✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่20
ความมืดยามราตรีนั้นเต็มไปด้วยความอึกทึกจากแหล่งบันเทิงหรือย่านห้างร้านค้ามากมายตามท้องถนนใจกลางเมืองทว่าหากออกหากจากบริเวณใจกลางเมืองมาหน่อยก็จะพบกับความเงียบสงัดราวกับอยู่คนละโลก เพราะความเงียบนั่นทำให้ทุกย่างก้าวของนักฆ่าอย่างผมต้องเบากว่าเคย
งานในวันนี้เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย
สังหารผู้นำแก็งฟีซาร์คนปัจจุบัน ในยุคนี้แม้จะมีหลายสิ่งปรับเปลี่ยนไปตามค่านิยมแต่ยังมีพวกแก็งหลงเหลืออยู่จำนวนมาก การสืบทอดสายเลือดของผู้นำรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นแก็งอันเปี่ยมไปด้วยอิทธิพลและอำนาจ
สำหรับแก็งฟีซาร์นั้นแตกต่างจากแก็งปกติเนื่องจากแต่ตั้งมาได้ไม่นานและเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าพวกใช้ความรุนแรงไปจนถึงกระทำการผิดกฎหมายนับไม่ถ้วน เห็นว่าช่วงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเนื่องจากหัวหน้าคนปัจจุบันชื่นชอบการทะเลาะวิวาทและฆ่าฟัน ทว่ากลับมาฉากหน้าเป็นนักบุญคอยช่วยทั้งการกุศลและทำสาธารณะประโยชน์มากมาย ปิดบังสีดำสนิทไว้ด้านหลังสีขาวอย่างแนบเนียน
ช่างน่าชื่นชม
ผมไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรือถูก ทุกการกระทำไม่ว่าจะเป็นใครต่างมีผิดและถูกด้วยกันทั้งนั้น หากมองเพียงด้านเดียวก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่อีกด้านได้ คนที่เห็นว่าใจบุญหรือทำแต่เรื่องดีใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป เช่นเดียวกันกับคนที่คลุกคลีอยู่ในความมืดจะต้องเลวเสมอไป สภาพแวดล้อมอาจมีส่วนในนิสัยทว่าทุกสิ่งมันอยู่ที่แต่ละคนว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางใด
“เอาล่ะ” เสียงสูดหายใจของผมดังขึ้นก่อนจะกระโดดจากหลังคาบ้านข้างๆ ไปยังหลังที่พักของแก็งฟีซาร์ในการกระโดดเพียงครั้งเดียว ถึงจะมีคนคุ้มกันอยู่รอบๆ มากแค่ไหนก็ปิดช่องว่างด้านบนไม่ได้หรอก มีไม่กี่คนที่จะป้องกันศัตรูอย่างแน่นหนาครบทุกทิศทาง ส่วนมากจะเน้นการป้องกันด้านหน้าโดยปล่อยด้านบนให้โล่งโจ้ง
หน้าต่างบานเล็กถัดลงไปจากหลังคาถูกเปิดออกพร้อมผมที่พาตัวเองในชุดสีดำคล่องแคล่วลอบเข้าไปด้านในได้สำเร็จ ที่นี่ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงอย่างคีย์การ์ดหรือกล้องวงจรปิดจึงง่ายต่อการเข้ามาพอสมควร
บ้านหลังนี้ถูกสร้างตามต่างชาติที่ใช้ไม้เป็นวัสดุในการสร้างบ้านจึงทำให้เวลาเดินต้องระวังเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สถานที่ที่ผมต้องไปคือห้องพักส่วนตัวของหัวหน้าแก็งฟัซาร์ในกลางบ้านที่มีเพียงชั้นครึ่งคือส่วนที่พกอาศัยในชั้นแรกกับชั้น 2 ขนาดเล็กสำหรับเก็บของที่ผมยืนอยู่นี่
ผนังไม้ด้านข้างเกิดเสียงดังเล็กน้อยเมื่อถูกเคาะเพื่อหาช่องว่างระหว่างผนังเหล่านี้ เสียงหนักที่ได้ยินทำเอาผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปเคาะผนังอีกฝั่งดูบ้างจนสุดท้ายก็เจอเข้ากับเสียงกลวงๆ จากผนังฝั่งขวามือ ข้าวของต่างๆแนบชิดอยู่ติดกับผนังมากเกินกว่าจะย้าย แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดจะย้ายเพราะอาจถูกจับสงสัยเอาได้ ที่ผมทำมีเพียงใช้มีดสั้นด้ามเงินกรีดบริเวณด้านบนของผนังไม้โดยใช้ข้าวของด้านล่างเป็นฐานเหยียบเพิ่มความสูง เพราะทำด้วยไม้ความทนทานจึงมีไม่มากเท่าวัสดุอื่นส่งผลให้ผมสามารถเลาะผนังไม้นั่นได้ในเวลาไม่นาน
ไม้ชิ้นใหญ่ที่ใช้แทนผนังถูกผลักไปด้านในก่อนผมจะตามเข้าไปแล้วยกแผ่นไม้นั่นปิดเหมือนเดิม เส้นทางภายในบ้านหลังนี้ผมสำรวจมากแล้วพอรู้ว่าจุดที่ตัวเองอยู่คือตรงไหนผมก็เดินไปห้องของเป้าหมายผ่านการก้าวไปบนคานไม้โดยระวังไม่ให้เสียงฝีเท้านั้นดังเกินไป พอเห็นคานหน้าของฮาเซลก็ลอยขึ้นมา หนึ่งในสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ
หลังจบเหตุการณ์ของคิง จามาน่าผมแทบไม่ได้เจอฮาเซลเลย แต่ถึงไม่ได้เจอใช่ว่าจะไม่ได้คุยกัน ทุกเช้าเขามักจะโทรมาปลุก เอือมจนไม่รู้จะเอือมยังไงแล้ว แต่ทุกครั้งผมก็รับสายเขาตลอด
สถานะของพวกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เพียงคนรู้จักแต่เป็นแฟน…อ่า ควรใช้คำว่าคนรักสินะ
การตอบรับในวันนั้นมันเหมือนอารมณ์ชั่ววูบจากการไม่ได้เจอกันถึงสามอาทิตย์ ความจริงอยากจะใช้ช่วงเวลาอีกสักพักเพื่อเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกของตัวเอาให้มากกว่านี้ก่อน
ช่างเถอะ ยังไงก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แล้วผมไม่อยากเปลี่ยนด้วยละมั้ง
คำว่าแฟนหรือคนรัก...ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ดูแปลกใหม่ดีสำหรับผมที่แทบไม่ยุ่งหรือสุงสิงกับใคร
กลับเข้าเรื่องงาน ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ผมได้ก้าวมาถึงบนห้องของเป้าหมายเรียบร้อย ผมย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นเพดาก่อนค่อยๆ เปิดเพดานทีละน้อยเพื่อดูสถานการณ์ภายในห้อง ความมืดด้านในเป็นตัวบอกว่าเจ้าของห้องนั้นหลับไม่ก็ไม่ได้อยู่ห้อง แต่พอมองไปด้านข้างแล้วเห็นร่างนอนหลับบนเตียง
เพดาไม้ในมือก็ถูกยกขึ้นไปวางด้านข้าง อาวุธที่ผมใช้ในครั้งนี้เหมาะกับระยะห่างที่ค่อนข้างไกลและไม่อยากให้หลงเหลือล่องรอยใดๆ กับเป้าหมาย อาวุธนี้คล้ายๆ กับเครื่องเป่าลูกดอกทว่าเปลี่ยนมาใช้มือในการยิงคล้ายปืน ในลำกระสุนไม่ใช่ลูกปืนแต่เป็นเข็มยาพิษ เพียงยิงโดยผิวหนังสารพิษจะละลายและเข้าสู่ผิวหนังไปจนถึงกระแสเลือดทำให้ไม่หลงเหลือแม้แต่เข็มที่ปักอยู่
นอกจากยาพิษยังมีพวกยาสลบหรือยาชาใส่อยู่อีก สะดวกต่อการใช้งานแถมง่ายต่อการพกพา
ถึงแบบนั้นผมก็ยังชอบมีดและลวดมากกว่าล่ะนะ
ผมทำการเล็งเข็มพิษไปยังเป้าหมายบนเตียง บริเวณที่เล็งคือส่วนหน้าผากซึ่งง่ายสุดในการเล็งเป้า ไม่กี่วินาทีต่อมาเข็มขนาดเล็กถูกยิงใส่เป้าหมาย พิษชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ทรมานหรือดิ้นทุรนทุรายเพราะงั้นการจากไปของหัวหน้าคนปัจจุบันของแก็งฟีซาร์จึงเป็นไปอย่างเงียบสงบ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นผมก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ทุกทางที่ผมผ่านถูกลบล่องรอยอย่างระมัดระวังก่อนจะจากไปดังเช่นฉายายมทูตแห่งความตายที่มารับเหยื่อในค่ำคืนอันเงียบสงัด
“กี่โมงแล้ว...สามทุ่ม? บ้าจริง!” นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาสามทุ่มซึ่งถ้าเป็นตอนปกติผมคงไม่มาวิ่งด้วยความเร็วสูงแบบนี้หรอก
วันนี้ค่อนข้างพิเศษ...เรียกว่าครั้งแรกก็ได้ที่ฮาเซลนัดผมให้ไปกินมื้อเย็นและผมตอบรับไปว่าได้ทว่าดันตรงกับเวลาทำภารกิจของวันนี้พอดี ผมหาข้อมูลของหัวหน้าแก็งฟีซาร์มาสักพักกว่าจะรู้ทั้งสถานที่และวันที่อยู่บ้านก็กินเวลาพอสมควรเพราะงั้นการจะเลื่อนภารกิจจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควร แน่นอนว่าผมไม่คิดจะขอเลื่อนนัดฮาเซลเช่นกัน หากผมทำภารกิจเสร็จแล้วตรงไปหาฮาเซลทันทีก็ทันเวลาอยู่
แต่ติดเพียงแค่รถไฟฟ้าที่ใช้เดินทางเข้าไปยังตัวเมืองดันเกิดขัดคล่องจนไม่สามารถทำการเดินรถใดๆ ได้ทั้งสิ้น และคงใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงจะกลับมาเป็นปกติ
นี่ผมรอมาประมาณชั่วโมงได้ละมั้งถึงจะได้มุ่งหน้าไปยังร้านที่ฮาเซลนัด ผมโทรไปบอกฮาเซลว่าเกิดเรื่องแต่ฝ่ายนั้นดันตอบกลับมาด้วยประโยคสั้นๆ คือรอได้ จึงกลายเป็นฝ่ายผมที่เร่งซะเอง
สถานที่นัดเป็นตึกแฝดสูงกว่า 20 ชั้นซึ่งนอกจากจะเป็นภัตคารสุดหรูแล้วยังเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว คนระดับธรรมดาไม่มีทางก้าวเข้ามาใช้บริการแน่นอน ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่เคยมาใช้บริการแม้จะได้ยินข่าวลือถึงการบริการหรือรสชาติของอาหารมามากมายก็ตามที ภัตคารชั้น 15 เป็นห้องอาหารบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ โรงแรมนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงภัตรคารนั้นจะไม่อยู่ในห้องแต่ตั้งอยู่บนทางเชื่อมตึกจึงทำให้ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวได้จากกระจกใสทั้งสองฝั่ง
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรครับ” พนักงานบนชั้น 15 ก้มหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีมารยาท การจะเข้ามารับประทานอาหารในนี้ได้ต้องทำการจองล่วงหน้า...มีข่าวลือว่าต้องจองเป็นเดือนถึงจะได้มาสักโต๊ะ
“ผมมาหาฮาเซล กอนซาเลส” ผมบอกชื่อฮาเซลให้อีกฝ่ายได้ยิน
“รับทราบครับ ท่านฮาเซลกำลังรออยู่เชิญทางนี้เลยครับ” พนักงานชายผายมือพลางเปิดประตูเพื่อพาผมไปด้านใน บรรยากาศสุดหรูในธีมสีทองช่วยให้ความหรูหราและไฮโซมากขึ้นไปอีกหลายเท่า พนักงานชายเดินนำผมไปจนถึงโต๊ะอีกฝั่งซึ่งติดกับประตูทางเชื่อมอีกตึกหนึ่งทว่ากลับมีการจัดฉากกั้นเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว
“ฮาเซล” ผมเดินเข้าไปหาฮาเซลที่กำลังมองไปด้านนอก
“รีบมาเหรอ เหงื่อโชกเลย” ฮาเซลหันมามองด้วยรอยยิ้มรู้ทัน
“ผมแค่ร้อนต่างหาก” ปฏิเสธเสร็จก็นั่งลงยังเก้าอี้อีกฝั่ง โต๊ะนี้มีที่นั่งเพียงสองที่ซึ่งถูกจัดให้หันข้างติดกระจกทำให้สามารถหันไปมองวิวข้างนอกได้
“โกหกฉันไม่ได้หรอก”
“รอตั้งสองชั่วโมง ผมถึงบอกให้เปลี่ยนไปนัดวันอื่นแทนไง” รวมเวลาเดินทางและเวลารอรถซ่อมเสร็จก็ประมาณสองชั่วโมงได้ งานฮาเซลเองใช่ว่าจะน้อยสองชั่วโมงสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง
“อยากเจอเรย์นี่ ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบเรื่อง” เรื่องที่ว่าคือเรื่องของคิง จามาน่า
“คุณเองก็ยุ่ง ผมเองก็ยุ่งเหมือนกัน” พวกเราทั้งคู่ต่างยุ่งกับหลายๆ อย่าง ด้านผมนอกจากต้องทำการยกเลิกสัญญาห้องพักที่ใช่ล่อพวกของคิง จามาน่าก็ต้องทำภารกิจอื่นต่อ ภารกิจเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมตอบตกลงไปแต่ยังไม่ได้ลงมือจัดการ ต่างฝ่ายต่างยุ่งจะมีเวลามาเจอกันได้ยังไง
“ถึงฉันจะยุ่งแต่ถ้าเรย์บอกฉันมาหาได้เสมอ”
“คุณนี่นะ เลิกหยอดสักที ไม่เบื่อรึไง” ทางโทรศัพท์ก็ทีนึงแล้ว ทำราวกับผมเป็นผู้หญิง
“มีแฟนทั้งทีต้องหมั่นพูดคำหวาน แซมบอกมา”
“ผมไม่ชอบคำหยอดหวานๆ พวกนั้นหรอกนะ” ว่าแล้วเชียวต้องมีคนบอก ปกติฮาเซลอาจหยอดบ้างแต่ไม่มากเท่าช่วงนี้ ฝีมือแซมนี่เอง
“งั้นชอบแบบไหน”
“ปกติ” ผมตอบพลางมองซุปจานแรกที่ถูกเสิร์ฟ ซุปสีใสมีแครอท ถั่วลันเตาและเบค่อนลอยอยู่ปะปาย พอลองตักชิมรสชาติหวานกลมกล่อมตามแบบฉบับซุปคุณภาพนั่นเรียกความอยากอาหารให้มีมากกว่าปกติ
“อร่อยสินะ” ฮาเซลมองดูท่าทีผมหลังตักซุปเข้าปาก
“ร้านระดับนี้ไม่อร่อยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”
“ของหวานเด็ดกว่านี้อีก”
“ของหวาน?” ไม่รู้ว่าผมแสดงปฏิกิริยามากไปหรือไงกับคำว่าของหวานฮาเซลถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันสั่งให้ทำแบบพิเศษ”
“ราคาคงพิเศษกว่าละมั้ง” แค่ราคาอาหารจานปกติก็มากพอจะทำให้คนธรรมดาอยู่ได้หลายวันแล้ว
“นายก็รู้ว่าฉันจ่ายได้” ฮาเซลบอกระหว่างตักสเต็กในจานหลักเข้าปาก
“ครับๆ ก็คุณรวยนี่”
“นายก็รวยนี่ ค่าจ้างแต่ละครั้งคงไม่ใช้หลักพันหรอกมั้ง” แก้วไวน์แดงถูกยกขึ้นมาจิบสลับมองหน้าผม
“คงรวยไม่เท่าคุณ ค่าจ้างผมบางทีก็มีนะหลักพัน” ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้ค่าจ้างสูงๆ เสมอไป แต่ส่วนมากก็ใช่...คงคิดว่ายิ่งให้ราคาแพงโอกาสที่ผมจะตกลงคงมีมากขึ้น
“หลักพันเนี่ยนะ แล้วรับไหม” ฮาเซลถามด้วยความสนใจ
“รับ ผมไม่ได้ตัดสินรับงานด้วยจำนวนเงินนี่นะ”
“สมกับเป็นเรย์ เล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”
“ใช่ว่าไม่ได้ คงรู้จักเจเจย์ กากอซอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากหนึ่งในเหยื่อที่ถูกกระทำมีครอบครัวหนึ่งค่อนข้างยากจนแต่พวกเขาอยากจะให้หมอนั่นชดใช้เลยเมลมาหาผม ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปหาเมลผมมาจากไหนถึงได้ส่งเมลมาหาโดยมีค่าจ้าง 5,000 บาท ภารกิจครั้งนั้นไม่ได้ยากอะไรเพราะเจเจย์ กากอซไร้การป้องกันตัว ผมแค่ปลอมตัวนิดหน่อยอีกฝ่ายก็ติดกับและถูกจัดการ” ผมเล่าเนื้อหาของงานในภาพรวมในฮาเซลฟังระหว่างกินสเต็ก
“เจเจย์นั่นฝีมือเรย์เหรอเนี่ย ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าถูกพบในสภาพเหมือนกำลังล่าเหยื่อแต่กลับถูกเหยื่อคนนั้นจัดการเข้าให้ เล่นชอบการลักพาตัวเยาวชนไปขมขืนก็สมควร” ฮาเซลพูดเสริม เป็นอย่างที่ฮาเซลบอกหมอนั่นขึ้นชื่อเรื่องขมขืนเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แม้จะถูกจับแต่ก็ถูกปล่อยในไม่กี่วันเนื่องด้วยอิทธิพลของทางบ้าน
“คุณเองก็ระวังไว้ อาจมีใครจ้องเร่งงานอยู่” ใช่ว่าพอจบเรื่องคิง จามาน่าแล้วจะปลอดภันร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้คนนึงไม่ได้มีศัตรูเพียงแค่คนเดียว
“ฉันมีเรย์อยู่แล้วคงไม่เป็นไร” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองจ้องมองประสานสายตากับผมระหว่างพูด
“ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณตลอดนี่”
“งั้นทำไมไม่มาอยู่ข้างฉันล่ะเรย์” น้ำเสียงและดวงตาที่ยังคงจับจ้องมานั้นราวกับกำลังสื่อหลายสิ่งให้ผมได้รับรู้
“ผมชอบตัวเองในตอนนี้ คุณอาจเปลี่ยนผมแต่ใช่ว่าผมจะยอมเปลี่ยนไปทุกอย่าง” ผมตอบกลับไปตามตรง ความหมายของประโยคนั้นทำไมผมจะไม่เข้าใจเพราะเข้าใจถึงได้ปฎิเสธ บอกตามตรงว่าตั้งแต่เจอกับฮาเซลตัวผมเปลี่ยนไปมาก ซึ่งทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมเลยอยากค่อยเป็นค่อยไป
“ฉันเป็นห่วงรู้ไหม” น้ำเสียงห่วงใยนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ
“คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนแรกที่พูดว่าห่วงผม” ผมวางมีดและส้อมในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
“ได้ยินแบบนั้นดีใจจังแฮะ”
“อาชีพผมมันหาความปลอดภัยไม่ค่อยได้แต่ผมสนุกกับสิ่งเหล่านั้น หวังว่าคงเข้าใจ” ความหมายคือผมไม่คิดจะเลิกอาชีพนี้ตราบเท่าร่างกายยังเอื้ออำนวย
“จะบอกว่าอยู่กับฉันไม่สนุก?”
“อืม เข้าใจถูกแล้ว” ผมพยักหน้าแล้วเรียกพนักงานให้เสิร์ฟของหวนต่อเลย
“ฉันเสียใจนะเรย์ได้ยินคนรักพูดแบบนั้น” ฮาเซลทำท่าเสียใจโดยการยกมือข้างนึงขึ้นปาดน้ำตาลที่ไม่ได้ไหลจริง
“คิก...คุณมันบ้าจริงๆ เลย” พ่อค้าอาวุธฮาเซล กอนซาเลสกำลังเล่นเหมือนเด็ก
“หัวเราะแล้ว การแสดงฉันใช่ได้เลยล่ะสิ”
“โนคอมเม้นท์” ผมโบกมือเป็นเชิงไม่บอก ขนมหวานจานยักษ์วางลงตรงหน้าผมพร้อมกลิ่นอันหอมหวนของวนิลาและเนยเป็นตัวนำ...สีน้ำตาล เหลืองอ่อน ทองและขาวถูกจัดแต่งให้ขนมหวานจานดูหรูหราและสมส่วนกว่าจานไหนๆ ที่เคยเห็น
“อร่อยสินะ” ฮาเซลถามเมื่อผมตักคำแรกเข้าปาก
“ไม่อร่อย” ผมโกหก
“คนโกหกต้องถูกทำโทษรู้ไหม”
“ไม่รู้ และผมไม่ยอมให้ถูกทำโทษแน่ๆ”
“นี่เรย์ ถ้าเป็นแฟนกันต้องตอบประมาณ ผมขอโทษที่โกหกฮาเซลนะ ของหวานนี่อร่อยมากๆ เลยผมรักฮาเซลที่สุด ประมาณนี้สิ”
“คิก! ไม่ไหวแล้ว...นี่คุณคิดได้ยังไงน่ะ” แถมยังมีการดัดเสียงเล็กๆ อีก ขำจนเริ่มปวดท้องแล้วเนี่ย
“จะว่าไปฉันยังไม่เคยได้ยินเลยนี่”
“ได้ยินอะไร” ผมถามกลับ
“คำว่ารักจากเรย์”
“...” คำพูดนั่นทำเอาร่างกายผมเกร็งไปชั่วขณะ
จะว่าไปก็ยังไม่เคยบอกจริงด้วย
“อยากได้ยินจัง”
“...ไว้วันอื่น” วันนี้ผมยังไม่ได้เตรียมใจ
“ฉันอยากได้ยินวันนี้นี่เรย์” ฮาเซลไม่ยอมอย่างที่คาด
“ไม่” ยังไงวันนี้ผมไม่พูดแน่ๆ
“ไม่กล้าละสิ”
“ฮาเซล!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังลั่น
“งั้นก็อาย”
“ไม่ใช่...”
“อ้อ อาจจะเขิน”
“ฮาเซล กอนซาเลส!” ผมลุกขึ้นพร้อมตบโต๊ะดังปังโดยไม่รู้ว่าแก้วไวน์ฝั่งฮาเซลอยู่ใกล้ขอบมากเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยแก้วนั่นก็ตกลงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวของฮาเซลจนกลายเป็นสีแดงอ่อน
“เขินแรงนะเรย์” ฮาเซลขยับตัวลุกขึ้นหลังพนักงานวิ่งเข้ามาเก็บแก้วไวน์และเตรียมทำความสะอาด
“ขอโทษ” ผมเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยขอโทษ
ไม่คิดว่าจะหกรดแบบนั้น
“ไม่เป็นไร แต่คงต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดละนะ มาด้วยกันเรย์” พูดจบฮาเซลก็เดินไปหาพนักงานแล้วสั่งหลายๆ อย่าง
“ผมรออยู่นี่...”
“ไม่มาฉันจะอุ้มไป” เพียงคำพูดเดียวผมถึงกับก้าวขายาวๆ ตามหลังฮาเซลทันที ด้วยพละกำลังบวกทักษะของฮาเซลเขาสามารถจับผมอุ้มพาดบ่าได้ง่ายๆ ถึงผมจะขัดขืนแต่ในภัตรคารแถมยังเต็มไปด้วยผู้คนนับสิบมันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาซะเลย
ฮาเซลเดินนำจนถึงห้องหนึ่งบนชั้น 20 ภายในห้องถูกตกแต่งในโทนสีเดียวกับด้านนอกซึ่งเป็นสีครีมและทองดูสบายตา เฟอร์นิเจอร์ในห้องเองมีครบแทบทุกอย่างตั้งแต่ตู้เย็นขนาดเล็ก ตู้เสื้อผ้า ชุดโซฟาและเตียงกลางห้อง ด้านขวามือมีประตูหนึ่งบานคงเป็นห้องน้ำ
“ผมจะรอตรงนี้” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาสีครีมติดผนังห้อง
“ไปอาบด้วยกันเรย์”
“ฮะ ไม่ ไม่มีทาง!” ผมถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน
จะให้อาบด้วยกันเนี่ยนะ
ไม่มีทาง!
“ทำฉันเลอะจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ” ฮาเซลพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ให้ผมซักเสื้อคืนก็ได้ ไม่เห็นต้องให้เข้าไปอาบด้วยสักหน่อย” ผมลุกจากโซฟาแล้วก้าวถอยหลังเตรียมหนี
“อยากอาบน้ำกับคนรักมันผิดตรงไหน”
“ไม่ผิดแค่ผมไม่ยอม”
“ถ้าฉันจับได้ต้องยอมด้วย” ข้อเสนอของฮาเลดังขึ้น
“ได้ ถ้าผมออกจากห้องได้ต้องห้ามตาม”
“ตกลง”
ไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงแต่ในเมื่อเดิมพันด้วยการอาบน้ำกับฮาเซลผมขอสู้ตาย!
ผมก้าวถอยหลังเพื่อทำสมาธิในการมองทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าในขณะที่ฮาเซลใช้สายตาจับจ้องมายังผมอยู่ก่อนแล้ว ที่ต่างคือเขาก้าวเข้ามาหาในจังหวะเร็วขึ้น ขาผมกระโดดหลบมือที่หมายจะขวางตัวไปทางด้านข้างก่อนเร่งความเร็วเพื่อพุ่งตรงไปยังประตู ทั้งที่ทิ้งระยะห่างค่อนข้างมากและความเร็วผมเหนืออกว่าแน่ๆ แต่กลับถูกฮาเซลคว้าเอวไว้ก่อนมือจะถึงประตู
ไม่เพียงแค่จับได้แต่ฮาเซลยังอุ้มผมขึ้นพาดบ่าเดินตรงไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางสบายๆ
(มีต่อค่ะ)