บทที่ 16 ระยะห่าง
น้ำนิ่งเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับทิมได้บ้างแล้ว แต่เวลาอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนเดิม เวลาน้ำนิ่งเล่นกับกะทิ ทิมก็หลับรอตลอด
เวลาผ่านไป จนล่วงเข้าเกือบ 3 เดือน พอสที่เห็นทิมมารอน้ำนิ่งตลอด ก็อดทนกับความสงสัยตัวเองไม่ไหว ไม่เห็นมันจะบอกอะไร แต่เสือกยอมให้รับกลับทุกวัน ว่าแล้วก็ล็อคคอมันมาถาม
“มึง!! ชอบทิมใช่มั๊ย”
น้ำนิ่งตกใจกับคำถามเพื่อน เอาแต่หันหน้าที่ขึ้นสีจนถึงหูมุดหนีเพื่อน มันก็ยังจะตามตลอดๆ ก็จะไปรู้สึกอะไรกับใครได้ยังไง เค้ากลัวคนอื่นรังเกียจ หันหน้า หันตัวหนี จนพอสถอนหายใจใส่ จับล๊อคคอจ้องหน้า
“ไอ้นิ่ง มึงฟังกูนะ มึงเลิกคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น มึงไม่ได้เป็นอะไรเลย เลิกคิดถึงเรื่องนั้นซะที ถ้ามึงชอบทิม มึงก็บอกไป กูว่ากูดูออกว่าทิมก็ชอบมึง"
“กูกลัวทิมรับไม่ได้วะ”
“อดีต ก็คือ อดีต มึงทำปัจจุบันให้มีความสุขไม่ดีกว่าหรอ จะจมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ แล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ทำไม คนเราไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง มึงอยู่แบบนี้มึงมีความสุขแล้วหรอ กูถามจริง”
น้ำนิ่งไม่ได้ตอบอะไร หากมีอีกคนเดินมาแทรกกลางพร้อมกอดคอเขาและพอสไว้
“เป่าหูไรน้องกูว่ะพอส” พอสชะงักพลางถอยตัวเองออก จนตาน้ำงงกับอาการที่เกิดขึ้น
“ก็ป่าว ไมมาได้ละมึง เห็นทุกวันส่งเพื่อนมา”
“ถามแบบนี้คิดถึงกูละสิ” น้ำนิ่งขำกับคำกวนที่ฝาแฝดยั่วเพื่อน
ก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ พอสมันก็ชอบตาน้ำ ไอ้น้ำก็หมาหยอกไก่ ไม่รู้เมื่อไรจะกินซะที
“หลงตัวเองเหี้ยๆ “
“ไปกินข้าวกันเหอะ” ปากชวน พร้อมมือจูงฝาแฝดและ เพื่อนฝาแฝดเดินไปหาเพื่อนตัวเอง
ระหว่างที่เดินหาร้านข้าว ตาน้ำก็ดึงทิมให้ห่างออกมา พร้อมกับถามข่าวคราวเพื่อนและฝาแฝด
ทิมก็บอกเหมือนเดิม น้ำนิ่งเล่นกับกะทิ เค้าก็นอนรอ หลับจริงบ้าง หลับตาเฉยๆ บ้าง แต่ก็รู้ว่าอีกคนมานั่งมองหน้าตลอด แต่ไอ้ประโยคหลังนี่ไม่ได้บอกหรอก บางทีก็อยากเก็บเป็นความสุขของตัวเอง
ไม่หลับก็ไม่ไหว กลัวใจจะทนไม่ได้กับตาใสๆ ปากแดงๆ ที่ทำให้หน้าดูหวาน ตัวบางๆ จนเผลอจะแตะต้อง
“นี่ กูจะบอกอะไรให้”
ว่าแล้วตาน้ำก็กระซิบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ทิมรู้สึกเครียด
กลับมาถึงคอนโด ฝาแฝดก็เอนตัวนั่งพักกันที่โซฟา
“ไม่อยากไปที่ห้องทิมแล้ว”น้ำนิ่งเอ่ยขึ้น จนตาน้ำต้องหันไปมองหน้าคนพูด
“มีอะไรรึป่าว หรือว่าทิมมัน....” พูดไม่ทันจบ น้ำนิ่งก็ส่ายหน้า
“เรากลัวทิมอึดอัด พอไป เราเล่นกับกะทิไม่เท่าไร ทิมก็หลับ เราเกรงใจ ไม่อยากไปกวน อีกอย่างเราก็กลัวทิม....” พูดยังไม่ทันจบก็โดนฝาแฝดคนพี่ดึงเข้ามากอด พร้อมกระซิบอะไรบางอย่างจนทำให้แปลกใจ
งานขายของประจำปีของมหาลัยมีขึ้น อากาศเย็นสบาย แม้จะทำให้น่าเดิน แต่แดดก็ยังคงร้อนอยู่บ้าง
แต่ละคณะมีบูธประจำของตัวเอง หากแต่นักศึกษาต้องการจะขอเพิ่มเป็นชื่อตัวเองก็ได้
คณะบริหารหมุนเวียนแต่ละสาขาให้เป็นคนจัดงาน หากเงินที่ได้จะเป็นของนักศึกษาที่จัดงานเลย ไม่ได้เข้าคณะ เพียงแต่ขอความร่วมมือให้จัดบูธเท่านั้น
และครั้งนี้ เป็นของสาขาน้ำนิ่งและพอส เพื่อนๆขอให้ทั้ง 2 คนเป็นคนดำเนินงาน เพราะเนื่องจากมีธุรกิจคาเฟ่อยู่แล้ว คงไม่ยากที่จะหาของมาขาย แต่หากน้ำนิ่งให้คำตอบกับพอสไปว่า
“ถ้าเอาของที่ร้านมาขาย คนจะมาซื้อที่บูธทำไมละ เพราะมันเหมือนกัน”
พอสคิดจนหัวแตก ก็ไม่รู้จะทำไร แต่หากน้ำนิ่งได้คำตอบแล้ว เป็นคำตอบที่พอสไม่คิดว่ามันจะกินได้และขายได้เหมือนขนมไทยนั่นละ
แต่เอาเถอะ น้ำนิ่งมันมั่นใจขนาดนี้ ก็คงไม่พลาด
วันงาน พอส ต้าร์ น้ำนิ่ง และเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มติวหนังสือ ช่วยกันทำของขาย เหนื่อยแต่ก็สนุกดี
ทำกันอยู่เพลินๆ สองหนุ่มวิศวะพร้อมแก๊งค์ทะโมนก็ปรากฏตัวหน้าบูธ
“ขายไรกันวะ”
“อ่านสิมึง ไม่ทำเหี้ยไรกันเลย จนอ่านหนังสือไม่ออกรึไง” พอสเอ่ยตอบผู้มาเยือน
‘อะโวคาโด น้ำกะทิ’
ทิมเงยหน้าอ่านป้าย พอก้มหน้าลงมาปกติก็เห็น แก้วยื่นอยู่ตรงหน้าเค้าและตาน้ำ มาพร้อมกับรอยยิ้ม
“กินไงอะ” มองอะโวคาโดสดสับเป็นชิ้นๆ ราดน้ำกะทิต้มใบเตยในถ้วยก็สงสัย
“ทิม…เดือนคณะอย่างมึงไม่น่าโง่นะ” พอสตอบจนน้ำนิ่งเอาศอกกระทุ้งเพื่อน
ก่อนหน้าร้านจะโวยวายไปมากกว่านี้ ต้าร์คว้าโทรโข่ง ปืนขึ้นถังไปยืนตะโกน
“อะโวคาโด น้ำกะทิบูธบริหารจ้า ซื้อตอนนี้ได้ถ่ายรูปฟรีกับหนุ่มฮอตของวิศวะด้วยนะ ช้าอด หมดทั้งคนทั้งของกินนะ”
เท่านั้นละ คนก็วิ่งเข้ามาซื้อจนทำขายแทบไม่ทัน ตาน้ำได้แต่ชี้หน้าด่าต้าร์ แต่หากต้าร์ยังคงตะโกนต่อไปอย่างไม่สนใจ
พอคนซาลง ทิมแอบมากระซิบน้ำนิ่ง
“เหนื่อยยัง ไปเดินเล่นกันมั๊ย”
น้ำนิ่งหันมองเพื่อน ใจอยากไปเดินดูของที่คนอื่นขายเพื่อเกิดไอเดียบ้าง พอสพยักหน้าให้ แล้วบอก
“ไปเถอะมึง เหนื่อยมาทั้งวันละ” พูดแล้วก็หยิบเสื้อแขนยาวตัวบางส่งให้
น้ำนิ่งเดินออกไปกับทิม ส่วนตาน้ำยังคงช่วยโปรโมทถ่ายรูปพร้อมๆ ยืนกินขนมไปเรื่อย
เหตุการณ์นั้น เพียวที่แวะมาดูน้องๆจัดงาน ก็เห็นพอดี ยืนมองไม่นานก็เดินจากไป
ทิมกับน้ำนิ่งเดินไปกันเรื่อยๆ ส่วนคนที่หยุดดูนั่นนี่ ก็เห็นน้ำนิ่งซะมากกว่า อีกคนก็หยุดตาม
เดินมาจนถึงบูธคณะสัตวแพทย์ ที่มีชุดของสัตว์เลี้ยงมาขาย น้ำนิ่งก็เดินเข้าไป หยิบนั่น หยิบนี่ จนเดินออกมาถึงโต๊ะจ่ายตังค์
“อ้าว....ไอ้ทิม ยังไงเนี่ย ยังไง” คนถามมองทิม สลับกะน้ำนิ่ง ไปมา จนทิมเอื้อมไปตบหัว
“มองไรนัก คิดตังค์!”
“580 บาท”
“ไม่คิดจะลดเลย?”
“เค้าซื้อ เค้ายังไม่ต่อเลย มึงจะเดือดร้อนทำไม กะเพื่อนกะฝูงอย่ามางกน่า” หันมองคนเลือกของมากองยืนยิ้ม แล้วก็ส่ายหัว
“มึงนี่ นอกจากเป็นหมอหมาแล้วยังปากหมาอีกนะ เรียนสัตวแพทย์นี่มันต้องใจบุญรักสัตว์ไม่ใช่หรอว่ะ”
“ใจบุญกะหมา แต่ไม่ใจบุญกะมึง หรือถ้ามึงอยากให้กูใจบุญด้วย มึงต้องเป็นหมาแน่ๆ ถึงได้เดินตามเหมือนหมากะเจ้าของแบบนี้”
“อ้าว..ไอ้เหี้ยนี่วอน” หากทิมจะตบเพื่อนอีกที น้ำนิ่งก็ยกมือไปกระตุกแขนเสื้อรั้งแขนที่ยกขึ้นให้ลงมา พร้อมส่งตังค์จ่ายให้อีกคน ไป 600 บาท
ได้เงินทอนมา 50 บาท ก็ต้องหันไปมองหน้าคนคิดตังค์
“เราลดให้เจ้าของหมา แต่หมาอย่างไอ้ทิม ไม่ลดให้หรอก อยู่กะมันก็ระวังมันกัดนะ เงินส่วนที่ลดให้เก็บไว้ซื้อกระดูกให้ไอ้ทิมมันแทะหน่อย ปากมันจะได้ไม่ว่าง หรือจะเอาที่บูธเลย เดี๋ยวแถมให้”น้ำนิ่งส่งยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมก้มหัวเบาๆ เป็นการขอบคุณ แล้วเดินหน้ายุ่งออกมารอทิมอยู่หน้าบูธ
ทิมมองหน้าที่ขมวดคิ้วนั่น แล้วก็แอบเสียวสันหลังเบาๆ
“เพื่อนมัธยมอะ” น้ำนิ่งส่ายหน้า ราวกับจะบอกว่าไม่ได้สนใจในความสัมพันธ์นั้น ทำให้ทิมต้องยกคิ้วมองกลับเป็นคำถาม
“ไปกวนตีนเค้า” ได้ยินคำดุแล้วก็ขำ พร้อมกับถุงที่ถูกส่งมาให้ คิดว่าคนส่งให้ช่วยถือ จึงรับไปถือ หากน้ำนิ่งพูดต่อ
“ของกะทิ” พูดแล้วก็หันตัวเดินต่อ
ทิมเดินตาม จนน้ำนิ่งได้ยินคำพูดลอยมาใกล้ๆ
‘กะทิน่าอิจฉาชะมัด’ ได้ยินแบบนั้น น้ำนิ่งก็แอบยิ้ม
เดินมาจนถึงบูธของศิลปกรรม ที่ทำเครื่องประดับขาย น้ำนิ่งหยุดมองของบางอย่าง พร้อมส่งมือไปหยิบ แต่ก็มีอีกมือส่งมาหยิบพร้อมๆกัน น้ำนิ่งสะดุ้งชักมือกลับ พร้อมถอยตัวออกมา หากอีกฝ่ายร้องทัก
“อ้าว... น้ำนิ่ง พอสกับต้าร์ไปไหนอะ ทำไมมากับ...” คนถามมองหน้าคนที่เยื้องอยู่ด้านหลัง ทำให้ทิมคิ้วขมวดทันที
‘คนที่มากับตาร์ที่สนามบาส’
“สลับกันขายของอะ เอ่อ....นี่ทิม เรียนวิศวะ เป็นเพื่อนสนิทกับฝาแฝดเราเอง ทิม นี่โอม เป็นเพื่อนของไอ้ต้าร์ เรียนศิลปะกรรมเนี่ยละ” ได้ยินน้ำนิ่งพูดกับคนเดิมเป็นประโยคยาวๆ ทิมก็ยิ่งแปลกใจ
“อ้อ...เดือนวิศวะเป็นเพื่อนตาน้ำหรอ โทษทีนะ แค่ตกใจที่เห็นน้ำนิ่งเดินกะคนอื่นนะ” ทิมไม่ตอบ หากยิ่งขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย ‘ทำไมถึงรู้จักน้ำนิ่งแม้กระทั่งว่าเดินกะคนแปลกหน้าวะ’ หรือคำที่ตาน้ำบอกมันจะเป็นจริง
ยืนคิดอะไรๆ คิ้วก็ยิ่งขมวด เพราะคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหน้า ดูคุยกันสนิทเหลือเกิน จนเสียงในบูธเอ่ยทักขึ้น
“คุณโอมจะยืนจีบคุณน้ำนิ่งอีกนานมั๊ยครับ บังหน้าบูธ ไอ้เหี้ย!” เสียงนี้ทำให้ทิมหน้านิ่งขึ้นทันที หากแต่น้ำนิ่งหันไปตอบ
“โทษที งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ”
“อ้าว เมื่อกี้เห็นจะดูข้อมือ” คนที่ยืนคุยกับน้ำนิ่งทักขึ้น แต่น้ำนิ่งส่ายหน้าตอบ
“ซื้อไป ก็ต้องใส่ๆถอดๆ เดี๋ยวทำขนม ทำกาแฟ ล้างมือ ไม่ถอดก็กลัวมันเน่า”
“งั้นไว้หาอย่างอื่นมาให้ละกันนะ” น้ำนิ่งไม่ได้ตอบอะไร หากเพียงมือ ส่งบ๊ายบายให้แค่นั้น
หันกลับมาทิมก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว เดินจนเค้าเดินตามไม่ทัน ไม่รู้จะเรียกยังๆ เพราะไม่รู้อีกคนนึงโกรธอะไร ได้แต่ยกมือไปจับเสื้อช๊อป ทิมจึงหยุดหันกลับมามองหน้า พลางถอดหายใจ ยืนเงียบกันอยู่นาน เห็นแบบนั้นน้ำนิ่งก็รู้ว่าท่าจะไม่ดีเลยเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น
“คุยกันหน่อยได้มั๊ย”
เห็นอีกคนเสตามองไปที่อื่นสักพัก ก็หันกลับมามองหน้า พร้อมพยักหน้า แขนที่จับแขนเสื้อช๊อปนั้นก็เหมือนจะใช้แรงมากขึ้น เพราะอีกฝ่ายเดินนำลิ่วๆ แทบจะลากกลับไปที่รถของตัวเอง นั่งประจำที่ก็ออกรถอย่างเร็ว
รถสปอร์ตมันเร็วและแรง น้ำนิ่งก็รู้ แต่มันจำเป็นต้องตอนนี้มั๊ย
นั่งไปก็เหลือบตามองคนขับ ที่ยังคงหน้านิ่งเป็นระยะๆ คนที่หน้านิ่งก็ยังคงจ้องมองไปที่ถนน
แต่ที่น้ำนิ่งไม่รู้คือ เมื่อตัวเองหันหน้ามองกระจกอีกด้าน คนขับรถกำลังอมยิ้มอยู่
ต่อด้านล่าง