ทันขาดคำ ผมเห็นลูกกระเดือกเขาขยับไหว เจ้าแมวยักษ์กลืนกินทุกหยาดหยดของผมลงไป ผมไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเสียต่อร่างกายเขาไหม แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจด้วยซ้ำ

แพทริคส่งยิ้มท้าทาย

“เสื้อนี่เกะกะ คุณว่าไหม”

“อยากให้ถอด?”

“ผมอยากกัดคุณให้จมเขี้ยวทั้งตัวโดยไม่มีอะไรมากั้น” เขาว่าหน้าตาย

ผมสบตาเขา

“มาถอดให้ฉันสิ”

“เคยมีใครบอกไหมว่าเวลาคุณอยู่บนเตียงนี่โคตรร้ายกาจเลย”

“ถ้าบอกว่าหลายคน นายจะคลั่งไหมล่ะ”

ผมแหย่เขา แพทริคดูงุ่นง่านไม่สบอารมณ์ เขาไม่พูดอะไรอีกต่อไป ร่างใหญ่โถมตัวเข้ามา จับขอบชายเสื้อยืดที่ถกคาบนอกดึงขึ้นทีเดียวหลุดจากตัว เขาโยนมันไปไกล สายตาจ้องผมนิ่ง เต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สามารถปิดได้มิด แมวยักษ์ซุกใบหน้าเข้าที่ซอกคอผม ริมฝีปากซุกซนขบเม้มไปทั่ว มือร้อนลากผ่านผิว บีบเคล้นทุกที่ที่สัมผัส

ผมแตะสีข้างเขา ปลายนิ้วเกี่ยวชายเสื้ออีกฝ่าย เลิกถอดขึ้นด้านบน แพทริคให้ความร่วมมือแต่โดยดี วินาทีต่อมาช่วงบนเขาก็เปลือยเปล่า แพทริคเป็นเทรนเนอร์ ไม่แปลกที่จะหุ่นดี กล้ามเนื้อแน่นไร้ไขมัน ช่วงไหล่กว้างและเอวสอบ ผมลากมือผ่านสีข้างเขาอีกครั้ง สัมผัสถึงกล้ามเนื้อชายโครงที่ขึ้นเป็นลายสวยไม่แพ้ส่วนหน้าท้อง

“นายหุ่นดีนี่”

“คุณชอบเหรอ” เขาว่าเสียงพร่า  ริมฝีปากดูดเม้มติ่งหูผม “ซื้อคอร์สเทรนกับผมสิ แล้วผมจะเทรนให้คุณเอง”

“ไม่มีทดลองก่อนเหรอ” ผมจับใบหน้าเขามาจูบ แพทริคส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอเมื่อผมส่งปลายลิ้นเข้าไป เสียงจูบดังเฉอะแฉะเป็นทำนองน่าอาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเร้าอารมณ์ ผมผละริมฝีปากออก “ถ้าของนายดีจริงฉันอาจจะยอมซื้อคอร์สกับนายก็ได้”

“งั้นเริ่มทดลองตั้งแต่คืนนี้เลยไหม”

“เริ่มจากไหนดี”

“วิดพื้นแล้วกัน” เขายิ้ม “แต่คืนนี้เปลี่ยนจากพื้นเป็นตัวคุณนะ”

พวกเราเลิกต่อปากต่อคำกัน แพทริคดูมีความสุขกับร่างกายผม แมวยักษ์ซุกซนตวัดลิ้นเลียและดูดดุนไปทั่ว โดยเฉพาะจุดอ่อนไหวบนหน้าอกผมที่เขาชอบเป็นพิเศษ

“อะ ฮืม…” ผมกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน แหงนหน้าสูดอากาศเข้าเต็มปอดระบายความเสียวซ่าน จิกทึ้งเส้นผมเขา ขย้ำไปมา ปลายลิ้นนุ่มบดขยี้ติ่งไตนั้น เสียงดูดดังก้องในโลกที่เงียบงัน โลกที่มีเพียงแค่เราสองคน “จะดูด หะ ให้หลุดติดปาก ละ เลยหรือไง ฮืม! อา เจ้าแมวลามก!”

“คุณไม่รู้เหรอครับว่าแมวชอบกินนม” เขาช้อนสายตามองผม ปลายลิ้นโลมเลียเชื่องช้าราวกับตั้งใจให้ผมดิ้นพล่าน “โดยเฉพาะนมสดจากเต้า”

“เต้าบนนายคงไม่ได้กิน” ผมหายใจหนัก “แต่ถ้าเต้าล่างนายคงได้ดื่มนมสมใจ”

“ฮึ่มเซ็บ!”

กึก!

“อย่ากัด!” ผมผวาเฮือก ฟาดมือลงกลางหลังแพทริค อีกฝ่ายไม่สนใจสักนิด ผมขมวดคิ้วแน่น เด็กดื้อแบบนี้สมควรโดนลงโทษ

“เฮ้!”

“หมดเวลาสนุกแล้วเด็กน้อย”

ผมกระตุกยิ้มหลังผลักแพทริคออกจนเขาแทบหงายหลัง ผมดันตัวขึ้นมา เชยปลายคางอีกฝ่ายไว้ แพทริคจ้องผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ผมยื่นหน้าจูบเขา ล็อกท้ายทอยอีกฝ่ายไม่ให้หันหนี เรียวลิ้นเกี่ยวรัดไม่มีใครยอมใคร ผมวางมืออีกข้างบนไหล่เขา ลากไล้ลงมา ผ่านหน้าอกแน่นๆ กล้ามเนื้อชายโครงลงมาถึงเอวสอบ บีบอย่างแรงเป็นการเอาคืนก่อนลากต่ำลงกว่าเดิม

“ฮะ ฮ้า! เซ็บ คุณ…!”

“ชู่ๆ เด็กดี”

ผมกระซิบชิดใบหูเขา จูบซับข้างแก้ม ฝ่ามือลูบไล้ตามแนวความยาวของส่วนอ่อนไหว แพทริคแข็งเกร็งอยู่ในอุ้งมือผม ดื้อดึงไม่ต่างจากคุณเจ้าของตัวใหญ่ ผมซุกหน้าขบผิวเนื้ออ่อนบริเวณซอกคอแพทริค ปลุกเร้าตัวตนอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้ากางเกงนอนจนมันขยับขยายกว่าเดิม แพทริคครางต่ำอยู่กับอกผม สองมือถูไถบีบเอวผมระบายอารมณ์

เอวสอบขยับตามมือผม เขายัดเยียดตัวตนเข้ามา เบียดชิดกับฝ่ามือ ผมเกี่ยวขอบกางเกงเขาลง เปิดเปลือยความต้องการให้หลุดพ้นขึ้นมา โอบกุมตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ มันอุ่นร้อนและสั่นเกร็งในทุกจังหวะที่ขยับมือ

“อยากปล่อยไหม”

“แฮ่ก เซ็บ…” เขาครวญคราง และผมยิ่งได้ใจ กดเน้นส่วนปลายหยอกเย้า

“อึดอัดไหมเด็กดี อยากปล่อยหรือเปล่า”

“เซ็บ อา...คุณนี่แม่ง!” เป็นครั้งแรกที่เขาพูดหยาบคายกับผม “แม่งเอ๊ย คุณอย่าแกล้ง อะ อา…”

“ชู่…” ผมจูบปิดปากเขา อ้อยอิ่งเชื่องช้า แต่แพทริคเปลี่ยนมันให้เป็นจูบที่ดุดัน เขาโอบท้ายทอยผมไว้ด้วยสองมือ จิกเส้นผมของผม “ทำตัวดีๆ แล้วฉันจะให้นายปล่อย”

“แม่ง ผมจะจับคุณกระแทกแรงๆ เลยคอยดู ฮึ่ม!”

ผมหัวเราะกับคำขู่เขา แหงล่ะ หลังจากนี้มันอาจไม่ใช่คำขู่ก็ได้ ผมละมือจากส่วนนั้น ไม่ปล่อยให้เขาเสร็จง่ายๆ แพทริคมองผมตาขวาง เขาค้างอยู่กลางทาง ดูสับสนงุ่นง่านและไม่เข้าใจ ผมสบตาเขา ขยับถอยกลับไปเอนตัวพิงพนักเตียงเหมือนเดิม ผมเท้าแขนกับขอบหัวเตียง เสยเส้นผมที่ชื้นเหงื่อไปด้านหลัง ปรายตามองเขาอย่างคนที่เหนือกว่า

“อยากปล่อยใช่ไหม”

“...”

“งั้นทำไมไม่ปล่อยในตัวฉันเลยล่ะ :)

ผมกดโดนปุ่มอันตรายเข้าให้แล้ว แพทริคโถมตัวเข้ามา กักผมไว้ใต้ร่างเขา ซุกไซ้ไปทั่วตัวผม ริมฝีปากดูดเม้มฝากร่องรอยและความเจ็บจี๊ด มือตะโบมบีบจนเนื้อผมแทบหลุดติดมือเขา แพทริคแทรกตัวอยู่ตรงกลาง เขาก้มหน้าลงดูดผิวเนื้ออ่อนที่ซอกขา ไม่ต้องดูผมก็รู้ว่าเขาคงทิ้งรอยแดงเป็นจ้ำไว้ตรงนั้น

“ผมไม่มีเจล”

“แต่นายมีลิ้น” ผมว่าเสียงหอบ “ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ”

แพทริคคำรามเสียงต่ำ คล้ายเสียงสัตว์ป่า สีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นผู้ล่า ค่ำคืนนี้แมวยักษ์กลายร่างเป็นเสือโดยสมบูรณ์

เซ็กส์ระหว่างผู้ชายไม่ได้ง่ายดายเหมือนชายหญิง มันคงไปไม่รอดถ้าไม่มีตัวช่วยหล่อลื่น ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ผมมักเป็นคนกระทำ สาวๆ คู่นอนพวกนั้นก็ดูชอบเซ็กส์ของผมดี ส่วนแพทริคเป็นคนแรก...เป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเต็มใจจะให้เขาเข้ามา

สัมผัสเปียกชื้นที่แตะเข้าปากทางทำผมสมองเบลอ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ที่จริงมันรู้สึกดีกว่าที่คิด เสียงเฉอะแฉะดังก้องในความเงียบ กล้ามเนื้อผมขยับรัดปลายลิ้นนุ่มที่ส่งเข้ามา ผมเงยหน้าขึ้น กัดฟันกลั้นเสียงครางเอาไว้ มือกำผ้าปูที่นอนจนยับ ปลายเท้าจิกลงบนเตียง ขยับเสียดสีไปมาโดยไม่รู้ตัว

หลังจากคืนนี้ไป ผมจะจัดให้ลิ้นของแพทริคอยู่ในหมวดสิ่งของอันตราย

“อะ อืม แพท พอ…” ผมบอกเขาเมื่อรู้สึกว่ามันพร้อมแล้ว และผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ผมต้องเบิกทางก่อน”

“อะ อา แพท”

ผมคำรามเมื่อปลายนิ้วสอดแทรกเข้ามา แพทริคดูไม่ไหวเหมือนกัน แต่เขาก็ยังพยายามไม่รีบร้อนจนทำผมเจ็บตัว ขั้นตอนนี้เนิบนาบแต่กลับทำผมเริ่มทนไม่ไหวซะเอง ผมกัดฟันกรอด อยากให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปสักที

ความต้องการของผมเป็นจริงในวินาทีต่อมา แพทริคถอดปราการสุดท้ายทิ้ง เขาโถมตัวเข้าหา จ่อมันกับทางเข้า ดุนดันตัวตนเข้ามาในตัวผม มันจุกเสียดและอึดอัดในตอนแรก พวกเราแทบขยับไม่ได้ แพทริคคำราม เขาขยับตัวช้าๆ กระทั่งทุกอย่างเข้าที่ถึงได้เร่งความเร็ว

ตัวผมขยับตามแรงกระแทก หัวสั่นคลอน

แพทริคไม่ได้โกหก

เขาจับผมกระแทกแรงๆ จริงๆ

“อึก อะ อะ แพ แพทริค!” ความรู้สึกแปลกใหม่ทำผมพูดไม่เป็นภาษา ผมเกี่ยวแขนคล้องคอเขา ดึงลงมาใกล้ พวกเราจูบกันโดยที่แพทริคไม่หยุดขยับเอวและผมไม่หยุดกระเด้งรับ

“แน่นไป” เสียงทุ้มคำรามฮึ่ม เขาเกี่ยวขาผมไว้ในขณะที่โหมตัวลงมา “แม่ง คุณรัดแน่นมากเลยเซ็บ!”

“ผิดที่ฉะ ฉัน หรือผิดที่นายมันใหญ่ไปกัน แฮ่ก!”

“อา คุณนี่ปากดีจริง” เขาฟาดก้นผมไปทีนึง เจ็บจนเผลอกัดฟัน

“อ...ไอ้หนูของนายทำเอวฉันแทบไม่ติดเตียง”

ผมส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ

“ฮื้ม! เวลาอยู่บนเตียงคุณชอบ Dirty Talk เหรอ”

“ไม่ชอบเหรอ อึก!”

“ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ แม่ง! อย่าดูดผมแบบนั้น”

ผมคลายส่วนที่แกล้งรัดเขาไว้ แพทริคยั่วง่ายจนผมนึกชอบใจ ก่อนโดนอีกฝ่ายเอาคืนด้วยการขยับเนิบช้าจนผมแทบขาดใจ

“อย่าแกล้ง…”

“คุณต้องการอะไร คุณบอกผมสิ”

เจ้าสะโพกน่าหงุดหงิดนั้นทำผมแทบคลั่ง ผมชันตัวขึ้น ช่วงล่างเสียดสีกับสิ่งที่อยู่ข้างในจนเผลอซี้ดปาก เหมือนโดนไฟฟ้าช็อต ผมปวดหนึบที่กลางลำตัว ร่างกายอ่อนไหวไปทุกสัดส่วน

ผมจูบเขา จิกปลายนิ้วกับท้ายทอยอีกฝ่าย ขยุ้มเส้นผมดึงรั้งให้แพทริคเชิดหน้าขึ้น ผมเอี้ยวใบหน้าไปด้านข้าง เป่าลมร้อนข้างใบหูแพทริค ส่งเสียงทุ้มต่ำเร้าอารมณ์อีกฝ่าย

“ในตัวฉันอุ่นไหม อา...เด็กดี ขยับแรงๆ”

“อึก เซ็บ!” แพทริคร้องเมื่อผมแกล้งบีบรัดตัวตนเขาไว้ ผมถูกผลักให้นอนราบกับเตียง ขาข้างหนึ่งถูกแพทริคยกขึ้นสูง เขาแทรกลึกมากขึ้นกว่าเดิม กระแทกกระทั้นโดนจุดกระสัน ผมแทบไม่อยู่นิ่ง ขยับตัวตอบรับการเคลื่อนไหวของแพทริคเป็นจังหวะเดียวกัน

“ดี แบบ น...นั้น แรงได้แค่นี้ ร...เหรอแพท”

คำพูดผมเหมือนตัวจุดฉนวน แพทริคขยับโยกอยู่บนตัวผม แรงจนจวนเจียนจะระเบิด

ฝนยังไม่หยุดตก ผมรู้เพราะโลกทั้งใบตอนนี้มีเพียงเสียงหอบหายใจ เสียงครางกระเส่าทุ้มต่ำของผมและแพทริคเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเราขยับไปอีกขั้น ในโลกที่มีแค่เราสองคน

ผมและเขา

แพทริคเลื่อนมือมาโอบอุ้มผมไว้ ขยับรั้งเมื่อพวกเราใกล้ถึงจุดหมาย

ในหัวผมพร่าเลือน ได้แต่หลับตาเชิดหน้ารับสัมผัสทั้งจากภายนอกและภายใน

ก่อนหน้านี้ผมพังทลาย

ส่วนตอนนี้ผมใกล้แตกสลาย

ด้วยน้ำมือของแพทริคเพียงคนเดียว

“อะ อะ ฮะ ฮ้า!”

ลมหายใจผมขาดห้วง ร่างกายกระตุกเกร็ง ความต้องการถูกปลดปล่อยจนเลอะเต็มหน้าท้อง ในขณะเดียวกันแพทริคก็ปลดเปลื้องอารมณ์ใส่ตัวผม เติมเต็มจนทะลักทลาย

บางทีผมคงต้องเตรียมถุงยาง

เพราะมันคงไม่จบแค่ครั้งนี้แน่ๆ

“อือ เซ็บ…”

แพทริคกลายร่างเป็นแมวยักษ์เหมือนเดิม เขาพาดแขนกอดเอวผมไว้ ใบหน้าซุกกับไหล่ ปากอุ่นจูบไล่ไปมาไม่อยู่นิ่ง ผมแทรกปลายนิ้วกับเส้นผมสีจินเจอร์ มันชื้นเหงื่อจากการออกแรง ผมขยี้เบาๆ แพทริคช้อนตาขึ้นสบ เขาคว้ามือผมไว้ หลุบตามองรอยถลอกบนหลังมือที่เกิดจากการต่อยหน้าไอ้เวรที่สะกดรอยตามเมื่อเย็น

แพทริคจูบลงบนแผล สัมผัสเขาอ่อนโยน

“ไม่อยากให้คุณเจ็บตัวเลย”

“ไม่เจ็บเท่าไหร่”

“แต่ผมเจ็บ” เขาทำหน้ายู่ เบะปากเหมือนเด็กเล็กๆ “เพราะผมชอบคุณ ชอบมากๆ ไม่อยากเห็นคุณเป็นอะไรทั้งนั้น”

ผมขยับตัวนอนตะแคง ยกมือเท้าหัวตัวเอง ทอดสายตามองแพทริคที่จับมือผมไว้ไม่ปล่อย ผมดึงมือออกจากเขา ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนแตะแก้มแพทริคเอาไว้ ไล้ปลายนิ้ววนไปมาและยื่นหน้าจูบอีกฝ่าย แพทริคจูบตอบ มือเลื้อยมาบีบเนื้อบริเวณเอวผม ฟอนเฟ้นไปมาจนต้องจับให้หยุด

ผมผละออก จ้องหน้าเขานิ่ง

“เฮ้…”

“ครับ?”

“บอกชอบฉันอีกทีได้ไหม” แววตาแพทริคดูสงสัย แต่ก็ทำตามที่ผมขอ

“ผมชอบคุณ”

“เด็กดี” ผมหลุดยิ้ม กระซิบตอบกลับไป “ฉันก็ชอบนาย”

แพทริคตัวแข็งทันทีที่ฟัง เขาจ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง ปากเผยอค้าง ผมหลุดขำกับท่าทางของเขา นานทีเดียวกว่าแมวยักษ์จะหาเสียงตัวเองเจอ

“คุณ...อย่าล้อผมเล่นเชียวนะ!?”

“ฉันดูเป็นคนชอบพูดเล่นเหรอ”

“เซ็บ…” แมวยักษ์สับสน เขาผุดลุกนั่ง จ้องหน้าผมเขม็ง ผมมองร่างกายเขา มันดูดีจนยากละสายตา “เฮ้! หยุดมองไอ้หนูผมสักที มองหน้าผมนี่ เซ็บ!”

“เฮ้อ...คำว่าชอบจากปากฉันมันดูไม่จริงใจเหรอ”

“ผ...ผม”

“ฉันชอบนาย” ผมพูดซ้ำ สบตาเขา “ชอบนายแพทริค”

คำว่าชอบของผมคงมีมนต์วิเศษ มันสามารถเสกให้ใบหน้าแพทริคแดงเรื่อ แมวยักษ์มีสีหน้าแปลกประหลาด เหมือนเขาจะยิ้ม แต่ก็บิดเบี้ยว สุดท้ายก็หัวเราะออกมา โถมตัวกอดผมแน่น ประทับจูบลงบนไหล่ เกลี่ยปลายจมูกตัวเองไปมา คำว่า ‘ผมชอบคุณ’ ถูกกระซิบข้างหูนับไม่ถ้วน

ผมกอดเขาตอบ หัวเราะกับท่าทีน่ารักนั่น ลูบมือกับแผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือย

โลกของผมกับโลกของแพทริคขยับเข้าหากัน

ในที่สุด...

...วันนี้โลกทั้งสองก็รวมเป็นใบเดียว


___________________________________________________

ก่อนอื่น ใครเรือล่มก็สูดหายใจเข้าลึกๆ นะคะ 5555 ถึงคุณเซ็บจะรับ แต่ก็ไม่ได้อยากให้มองว่าเคะจ๋าขนาดนั้น คุณเซ็บก็ยังคงเป็นคุณเซ็บ ดุๆ แมนๆ เพิ่มเติมคือชอบแพทกลับแล้ว เย่ เรื่องโพสิชั่นจริงๆ ก็ไม่อยากฟิกโพหรอกค่ะ ฮ่า แต่ในเมื่อมีฉากแบบนี้มันก็เลยต้องเลือกสักคน เซ็บก็จะยังไทป์ผัวสำหรับเราค่ะ เราไม่อยากจำกัดความว่าเคะหรือฝ่ายรุกจะต้องน่ารัก ขี้อ้อนหรือออกสาวอะไร เพราะงั้นก็อยากให้มองคุณเซ็บในแบบเดิมที่มองกันนะคะ ❤ เซ็กส์คือการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่ง เรารับรู้ว่าเขารักกันแค่นั้นก็สุขใจแล้วค่ะ ><

ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ


#คุณผู้มากับสายฝน

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ฮอตสุดๆไปเลยค่าาาา โอ้ยยยยย :pighaun: :jul1:

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรือเราล่มค่ะ แต่เราไหวตัวทัน คว้าชูชีพตีขาไปขึ้นเรืออีกลำแล้ว  :hao7:  แมวยักษ์กลายร่างเป็นเสือ อ่านไปจะกรี๊ดไปค่ะ กัดผ้าห่มไปด้วย ส่วนคุณเซ็บก็ยังเป็นคุณเซ็บในแบบที่อ่อนโยนและชวนของขึ้นสุดๆ ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เป็นบรรยากาศฝนตกที่รุนแรง เร่าร้อน แล้วก็กลับมาอ่อนโยน
เขารักกันน่ารักมากกกก แม้ว่าตอนที่เซบาสเตียนเอ่ยปากชวนเราจะรู้สึกเฟลไปนิดนึง
กลัวแพทริคคิดมากว่าถึงกับต้องเอาเรื่องแบบนี้มาง้อกันเลยเหรอ
แต่สุดท้ายก็ไม่ สมใจ เข้าทาง >///<
ถึงจะกลายร่างดุดันแค่ไหน ขอแค่เจ้าของลูบคางเมื่อไหร่ก็กลับมาเป็นแมวยักษ์ขี้อ้อนเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องเรือนี่น่าจะไม่ล่มนะ เพราะยังไม่ลงค่ะ ฮ่าๆ
แต่เราคิดว่าคนขี้อ้อนก็ต้องเป็นคนปรนเปรอสิ ไม่อย่างนั้นคุณเซ็บจะเป็นเสือดำราชินีได้ยังไง ใช่มั้ย ><
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 09:42:44 โดย u_cosmos »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เค้าอ้อยกันไปอ้อยกันมาน่ารัก ดีใจที่มีวันนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

ออฟไลน์ nkl31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :pighaun: เรือเรายังอยู่ดี แถมเปลี่ยนจากเรือพายเป็นสปีทโบ๊ทแล้วค่าาา แม่ขาาาาาา เค้าได้กันแล้ววว เป็นของกันและกันแล้วค่ะ

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :jul1: :jul1:
ชอบความกลายร่างเป็นเสือของแพทมากกกก เลือกกำเดาแทบพุ่ง เซ็บยั่วมากกกกกกก เขินเลยอ่ะ
ชอบความพอเสร็จก็กลับมาเป็นเข้าแมวขี้อ้อนเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ใช่ค่ะ เรือเราล่ม 55555555555555555555

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 17

You’ll never lose me, I promise.


[Patrick]



พื้นที่ว่างข้างตัวเกือบทำให้ผมคิดว่าเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน ทว่าสัมผัสอุ่นที่เหลือทิ้งไว้บนนั้นย้ำเตือนว่าไม่ได้ฝันไป ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นคือความจริง

รวมถึงคำว่าชอบของเซบาสเตียน

“อือ…”

ผมครางแผ่ว มุดตัวซุกผ้าห่ม หัวไถกับหมอนนุ่มใบโต อากาศเช้านี้เย็นลงกว่าเดิม คงเพราะฝนที่ตกหนักอยู่เกือบทั้งคืน ตอนนี้มันหยุดแล้ว ผมได้ยินเสียงนกร้องจากทางระเบียง เสียงพูดเบาๆ ลอยมาในอากาศ ผมลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไล่ความมึนงงทิ้ง หยีตามองไปทางระเบียงห้อง ประตูบานเลื่อนถูกเปิดแง้มไว้

ผ้าม่านสีครีมขยับไหวตามแรงลมจากด้านนอก ร่างสูงของใครบางคนยืนเท้าแขนกับระเบียง มือหนึ่งยกแนบใบหู ผมคิดว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ใช่ เมื่อวานเกือบจับได้แล้ว แต่พลาด”

เสียงของเซบาสเตียนชัดเจนขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ เขาหันหน้ามองผมแวบหนึ่ง คงเพราะได้ยินเสียงเดิน ผมคิดว่าเซบาสเตียนจะตัดบทคนในโทรศัพท์แล้วตัดสายทิ้ง แต่เขาทำแค่หันกลับไป สายตาทอดมองความวุ่นวายด้านล่างและคุยกับคนในสายต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ฉันรู้สึกมาสักพักแล้ว แค่เมื่อวานมันชัดเจนกว่าเดิมว่าโดนตาม ทำไมนายไม่โดนบ้างฮะแมท?” ในที่สุดผมก็รู้ว่าเขาคุยกับใคร “แหงล่ะ ไม่ต้องคิดส่งบอดี้การ์ดมาคุ้มกันฉันเชียวนะ คนพวกนั้นอย่างกับวิญญาณตามติด”

ผมฟังเซบาสเตียนคุยกับแมทธิวอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจสวมกอดเขาจากด้านหลัง ลมหายใจเซบาสเตียนสะดุด ผมรู้สึกได้ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เซบาสเตียนวางมือข้างที่ว่างทับมือผมที่ประสานกอดเอวเขาไว้ ปลายนิ้วเกลี่ยหลังมือผมเบาๆ ผมจูบท้ายทอยเขา วนเวียนอยู่แถวนั้น กล้ามเนื้อแผ่นหลังเขามีเสน่ห์จนผมจูบซ้ำไปมาผ่านผิวผ้า ผมอ้อนเซบาสเตียนจนพอใจถึงได้เกยคางลงบนไหล่ หลับตาเอียงแก้มซบกับความอบอุ่นนั้น

เซบาสเตียนเป็นอุณหภูมิที่เติมเต็มตัวตนของผม

ไม่อาจขาดได้อีกต่อไป

“ฝากนายด้วยแล้วกัน ถ้าขอภาพจากกล้องวงจรปิดมาได้ พวกเราอาจรู้รูปพรรณสัณฐานมันเพิ่มเติม” เซบาสเตียนเงียบไป เขาฟังสิ่งที่แมทธิวพูดก่อนพ่นลมหายใจคล้ายหงุดหงิด “นายก็อย่าทำให้พ่อสงสัยสิ แค่นี้ไม่เกินความสามารถของจากัวร์แห่งรอสซ์หรอก”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เซบาสเตียนพูดกับแมทธิวก่อนตัดสาย เขาขยับตัวเบาๆ ยื่นมือมาลูบหัวผมก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองมา แววตานั้นอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

“จะอ้อนเอาอะไรหืม?”

“เอาคุณ”

“นายได้ไปแล้วไง” เซบาสเตียนตอบตามตรง กลายเป็นผมที่เขินอายซะเอง “มาหน้าแดงใส่ทำไมแพท”

“ก็เพราะคุณนั่นแหละ”

“ฉันทำไม”

“คุณทำผม…” ผมเม้มปาก สวมกอดอีกฝ่ายไว้แล้วซุกหน้ากับไหล่เขา เสียงที่พูดออกมาอู้อี้ดูน่าตลกสิ้นดี “...ทำผมเขิน บ้าเอ๊ย ทำไมต้องเป็นผมที่เป็นคนเขินล่ะ?”

“เด็กน้อย” เขาหัวเราะ ขยี้หัวผมแรงๆ แล้วดันตัวออก “เข้าห้องซะ เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”

“อยู่ด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอครับ”

“ก็อยู่ด้วยทั้งคืนแล้วไง” ผมถูกเขาน็อกด้วยคำพูดอีกครั้ง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เซบาสเตียนดูตามใจผมมากกว่าเดิมจนอดรู้สึกทำตัวไม่ถูกไม่ได้

“ก็อยากให้อยู่ด้วยกันนานๆ นี่”

ผมบ่นพึมพำ เดินตามหลังเซบาสเตียนเข้าไปในห้อง ก่อนถูกไล่ให้ไปล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนเซบาสเตียนแยกไปแต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ซักและอบแห้งเรียบร้อย อา...ผมยังไม่ได้คาดโทษเขาเรื่องที่ไปตากฝนแบบนั้นเลยนะ เห็นผมทำเป็นไม่สนใจแต่ข้างในร้อนรนตั้งแต่เขาวัดใจกับผมแล้ว สุดท้ายผมก็ใจอ่อน ไม่สิ...ผมน่ะไม่เคยใจแข็งกับเซบาสเตียนได้เลยต่างหากล่ะ

“กลับแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับ”

“หืม?”

“คือ…” ผมมองหน้าเขา ชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ มันจะเป็นการทำลายบรรยากาศดีๆ ในเช้านี้ให้หมดไปหรือเปล่า “ผมเป็นห่วงคุณ...เรื่องเมื่อวานน่ะ”

“อืม ฉันรู้”

“ไม่ คือ…” ผมกลอกตา “ขอโทษที่แอบฟังที่คุณคุยกับแมทนะ แต่คุณบอกว่าคุณรู้สึกว่ามีคนตามมาสักพักแล้วใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่” เซบาสเตียนพยักหน้ารับ “อีกอย่างนายไม่ต้องขอโทษที่แอบฟัง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนาย ก็พูดให้ฟังด้วยกันนี่แหละ...สัญญาแล้วไงว่ามีอะไรจะบอก”

ผมคิดว่าถ้าใบหน้าตัวเองยืดหยุ่นได้ ตอนนี้ผมคงยิ้มกว้างจนริมฝีปากยกถึงใบหูแน่ๆ

“คุณน่ารัก”

“สรุปคือนายจะคุยเรื่องไหน เรื่องที่มีคนตามสะกดรอยฉัน หรือเรื่องที่ฉันน่ารัก?” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว เขาเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น กระดิกนิ้วเรียกให้ผมตามมานั่งด้วยกัน ผมนั่งตรงข้ามเขา “เหมือนจะต้องคุยยาวใช่ไหม”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ “ผมบอกคุณไปแล้วว่าเป็นห่วง ถ้าเกิดมันตามคุณอีกล่ะ…”

“นายคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยตัวเองให้โดนมันทำร้ายหรอกนะ”

“ผมจริงจังนะเซ็บ” ผมปรับเสียงให้เขารู้ “แมทจะส่งบอดี้การ์ดมาคอยคุ้มครองคุณก็ไม่เอา อีกอย่างคุณอยู่คนเดียวด้วย ให้ตายสิ ในหัวผมกังวลเรื่องคุณเต็มไปหมด ไม่งั้นคุณกลับไปอยู่ที่รอสซ์เถอะ อย่างน้อยผมยังวางใจได้ว่าคุณจะปลอดภัยแน่ๆ”

“เจ้าแมวยักษ์ สงบสติตัวเองแล้วฟังฉันนะ” เซบาสเตียนสบตาผม เขายกนิ้วชี้ขึ้น “หนึ่ง...ฉันไม่กลับไปที่รอสซ์เด็ดขาด พ่ออยู่ที่นั่น เขาจะจับตามองฉันทุกฝีก้าวจนทำอะไรไม่สะดวกเชียวล่ะ”

“แต่…”

“และสอง” เซบาสเตียนชูสองนิ้วตรงหน้าผม “ฉันรำคาญพวกบอดี้การ์ดที่ตามตูดเหมือนฉันเป็นนักโทษ”

“ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณทั้งนั้น”

“แพท” เซบาสเตียนวางแขนลงบนขา เขาประสานมือหลวมๆ โน้มตัวมาข้างหน้า จ้องนิ่งมาที่ผม “ฉันจะปลอดภัย ตราบใดที่ไม่วิ่งเข้าหามันเหมือนเมื่อวาน และอีกอย่าง ฉันไม่ได้อยู่ในที่สุ่มเสี่ยง ที่ทำงานฉันคนพลุ่กพล่าน คอนโดฯ ฉันระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม มันไม่มีทางเข้าประชิดตัวฉันได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง”

“อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง” ผมทวนคำ ฮึดฮัดไม่ชอบใจ “ก็หมายความว่ายังมีสิทธิ์เข้าประชิดตัวคุณได้ไง”

“เรื่องมากจัง นายไม่มาตามเฝ้าฉันเลยล่ะ”

เซบาสเตียนประชด ใช่...ผมรู้ว่าเขาประชด ฟังจากน้ำเสียงนั่น แต่เซบาสเตียนต้องไม่รู้แน่ว่าผมเอาคำประชดเขามาคิดเป็นจริงเป็นจัง

“ได้สิ”

“ฮะ?”

“ผมจะตามเฝ้าคุณ”

“นายพูดอะไรของนาย” เขาขมวดคิ้ว “อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียว”

“ไม่บ้าสักหน่อย” ผมยักไหล่ “คุณไม่เอาบอดี้การ์ด ไม่กลับไปอยู่ที่ปลอดภัย โอเค งั้นผมจะมาอยู่กับคุณเอง อย่างน้อยผมก็สบายใจได้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยคุณได้”

“นี่แพท” เซบาสเตียนถอนหายใจ เขาสบตาผม “ฉันประชด นายไม่ต้องเอาไปคิดจริงจัง”

“โอ้ ช่วยไม่ได้แฮะ ผมคิดไปซะแล้ว”

ผมตอบรับหน้าซื่อ เซบาสเตียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม อีกนิดน่าจะผูกโบว์ได้ เขาเขม็งตาจ้องผมราวกับจะกดดัน ผมเหงื่อตก เซบาสเตียนเป็นคนตาดุคม เวลาโดนเขามองด้วยสายตาแบบนี้มันน่ากลัวทีเดียว

ใจเย็นไว้แพทริค เซบาสเตียนเอ็นดูนายจะตาย อย่าหลบตาคุณเสือดำเชียวนะ!

ผมปลุกปลอบใจตัวเอง ปั้นหน้าจริงจังแม้เหงื่อจะท่วมมือไปหมด กระทั่งเซบาสเตียนพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา เขาหรี่ตา จ้องผมด้วยแววตาดุๆ คู่นั้น

“นี่คงไม่ใช่แผนขอเนียนมาอยู่ด้วยกันหรอกใช่ไหม”

“ใช่ที่ไหนกันล่ะครับ!” แต่ก็...อืม เรียกว่าผลประโยชน์พิเศษจากเหตุผลหลักแล้วกัน

“นายมาอยู่ด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีแพท”

“ผมช่วยได้นะ!”

“ยังไง” เขาเลิกคิ้ว “นายทำงานทั้งวัน ส่วนฉันส่วนใหญ่อยู่ที่ห้อง ทำงานสามวันต่อสัปดาห์ เท่ากับว่าออกข้างนอกน้อยกว่านาย ไม่เข้าข่ายเสี่ยงอะไรทั้งนั้น นายจะมาอยู่ด้วยหรือไม่มาก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป เข้าใจที่พูดไหมแพท”

“มัน มันก็…”

“หรือฉันพูดตรงไหนผิด แย้งได้นะ ฉันรับฟังเสมอถ้ามีเหตุผลรองรับมากพอ”

อา...ให้ตาย ผมแย้งไม่ได้สักจุดเลยล่ะ

“โอเค” ผมยกมือยอมแพ้ “ผมอาจช่วยอะไรคุณไม่ได้ก็จริง แค่...รู้สึกไม่อยากปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว ส่วนนึงเพื่อความปลอดภัยของคุณ อา ถึงจะไม่ช่วยอะไรก็เถอะ อีกส่วนก็เพื่อความสบายใจของผม”

“แค่ความสบายใจของนาย แค่นั้น?”

“ครับ แค่นั้น”

“ฉันควรทำไงดี” เซบาสเตียนตั้งคำถาม เขาลุกเดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างกัน ดวงตาสีมรกตสะกดผมเอาไว้ “ทำให้นายสบายใจอย่างที่ต้องการดีไหม”

“เซ็บ…”

“ฉันน่ะ อยากใจร้ายกับนายให้มากกว่านี้” เขาหัวเราะเบาๆ ยื่นหน้ากดจูบข้างแก้มผม...แผ่วเบา “น่าเสียดายที่ทำไม่ลงแล้ว”

“...”

“ก็ได้ จัดการตามที่นายต้องการ” เขายี้หัวผมจนยุ่งแล้วลุกขึ้น “ฉันต้องกลับจริงๆ แล้ว ไว้ค่อยเจอกันเจ้าแมวยักษ์”

เซบาสเตียนทิ้งท้ายสั้นๆ เขาหมุนตัวเดินออกไป เสียงประตูปิดลง ผมมองบานประตูนั้น นิ่งอยู่สักพักถึงได้ก้มหัวยกมือปิดหน้าตัวเองไว้ กลิ่นอายเซบาสเตียนยังอวลอยู่รอบตัว ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เซบาสเตียนน่ารักกับผมเสมอ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธก็ตาม


“แพท ฉันถามจริงๆ นะ นายสบายดีหรือเปล่า”

“ผมดูไม่สบายเหรอครับ” ผมหันไปยิ้ม “ไม่นะ ผมว่าก็ปกติดี”

“โอ้พระเจ้า อย่ามายิ้มใส่ฉันแบบนั้นเชียว” เทเรซ่าทำหน้าผวา เธอก้าวถอยหนี “รู้ตัวไหมว่านายเอาแต่ยิ้มทั้งวัน น่ากลัวชะมัด”

“ผมเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าครับคุณบิล?” ผมก้มหน้าถามลูกค้าที่กำลังเทรนให้เขาอยู่ คุณบิลหัวเราะลั่น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่อารมณ์ดีเข้ากับคนง่าย

“ที่คุณเทเรซ่าพูดมาน่ะถูกต้องที่สุดเลยล่ะ”

“เห็นไหม ฉันบอกแล้ว” เทเรซ่าเสริม เธอเพิ่งเทรนให้ลูกค้าของตัวเองเสร็จ ผมนึกอยากให้เทเรซ่ามีงานด่วนเข้ามาตอนนี้ชะมัด

“ผมว่าผมก็ปกตินะ”

“คุณเอาแต่ยิ้มทั้งวัน” บิลจุ๊ปาก เขามองผมด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาก่อน “คงมีเรื่องดีๆ ที่ทำให้คุณเป็นอย่างนี้ อืม...ผมคิดว่าเรื่องดีๆ นั่นเรียกว่าความรัก”

“พระเจ้า คุณเดาเก่งเกินไปแล้ว”

“สายตาคุณมันฟ้อง” บิลหัวเราะลั่น เขาวางดัมเบลเก็บ ยกผ้าที่พาดคล้องคอซับเหงื่อ “เป็นประกายวิบวับจนผมแสบตาไปหมด แถมวันนี้ยังใจดีไม่เข้มงวดกับผมเหมือนที่เคย”

อา เรื่องนี้ต้องโทษเซบาสเตียนเลย

“อัปเดตเรื่องราวความรักให้ฟังเลยนะ”

“โธ่เทซ”

“คุณโดนพวกเราล้อมไว้แล้ว” บิลแกล้งทำเสียงขู่ “หนียากหน่อยล่ะ”

“โอเคๆ ผมยอมแล้ว” ผมยกมือห้าม “อันที่จริงมันไม่ได้มีอะไร ผมแค่ดีใจ ที่เขายอมให้ย้ายไปอยู่ด้วย”

“ฮะ?!”

“เทซอย่าเสียงดังสิครับ คนหันมามองกันหมด”

“ขอโทษที แต่ว่าให้ตายเถอะ นี่มันก้าวหน้าเกินไปไหมเนี่ย?!”

เทเรซ่าตาโต คงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซบาสเตียนจะยอมให้ผมย้ายไปอยู่ด้วย (ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ) แหงล่ะ...ก็ความสัมพันธ์ของพวกเรามันพัฒนาไปอีกขั้นแล้วนี่นา แต่เรื่องนี้ผมจะไม่บอกเทเรซ่าหรือใครหรอก ให้เป็นเรื่องของเราสองคนก็พอ เรื่องพิเศษที่รู้กันเฉพาะคนพิเศษ

“คุณบอกว่า ‘เขา’ งั้นเหรอ” บิลผิวปาก “ตอนแรกผมนึกว่าสาวน้อยที่ไหนได้ใจของคุณไปซะอีก”

“ถ้าสาวน้อยธรรมดาผมคงไม่หลงเขามากขนาดนี้”

เซบาสเตียนพิเศษกว่านั้นเยอะ

“ว่าแต่…” เสียงบิลฟังดูเจ้าเล่ห์ สายตาที่เขามองผมก็เช่นกัน “ผู้ชายสองคนมันค่อนข้างจะยากหน่อย อย่างเช่น...ตำแหน่งต่างๆ”

“โอ้…” เทเรซ่าทำตาโตอีกรอบ สีหน้าอยากรู้อยากเห็นจนนึกอยากตีเธอสักที

“พวกคุณไม่ต้องมองผมแบบนั้นเลยนะ”

“โอ ไม่เป็นไรนะแพท ฉันเข้าใจนาย มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย” ดูเหมือนเทเรซ่าจะตัดสินผมในใจไปแล้ว “ฉันเคยได้ยินว่า ‘ทางนั้น’ จะเจ็บมาก อา...แต่นายแข็งแรงอยู่แล้ว คงไม่เป็นไร”

“เทซ ผมไม่ได้…”

ผมพยายามจะค้าน แต่เสียงผู้ประกาศข่าวจากโทรทัศน์บนผนังห้องกลับดังขัดขึ้นมา BGM ระทึกใจที่มีในข่าวด่วนแวดวงธุรกิจดึงความสนใจพวกเราไป พอๆ กับเนื้อหาข่าวนั้น

“สวัสดีค่ะ พบกับฉัน เจนิเฟอร์ บราวน์”

“และผม ไมเคิล ฟาเรล”

“ข่าวด่วนวันนี้น่าจะทำให้หลายๆ คนตกใจค่ะ หากท่านผู้ฟังติดตามข่าวสารแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ ฉันมั่นใจว่าทุกคนต้องได้ยินเรื่องโครงการประมูลรีโนเวทคอนโดฯ หรูใจกลางเมืองเขต A ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ชนะการประมูลนี้คงไม่พ้นซีมอน รอซส์ เสือร้ายที่หลายๆ คนในวงการนี้ต่างยำเกรง”

เสียงผู้ประกาศข่าวเล่าอย่างออกรส เธอดูตื่นเต้น ต่างจากผมที่ตอนนี้เริ่มเป็นห่วงเซบาสเตียน ไม่รู้เขาจะได้ฟังข่าวนี้หรือเปล่า

“แต่นั่นแหละครับ รอสซ์ที่ช่ำชองในวงการนี้ดันพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ โครงการที่ประมูลมาได้กลับมีปัญหาหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อสภาพและสิ่งแวดล้อมจนผู้อาศัยในละแวกนั้นเดือดร้อนกันเป็นแถว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรอสซ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมืออาชีพ แต่ล่าสุดเจ้าของโครงการออกมาให้สัมภาษณ์แล้วนะครับว่าถ้ารอสซ์ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้เรียบร้อย โครงการนี้จะถูกเปลี่ยนมือผู้ดูแลใหม่ คุณทราบไหมครับเจนว่าเป็นใคร”

“จะเป็นใครไปได้นอกจากเอลตัน มิลาโนคนนั้นล่ะคะ”

“พระเจ้า เอลตัน มิลาโนที่มีข่าวหลุดออกมาว่าแพ้การประมูลไปอย่างเฉียดฉิวคนนั้นใช่ไหมครับ”

เสียงผู้ประกาศข่าวสองคนสันนิษฐานไปต่างๆ นาๆ ส่วนผมจมกับความคิดตัวเอง กระทั่งเทเรซ่าสะกิดถึงรู้ตัว

“ผมไม่เป็นไร”

“แน่ใจ?”

“แค่เป็นห่วงเซ็บน่ะ” ผมถอนหายใจ ก่อนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นบิลมีสีหน้าสงสัย “บิล ดูเหมือนว่าผมจะปล่อยให้คุณพักนานเกินไปแล้วนะครับ”

“เฮ้ ไม่เอาน่า”

“มาครับ เวทเทรนนิ่งต่อไหม” ผมว่ายิ้มๆ ได้ยินเสียงเทเรซ่าหัวเราะก่อนพึมพำขอตัวแล้วเดินแยกไป

“โธ่คุณแพทริค”

หลังจากนั้นผมก็ระบายความกังวลของตัวเองไปกับการเทรนคุณบิลจนเขาหอบแฮ่ก…



V
V
V
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2018 23:12:50 โดย JackXy Wu »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
V
V
V


วันนี้ผมขออนุญาตลุงมาคัสเลิกงานเร็วกว่าปกติชั่วโมงครึ่งโดยให้เหตุผลว่าจะไปย้ายของเข้าห้องเซบาสเตียน โดนล้อกลับมายกใหญ่ แถมลุงยังมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาบอกผมให้อดทน เจ็บครั้งแรกไม่หนักหนาเท่าไหร่ ผมนึกสังหรณ์ใจว่าลุงอาจคิดแบบเดียวกับเทเรซ่า

คนพวกนี้นี่มัน…

ใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงคอนโดฯ สิ่งแรกที่ผมจัดการคือซู้กกี้ เก็บข้าวของให้มันเรียบร้อยเพื่อนำไปฝากที่บ้านพ่อกับแม่ ผมไม่กล้าเอามันไปห้องเซบาสเตียน กลัวไปทำห้องเขาเละเทะไม่ก็เฟอร์นิเจอร์พังเข้าให้ ของห้องเซบาสเตียนมีแต่แบรนด์ดังๆ ผมไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหายแน่

หลังฝากซู้กกี้เรียบร้อย ดูจนแน่ใจว่าเจ้าทิมมี่จะไม่กินไอ้ตัวเล็กนี่ (โชคดีที่ทิมมี่ไม่ทำอย่างที่ผมกังวล) ผมก็บึ่งรถกลับคอนโด ถึงนี่ก็เย็นพอดี ระหว่างเดินไปที่ลิฟต์ พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็เรียกผมไว้ซะก่อน

“คุณแพทริคคะ”

“ครับ?”

“มีคนฝากจดหมายไว้ให้ค่ะ”

ผมขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าใครฝากมา ผมเอื้อมมือรับซองจดหมายสีดำจากเธอ เดินมานั่งบนโซฟาที่ล็อบบี้คอนโดฯ หลังแกะออกดู ผมก็พบว่าตัวเองคงไปเหยียบหางผู้มีอิทธิพลเข้าให้แล้วจริงๆ


To...Patrick Henderson

‘ไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่ามายุ่งถ้าไม่อยากเดือดร้อน’


กระดาษหนึ่งแผ่นมีตัวอักษรพิมพ์เป็นประโยคแค่หนึ่งบรรทัด เป็นหนึ่งบรรทัดที่สัมผัสได้ถึงการข่มขู่ ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์

“ขอโทษนะครับ คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าใครเป็นคนมาฝากไว้”

“เด็กผู้ชายน่ะค่ะ”

“เด็กผู้ชาย? พักอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ไม่นะคะ ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “เขาเดินเข้ามาพร้อมผู้พักท่านอื่นที่แตะคีย์การ์ดเข้ามาพอดีน่ะค่ะ บอกว่ามีคนฝากจดหมายเขามาให้คุณแพทริคอีกที”

“งั้นเหรอครับ” ผมพยักหน้ารับ ถ้าฝากมาอีกทอดนึงก็คงตามตัวยาก “ขอบคุณนะครับ”

“ยินดีค่ะ”

ผมเดินกลับ จมอยู่กับความคิดจนเผลอสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ตัวเองดังขึ้น หน้าจอปรากฏชื่อเซบาสเตียน แค่เห็นชื่อเขา ความคิดวุ่นวายในหัวก็เหมือนจางหายไปชั่วขณะหนึ่ง

“ครับ”

“เย็นนี้จะขนของมาใช่ไหม”

“อืม ผมกำลังจะเก็บของเลย”

“อยากได้คนช่วยหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหัวเราะ “ของผมมีนิดเดียว”

“แต่ฉันมาแล้ว” เขากรอกเสียงมาตามสาย “หันหลังกลับมาเจ้าแมวโง่ แล้วมาเปิดประตูให้ฉัน ทางเท้าข้างนอกนี่ทาสีเหม็นชะมัด”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป ผมหันหลังกลับ เห็นเซบาสเตียนยืนกอดอกพิงเสาอยู่หน้าประตูคอนโด ผมเดินไปแตะคีย์การ์ดให้เขาเข้ามา เซบาสเตียนมองหน้าผม เขาขมวดคิ้ว

“เป็นอะไร?”

“หืม? เปล่านี่ครับ”

“แน่ใจนะ สีหน้านายดู...แปลกๆ” เซบาสเตียนถามซ้ำ ผมเลยหัวเราะเพื่อให้เขาสบายใจ “ไม่ต้องมาหัวเราะ อย่าให้รู้ทีหลังว่าปิดบังอะไร”

เซบาสเตียนขู่ ตอนนั้นเองที่ผมนึกกลัวสัญชาตญาณของเขา

รอสซ์นี่น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ

“ผมจะกล้าปิดอะไรคุณครับ…”

“คุณแพทริคคะ...” เสียงพนักงานเคาน์เตอร์เรียกผมอีกครั้ง ผมสูดหายใจ ภาวนาให้เธออย่าพูดอะไรออกมา แต่เหมือนจะไม่ทัน “ฉันลืมแจ้งค่ะ ว่าคุณสามารถทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิดบริเวณคอนโดฯ ได้นะคะ นี่เป็นหนึ่งในนโยบายรักษาความปลอดภัยของผู้พักอาศัยค่ะ”

“อ่า…ขอบคุณนะครับ”

“แพท” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นด้านหลัง ผมกลืนน้ำลายลงคอ “เดี๋ยวมีเรื่องต้องคุยกันหน่อย”

ผมหันกลับมา สบตากับเซบาสเตียน ดวงตาสีมรกตเรียบนิ่ง เย็นเยียบ ผมรีบยิ้มหวาน หวังว่าจะช่วยให้เขาไม่โกรธที่ผมปิดบัง

“ขึ้นข้างบนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง”

หลังจากนั้นเซบาสเตียนก็ปล่อยไอเย็นแช่แข็งผมตั้งแต่ข้างล่างยันขึ้นมาข้างบน อยากร้องเพลง Let it go ประกอบให้เข้ากับบรรยากาศ ถ้าไม่ติดว่าขืนร้องออกไปจริงๆ เซบาสเตียนน่าจะซัดหมัดใส่หน้าผมแทน


“บอกแล้วไงว่าเรื่องของฉันจะทำให้นายเดือดร้อน”

“ผมเต็มใจเดือดร้อนเอง คุณอย่าโทษตัวเองได้ไหม”

ผมกุมมือเขาไว้หลังเล่าเรื่องจดหมายปริศนาให้ฟัง เซบาสเตียนขมวดคิ้วแน่น ท่าทางหงุดหงิดพอสมควร ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้เขาใจเย็นลง เลยทำได้แค่นั่งเงียบๆ บนโซฟา กุมมือเขาไว้ให้เซบาสเตียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...ไม่เคยอยู่ ผมไม่มีวันทิ้งเขาไปแค่เพราะได้จดหมายขู่โง่ๆ นี่หรอก

“แพท”

“ครับ”

“มากอดหน่อย”

แล้วเขาก็ดึงผมเข้าไปกอด ผมโอบแขนรอบตัวเขา แนบแก้มลงกับไหล่กว้าง เซบาสเตียนเองก็ซบหน้าลงกับไหล่ผมเหมือนกัน พวกเราเงียบไปเกือบนาที ก่อนเซบาสเตียนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“ฉันเป็นห่วงนาย”

“ผมรู้”

“มันรู้ว่าขู่ฉันไม่ได้ มันรู้ว่าจุดอ่อนฉันคือนาย”

“บอกแล้วไง อย่าโทษตัวเองสิครับ”

“อืม...ให้ส่งคนไปตามสืบไหมว่าใครมันบังอาจมาขู่นาย” เซบาสเตียนว่าเสียงเย็น “ไปทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิดก่อนย้ายมาห้องฉันด้วยเจ้าแมวโง่”

“อื้ม ครับๆ”

“จริงจังหน่อยได้ไหม” เขาเอ็ดเสียงเข้ม ผละตัวออกมามองหน้าผม “จะโดนเล่นงานอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมยิ้ม “มีคุณอยู่ด้วยทั้งคน”

“ฉันอยู่กับนายตลอดเวลาหรือไง”

“คุณอยู่ในใจผมตลอดเวลาเลย”

“มันใช่เวลามาพูดเล่นไหมฮะเจ้าตัวดี” เซบาสเตียนขยี้หัวผมแรงๆ จนมันยุ่งเหยิง ผมต้องจับมือเขาเอาไว้ “มานี่เลย มาให้ทำโทษซะดีๆ”

เซบาสเตียนทำเสียงดุขัดกับการลงโทษที่แสนหวาน

เขาดึงผมไปจูบ ก่อนผละมากดปลายจมูกเข้าที่แก้ม เสียงหอมดังฟอดใหญ่ ผมอดรู้สึกเขินไม่ได้ เซบาสเตียนขยันทำให้หัวใจผมทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาจริงๆ

“หอมให้แก้มผมช้ำเลยไหมครับ”

“อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อไร้ทางสู้”

“ก็คุณเป็นเสือ” ผมยิ้มหวาน “ส่วนผมเป็นแค่แมว”

“แมวยักษ์ก็คือเสือดีๆ นี่แหละ” เซบาสเตียนหัวเราะหึ เขาผละตัวออกห่าง แต่ยังกุมมือผมไว้ “จำได้ไหมเรื่องที่นายเคยถามว่าทำไมฉันถึงตอบรับเสียงนาย”

“ครับ คุณพร้อมจะเล่าแล้วเหรอ”

“อืม” เขาพยักหน้ารับ “สักระยะแล้ว แค่หาจังหวะไม่ได้ อยากฟังอยู่หรือเปล่า”

“แน่นอน อยากสิครับ”

“วันนั้นน่ะ มันแย่สำหรับฉันมากๆ” เขาเริ่มเล่า สายตาหลุบต่ำลง ผมพลิกเป็นฝ่ายกุมมือเขาแทน ไล้ปลายนิ้วโป้งบนหลังมือเขา ปลอบโยนผ่านสัมผัสเล็กๆ นั้น “วันนั้นพ่อหย่ากับแม่...ความจริงมันควรเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน การแต่งงานของพวกเขาขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ นายรู้ไหม”

ผมไม่ได้ตอบ คิดว่าเซบาสเตียนคงไม่ได้อยากได้คำตอบเท่าไหร่

“โชคชะตาชอบเล่นตลก ฉันคิดว่างั้น พ่อกับแม่เป็นโซลเมตกัน และบังเอิญที่พวกเขาเป็นทายาทตระกูลที่พึ่งพาอาศัยกันในวงการธุรกิจนี้ การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่ใช่เรื่องแปลก แม่ชอบพ่อ แม่เลยแต่งกับเขา ทั้งที่รู้ว่าพ่อมีน้ามาเรียอยู่แล้ว”

“มันไม่ยุติธรรมกับน้ามาเรีย พ่อรู้ แม่รู้ ทุกๆ คนรู้ แต่ผลประโยชน์มันยากจะปฏิเสธ เพราะอย่างนั้นถึงมีข้อตกลงขึ้นมาว่าหลังจากทั้งคู่มีทายาทสายตรงที่เป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะหย่ากันหลังจากที่ทายาทคนนั้นอายุครบยี่สิบห้าปี ทายาทคนนั้นคือฉันนี่แหละ ถึงแมทจะเกิดก่อนและใช้นามสกุลรอสซ์เหมือนกัน แต่ถ้าว่ากันตามตรง ฉันจะเป็นผู้สืบทอดหลัก”

“แต่คุณไม่ต้องการนี่”

“ใช่ ฉันไม่ต้องการ เลยโยนให้แมทรับผิดชอบไปซะ หมอนั่นก็ไม่ได้แย่ เขาเหมาะกับวงการนี้มากกว่าฉันด้วยซ้ำ แถมตาแก่พวกนั้น...ฉันหมายถึงปู่ย่าตายายฉันก็แก่จะลงโลงอยู่แล้ว ไม่มีอำนาจมาคัดค้านอะไรอีก เรื่องนี้เลยถือว่าจบไป เฮ้อ...นายทำฉันนอกเรื่องนะเจ้าแมวยักษ์”

“เอ้า ผมผิดเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ เลยโดนเซบาสเตียนดีดหน้าผากเข้าให้

“จะฟังต่อไหม”

“ฟังครับๆ”

“อืม ก็นั่นแหละ ข้ามเรื่องทายาทบ้าบอนั่นไปซะ ประเด็นมันอยู่ที่ตอนฉันอายุยี่สิบห้าพวกเขาไม่ได้หย่ากันอย่างที่ฉันคิดมาตลอด นายรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันแอบหวังว่าสัญญานั่นจะเป็นโมฆะ บางทีพ่ออาจจะรักแม่เหมือนที่แม่รักพ่อ มันกลายเป็นฉันปล่อยให้ตัวเองมีความหวัง มีความหวังกับสิ่งที่ไม่ควรหวัง”

“เซ็บ…”

“ฉันไม่เป็นไร” เขาตอบผม “นั่นแหละ จนฉันอายุยี่สิบเจ็ด จู่ๆ พ่อก็ตัดสินใจหย่ากับแม่ ฉันรู้สึก...ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก มันเคว้งไปหมด ปกติครอบครัวก็ไม่ได้อบอุ่นอะไรอยู่แล้ว หมายถึงมุมมองฉันที่มีต่อครอบครัวนะ แต่พ่อกับแม่ถึงไม่รักกัน เขาก็ยังรักฉันอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ มันเลยพอหลอกตัวเองได้ว่าฉันก็มีครอบครัวอยู่นะ ฉันรู้ว่าตรรกะตัวเองอาจมีปัญหาที่คิดว่าการฝืนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดีกว่าแยกย้ายกัน รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนั้นมันเป็นการทรมานทั้งสองคน ฉันโตแล้วแต่กลับเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ พอเขาหย่ากันฉันเลยเคว้ง มันไม่มีอะไรให้ยึดให้หลอกตัวเองแล้ว ฉันพาลโกรธพ่อ พาลไปหมดทุกอย่าง ตอนนั้นแมทก็โดนฉันพาลใส่”

“ฉันใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการเดินเตะฝุ่นข้างถนนไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ฝนตก มันเงียบมาก ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกเข้าไปใหญ่ ไม่มีใครอยู่ข้างฉันสักคน ไม่สิ...ฉันเองนี่แหละที่เอาแต่ใจผลักไสทุกคน ตอนนั้นเสียงนายก็ดังขึ้นมา”

“ดังหลายรอบด้วย”

“ไม่เอาน่า แค้นหรือไงที่ฉันปล่อยให้คุยคนเดียว”

“น้อยใจนิดหน่อยเองครับ คุณจะง้อย้อนหลังก็ได้นะ”

“นั่นแหละ พอได้ยินเสียงนายจู่ๆ ก็รู้สึกว่า ไอ้หมอนี่มันพูดมากจังเลย ชวนคุยอยู่ได้ทุกหน้าฝน”

“เฮ้!”

“อย่าเพิ่งโกรธกันสิ” เซบาสเตียนหัวเราะ เขาขยี้หัวผม “อย่างที่นายรู้ว่าฉันค่อนข้างมีปัญหากับการเปิดใจคุยกับคนแปลกหน้า ความศรัทธากับคำว่าโซลเมตติดลบ แต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ เสียงนายดังขึ้นมา มันทำให้ฉันรู้ว่านอกจากตัวเองยังมีไอ้ปากมากบางคนอยู่ด้วย”

โอเค ผมจะร้องไห้แล้วนะ เป็นทั้งไอ้คนพูดมากกับไอ้ปากมากในสายตาเซบาสเตียนมากี่ปีก็ไม่รู้ ให้ตายสิ

“ฉันเลยตอบรับเสียงนาย และตอนนี้ฉันก็รู้สึกดีที่ตัดสินใจทำแบบนั้น”

“ผมจะพูดว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก”

“ทำไม?”

“เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้คุณตอบรับเสียงผม มันทำให้คุณเสียใจนี่”

“สักวันมันต้องเกิดอยู่แล้ว ฉันรู้ดี แค่เผลอตัวคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลง” เขายิ้มมุมปาก มองผมด้วยสายตาที่อ่อนลง “ขอบใจที่เป็นห่วงความรู้สึกฉันนะ”

“ผมห่วงทุกอย่างที่เป็นคุณนั่นแหละ”

“ฉันก็ห่วงทุกอย่างที่เป็นนาย” เซบาสเตียนตอบกลับมาตรงๆ จนผมไปไม่เป็น “และฉันจะลากตัวคนที่กล้าส่งจดหมายขู่โง่ๆ นั่นมาจัดการ ไม่ต้องกลัวนะเจ้าแมวยักษ์”

“คุณเท่ที่สุดเลย”

“นายคือข้อยกเว้นหนึ่งเดียวในโลกของฉัน ฉันไม่ยอมเสียนายไปหรอกแพท”

ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

คำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักนั้นลึกซึ้งและตรึงอยู่ในใจ ผมกุมกระชับมือเขาไว้ ประทับจูบแผ่วเบาและกระซิบคำสัญญาข้างใบหูอีกฝ่าย

“คุณจะไม่มีวันเสียผมไป ผมสัญญา”

_________________________________________

มาอัปแล้วค่า แงงง ขออภัย เลทไปหนึ่งวัน เมื่อวานไปงานแฟนมีตฮยอนบินมาค่ะ ฮ่า กลับบ้านมาเหนื่อยมากเลยไม่ได้อัปเลย เลยมาอัปวันนี้แทนนะคะ

บทนี้เจ้าแมวก็ซวยไปค่ะ ตกเป็นเป้าหมายซะงั้น หวังว่าคุณเซ็บจะคอยปกป้องเจ้าแมวไม่ให้โดนใครทำอะไรได้นะคะ ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมเซ็บถึงตอบรับเสียงของแพท วันนี้มาเฉลยแล้วค่ะ น่าจะหายคาใจกันพอสมควร

บทต่อๆ ไปแอบกระซิบว่าสังเกตกันดีๆ นะคะ แจ็คจะเริ่มใส่เบาะแสต่างๆ ลงในเรื่องแล้ว ไหนดูซิจะมีใครตาไวเห็นเบาะแสที่แจ็คแอบซ่อนเอาไว้ไหม 55555

เจอกันบทหน้านะคะ จะพยายามไม่เลท แต่คงไม่เลทแล้วแหละ ไม่มีอีเว้นท์ออกงานไหนแย้ววว

#คุณผู้มากับสายฝน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2018 23:13:28 โดย JackXy Wu »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แมวอ้อนเสือ...น่ารัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
พี่เซ็บโคตะระเท่เลยยยยยยยน
พี่เซ็บโอปป้าาาาา พ่อพระเอกของช้านนนนน

ออฟไลน์ mameemamey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮือออออ ไม่ไหววว เซ็บคือดีมากกก แพทก็ดีเช่นกัน ละมุน. แง

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อูยยยยยย มดขึ้นค่ะ หวานกันแบบอ่อนโยนอบอุ่นสุดๆ แมวยักษ์โดนขู่ซะแล้วพี่เสือดำตะลากคอคนทำให้น้องเอง :angry2: ขอบคุณมากค่ะคุณแจ็ค :กอด1:

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 18

When you come into my world


[Matthew]


“นั่งก่อนสิ”

“ครับ”

น้ำเสียงเรียบแฝงความกดดันทำให้ผมเผลอสูดหายใจ พ่อจ้องนิ่งเมื่อผมนั่งตรงข้ามเขา โต๊ะทำงานของพ่อกั้นพวกเราเอาไว้ แต่ไม่กั้นความกดดันที่พ่อแผ่ออกมาสักนิด

สัญชาตญาณผมบอกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก

“เอริค คอลลินส์”

“เป็นชื่อที่เพราะดีนะครับพ่อ” ผมยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร แม้จะรู้ดีว่าการแสดงห่วยๆ นี่ไม่มีวันตบตาเสือร้ายแห่งรอสซ์ได้ก็ตาม “ใครเหรอครับ”

“พ่อให้โอกาสแกอีกครั้งแมท…” พ่อถอนใจ ประสานมือวางบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า ผิวหนังเหี่ยวย่นรอบดวงตาที่กระจ่างใสดูขัดกัน พ่อแก่แค่ร่างกาย แต่จิตใจพ่อเต็มไปด้วยพลังน่าเกรงขาม “อย่าฝ่าฝืนคำสั่งพ่อ”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”

“โอ้ พระเจ้า ให้ตายเถอะ!” ผมเสยผมตัวเองแรงๆ อย่างหงุดหงิด สบตาพ่ออย่างตรงไปตรงมา “ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวเรา?”

“บางเรื่องให้พ่อจัดการเอง แกทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ”

“ผมเป็นห่วง พ่อรู้หรือเปล่า”

“พ่อรู้” พ่อเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เหมือนพ่อไม่จัดการอะไรเลยใช่ไหม?”

“พ่อน่าจะรู้คำตอบดี” ผมถอนหายใจ “สื่อเล่นข่าวกันใหญ่ ปัญหาไม่แก้ไขสักที เอลตัน มิลาโนเตรียมล้างมือรับช่วงต่อ ส่วนพ่อต้องจ่ายค่าปรับ...ผมรู้นะว่าตระกูลเรารวย แต่ค่าปรับนั่นเราไม่สมควรต้องจ่ายด้วยซ้ำ ยิ่งข่าวออกมา ชื่อเสียงบริษัทเรายิ่งแย่ ความน่าเชื่อถือลดลง หุ้นตกตัวแดงเป็นแถบ ให้ตาย…”

“ทุกอย่างมีทางแก้เสมอ พ่อกำลังแก้ในวิธีของพ่ออยู่”

“ให้ผมรู้ไม่ได้เลยเหรอ มีอะไรที่พ่อปิดบังไว้หรือไง”

ผมตัดสินใจถามตรงๆ พ่อเงียบไป เขาจ้องหน้าผม คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พ่อเหมือนเซบาสเตียน เวลาคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างชอบขมวดคิ้ว ทั้งสองคนเหมือนกันจนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนนอก

“จัดการเรื่องตัวเองไปแมท”

“โอเค ตอบแบบนี้คงจะไม่อยากบอกจริงๆ” ผมยักไหล่

“อย่าแอบจัดการอะไรลับหลังอีก”

“ครับ ผมไม่ทำอะไรก็ได้”

“แมท…” พ่อกดเสียงต่ำ ดวงตาหรี่ลง มันดูอันตราย “รู้ใช่ไหม ว่าพ่อไม่ได้หมายถึงแค่แกคนเดียว”

“...”

“พ่อรู้หมดนั่นแหละว่าพวกแกสองคนรวมหัวกันสืบเรื่องนี้” พ่อว่าเสียงเรียบ ผมไม่ประหลาดใจที่พ่อรู้ ถ้าเขาไม่รู้สิถึงน่าประหลาดใจ “รู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พ่อจะส่งบอดี้การ์ดตามเฝ้าเซ็บ ฝากบอกเขาด้วยถ้าคิดปฏิเสธ เรื่องจะยุ่งยากกว่านี้ เตือนน้องแกซะ ถ้ายังไม่อยากถูกแยกกับไอ้หนุ่มหัวแดงนั่น...คงรู้ดีว่าพ่อไม่ได้พูดเล่น”

“ถ้าแตะต้องแพทริค เซ็บคงไม่พอใจพ่อแน่”

ผมเผลอกระตุกยิ้ม เซบาสเตียนเอ็นดูแพทริคจนผมรู้สึกได้

“พ่อรู้ แต่เซ็บก็ไม่เคยพอใจพ่ออยู่แล้วนี่ ส่วนแก…” พ่อเว้นจังหวะสักพัก มุมปากเหยียดยิ้ม “...บริษัทสาขาต่างประเทศค่อนข้างมีปัญหา ถ้าแกยังขัดคำสั่งพ่อ บางทีพ่ออาจต้องรบกวนแกไปจัดการงานที่นั่น”

ผมกัดฟัน ฝืนยิ้มจนกลายเป็นแสยะ

“ทราบแล้วครับ”

พ่อพยักหน้ารับ โบกมือไล่ผมออกจากห้องทำงาน ทันทีที่หันหลังให้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสีหน้าอีกต่อไป พนักงานที่อยู่บริเวณนี้เมื่อเห็นหน้าผมก็พากันก้มหน้าเดินหลบ เว้นแต่แจสเปอร์ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าผม

“โดนหนัก?”

“โดนขู่หนัก” ผมพ่นลมหายใจ สาวเท้าเดินกลับห้องทำงานตัวเอง “หงุดหงิดเป็นบ้า”

“ดูหน้าก็รู้” เขาแค่นเสียง “บราวน์นี่กับกาแฟดำสักแก้วไหมล่ะ”

เขาเอ่ยปากเสนอเมนูที่ผมชอบทานเวลาเครียด นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้ในสถานการณ์ที่หงุดหงิดสุดๆ จะหาคนรู้ใจผมมากกว่าแจสเปอร์คงไม่มี ผมตบบ่าเขา แจสเปอร์บ่นทันทีที่ผมทำสูทเขายับ

“ได้ก็ดี ขอบคุณ”

แจสเปอร์รับคำหน้าหงิกงอ เขาเดินแยกไป ผมกลับเข้าห้องทำงาน ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ หมุนตัวหันหลังให้โต๊ะ มองออกนอกกำแพงด้านหลังที่เป็นกระจกใสทั้งแถบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ

“ไงเซ็บ...อยากฟังข่าวร้ายไหม”


[Sebastian]

ผมคิดว่าตัวเองมีความอดทนสูงพอสมควร แต่ความอดทนของผมกำลังหมดไป

“เลิกตามสักที”

ผมกดเสียงใส่บอดี้การ์ดชุดดำสองคนที่เดินตามหลังห่างออกไปสามเมตร รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอีกหลายคน...ไม่ต่ำกว่าหก ที่คอยดูผมจากที่ไกลๆ เกือบอาทิตย์แล้วที่พ่อส่งบอดี้การ์ดมาตามดูแลผม มันน่าหงุดหงิดเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะมีใครคอยดูแลทุกฝีก้าวแบบนี้

“ไม่ได้ครับคุณเซบาสเตียน คุณท่านสั่งไว้”

“ให้ตายสิ!”

ผมสบถอย่างหัวเสีย พวกเขาเงียบ ไม่ตอบโต้มากไปกว่านั้น นี่คงเป็นข้อดีอย่างเดียว พวกเขาไม่พูดมาก ทำให้ผมพอจะหลอกตัวเองได้ว่าไม่มีคนคอยติดตาม แต่ถึงอย่างนั้น…

“อ่า เซ็บ…”

“ไม่ต้องไปมอง อย่าสนใจ” ผมพูดดักเมื่อแพทริคเอาแต่เหลือบตามองบอดี้การ์ดด้านหลังผม ไม่กล้าเดินเข้ามาหาหรือทำอะไรอย่างที่เคยทำ นี่เป็นอีกอย่างที่ผมหงุดหงิด แพทริคกลายเป็นแมวยักษ์ตื่นคนตั้งแต่ผมมีบอดี้การ์ดตามติด “แพท มาเร็ว เดี๋ยวไม่ทันนัด”

“สรุปเราจะไปไหนกันครับ คุณยังไม่บอกผมเลย”

“เดี๋ยวก็รู้น่า”

ผมขยี้หัวเขาเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ แพทริคบ่นอุบว่าผมชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ผมเดินนำเขาขึ้นรถ ทันทีที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองคน เจ้าแมวยักษ์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“น่ากลัวเป็นบ้า”

“ฉันบอกว่าอย่าไปมอง” ผมสตาร์ทรถ “นายชอบหันไปมองเจ้าพวกนั้นเองนี่”

“ก็พวกเขาจ้องผมเขม็งขนาดนั้น คุณก็รู้เวลามีสายตาใครจ้องมามันอดมองกลับไม่ได้”

“แล้วนายก็เกร็งซะเอง”

“พ่อคุณต้องมีคำสั่งลับให้พวกเขาจับตามองผมแน่ๆ” แพทริคตั้งข้อสังเกต ผมเองก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน “สรุปคุณจะไม่บอกจริงๆ เหรอว่าที่มารับผมวันนี้เราจะไปไหนกัน”

“อยากให้นายเซอร์ไพรส์” ผมลอบยิ้มในขณะหักพวงมาลัยรถไปตามเส้นทางที่คุ้นชิน ด้านหลังคือรถของบอดี้การ์ดที่ขับตามมาติดๆ

“ผมจะหัวใจวายตายไหม”

“แมวมีเก้าชีวิตนี่”

“ตอนนี้เหลือชีวิตเดียว”

“อีกแปดหายไปไหนซะล่ะ?” ผมแกล้งถาม อยากรู้เขาจะตอบกลับมายังไง

“ให้คุณไปหมดแล้ว”

“หึ…”

ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แพทริคดูผ่อนคลายลงแล้ว เขาไม่ถามอีกว่าผมจะพาไปไหน เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ไว้ใจเจ้าของมันมากทีเดียว เห็นทีผมคงต้องให้รางวัลเขาสักหน่อย


“ซะ เซ็บ…”

“ใจเย็น อย่าสั่น”

“ผมคิดว่าผมกำลังจะหัวใจวายตายจริงๆ” เขาหันมองผม หน้าตาน่าสงสารจนอยากดึงมากอดแล้วตบหลังปลอบ “คุณไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่คุณ ผมจะได้แต่งตัวดีๆ กว่านี้”

“นี่ก็ดีแล้ว” ผมตบไหล่เขา ก่อนหน้านี้ผมบอกให้เขาแต่งตัวสุภาพหน่อย หลังเลิกงานแพทริคเลยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ “ลงจากรถเถอะ”

“เซ็บ ผม...คือผม…”

ผมลงจากรถ เดินอ้อมมาประตูอีกฝั่ง เปิดมันและหิ้วคอเสื้อแมวยักษ์ที่พองขนทำตัวเกร็งออกมา เพราะรู้ไงว่าเขาจะเกร็งแบบนี้ ผมเลยไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่ ไม่งั้นแพทริคคงกระโดดหนีผมแน่ๆ

“สูดหายใจลึกๆ เด็กดี มองหน้าฉันนี่แพท” ผมจับคางเขาให้หันมามองผม ดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายกังวล ผมเกาคางเขาเบาๆ เจ้าตัวครางฮือในลำคอ หน้าตาน่าสงสาร “แม่ฉันใจดีนะ”

“เซ็บ” แพทริคเรียกผมเสียงเบา “ถ้าแม่คุณไม่ชอบผมล่ะ ผมไม่มีอะไรเลยนะ เป็นแค่เทรนเนอร์ฟิตเนสธรรมดาๆ ผมไม่มั่นใจ ผม…”

“นายไม่จำเป็นต้องมีอะไร ของพวกนั้นฉันมีอยู่แล้ว” ผมตบบ่าเขาหนักๆ เรียกสติคนที่แพนิคให้กลับมา “สิ่งที่นายจำเป็นต้องมีคือรักฉันให้มากๆ ก็พอ เข้าใจไหม”

แพทริคเงียบไปอึดใจ เขาจ้องหน้าผม แววตายังไม่มั่นใจเหมือนเดิม แต่ไม่แพนิคเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว เขาพยักหน้ารับ ผมเลยยิ้มให้กำลังใจเขาไปทีนึงก่อนเดินนำเข้าไปข้างใน

“คุณเบลกับท่านอื่นๆ รออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ”

“ขอบคุณครับป้าแมรี่”

ผมเดินมาถึงห้องอาหาร เคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วเปิดเข้าไป โต๊ะอาหารตัวยาวถูกตกแต่งอย่างดี แต่มีเพียงห้าที่นั่งปลายโต๊ะเท่านั้นที่มีคนนั่งอยู่ แม่ยิ้มให้ผมจากเก้าอี้หัวโต๊ะ ขวามือแม่คือลุงเบอนาร์ดและอเล็กซ์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม อีกฝ่ายอายุเท่าแมทธิว

“สวัสดีครับ”

“พวกเรากำลังรออยู่เลย” แม่ยิ้ม เบนสายตาไปทางแพทริคที่ยืนแข็งอยู่ข้างผม “สวัสดีจ้ะ แพทริคใช่ไหม”

“ครับ สวัสดีครับ”

“เรียกน้าเบลก็ได้นะ” แม่ผมออกปาก ผมเหลือบมองแพทริค เขาตาโตไปแล้ว

“ฉันเบอนาร์ด ลุงของเซ็บเขา”

“ฉันอเล็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก” อเล็กซ์ยิ้ม ผายมือให้พวกเรา “นั่งก่อนสิ”

ผมลูบหลังแพทริค ให้เขาคลายกังวลก่อนนั่งบนเก้าอี้ติดกับแม่ ตรงข้ามผมคือลุงเบอนาร์ด แพทริคนั่งข้างผม ตรงข้ามเขาคืออเล็กซ์ แม่สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้นำอาหารมาเสิร์ฟ ระหว่างนั้นก็ชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“เซ็บพูดเรื่องของเธอให้ฉันฟังเยอะเชียวล่ะแพทริค”

“จริงเหรอครับ” เจ้าแมวยักษ์หูผึ่ง ก่อนรีบสงวนท่าที “อ่า...ขอโทษครับ ผมตกใจไปหน่อย ไม่คิดว่าเซ็บจะพูดถึงผมให้คุณฟังด้วย”

“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน”

“ครับ?”

“เซ็บไม่ค่อยเล่าเรื่องคนอื่นให้ฉันฟังหรอก ยกเว้นคนนั้นจะสำคัญจริงๆ”

“แม่ครับ” ผมแทรกขึ้นมา “อย่าทำให้เขาได้ใจสิครับ”

“เราก็ไปแกล้งน้อง ชอบเขาขนาดนี้จะทำเป็นไม่สนใจทำไม”

“หึ น้องน่าแกล้งกว่าที่แม่รู้อีกครับ” ผมตอบหน้านิ่ง แอบเหลือบตามองแพทริคที่นั่งข้างกัน ใบหูอีกฝ่ายแดงจัด ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้

“วิ้ว...หวานกันจังเลยนะ”

“อยากมีบ้างหรือไงอเล็กซ์” ผมเลิกคิ้วถามคนแซว อเล็กซ์เลยหัวเราะหึๆ ตอบกลับมา

“ก็มีอยู่นะ อย่าดูถูกไปเชียว”

“หืม ไม่พามาให้พ่อรู้จักบ้างล่ะ” ลุงเบอนาร์ดหันขวับ “ลูกไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้สักนิด อย่าบอกนะว่าปิดบังพ่อไว้นานแล้ว”

“โอ้ ความลับ :)” อเล็กซ์แตะนิ้วกับริมฝีปาก ส่งเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์

“ลูกคนนี้นี่”

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายลง ผมนึกขอบคุณอเล็กซ์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศ อาหารและเครื่องดื่มทยอยมาเสิร์ฟจนครบ แพทริคปรับตัวได้แล้ว เขาพูดคุยกับทั้งสามคนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมเห็นอย่างนั้นก็โล่งใจ แพทริคเป็นคนเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว แค่รอบนี้เขากังวลมากเกินไป ผมรู้ดีว่าฐานะตัวเองกับแพทริคต่างกัน และมันอาจข่มเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่อยากให้แพทริคสนใจเรื่องพวกนั้นมากนัก

“นายอดทนเก่งมากแพท ถ้าเป็นฉัน โซลเมตไม่ตอบรับเสียงเรียกตั้งหลายปี คงไม่สนใจแล้ว”

“ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมแพ้ไปก่อน”

“ดีแล้วที่ไม่ยอมแพ้ไปก่อน” ผมพูดขึ้นมา “ขอบคุณที่ทนรอ”

“คนเรามักอดทนเมื่อคนนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับเรา” แม่พูดขึ้น ผมชะงัก มองหน้าแม่ แววตาหม่นลงเล็กน้อยก่อนกลับมาสดใสเหมือนเดิม “แม่ดีใจที่ลูกเจอคนพิเศษของตัวเองเซ็บ”

ผมเองก็อยากให้แม่เจอคนพิเศษของตัวเองเหมือนกัน

มันเป็นแค่ความคิด ผมไม่ได้พูดออกไป

“ว่าแต่…” ลุงเบอนาร์ดเปลี่ยนเรื่อง เขามองแพทริค “เห็นว่าเป็นเทรนเนอร์ใช่ไหม”

“ครับ”

“ฉันค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักนิดหน่อย” ลุงกระแอม “ปรึกษาได้ไหม”

“ได้แน่นอนครับ ไว้ว่างๆ คุณนัดผมได้เลย”

“ตอนนี้ฉันก็เล่นกล้ามท้องอยู่ที่ฟิตเนสนึง” อเล็กซ์เสริม “เทรนเนอร์โหดเป็นบ้า ถ้าเจอนายเร็วกว่านี้ฉันเทรนกับนายดีกว่าแพท นายดูใจดีกว่าเยอะเลย”

“แต่ตอนเทรนผมเข้มนะครับอเล็กซ์”

“เฮ้ ไม่เอาน่า”

“ทำไมถึงมาเป็นเทรนเนอร์ล่ะ ฉันถามได้ไหม” แม่พูดขึ้น สีหน้าสนใจ แพทริคยิ้มรับ เขารีบอธิบายด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ตอนเด็กๆ ผมสุขภาพไม่ดีเท่าไหร่ ตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ที่บ้านเลยเริ่มให้ออกกำลังกายครับ หลังจากนั้นสุขภาพก็ดีขึ้น ผมเลยเลือกเรียนวิทย์กีฬาแล้วมาทำงานเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสของลุงน่ะครับ”

“นอกจากนี้เคยอยากเป็นอย่างอื่นบ้างไหม”

“อืม…” แพทริคทำท่าคิด “ถ้าความฝันตอนเด็กๆ ผมเคยอยากเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์นะ งานอดิเรกสมัยเรียนผมชอบแข่งกับเพื่อนในสนาม บางทีก็ขับออกทริปเป็นกลุ่ม แต่แม่ผมกังวล เธอบอกว่าอันตราย ผมเลยเลิกเพื่อให้แม่สบายใจ อีกอย่างก็มองว่าเอาเป็นอาชีพประจำไม่ได้”

“น่าเสียดาย” อเล็กซ์พึมพำ “ความรู้สึกตอนสายลมปะทะมันรู้สึกเป็นอิสระดีมากเลย”

“ใช่ครับ คุณก็ชอบเหรอ?”

“เรียกว่าหลงใหลเลยล่ะ” อเล็กซ์หัวเราะ ดูชอบใจที่ได้คุยกับคนที่มีความชอบเดียวกัน “แต่ช่วงนี้พักอยู่ พอดีร่างกายไม่เอื้ออำนวยนิดหน่อย”

“ฉันกำลังจะถามเลย” ผมเกริ่น มองหน้าอเล็กซ์ จากนั้นไล่สายตามองข้อมืออีกฝ่ายที่พันผ้ายืดไว้จนเกือบถึงข้อศอก “แขนเจ็บเหรอ เห็นขยับตัวหยิบอะไรไม่ถนัดตั้งแต่ต้นแล้ว”

“ใช่ ให้ตายเถอะ ถ้านายรู้ว่ามันเกิดเพราะอะไรจะต้องบอกว่างี่เง่าแน่ๆ”

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

ผมถามด้วยความสงสัย เท่าที่ผมรู้จัก อเล็กซ์ไม่ใช่คนซุ่มซ่าม

“ตอนไปซ้อมยิงปืนที่สนามน่ะ” เจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เดินไม่ดูทางมาชนฉันเข้าเต็มๆ ข้อมือเลยกระแทกขอบกระถางต้นไม้แถวนั้น เจ็บร้าวขึ้นมาเกือบถึงศอก”

อเล็กซ์พ่นลมหายใจหนัก ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มดับอารมณ์หงุดหงิด

“ดีที่เจ็บแค่มือเดียว” ลุงเบอนาร์ดส่ายหัว “ไม่รู้จักระวังตัวเองเลย”

“ไม่เอาน่าพ่อ มือข้างถนัดก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย”

“คราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบนี้แล้วนะอเล็กซ์” แม่พูดขึ้นมา “ดูอย่างน้าสิ ถนัดทั้งสองมือ ถ้าข้างไหนเจ็บอีกข้างก็ยังใช้งานได้”

“พระเจ้า นี่เราจะคุยกันเรื่องมือเจ็บต่อหน้าแพทจริงๆ เหรอ เสียบรรยากาศหมด”

“ตามสบายครับ ผมไม่คิดมากอะไร” แพทริคปฏิเสธ “แต่แนะนำว่าช่วงนี้งดใช้ข้อมือข้างที่เจ็บนะครับ กล้ามเนื้อจะอักเสบเอา ถึงจะดูเหมือนไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ”

“ขอบใจมาก ฉันจะระวัง”

อเล็กซ์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายดูชอบแพทริคมากทีเดียว แม่กับลุงเองก็มีท่าทีที่ดี ผมรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง ว่ากันตามตรง ไม่ใช่แค่แพทริคที่กังวล ผมเองก็กังวลเหมือนกันว่าครอบครัวตัวเองจะเข้ากับแพทริคได้ไหม ในเมื่อพวกเราค่อนข้างอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันพอสมควร

ผมกังวลมาก แน่ล่ะ...ใครๆ ก็อยากให้ครอบครัวเข้ากับคนที่ตัวเองชอบได้ แต่ถ้าผมแสดงอาการออกมา แพทริคคงสติแตกมากกว่าเดิม ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเลยต้องเก็บอาการเพื่อเป็นหลักให้แพทริครู้สึกสบายใจ เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ทำได้ดีในสถานการณ์ที่เขารู้สึกวางใจ ผมอยากให้เขาวางใจผม

และแพทริคไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาทำได้ดีทีเดียว


“ขอบคุณที่มาพบพวกเรานะ ถ้าฉันทำอะไรให้เธออึดอัดต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เลยครับคุณเบล”

“น้าเบลจ้ะ” แม่แก้คำ “ฉันบอกเธอกี่ทีแล้วแพทว่าอย่าเรียกกันห่างเหินแบบนั้น”

“ขอโทษครับ ผมยังไม่ชินเท่าไหร่” เขาหัวเราะเบาๆ “จะพยายามเรียกให้ชินนะครับน้าเบล”

“ไม่ต้องเกร็งไป พวกเราใจดีกว่าที่เธอคิด” ลุงเบอนาร์ดหัวเราะหึๆ

“ว่างๆ แวะมาอีกได้นะ คุยกับนายสนุกดี”

“แต่ตอนนี้ขอพาแพทกลับก่อนนะครับ” ผมโอบไหล่เจ้าแมวยักษ์ แพทริคหันมา เขายิ้มให้ผม “ค่ำแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงานอีก กลัวจะพักผ่อนไม่พอ”

“โธ่เซ็บ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

“อย่าเถียง”

“โธ่…”

“ฮ่าๆ น่ารักกันจริงๆ พวกนาย” อเล็กซ์เอ่ยแซว

“เดินทางปลอดภัย” แม่บอก สายตาเหลือบมองด้านหลังผม ตอนนี้พวกเรายืนอยู่หน้าบ้าน แม่กับลุงและอเล็กซ์ออกมาส่งพวกเรา “เห็นลูกยอมมีบอดี้การ์ดแบบนี้แม่ก็เบาใจ”

“อย่าพูดถึงพวกเขาเลยครับ” ผมกลอกตา หงุดหงิดเมื่อนึกถึงคำขู่ของพ่อที่ฝากมากับแมทธิว

“เชื่อแม่เถอะ แบบนี้ดีแล้วล่ะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ หันไปทางแพทริค “กลับเลยนะ?”

“ได้ครับ” เขาตอบรับ จากนั้นถึงบอกลาทุกคน “ขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอบคุณที่ต้อนรับผมอย่างดี”

แพทริคค้อมหัว จับมือลุงเบอนาร์ดกับแม่เป็นการกล่าวลา เมื่อถึงตาอเล็กซ์ เจ้าแมวยักษ์รีบเปลี่ยนมือเป็นอีกข้างทันทีที่เห็นอเล็กซ์ยื่นมือออกมา ผมเห็นอเล็กซ์ยิ้มให้เขา แววตาเป็นประกายวาว

และผมเริ่มหวงขึ้นมาเล็กน้อย

ร่ำลากันเรียบร้อย ผมกับแพทริคหันหลังเดินแยกออกมา สวนกับชายคนนึงในชุดสูท แพทริคเกือบเดินชนเขาเนื่องจากเอาแต่มองหน้าผมไม่ยอมมองทางเดิน

“ระวังหน่อย” ผมดุเจ้าตัวยุ่ง ก่อนเหลือบตามองชายคนนั้น “ขอโทษด้วย ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ?”

“ไม่ครับคุณเซบาสเตียน” เขาค้อมหัว ผมคุ้นหน้าอีกฝ่ายว่าเป็นคนของลุงเบอนาร์ด

“ดีแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ดันหลังแพทริคให้เดินนำไปข้างหน้า

“คุณเบอนาร์ดครับ…”

เสียงชายคนนั้นดังแว่วอยู่ด้านหลัง ผมอดหันกลับไปมองไม่ได้…

“เซ็บ?”

“หืม ว่าไง” ผมหันกลับมาเมื่อแพทริคส่งเสียงเรียก เขายิ้มให้

“จับมือผมไม่ปล่อยเลยนะ”

“จับไม่ได้เหรอ” ผมกระชับมือเขา “ไม่อยากปล่อยนี่”

แพทริคอมยิ้ม ไม่ตอบรับ ผมเลยถือว่าเขาอนุญาต


“เป็นไงบ้าง”

ผมถามเมื่อพวกเราออกรถมาได้สักระยะ แพทริคโอดครวญทันทีที่ผมเปิดประเด็น

“ตื่นเต้นแทบตาย หัวใจผมเต้นตุบๆ ไปหมด”

“แต่นายก็ทำได้ดีนะ”

“เพราะมีคุณอยู่ข้างๆ ไงครับ” คนปากหวาน พอมีช่องก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ผมยิ้ม ตามองถนนตรงหน้า แต่ก็พอเดาได้ว่าเจ้าแมวยักษ์คงกำลังมองผมและยิ้มหวานอยู่แน่ “คุณเป็นพลังให้ผมจริงๆ นะเซ็บ”

“ตอนแรกนายเกร็งตัวพองขนไม่ยอมออกจากรถด้วยซ้ำ”

“ตอนนั้นผมตั้งตัวไม่ทันนี่ครับคุณ”

“พอตั้งตัวได้ก็คุยจ้อเชียว” ผมอดค่อนแคะไม่ได้ “คุยกับอเล็กซ์ถูกคอจนลืมฉันเลยนะ”

“หืม…” เขาลากเสียง “คุณหึงผมเหรอครับ”

“ไม่รู้ ความหมายเดียวกับหวงหรือเปล่าล่ะ” ผมยักไหล่ “ที่รู้ๆ คือหวงนาย”

“พระเจ้า คุณอย่าเล่นกับใจผมแบบนี้”

“ใจเต้นเหรอ” ผมขำในลำคอ “แรงมากไหม?”

“แทบทะลุจากอก”

ผมหัวเราะกับน้ำเสียงจริงจังติดโอเวอร์ของแพทริค

“อาทิตย์หน้าฉันมีบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย จำได้ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ที่บรรยายคู่กับเมลิน่า”

“อา...จำได้ครับ”

“ถ้าว่างก็มาฟังได้นะ เป็นงานเปิด คนนอกเข้าได้แต่ต้องสำรองที่นั่ง แต่ถ้าไม่อยากฟังก็เดินเล่นตามบูธข้างในได้ พวกนักศึกษาตั้งบูธกิจกรรมสนุกๆ เยอะแยะ”

“อืม ผมดูก่อนนะครับ ไม่แน่ใจว่าขอลาได้หรือเปล่า”

“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“แต่ผมอยากไปนะ” แพทริครีบพูด ผมเหลือบมองเขา “เดี๋ยวคุณโดนแย่งไปทำยังไง”

“ใครจะแย่ง?”

“เมลิน่า”

“เด็กขี้หวง” ผมหัวเราะในลำคอ “ตอบแบบไม่คิดเลยนะ”

“ไม่รู้ล่ะ ผมขอไปคุมคุณหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”

“นายก็มีเจ้าของแล้วเหมือนกัน”

“รู้ครับ รอคุณจับใส่ปลอกคออย่างเดียวเนี่ย”

“ถูกจับใส่นานแล้วไม่รู้หรือไงแพท”

“หือ?”

“ตั้งแต่นายเดินเข้ามาในโลกของฉัน ฉันก็จับนายใส่ปลอกคอ ไม่อนุญาตให้ออกไปแล้วแพท ยังไม่รู้ตัวอีก”

แพทริคเงียบไปอึดใจ ก่อนเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ หางตาผมเห็นเขาขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ วินาทีต่อมา ปลายจมูกของแพทริคก็กดลงบนแก้มผม

“ถึงอนุญาตผมก็ไม่ออกครับ”

ผมนึกสงสัยว่าเราจะชอบใครมากขึ้นกว่าเดิมทุกวันได้ยังไง

และแพทริคทำให้ผมเข้าใจคำตอบของคำถามนั้น


_________________________________________________________

บทนี้พามารู้จักครอบครัวเซ็บทางฝั่งคุณแม่บ้าง แค่นี้เจ้าแมวก็เกร็งตัวพองขนแย่แล้ว ถ้าไปเจอซีมอนนี่คงช็อกตัวแข็ง 555

ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ #คุณผู้มากับสายฝน



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อุบัติเหตุจริงรึเปล่า  :hao4:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
กินกันไม่ลงจริงๆเลยคู่นี้ หยอดกันไปมา คนที่เขินจนตัวบิดคือทางนี้ อ๊ายยยย :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด