"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 192637 ครั้ง)

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #390 เมื่อ10-04-2016 17:00:21 »

อ่านแล้ว เข้าใจมากขึ้นค่ะ

น้องโรม จงมั่นใจ เลิกลังเล เชื่อมั่น ชีวิตเป็นของตัวเองนะ
ที่หนึ่ง เอาใจช่วย เชื่อว่าจะเป็นที่หนึ่ง แน่นอน
#ที่หนึ่ง
 :L2:

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #391 เมื่อ10-04-2016 18:35:33 »

น้องไม่เกี่ยวแค่เอี่ยวด้วย แต่วิธีการปกป้องพี่ๆมัน.... เฮ้อ
แต่มันหล่อหลอมโรมจนเป็นแบบนี้แล้ว เราไม่คิดว่าโรมจะเปลี่ยนได้
แล้วที่หนึ่งก็คงเป็นคนที่โดนดูดมาโคจรเพราะดันไปรักโรม เฮ้อออ เพลีย
รอดูอย่างเดียวละ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #392 เมื่อ11-04-2016 12:45:07 »

เฮ้ออออ รอลุ้นละกันเนอะ

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
«ตอบ #393 เมื่อ11-04-2016 19:20:01 »

น้องโรมน่าสงสารอ่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #394 เมื่อ16-04-2016 18:00:13 »

บทที่ 27

   เราชอบอะไรเหมือนกัน

   ชอบสีเดียวกัน ชอบวิชาเลขเหมือนกัน ชอบกินปลามากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น รวมถึงชอบที่จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องมากกว่าออกไปเล่นวิ่งไล่จับกลางแดด เรานั่งเรียนข้างกันในห้องตั้งแต่วันแรกจนวันจบ นอนกลางวันพร้อมจับมือไปด้วย อะไรที่โรมไม่ชอบเกรย์ก็ไม่ชอบ ถ้าเจอผมที่ไหนต้องเจอเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยกันอยู่ไม่ห่าง จนคุณพินิจยังเคยแซวว่าเราเหมือนฝาแฝดกันมากกว่าแบล็คกับไวท์เสียอีก

   จนถึงขั้นที่ว่าแค่เรามองตากันก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรออกมา เมื่อไหร่ที่คนหนึ่งโดนทำโทษอีกคนก็พร้อมจะเจ็บไปด้วยแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ผิดเลยก็ตาม มันเป็นมิตรภาพของเด็กวัยอนุบาลที่น่ารักในสายตาของผู้ใหญ่

   ผมกำลังย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

   ในห้องสี่เหลี่ยมที่ทากำแพงด้วยสีพาสเทล มองไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า แม่บอกผมไว้แล้วว่าวันนี้ผมจะเข้าโรงเรียนเป็นวันแรก บอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สนุกสุดๆ ผมจะได้เจอเพื่อน มีของเล่นมากมายรอให้ผมไปหา ผมจะมีความสุขกับที่นี่

   "ฮือออ ไม่เอา ...ฮึก น้องโรมจะกลับบ้านนน"

   แน่นอนว่าเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายนั่นคือผมเอง เด็กชายโรมันในวัยที่ต้องเข้าเรียนในชั้นอนุบาลเป็นวันแรกไม่ค่อยเอนจอยกับสิ่งที่กำลังเจอมากเท่าไหร่ เด็กอนุบาลคนนั้นอยู่ในเสื้อขาวคอปกปักชื่อนามสกุลไว้ตรงอกซ้าย กางเกงลายสก็อตสีเขียวยาวถึงหัวเข่าแบบที่เห็นแล้วก็รู้ว่าเพิ่งหยิบมาใส่

   "น้องโรมไม่ร้องไห้สิคะ เห็นไหมว่าไม่มีใครงอแงเลยนะ"

   "คุณแม่ ฮือออ น้องโรมจะหาคุณแม่"

   ต่อให้ทุกคนกำลังสนุกสุดเหวี่ยงผมก็จะร้องต่อไปอย่างนั้นนั่นแหละ มันน่ากลัวจะตายไปที่ต้องมาอยู่กับใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด คุณแม่หลอกผม ที่นี่ไม่เห็นสนุกเลย

   คุณครูประจำชั้นผู้มากประสบการณ์งัดทุกกลเม็ดในการการดึงความสนใจของผมให้กลับมาอยู่ที่ห้องเรียนขนาดเล็ก พอได้มองกลับไปอย่างนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เธอคงเสียความมั่นใจไปมากอยู่ที่ไม่สามารถหยุดการร้องไห้ของผมได้ ก็รู้ว่ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดีอยู่หรอก ไอ้การร้องไห้จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการน่ะ แม่งแย่ตรงที่ผมดันติดนิสัยนี้ตั้งแต่เด็กแล้วไง เพิ่งมาเลิกได้จริงๆ จังๆ ก็ตอนที่ถูกโยกไปให้พี่ทั้งสองคนดูแลนั่นแหละ

   เด็กน้อยตรงนั้นยังคงแหกปากโวยวายไม่ยอมพัก ที่นี่เป็นโรงเรียนอนุบาลที่มีนโยบายเรื่องจำนวนเด็กไม่เกินสิบห้าคนต่อห้อง มันเลยกลายเป็นที่สนใจของเด็กคนอื่นอยู่มากพอสมควร

   "จากลับบ้าน คุณแม่มารับน้อ..."

   ตุ๊กตาสีน้ำตาลถูกยกขึ้นมาบังจนเกือบมิดหน้า มันมีหูกว้างคล้ายมิกกี้เมาส์ ตากลมโตที่ดูเศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลา หน้าตาประหลาดแต่ผมกลับชอบมัน

   "ฮึก..."

   จากที่โวยวายไม่สนใจใครก็หยุดไปพลัน ผมมองผ้ายัดนุ่นที่ดูนุ่มนิ่มน่ากอดสุดๆ ตากลมโตไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสดใส ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่อาจวางตาจากมันไปได้

   "ไม่ร้องไห้สิ พ่อบอกว่าลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ"
   
   นั่นคือการเจอกันครั้งแรกของผมกับเกรย์

   เชบูราชก้า เรียกยากจนต่อให้ต้องเรียกตอนนี้ที่อายุยี่สิบแล้วก็ยังเรียกไม่ค่อยถูก มันเป็นตัวมาสคอตที่ไม่ค่อยเห็นใครชอบสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่ามันให้ความรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าสว่างสดใสล่ะมั้ง

   ปกติแม่มาส่งผมแต่เช้า เพราะท่านต้องกลับไปจัดการเอกสารต่ออีกมาก ผมนั่งหงอยอยู่ตรงชิงช้าคนเดียวแบบที่ไม่มีใครมาแย่ง ก็แน่ล่ะ เริ่มเรียนตั้งแปดโมงครึ่งนี่เพิ่งเจ็ดโมงเองผมก็ถึงที่หมายแล้ว คุณครูยังหาวตอนรับไหว้ผมอยู่เลย

   "อ๊ะ มาแล้ว"

   นั่งรออยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน ที่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะมันตรงกับทางเข้าของเด็กทุกคนในโรงเรียนนี้ ถ้าคนที่ผมกำลังรอคอยเดินเข้ามาเมื่อไหร่จะได้เห็นทันที จนกระทั่งเด็กสามคนในวัยเดียวกันเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามา ผมถึงหยุดไกวชิงช้าเสีย วิ่งจ้ำอ้าวไปทางพวกเขาเหล่านั้นทันทีทันใด

   "เกกก" เด็กอนุบาลหนึ่งพูดชื่อที่อ่านยากได้แค่นั้นนั่นแหละ "วันนี้มาช้าจัง"

   "พ่อหลงทางอะ"

   "รอตั้งนานนน"

   สำหรับวัยที่ไร้การแต่งแต้มเรื่องที่จะทำให้โกรธกันได้ไม่ต้องการอะไรมากหรอก

   "ทำไมเบกับเวถึงชอบอยู่ด้วยกันตลอดเลย" ออกเสียงไม่ชัดสักทีผมเลยย่อชื่อของทั้งสองคนให้อ่านง่ายที่สุด สองคนนั้นชอบแยกไปอยู่ด้วยกันต่างหาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะจูงมือกันไปอย่างนั้นไม่ยอมปล่อย มีเวลาเดียวที่ยอมแยกกันคือตอนอาบน้ำกลางวันเท่านั้นล่ะ

   "ก็พวกเขาเป็นฝาแฝด"

   "อะไรคือฝาแฝด?"

   "พ่อบอกว่าเกิดมาพร้อมกัน"

   "เกิดพร้อมกันเหรอ"

   แม่เคยเล่าว่ากว่าผมจะเกิดมามันทรมานสุดๆ เจ็บยิ่งกว่าตอนที่วิ่งแล้วหกล้มเสียอีก

   "ช่ายยย"

   "แล้วเกไม่ใช่แฝดเหรอ"

   "ป่าว เราไม่มีแฝด"

   "อ้าว"

   "สองคนนั้นเป็นแฝด แต่เราไม่ได้เป็น แม่บอกว่าอย่านับพวกนั้นเป็นพี่"

   "ฮืมมม งั้นเรามาเป็นแฝดกันไหม?"

   เด็กจะรู้อะไรไปมากกว่านั้น ผมเองก็ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้แล้ว เห็นว่าทำงานๆ อยู่ตลอดนั่นแหละ พอได้ยินว่าแฝดคือคนที่อยู่ด้วยกันตลอดแล้วผมเองก็อยากมีบ้าง

   "เป็น!"

   เราเป็นฝาแฝดกันนับตั้งแต่นั้นมา
 


   "ดำ ขาว แล้วก็เทา" ผมคิดถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ได้เรียนมาเมื่อช่วงเช้า "แล้วโรมนี่สีอะไรอะ"

   "โรมไม่ใช่สีสักหน่อย" เด็กชายเกรย์ส่ายหัวไปมา ชั้นประถมปีที่หนึ่งเปลี่ยนจาก เกกับโลม ให้กลับไปสู่การอ่านอย่างที่ควรจะเป็น

   "ก็อยากเป็นสีบ้างง ชื่อโรมตลกจะตาย"

   "อยากชื่อน้องบลู น้องเรด อะไรอย่างนี้เหรอ" เขาทวนคำศัพท์อื่นที่เรียนมาเมื่อกี้ "โรมแหละดีแล้ว"

   "ก็อยากเหมือนกันบ้างนี่นา..."   

   ขมุบขมิบคำอยู่คนเดียว ผมชอบชื่อของบ้านนี้มากเลยนะ แบล็คกับไวท์ แล้วพอคนต่อมาก็เป็นสีตรงกลางอย่างเกรย์ ขนาดชื่อจริงยังเป็นช่วงระหว่างกลางวันและกลางคืนอย่างสนธยาเลย

   "โธ่แฝดของพี่ ไม่ต้องคิดมานะ เดี๋ยวเย็นนี้จะอ้อนพ่อให้เลี้ยงขนม"

   "ทำไมไม่เลี้ยงเองเล่า"

   "ได้กินฟรีก็ไม่ต้องบ่นน่ะน้องโรม"

   แต่เย็นนั้นสิ่งผมได้กลับมาไม่ใช่ขนมอย่างที่เกรย์บอก กลายเป็นกรงขนาดเล็กที่มีกระต่ายน้อยตัวเล็กสีเทานอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างใน เราได้จากการเดินเล่นในตลาดเปิดท้ายขายของประจำปีของโรงเรียน มันก็เหมือนกันเรื่องอื่นๆ ที่พอเราเห็นเจ้าขนปุยในกรงเหล็กแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้าใส่ จ้องมันนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งคุณพินิจเดินมาถามว่าอยากได้เหรอ เราสองคนก็รีบตอบไปพร้อมกันว่าอยาก

   มันชื่อเรย์ เป็นการเอาชื่อของโรมกับเกรย์มารวมกัน

   คืนนี้ผมก็มาค้างที่บ้านของพวกเขาไม่ต่างจากทุกวัน นี่ผมอาศัยอยู่ที่นี่บ่อยกว่าอยู่บ้านตัวเองอีก บ้านที่มีคุณพ่อ แม่สอง แล้วก็ลูกๆ สามคนอาศัยอยู่อย่างมีความสุขตามความคิดของผม แบล็คนอนห้องเดียวกับไวท์ ส่วนผมนอนกับเกรย์
มันเป็นความสุขที่ได้เห็นเจ้ากระต่ายตัวน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้น เรย์กินเก่งสุดๆ มันชอบกินแครอทแล้วก็ผักบุ้งจีนกว่าผักอย่างอื่น ไม่นานนักก้อนขนตัวน้อยก็เริ่มขยายออกข้างไปเรื่อยๆ

   เราจริงจังขนาดที่ว่ามีการวางเวรการให้อาหารไว้เลยนะ ทำได้อยู่แค่ไม่กี่วันแบล็คก็โดดเวร พอเตือนมากเข้าไวท์ก็โดดตามอีกคนเพราะไม่ชอบที่พี่ของตัวเองโดนว่า จนกลายเป็นว่าผมกับเกรย์ที่คอยชวนกันมาดูแลเจ้าเรย์อยู่ทุกเช้าเย็น

   และเพราะเจ้าตัวนี้นี่แหละที่ทำให้ผมไม่กล้าเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นอีกเลย...

   มันไม่ต่างอะไรกับกระต่ายส่วนมากที่ถูกจับมาขาย อ่อนแอ เต็มไปด้วยโรค พอเลี้ยงไปอีกสักพักเรย์ก็ทนความโหดร้ายของโลกใบนี้ไม่ไหว มันหลับฝันดีไปตลอดกาลโดยไม่แม้จะแสดงอาการอะไรให้พวกผมได้เตรียมใจ

   คุณพินิจเอาเรย์ไปฝังไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่หลังบ้านก่อนทางเข้าสวน ผมกับเกรย์เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น เจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เคยจ้องมาที่ผมตาแป๋วไม่สามารถขยับตัวได้อีกแล้ว ผักของโปรดถูกส่งลงไปด้วยเผื่อว่าเรย์จะหิวระหว่างหาทางออกไปอีกโลกหนึ่ง แล้วเราเอาดอกไม้ที่เด็ดได้แถวๆ นั้นใส่ลงไปในหลุมด้วย

   คืนนั้นผมนอนไม่หลับ พอลองปิดตาลงก็จะเห็นฉากที่เรย์โดยดินฝังกลบอยู่อย่างนั้น มันคือความสูญเสียครั้งแรกของเด็กประถมอย่างผม ได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงฝั่งตัวเองไม่ยอมนอน

   "เกรย์..." ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ตาที่เริ่มชินกับความมืดเห็นว่าคนด้านข้างเองก็ยังนอนไม่หลับเหมือนกัน

   "ว่าไง"

   "คิดถึงเรย์"

   กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตทุกเช้าเย็น มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง การบ้านเยอะแค่ไหน แล้วต้องท่องศัพท์อะไรใหม่อีก

   "...คิดถึงเหมือนกันเลย"

   บอกแล้วว่าเราเป็นแฝดนอกสายเลือดที่ความคิดส่งถึงกันตลอดเวลา

   "พ่อบอกว่าเราทุกคนต้องตาย"

   "แล้ววันนึงเราต้องตายรึเปล่า เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ" แค่คิดว่าถ้าหลับตาลงตอนนี้มันจะไม่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกแล้วความกลัวมันก็แล่นไปทั่วร่าง "จะไม่หนีน้องไปอย่างเรย์ใช่ไหม"

   "..."

   "เกรย์?" หันไปทางอีกคนบนเตียง ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ฝาแฝดของตัวเองเพื่อหาสาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมตอบผม คราบน้ำตรงข้ามแก้มมันช่วยเฉลยให้ผมเข้าใจ เกรย์ไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็น เขาอยากเป็นเหมือนพี่คนโตอย่างแบล็ค เข้มแข็งแล้วก็พึ่งพาได้ในทุกเรื่อง

   "ฮือออ ไม่ร้องสิ" เลิกลั่กไปต่อไม่ถูก ผมหันซ้ายหันขวาหาอะไรที่จะสามารถเอามาซับน้ำตาของเขาได้ แต่ว่าในความมืดแล้วผมไม่อาจตามหาสิ่งที่ต้องการได้เลย ความคิดแบบเด็กๆ ผมเลยยกชายเสื้อนอนตัวใหญ่ของตัวเองขึ้นเช็ดใบหน้าเปื้อนน้ำตา

   "ไม่เอานะ ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้ไง"

   คงจำได้ว่าเป็นคำพูดของตัวเองจริงเกรย์ยกมือขึ้นปาดหน้าตัวเอง "ไม่ร้อง ไม่ร้องแล้ว..."

   "แล้วร้องทำไม ใครแกล้งเหรอ"

   "เปล่า" หัวเล็กๆ ส่ายไปมา "แค่กลัวว่าถ้าโรมหายไปอีกคน..."

   "น้องจะไม่ไปไหน" ชิงพูดขึ้นมาก่อนจบกระโยค "มาเกี่ยวก้อยสัญญาได้เลย"

   ยื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้า แบล็คบอกว่าสัญญาคือสิ่งที่ต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

   "น้องโรมสัญญาเราจะไม่แยกจากกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"

   เราสัญญาว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน...

   นิ้วของเราสองคนที่เกี่ยวก้อยกันในคืนนั้น มันไม่เคยได้กลับมาเจอกันอีก ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากเสียงปืนนัดนั้น...

   เราชอบอะไรเหมือนกัน

   แต่ไม่คิดว่ามันจะรวมถึงเราจะชอบคนๆ เดียวกัน


 
   ไวท์ไม่เคยขึ้นเสียงอย่างนั้นใส่ใคร เวลเป็นคนแรกที่ทำให้ไวท์หลุดออกจากหน้ากากไร้อารมณ์นั้นได้ นอกจากเสียงที่เธอใช้อย่างเกรี้ยวกราดแล้วผมยังจับประเด็นที่พวกเขาพูดกันไม่ได้ทั้งหมด เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ ตอนนั้นลัจจะไปเรียนต่อกับเกรย์เหรอ...

   "ว่าไงซิน จำได้ใช่ไหมว่าผมไม่ชอบคนโกหกน่ะ" เวลถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยชื่อที่พวกเราไม่ชอบมักเลยสักนิด สีขาวมันคือตัวแทนของความบริสุทธิ์ ไม่ใช่สีขาวขุ่นที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการผสมสีอื่นลงไปอย่างนี้

   "ขอบคุณที่ช่วยมาพังบทนะเวล แต่จะดีกว่าถ้าคุณหยุดพูดได้แล้ว"

   "นี่มาช่วยพิสูจน์ว่าน้องสาวตัวเองไม่ได้ความจำเสื่อมแต่กลับโดนไล่อีกเหรอ"

   "เรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วเขาไม่เรียกว่าพิสูจน์นะ" ราชาเว้นช่วงไปสักพัก ช่วงเวลาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำแทรกออกมา "รู้อยู่แล้ว 'ทุกเรื่อง' ด้วย"

   ทุกเรื่อง...คือไม่ใช่แค่เรื่องที่ไวท์จำอะไรในช่วงนั้นไม่ได้ แต่นั่นหมายความรวมถึงเขารู้เรื่องของลัจอยู่แล้วสินะ

   เสียงพูดคุยจากข้างในยังคงดังออกมาต่อเนื่อง ผมยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างของตัวเองไว้ไม่ให้ตัวเองได้ยินอะไรอีก
ไม่อยากจะยอมรับว่ามันเรื่องจริง

   ที่เคยเข้าใจมาตลอดว่าเราไม่เคยมีความลับอะไรต่อกันตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามจะซ่อนไว้มันก็ถูกเผยออกมาแล้ว นั่นคือเหตุผลที่อยู่ดีๆ เกรย์ก็พูดว่าผมแย่งทุกอย่างไปจากเขาสินะ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่มันรวมถึงว่าเขาเข้าใจว่าในวันนั้นลัจกำลังไปหาผม

   "...ทำไมมันต้องเอาลัจไปจากผมอีกคนด้วย!!"

   ทั้งที่จริงแล้วเธอกำลังไปหาเขาต่างหาก

   ภาพในอดีตฉายวนไปมาในหัว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอฝาแฝด เรื่องราวที่เราผ่านมาด้วยกัน จนถึงวันที่ต้องไปหานางฟ้าผู้นอนหลับไหลไปนิรันดร์ เรื่องที่เกิดขึ้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งสิ่งที่ผมต้องเจอในตอนนี้ ที่ต้องรู้ว่าตลอดมา 'พี่' ของผมปิดบังเรื่องสำคัญอย่างนี้เอาไว้

   ทำไม...

   มีแต่คำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด ถ้าลองเอามาเรียงให้เป็นระเบียบแล้วคงได้มากกว่าหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่เสียอีก จากคนที่คิดว่ารู้จักกันดีตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่เลย ทุกคนกลายเป็นคนคุ้นหน้าที่ผมไม่รู้จักตัวจริงข้างในสักเล็กน้อย

   ผมค่อยๆ ฝืนร่างกายให้กลับมายืนได้อีกครั้ง คิดว่ารีบหนีไปจากตรงนี้มันคงจะดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้ตัวเองได้มีโอกาสได้ตั้งสติอีกหน่อย

   "..."

   บ้าไปแล้ว

   นี่มันตลกร้ายที่ผมขำไม่ออก

   ชั่วขณะหนึ่งที่ลมหายใจของผมขาดช่วงไป สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าในตอนนี้คือการปรากฎตัวของคนที่ผมพยายามตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งได้เจอตามที่หวังรวมถึงได้การบอกลาแล้ว มันหมายความว่าผมจะไม่ได้เจอเขาอีก

   ไม่ใช่การที่เขามายืนอยู่ตรงนี้

   ที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากระยะทางที่ยังอยู่ในรัศมีการเคลื่อนที่ของเสียงภายในห้อง รวมถึงสามารถเห็นผมได้ชัดเจนตลอดเวลาว่าทำอะไรลงไปบ้าง

   ผมกำมือแน่น ความเครียดพุ่งขึ้นสูงจนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองจนเจ็บไปหมด สอดส่องไปทั้งซ้ายขวาหาทางที่จะเดินผ่านเขาไปให้ได้

   "ขอทางหน่อยครับ"

   ตรงนี้มันเป็นเพียงทางแคบๆ แค่เขายืนขวางไว้อย่างนั้นผมก็แทบไม่มีพื้นที่เดินสวนออกไปแล้ว ผมก้มหน้าก้มตาพยายามเบี่ยงตัวให้พ้นจากร่างที่บังทางอยู่ตอนนี้ และเขาก็ทำตัวเป็นเซนเซอร์อัตโนมัติที่ขยับตามผมอยู่ตลอดเวลา พอผมไปซ้ายเขาก็บังไว้ พอมาทางขวาก็ตามมาอีก ผมลองขยับตัวอีกสองสามครั้งแล้วก็ยอมแพ้ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ปลุกตัวเองให้กล้าสบตากับเขา

   "อย่าทำอย่างนี้" 

   บอกไปสั้นๆ ปล่อยให้ความรู้สึกที่แสดงออกผ่านทุกอย่างอธิบายเพิ่มเติม อย่าทำอย่างนี้คือทั้งอย่ามาบังทางของผมไว้รวมถึงอย่ามาให้ผมเห็นอีกเลย ถ้าเขาเลือกจะเดินออกไปแล้วก็อย่าหันกลับมา อย่ามาทำให้ผมมีความหวังว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง

   อย่าให้หัวใจของผมพังไปมากกว่านี้

   "ถ้าเลือกแล้วอย่าลังเลสิ"

   ย้ำเตือนไปว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะตัดสินใจแล้ว มันคือสิ่งที่เขาเลือกเองและผมทำได้แค่ยอมเดินตามสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ควรให้เกียรติหัวใจของผมด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เขาเดินออกไปหัวใจของผมต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงเวลาที่ผมคิดว่าตัวเองจะดีขึ้นแล้วเขาก็กลับเข้ามาย้ำบาดแผลให้ลึกลงไปอีก

   การเดินจากไปของเขามันยิ่งกว่าตอนที่ลัจจากไป เพราะการบินของลัจมันเป็นการโบยบินที่ไม่เคยหันกลับมา ไม่เหมือนเขา ที่ยังคงวนเวียนอยู่รอบกาย แผลที่ควรจะสมานตัวดีพอเห็นเขาทีไรก็ขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเป็นร่างกายของผมแบบเดิมได้อีกเมื่อไหร่

   "ที่หนึ่งควรจะเป็นที่หนึ่งนะ..."

   อยู่บนจุดสูงสุดของใครบางคน คนที่คู่ควรกับเขา

***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #395 เมื่อ16-04-2016 18:09:31 »

   ต่อให้ตอนนี้มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกอ่อนแอมากที่สุดในชีวิตแล้วก็ตามทีเถอะ ผมก็ยังฝืนตัวเองให้ตอบกลับแบบที่ดูปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ บังคับเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้อีก

   ผมจะอ่อนแอให้ใครเห็นก็ได้ที่ไม่ใช่เขา ผมต้องทำให้เขารู้ว่าผมยังคงอยู่ต่อไปได้ถึงแม้จะต้องกลับไปอยู่อย่างเดิมแล้วก็เถอะ

   "..."
   
   ที่หนึ่งไม่แสดงอาการตอบโต้อะไรทั้งนั้น เขาเอาแต่มองมาที่ผมอยู่อย่างนั้น จนเป็นผมเองต้องหลบสายตาไป ก็บอกแล้วใช่ไหมว่าตาของเขาน่ะแสดงอะไรออกมาได้ดีกว่าท่าทางอีก อย่างตอนนี้มันก็ไม่ค่อยต่างจากครั้งหลังๆ ที่เคยเจอ รอยโศกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดมหาศาล

   แล้วร่างที่สูงกว่าก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ ผมเลยต้องถอยหลังเองไปโดยอัตโนมัติ หัวใจที่คิดว่าด้านชากับความเจ็บปวดไปแล้วเริ่มออกอาการเจ็บแปลบซ้ำ

   "อย่าเข้ามา..."

   เสียงที่สั่นจนควบคุมไว้ไม่อยู่ ผมหลับหูหลับตาวิ่งไปผ่านเขาไปไวๆ จะไปโผล่ตรงไหนก็ช่าง ขอแค่ให้หนีพ้นก็เพียงพอแล้ว ผมยังคงขยับร่างกายไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนเห็นคำว่า exit เหนือประตูบานหนึ่งจึงรีบผลักออกไปทันที มันเป็นทางออกไปยังส่วนจอดรถ ถัดออกไปผมเห็นถนนใหญ่เลยตั้งใจว่าจะวิ่งออกไปตรงนั้นต่อ

   "น้องโรม!"

   เสียงของเขาที่ยังไล่หลังบอกให้ผมต้องรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น โชคเป็นของผมที่ระหว่างทางข้ามไปอีกฟากฝั่งของถนนไม่มีรถสักคันเข้ามาขวาง มองซ้ายขวาจนมาถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย ระหว่างทางผมเหลือบเห็นอยู่แล้วว่ากำลังมีรถหลายคันแล่นสวนมา พอก้าวขึ้นไปอยู่บนฟุตบาทโดยปลอดภัยแล้วผมถึงหันกลับมามองว่าคนที่วิ่งไล่ตามอยู่ที่ไหนแล้ว

   ที่หนึ่งยืนรอจังหวะข้ามตามมาอย่างที่คิดเอาไว้ พอรถยนต์เหล่านั้นเคลื่อนตัวผ่านไปเขาก็ทำท่าเหมือนจะก้าวข้ามมาต่อ ผมเลยรีบตะโกนกลับไป

   "อย่ามานะ!"

   เขาชะงักไปตามเสียงห้ามของผม ที่หนึ่งก้าวขากลับขึ้นไปอยู่บนขอบถนนตามเดิม แสงไฟข้างทางตกกระทบเหนือศีรษะพอดีจนรูปหน้าส่วนหนึ่งหายไปกันเงามืด มันน้อยเกินกว่าที่จะช่วยบอกผมได้ว่าเขากำลังอยู่ในความรู้สึกอย่างไร แตกต่างจากความสับสนจำนวนมหาศาลที่ผมกำลังเจออยู่หรือไม่

   เราประสานสายตากันจากคนละฝั่งของเส้นขนาน รอบข้างมีเพียงความเงียบสงัดคอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่มีเครื่องยนต์ชนิดใดแล่นผ่านหรือว่ามีคนเดินผ่านไปมา ราวกับพื้นที่ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มันถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่เพื่อให้ผมได้อยู่กับเขาโดยเฉพาะ

   “เคยบอกใช่ไหมว่าจะไปต่อเมื่อบอก...” ถนนที่มีเพียงไม่กี่เลนเลยสามารถตะโกนออกไปได้โดยไม่ต้องฝืนตัวเองมากนัก เขาเคยบอกไว้ ว่าถ้าผมไม่อยากรับมันไว้แล้ว...ให้บอกเขาไป "อย่ากลับมาอีกเลยได้ไหม ขอร้องล่ะที่หนึ่ง..."

   ก้มหน้าไม่กล้าสบตา มือกำปลายเสื้อจนยับย่น หัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ปลุกให้ผมรู้สึกตื่นตัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ ซ้ำร้ายมันกลับทรมานผมให้ยิ่งเจ็บปวดตรงหัวใจเพิ่มเข้าไปอีก มันเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงอย่างผม

   ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นเขา หัวใจของผมมันเหนื่อยมามากพอแล้วกับการจากลา

   "ให้เรื่องระหว่างเรามันจบอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว...อย่ามาเปลี่ยนอะไรมันอีกเลย"

   หลับตาลง นับเลขถอยหลังอยู่ในใจ ที่ต้องทำให้ภาพกลายเป็นสีดำสนิทก็ไม่มีอะไรมากหรอก ผมแค่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเห็นแผ่นหลังของเขาหายลับไปอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สาม แค่สองครั้งมันก็ทรมานเกินไปแล้วสำหรับผม

   สิบ

   เริ่มนับตั้งแต่สิบเพื่อให้มั่นใจว่าตอนที่ลืมตาจะไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

   เก้า

   เดี๋ยวต้องไปคุยกับคนดูแลเรื่องที่จะย้ายห้องด้วย จะให้อยู่ที่เดิมคงไม่ไหว แบล็คก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าไปคุยด้วยดีๆ

   แปด

   ส่วนวิชาเรียนเทอมสองนี่อาจต้องทนต่อไปอีกหน่อย เดี๋ยวปีสี่ก็เหลืออีกไม่กี่ตัวแล้ว หรือจบสามปีครึ่งไปดีนะ

   เจ็ด

   เฮ้อ...ชีวิตนี่มันยุ่งยากจัง แค่เจอเขาไม่กี่เดือนเอง

   หก

   ไม่เอาใครเข้ามาในชีวิตก็ดีอยู่แล้วน้องโรม มีแค่เพื่อนก็พอแล้วแท้ๆ ไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย

   ห้า

   ก็เพราะว่าเป็นเขานั่นแหละ เป็นเขาที่ไม่รู้จะหนีออกจากมันยังไง อาการแพ้ที่หนึ่งนี่เป็นแล้วจะเป็นตลอดไปเลยหรือเปล่า มีวิธีไหนที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นบ้างหรือไม่นะ

   สี่

   แค่ไม่มีที่หนึ่งแล้ว มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก...

   สาม

   อย่าร้องไห้นะน้องโรม

   สอง

   อย่าร้อง

   หนึ่ง

   ...

   จากที่อยู่คนละฟากของถนน เขากลับมายืนห่างออกไปไม่ถึงก้าวดี

   ...ทำไมยังอยู่อีกล่ะ บอกให้ไปแล้วทำไมถึงยังไม่ไป ก็ไหนบอกว่าถ้าผมบอกให้หยุดเมื่อไหร่เขาจะไปเองไง

   ยังไม่ทันที่จะได้คิดแผนสำรอง แขนของผมก็ถูกดึงจนพาทั้งร่างเข้าไปอยู่ในกอดของอีกคน กลิ่นที่เคยได้รับเพียงเจือจางกลายเป็นชัดเจนไปทุกประสาทสัมผัส ความคิดถึงที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใดปลุกทุกอารมณ์ที่ซ่อนเก็บไว้ ผมพยายามดิ้นหนีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม ทั้งทุบทั้งตีทั้งโวยวายทำทุกอย่างเท่าที่คิดออก หวังว่ามันจะช่วยให้ที่หนึ่งเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ผมต้องการในเวลานี้คืออะไร

   "ปล่อย!"

   "ไม่ปล่อย"

   "บอกให้ปล่อย!" เสียงร้องเอะอะของผมดังไปทั่วบริเวณ และมันก็ไม่ทำให้สิ่งที่ผมต้องการเกิดขึ้นได้จริงเลย ยิ่งผมขยับหนีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดผมไว้แน่นมากเท่านั้น

   "น้องโรม อย่าดิ้น ฟังพี่ก่อน"

   "ปล่อย ฮึก..."

   "ไม่ปล่อยครับ ...ไม่ปล่อยอีกแล้ว"

   ...ไม่ปล่อยอีกแล้ว

   พอแล้ว...ผมยอมแพ้

   ที่เคยบอกว่าตัวเอง 'แพ้ที่หนึ่ง' จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังคงแพ้อยู่อย่างนั้น

   เสียงที่ยังคงยืนยันความต้องการของตัวเองทำให้ผมร้องโฮออกมาจนได้ ผมไม่ได้ร้องเพราะถูกบังคับให้อยู่ในอาณัติของเขา แต่มันเกิดจากการที่ผมยอมรับแล้วว่าตัวเองคิดถึงทุกอย่างที่รวมแล้วกลายเป็นเขามากแค่ไหน ได้ยินเสียงของที่หนึ่งที่มักจะอยู่รอบตัวของผมเสมออีกครั้ง ได้อยู่ในอ้อมแขนที่ไม่มีใครสามารถให้ความอบอุ่นใจเท่า

   ผมคิดถึงเขามากจริงๆ

   "ร้องไห้อย่างนี้จะปล่อยได้ยังไง"

   "...เ...เปล่าร้องนะ"

   "นี่นะไม่ได้ร้อง"

   "ฮึก...ไม่ได้...ร้อง" พูดสะดุดตามจังหวะหายใจที่ไม่เหมือนเดิม

   "แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ หืม?"

   มีคำอีกมากมายติดอยู่ในลำคอไม่ยอมออกมา กักเก็บน้ำตาที่พยายามซ่อนไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผมปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาตามที่ต้องการ แล้วพอมันเป็นการระบายเรื่องที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่เมื่อสักครู่มันเลยยิ่งมีปริมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น

   เขาส่งยิ้มจางมาให้ตอนที่ยกมือขึ้นปาดรอยเลอะข้างแก้มทั้งสองของผม ยิ่งผมได้รับสัมผัสที่คิดถึงมากเท่าไหร่ น้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหลออกมาไม่มีหยุด

   "พี่เป็นต้นเหตุใช่ไหม" 

   "..."

   "ขอโทษนะครับ"

   ผมมากกว่าหรือเปล่าที่ควรเป็นคนพูดคำนั้นออกมา ขอโทษที่ต้องให้เขามาเจอกับอะไรอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ความเห็นแก่ตัวของผมมันทำร้ายเขามามากแค่ไหนแล้ว

   "ฮื่อ ทำไมร้องหนักกว่าเดิมอีกล่ะ" เห็นเขาทำหน้ายุ่งกว่าเดิมแล้วก็อยากจะปล่อยออกมาอีกระลอก "ไม่เอาไม่ร้อง พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะ"

   "...ทำไม...ไม่ไป"

   "ก็ไม่อยากไป"

   มันง่ายจนผมสะอึก ในขณะที่ผมคิดอะไรเสียมากมายเขากลับมีเหตุผลให้การกระทำของตัวเองแค่หนึ่งคำ

   "ไม่อยากไปจากน้องโรมแล้ว"
 
   จริงใจในทุกคำ ยิ่งเขายืนยันในความรู้สึกของตัวเองว่ามันไม่เคยเปลี่ยนไปอาการตอบรับก็ยิ่งแสดงผ่านหยดน้ำตามากเท่านั้น จนที่หนึ่งต้องเปลี่ยนเป็นเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มาซับให้แทน ผมใช้เวลาปรับอารมณ์อยู่นานพอควรถึงกลับมาพูดได้เป็นภาษา

   "ไม่ไปแล้วจริงนะ"

   "สาบานเลยก็ได้เอ้า!"

   "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้..."

   "ดีขึ้นแล้วไหม ตาบวมหมดแล้วนั่น"

   "...ก็เพราะใครล่ะ" บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว "รับผิดชอบด้วยเลย"

   "หึหึ พูดเองนะ"

   "ที่หนึ่ง!"

   เจ้าของชื่อหัวเราะร่าเริง ตลกดีที่ทั้งคนพูดและคนฟังมีความสุขกับคำหนึ่งคำเดียวที่เพิ่งออกจากปากไป อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมีความคิดว่าจะได้เรียกชื่อนี้ต่อหน้าเขาอีกครั้งล่ะมั้ง

   "นี่น้องโรม พี่มีอะไรอยากเล่าให้ฟัง" แขนของเขาโอบเอวของผมไว้ ดันให้ตัวของเราชิดกันมากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ แม้จะปะปนไปกับกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ยังทำให้ผมมีความสุขได้อยู่ดี

   "มีวันหนึ่งตอนพี่มอห้า วันประกวดวงดนตรีประจำปีของโรงเรียน" ผมได้เห็นรอยยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์แล้ว "วันนั้นพี่ได้เจอเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ผู้ชายตัวเล็กที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังของแบล็ค เพื่อนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งไม่เอนจอยกับงานดนตรีเลย"

   จะมีใครอีกที่เกาะอยู่ด้านหลังของผู้ชายคนนั้นนอกจากผม

   “ผู้ชายคนนั้นชื่อโรมัน ชื่อเล่นชื่อโรม เป็นคนไม่รู้จักที่ต้องพยายามตามหาตั้งนานสองนานกว่าจะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ ถามแล้วก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก”

   โกหก ผมเคยแข่งวิชาการกับเขามาก่อนหน้านั้น

   “ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้น จนยอมทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพราะหวังว่าวันหนึ่งจะเขาจะเห็นพี่อยู่ในสายตาบ้าง ตอนแรกจะไม่เป็นเดือนคณะแล้วแต่ดันมีพี่มาเป่าหูว่าถ้าเป็นแล้วคนจะรู้จักเยอะ เลยยอมเป็นๆ ไปเพราะอยากจะให้คนนั้นรู้จักแค่ชื่อก็ยังดี”

   ที่หนึ่งแม่งบ้า...

   "แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย แล้วก็ป๊อดไม่กล้าเข้าไปทักทายด้วยสักที รู้หรือเปล่าว่าพี่เคยทักโรมด้วยแต่โรมกลับเมินผ่านไปซะงั้นอะ" ตอนที่เขาทำหน้างอแงอย่างนี้ก็น่ารักดี "จนได้ทำความรู้จัก ได้ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน ..."

   ที่หนึ่งหยุดเล่าไปเฉยๆ เขายิ้มจางให้ผมก่อนแล้วถึงพูดต่อ "พี่่ไม่ค่อยเจอเรื่องผิดหวังในชีวิต ปกติแล้วทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่พี่คิดไว้ จนพี่รู้เรื่องของลัจ...”

   เรื่องของนางฟ้า...ที่เป็นที่หนึ่งของผม

   "พี่เข้าใจนะ ก็ทั้งสับสนแล้วก็อะไรหลายๆ อย่างรวมกันเลยออกมาในรูปแบบนั้น พอมาคิดดีๆ แล้วพี่ไม่ควรจะเดินหนีออกไปอย่างนั้นเลยเนอะ เลยกลับไปหาคำตอบให้ตัวเองว่าพี่จะทำยังไงต่อ แล้วมันก็มีแค่ข้อสรุปเดียว ...แค่อยากให้รู้ว่าโรมที่พี่ให้เป็นที่หนึ่งมายังไง จนถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น"

   "...หนึ่ง"

   “วันนี้เลยจะมาขออะไรบางอย่าง" มือทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนไปประสานกับมือของผมไว้ มันชื้นไปด้วยเหงื่อที่ผมไม่รู้ว่าเกิดจากความประหม่าหรือว่าสาเหตุอื่นใด "ช่วยรับฟังหน่อยนะครับ"

   "..."

   "ผมชื่อที่หนึ่ง"

   เขาพูดประโยคนี้ออกมาเป็นประโยคแรกตอนที่เราเจอกันครั้งนั้น การแนะนำตัวที่ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเพราะผมรู้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้วว่านี่คือชื่อของเขา

   "ถึงจะเป็นที่หนึ่งไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ได้เป็น 'ของโรม' จะได้รึเปล่าครับ?"

   ผมอยากเป็นของคุณ...

   มันไม่มีความแตกต่างอะไรจากวันนั้น เขายังคงยืนยันความรู้สึกของตัวเองว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผมมีเงื่อนไขในการ 'รัก' อยู่อย่างไรก็ตามที...

   "...ถ้าเป็นของโรมแล้ว ห้ามหายไปอีกแล้วนะ"

   ถามออกไปทั้งที่ยังปากสั่นไม่หาย ผมคงไม่สามารถทนรับการหายไปของเขาได้อีกแล้ว "ไม่ให้เดินหายไปอย่างนั้นอีกแล้วนะ"

   "เคยบอกแล้วไงว่าจะไปต่อเมื่อน้องโรมบอก" 

   "เมื่อกี้ก็บอกแล้วทำไมไม่ไป..."

   "ไม่นับ ทำหน้าไม่อยากให้ไปขนาดนั้นแล้วยังจะมาพูดอย่างนี้อีก"

   "พูดแล้วต้องรับผิดชอบด้วย"

   "ครับผม"

   ผมโผกอดเขาไว้แน่นอย่างกับว่าถ้าคลายออกเพียงสักเล็กน้อยเขาจะลอยหายไปตามสายลม ที่หนึ่งเองก็รัดผมกลับแน่นไม่แพ้กัน มันคือความโหยหาอย่างที่ผมเคยบอกไว้ ทุกไออุ่น ทุกความรู้สึกที่ได้รับมันไม่ได้ต่างจากวันสุดท้าย

   ที่หนึ่งเป็นยาเสพติดที่ผมขาดไปไม่ได้อีกแล้ว

   "คิดถึงมากเลย"

   "เห..."

   ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับว่าคิดถึงเหมือนกันเสียงร้องเตือนว่ามีสายเข้าก็ดังขึ้น ที่หนึ่งถอนหายใจออกมาเซ็งๆ แล้วถึงยอมคลายวงแขนที่กำลังโอบกอดผมไว้ เลิกคิ้วขึ้นมานิดหน่อยตอนเห็นชื่อของสายโทรเข้า

   "หืม เวลโทรมาทำไม?"

   ชื่อของคนที่เมื่อกี้ยังคงอยู่ในห้องด้วยกัน เสียงไวท์ที่เรียกชื่อของเขายังก้องอยู่ในหู เสียงที่พี่สาวของผมไม่เคยทำมาก่อน เสียงที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวจนเจ็บหัวใจตาม

   "ฮัลโหล ...อ่า ครับ ครับ โรมอยู่กับผมครับ ...เดี๋ยวส่งให้"

   ผมหน้าตึงไปอีกหลายระดับตอนที่หนึ่งส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ผม "ไวท์...จะคุยด้วย"

   ไวท์เหรอ? ผมรีบคว้ามันแล้วกรอกเสียงลงไปตามสาย ลืมไปเสียว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นของใคร

   "ฮัลโหลไวท์ มีอะไรรึเปล่า?"

   (...)

   เสียงจากปลายสายสั่นเครือมากกว่าปกติหลายเท่าตัว การบอกเล่าที่มาเพียงใจความสำคัญแต่ก็ทำให้ทุกส่วนของร่างกายผมอ่อนแรงไปพลัน

   "ได้...จะรีบไป" ตอบรับกลับไป ผมกดวางสายแล้วหันไปหาอีกคนที่ยังคงกอดผมเอาไว้หลวมๆ

   "มีอะไรรึเปล่า ไวท์โทรมาทำไม"

   "หนึ่ง..." เสียงของผมกลายเป็นแห้งผาก ส่วนล่างอ่อนแรงจนต้องเกาะแขนเขาไว้เพื่อยันตัวเองให้ยังยืนอยู่ได้ "ไปส่งน้องหน่อย"

   เสียงจากปลายสายยังคงติดอยู่ในส่วนรับรู้

   "แบล็คอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง"


***
   สวัสดีหลังสงกรานต์นะคะ (ยิ้ม) หมดดราม่าแล้ววว เคลียร์อีกปมเดียวแล้วจะจบได้สมบูรณ์แล้วค่ะ จะเข็นให้ทันก่อนหมดเดือนนี้ให้ได้ เพราะเจ้าจะหายไปเตรียมสอบค่ะ ที่จริงคือตอนหน้าส่วนหนึ่งก็มีไว้เชื่อมไปเรื่องต่อไปนี่แหละ (หัวเราะ)
   ที่หนึ่งก็อย่างนี้แหละค่ะ ไม่ซับซ้อน ทำอะไรอย่างที่ต้องการ ในขณะที่น้องโรมคือความซับซ้อนที่แท้จริง เจ้าเคยคิดนะคะว่ามันจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องมีเหตุผลรองรับในการกระทำอะไรอย่างหนึ่ง แล้วถึงรู้ว่าสำหรับคำว่า 'รัก' มันไม่เคยต้องการอะไรให้มากความเลยค่ะ (ยิ้ม)
   ขอให้เป็นอีกหนึ่งปีที่ดีของทุกคนเลยนะคะ
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #396 เมื่อ16-04-2016 18:40:13 »

รออ่านอีก

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #397 เมื่อ16-04-2016 18:45:17 »

ชอบๆ .... ไม่ปล่อยอีกแล้ว ... ก็ไม่อยากไป
โอ๊ยยยยย  ที่หนึ่งคือที่สุด

ซับซ้อน ผูกกันไปหมด
บางทีก็ยาก กว่าจะเข้าใจ

ว่าแต่อะไรของแบล็คอีก
อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง คือ....
ไม่อยากให้น้องลังเล นั่นคือเลือกพวกตน?

ไม่ค่ะ ต้องที่หนึ่งเท่านั้น
น้องโรม อย่าให้ผิดหวัง

#ที่หนึ่ง

รีบมาต่อนะคะ ลุ้นค่ะ
 :กอด1:


ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #398 เมื่อ16-04-2016 21:02:15 »

ที่หนึ่งมีจุดยืนที่ชัดเจนมาก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #399 เมื่อ16-04-2016 22:16:30 »

 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
« ตอบ #399 เมื่อ: 16-04-2016 22:16:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aurusma

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #400 เมื่อ17-04-2016 16:35:16 »

รออออออออออออ :katai2-1:

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #401 เมื่อ18-04-2016 11:28:53 »

แบล็คเป็นไร

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
«ตอบ #402 เมื่อ20-04-2016 19:51:13 »

อะไรอีกกกกกก เครียดดด

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #403 เมื่อ21-04-2016 20:54:43 »

บทที่ 28

   เพิ่งรู้ว่าท้องถนนในเวลาเกือบตีสี่มันโล่งขนาดนี้ เสาไฟสูงข้างทางสาดแสงลงมาจนผมเห็นได้ถนัดว่าบนถนนที่ทอดยาวต่อไปมันว่างเปล่าขนาดไหน ตั้งแต่ที่หนึ่งสตาร์ทรถมาจนถึงตอนนี้ผมสามารถนับรถที่เราแซงไปได้ไม่กี่คันเอง

   "หนึ่ง เร่งกว่านี้หน่อยได้ไหม"

   หน้าปัดของเครื่องยนต์ที่เหยียบร้อยกว่าไปแล้วยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผม อาการกระวนกระวายจนเกือบนั่งไม่ติดเบาะเป็นผลจากคำบอกเล่าผ่านโทรศัพท์ ผมขยับดูเวลาบนข้อมือของตัวเองเกือบทุกนาที มันยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ที่ได้รับ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

   จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร...

   "ไม่ได้ มันอันตรายนะ"

   "ตอนนี้แบล็คก็เหมือนกัน"

   "น้องโรม..."

   "ต้องรีบไป...เดี๋ยวไม่ทัน"

   นี่คือการแข่งขันเพื่อช่วงชิงเวลาชีวิต

   ผมไม่เคยเห็นราชาต้องกลายเป็นคนป่วย เขารู้จักตัวเองดีว่าต้องหลบหลีกปัญหายังไง ทั้งเล่นกีฬาแล้วก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอันตรายมากจนเกินควร เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

   "อย่าเพิ่งคิดมากสิ"

   จะให้ผมคิดบวกตอนนี้คงไม่ได้หรอก เงื่อนไขการมีชีวิตอยู่ที่ขึ้นอยู่กับไม่กี่ตัวแปรต้องไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามาแทรกแซงจนไม่สามารถควบคุมได้

   "ทำไมทุกคนต้องมาเจ็บเพราะน้องด้วย" คำที่เหมือนจะถามเขา แต่ที่จริงกำลังถามตัวเอง "ทำไมน้องต้องทำให้คนอื่นต้องเป็นอย่างนี้ด้วย..."

   ห้ามมือไม่ให้สั่นไม่ได้เลย ยามที่ส่วนลึกในความทรงจำถูกกะเทาะขึ้นมาว่าในอดีตเรื่องราวแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และมันไม่เคยทำให้ผมชินกับมันสักนิด

   มือของที่หนึ่งเปลี่ยนจากจับเกียร์มาเป็นกุมมือผมไว้ มือที่อบอุ่นส่งความเชื่อมั่นมาให้โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

   "เชื่อพี่สิ อย่างทิวาน่ะไม่ยอมให้ใครมากำหนดวันตายให้หรอก"

   เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าแค่ประโยคเดียวของเขาทำไมมันถึงคลายความกังวลของผมไปได้เยอะขนาดนี้ ทั้งที่เขาก็ไม่ใช่ฮีทเตอร์ทำความร้อนแท้ๆ ทำไมการมีเขาอยู่ข้างๆ ถึงเพิ่มความอุ่นให้หัวใจได้ก็ไม่รู้

   ทันทีที่รถของเขาจอดสนิท ผมก็รีบวิ่งเข้าไปหาผู้หญิงในชุดสีดำที่นั่งอยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องฉุกเฉินตามที่ได้นัดหมายเอาไว้

   "เป็นไงบ้าง?"

   "แบล็คเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว ส่วนเกรย์เข้าไปทำแผล เจ็บนิดหน่อย"

   ต่อให้ใบหน้าไร้ความรู้สึกยังคงอยู่ รอบนัยน์ตาสีดำขลับก็มีรอยแดงอยู่ชัด

   "แล้ว...?"

   พูดแค่นั้นก็เข้าใจกันได้ นั่นคือเหตุผลหลักที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่ ต่อให้ร่างกายของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เหมาะกับการช่วยเหลือแต่ถ้ามันช่วยต่อชีวิตให้เขาได้ผมก็จะทำ

   "หมอบอกว่าไม่ต้อง มีคนเพิ่งมาบริจาคไว้"

   "จริงจัง?"

   "อืม"

   ประหลาดใจมากอยู่ที่มีคนมาบริจาคให้ มันดูเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไปหน่อยที่ของหายากอย่างนี้จะมีคนเอามาบริจาคพอดี ผมมองเลยผ่านผู้ชายผมสีอ่อนที่นั่งอยู่ไกลออกไป เวลสร้างความประหลาดใจให้ผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยได้เจอกันจนถึงวันนี้

   เขาเคยเตือนผมเอาไว้แล้ว ว่าไวท์มีเรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกผมอยู่

   มีเรื่องบางเรื่องที่ไวท์บอกให้เขารู้ได้ แต่กลับไม่ยอมบอกให้ผมรู้เลยสักนิด

   "เกิดอะไรขึ้น" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไล่ความน้อยใจที่กำลังก่อตัวให้สลายลงไปก่อน

   "เกรย์ไปมีเรื่องกับคนเมา แล้วแบล็คเข้าไปช่วย..."

   "คนอื่นล่ะ"

   "กำลังมา ตอนนั้นแยกกันแล้ว"

   "แล้ว..."

   อยากจะถามต่อไปว่าถ้าแยกกันแล้วทำไมเวลทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้ได้ พยาบาลในชุดสีขาวก็เดินเข้ามาแทรกกลางด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้มีไวท์เป็นญาติเพียงคนเดียวของคนเจ็บทั้งสอง คุณพินิจออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนกลุ่มมัธยมตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว แต่ตอนนี้ก็คงรู้เรื่องแล้วล่ะ นี่มันโรงพยาบาลขาประจำของบ้านเราเลยนะ

   ที่หนึ่งกลายเป็นเวลนัมเบอร์ทูไปโดยการหลบไปนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงเก้าอี้แถวหน้าเคาท์เตอร์ ผมตั้งใจจะไปหาเสียหน่อยติดที่ว่าเพื่อนสนิทอีกสองคนวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงพอดี

   "ปลอดภัยหมดแล้วใช่ไหม?"

   "ไวท์บอกอย่างนั้น"

   "เฮ้อ...ค่อยโล่งอกหน่อย ตกใจแทบแย่ตอนที่เห็นเบอร์ไวท์โทรหา"

   ที่ต้องใช้เครื่องของเวลติดต่อมาคงเพราะว่าไม่รู้จะติดต่อผมทางไหน นิชคลายสีหน้ากังวลไปในขณะที่เน็ทเกือบจะระเบิดที่นี่ได้อยู่แล้ว

   "แล้วเหี้ยตัวไหนมันทำ!"

   "เน็ท นี่โรงพยาบาล" ผมปรามเจ้าชายที่พร้อมลั่นกลองศึกอยู่ทุกเมื่อ "เดี๋ยวค่อยไปถามไวท์ก็ได้ ตอนนี้รอหมอก่อน"

   "ไอ้สัตว์! นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วยังจะให้กูนิ่ง!?"

   "..."

   "มึง! ไวท์! แล้วคราวนี้ก็แบล็ค! กูถามจริงนะว่านี่มันคือสิ่งที่กูต้องเจอเหรอวะ ต้องมาเครียดเป็นคนบ้าคอยลุ้นว่าเพื่อนตัวเองจะตายไหมอย่างนั้นเหรอ?"

   ทุกคำพูดของเขามันดังพอที่จะให้คนที่อยู่ตรงนั้นอีกสองสามคนได้ยินทั่วกัน

   "เน็ท นี่ห้องฉุกเฉินนะ"

   "โดยเฉพาะมึง! สองรอบไอ้เหี้ย!!!"

   จอมโวยวายยังไม่ยอมหยุดใช้เสียงดัง จนเพื่อนอีกคนต้องปรามด้วยการยกมือขึ้นมาปิดปากให้เหลือเพียงเสียงอู้อี้พร้อมสายตาอาฆาตแค้นเท่านั้น

   "เชี่ยเน็ท อยากโดนหิ้วออกนอกแผนกหรือไง" หันไปทำหน้าดุใส่พร้อมเหล่ตาไปทางพยาบาลเวรที่จ้องมาทางพวกผมสักพักแล้ว "กูยังอยากฟังอาการของแบล็คอยู่นะ"

   เน็ทยังคงประท้วงด้วยการพ่นคำที่จับความไม่ได้ออกมา เพราะติดตรงมือของนิชยังคงปิดอยู่ตรงปากของเขาไว้อยู่อย่างนั้น เขาเปลี่ยนไปใช้ภาษามือในการสื่อสาร ซึ่งผมไม่เข้าใจไง ชี้โบ้ชี้เบ้ไปทั่วอย่างนั้นจะเอาเวลาที่ไหนมาแปลความหมาย พอจะเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนเป็นท่าอื่นไปเสียแล้ว

   คุณแม่มองลูกชายคนโตที่ยังพยศอยู่ไม่มีหยุดแล้วถอนหายใจด้วยความปลงตก เขาออกแรงนิดหน่อยให้เน็ทขยับตัว แน่นอนว่ามีผมเดินตามต้อยๆ ไปด้วย เราออกมาจากแผนกฉุกเฉินมาอยู่ตรงทางเข้ากลางของโรงพยาบาล มันมีพื้นที่ไว้สำหรับนั่งรอรวมถึงสูบบุหรี่อยู่ เหมาะกับการพูดคุยดี

   พอเห็นแล้วก็คิดถึงคนที่กำลังต่อสู้กับพิษบาดแผล

   ผมจะเชื่อตามที่หนึ่งพูด คนอย่างนั้นไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก

   "เอ้า จะแหกปากอะไรก็เชิญ ตรงนี้ไม่ต้องกลัวใครมาไล่แล้ว"

   "มึงอนุญาตแล้วนะ ห้ามด่ากูย้อนหลัง" ผมกลับไม่อยากให้พี่นิชไฟเขียวในเรื่องอย่างนี้เลยแฮะ มันพอจะเดาได้เลยว่าจอมหวงจะต้องร่ายยาวแบบไม่มีหยุดแน่ "เรื่องแบล็คนี่ยังไง ไวท์มันบอกว่ามันโดนแทงเพราะไปรับแทน"

   "กูไม่ได้คุยเรื่องนี้"

   "แล้วปลอดภัย? ไม่ต้องใช้เหรอ?"

   ปฎิเสธกลับไปด้วยการส่ายหัว "ไม่ต้อง"

   "เชี่ยเอ๊ย ถ้ามีครั้งหน้าอีกนี่กูจะเลิกคบพวกมึงล่ะนะ"

   น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เน็ทเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าให้ขึ้นไปอยู่ด้านบนตามเดิม คิ้วที่ขมวดกันรวมถึงอาการหงุดหงิดไปเสียทุกอย่างนั่นบอกผมว่าเขาคงอดทนกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว

   ...ซึ่งก็คงจะนานจริงๆ นั่นแหละ

   "กูด้วย ตอนที่ไวท์โทรมากูคิดออกคำแรกคือ 'อีกแล้วเหรอวะ' แล้วมึงเข้าใจกูไหม นั่นมันไม่ใช่คำที่ควรออกมาป่ะวะ เรื่องพวกนี้ถึงมันจะไม่มีใครเตือนให้ระวังก่อนได้แต่ก็อย่าบ่อยขนาดนี้เลยเถอะ ถ้าหัวใจกูทำงานหนักไปจนตายไปนี่ใครจะรับผิดชอบ?"

   "มึงตายไปแล้วทำไมกูต้องรับผิดชอบวะ"

   "ใช่เวลาไหมเน็ท" เจอนัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบเลนส์จี้ไปทีคนลูกก็หน้าจ๋อย

   "เออ ก็นั่นแหละ คือชีวิตวัยรุ่นของพวกกูมันควรจะได้เฮฮาปาร์ตี้แฮปปี้ไปวันๆ ไม่ใช่ต้องมานั่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

   เพราะว่าคนในกลุ่มแม่งถูกหามมาห้องฉุกเฉินป่ะมึง"

   "กูรู้"

   ก้มหน้ายอมรับผิดในทุกข้อ นั่งนับดูแล้วตลอดสามปีที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยมาพวกผมต้องแวะเวียนเข้ามาสถานที่ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคอย่างนี้ก็หลายครั้ง ถ้าเอาเฉพาะแค่ครั้งสำคัญๆ ก็สามครั้งแล้ว เฉลี่ยได้ว่าหนึ่งคนต่อหนึ่งปี เป็นสถิติที่ได้มาตรฐานดีอยู่เหมือนกัน

   "หัวใจกูไม่ได้ทำมาจากเหล็กน้องโรม กูยังมีความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกเหี้ยๆ เวลาที่ต้องรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วนี่ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ ตอนไวท์นั่นกูเกือบจะไปบวชให้แล้วนะ"

   เสียงจากโทรศัพท์ที่แจ้งมาว่าพบคนไข้ถูกรถชนมา อาการสาหัส

   "ส่วนของมึง..."

   "พอๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้เคลียร์แล้ว ก็หวังว่าเราจะไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกในเร็วๆ นี้ก็แล้วกัน"

   พี่นิชโบกมือไปมาในอากาศเป็นการคลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างนี้ เขาหันมามองหน้าผมแล้วดีดนิ้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

   "ใช่ ลืมถามไปเลย ตอนอยู่ที่ร้านสนุกไหมน้องโรม"

   "ก็...ดี" จะตอบตามตรงว่าจำอะไรไม่ได้นอกจากฉากจูบก็ไม่กล้าพูด   

   "ทำไมทำเสียงไม่ค่อยมั่นใจอย่างนั้นล่ะ ไม่สนุกเหรอ"

   "สนุกดีๆ"

   "มึงน่าจะเห็นหน้าน้องโรมตอนดิซจูบมึง เหวอเหี้ยๆ"

   "ช่างหัวคนงี่เง่าพรรณนั้นเถอะ" มือกลองกรอกตาอย่างเอือมระอาเต็มทน "นี่กูโกรธแม่งอยู่นะ มาทำอะไรอย่างนี้ในที่สาธารณะได้ยังไง เดี๋ยวกลับไปเคลียร์ล่ะโดนแน่"

   "มึงนั่นแหละไปทำอะไรมา แม่งถึงมองน้องโรมตาขวางอย่างนั้น"

   "กูทำอะไรที่ไหนล่ะ ก็แค่บอกว่าวันนี้จะมีคนพิเศษมาดูด้วย ก็เท่านั้นเอง"

   "แค่นั้นพ่อมึง คนพิเศษเหี้ยไรอีก"

   "น้องโรมไงคนพิเศษ" มีการเอามือมาลูบหัวผมอีกน่ะ "แล้วมันก็ถามว่าระหว่างมันกับน้องโรมใครสำคัญกว่า กูก็ต้องตอบว่าน้องโรมอยู่แล้ว"

   "ไอ้เหี้ยยย"

   เน็ทแหกปากเสียงดังไม่กลัวคนด่า โชคยังดีที่โรงพยาบาลในเวลาเกือบรุ่งสางอย่างนี้ไม่มีคนไข้ฉุกเฉินอยู่แล้ว เขาร่ายคำด่าออกมาอีกชุดใหญ่โดยลดระดับเสียงลงมาหน่อย

   "ใครที่ไหนจะสำคัญเท่าน้องเนอะ"

   นิชดึงแก้มผมจนมันยืดออกคล้ายขนมมาร์ชเมลโล่ ก็ดูน่าประทับใจอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าพอผมเห็นหน้าเน็ทแล้วก็คิดถึงสิ่งที่เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้น่ะ

   "...เน็ทบอกว่านั่นผัวอะ"

   ยังไม่ทันสิ้นเสียงของผม นิชก็ตวัดหน้าไปทางบุคคลที่สามที่ถูกผมอ้าง เขาข่มเสียงไม่ให้ดังเกินไปอีกคน "ไอ้ห่าเน็ท! กูจะแช่งให้พี่บอกเลิกมึง!!"

   ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากอีกฝ่ายแว่วประมาณว่า 'ไม่มีทาง' ผมมองเขาใช้สายตาฟาดฟันกันในขณะที่ในหัวของตัวเองก็มีคำถามว่าพี่อะไร บอกเลิกเหรอ? คนที่ชื่อว่าอนาคต?

   จากที่เขาอารมณ์ดีอยู่ก็กลายเป็นหัวเสียกลับมา "แม่งปากเสีย"

   "เรื่องจริงเหรอ"

   "หมายถึง?"

   "นั่นผั...อ่า แฟนเหรอ"

   ผมดูตรงประเด็นไปหรือเปล่า คือตอนนี้หัวว่างมากเลยอะ มีแต่คำว่า 'นั่นผัวนิช' ลอยเต็มไปหมด หรือผมควรใช้คำว่าสามีเพื่อให้ดูสุภาพมากขึ้นดี

   "...ถ้าจะย้ำขนาดนี้อยากให้พี่ตอบยังไงดีล่ะ"

   "ใช่หรือเปล่า?"

   "เฮ้อ...เราคบกันอยู่"

   ตะลึงจนพูดไม่ออก

   ไม่รู้จะเริ่มจากไหน ไม่มีท่าทีอิดออดหรือปิดบังอะไรทั้งสิ้น นิชยอมรับง่ายๆ ไม่ต่างกับตอนที่กำลังบอกว่าใช่ กูจะไม่เรียนต่อในมหาลัยเพราะเบื่อการเรียนในตำราแล้ว

   "ทำไมไม่บอก...ทำไมคนอื่นรู้แต่กูไม่รู้"

   "ไวท์ก็น่าจะไม่รู้อีกคนนะ" นั่นเป็นข้อยกเว้นไหมล่ะ "ยังไม่บอกเองเพราะนึกว่ารู้อยู่แล้ว"

   "นิช" เชือกที่เคยผูกต่อกันจนเป็นเส้นเดียวกันในวันนี้มันกำลังหลุดไปหนึ่งปม เราเคยเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่ทั้งหนาแล้วก็แน่น เชือกที่ห้ามลืมไปว่าต่อให้มันแน่นมากแค่ไหนวันหนึ่งมันก็ต้องหลุดออกไปตามกาลเวลา

   "มีความสุข...ใช่ไหม"

   หากเป็นน้องโรมคนเดิมคงไม่พ้นทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่ ผมผิดหวังคำตอบของเขามากอยู่นะ พูดออกมาง่ายๆ แค่ว่าคิดว่ารู้อยู่แล้ว คือถ้าผมรู้คงไม่มานั่งซักฟอกเขาอย่างนี้หรอกไหมล่ะ

   สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองคือสายตาของอีกคนที่มองไปยังพี่ชายของผม สายตาที่ดูออกได้เพียงการกวาดตาเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่านิชสำคัญมากแค่ไหนสำหรับเขา

   "อืม พี่มีความสุขกับที่กำลังเป็นอยู่"

   นิชเป็นคนที่ยิ้มสวย และถึงเขาจะขยับเพียงแค่มุมปากมันก็เพียงพอแล้วสำหรับผม "วันหนึ่งน้องโรมก็เหมือนกัน จะมีความสุขกับสิ่งที่เลือก"

   "พูดเหมือนเน็ทเลย" เขาบอกว่าสักวันหนึ่งผมก็ต้องมีใครคนนั้นเป็นของตัวเอง "ก็ไม่ได้เหมือนทุกประโยคขนาดนั้น แต่ว่าเมนไอเดียเหมือนกัน"

   "พวกเราต้องขอบคุณลัจนะ อย่างน้อยก็สอนพวกเราเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต เห็นวันนี้...ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นกันอีก"

   นางฟ้าที่จากกันไปโดยไม่ทันได้เอ่ยคำลา

   "กลายเป็นว่าถ้าต้องตัดสินใจในเรื่องอะไรสักอย่าง พี่จะคิดให้มากที่สุดแล้วจะตัดสินใจให้ดีที่สุด เพราะพี่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับมาแก้ไขมันอีกไหม"

   "พี่นิช..."

   "เพราะอย่างนั้นตอนนี้พี่ว่าคงได้เวลาแล้วล่ะ พี่มาขอคำตอบแล้วนะ" คำถามที่พี่เขาเคยบอกว่าผมคิดยังไงกับที่หนึ่ง "คงคุยกับที่หนึ่งแล้วใช่ไหม เมื่อกี้เห็นอยู่"

   คนใส่แว่นนี่สายตาดีได้ขนาดนั้นเลยหรือไงนะ

   "ได้เวลาตอบแล้วน้องโรม"

   เน็ทอ้อมมาจับไหล่ผมไว้ ฝ่ามือที่กดลงมาตรงไหล่แต่กลับไปหนักตรงหัวใจ ผมไม่ชอบเลยที่ต้องมาโดนคาดคั้นอะไรอย่างนี้ อย่างกับผมเป็นนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงแบบที่ไม่สามารถขอลดโทษได้

   "กูเบื่อที่จะมานั่งโอ๋มึงแล้ว ตอบมาดีๆ แล้วกูจะได้ทิ้งมึงสักที"

   "กูรักลัจ"

   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงมั่นใจว่าตัวเองยังคงวางใครไว้ตรงตำแหน่งสูงสุด

   "เชี่ย..." เน็ทขยี้หัวของตัวเองจนยุ่ง "นั่นหมายความว่ายังไงวะ แล้วที่หนึ่งล่ะ"

   "หนึ่งเหรอ"

   "เออ คนที่มึงตอบพวกกูไม่ได้ว่าคิดยังไงแต่เสือกตามหาแม่งแทบพลิกแผ่นดินอะสัตว์"

   "ที่หนึ่งบอกว่าจะไม่ไปไหน แล้วกูก็จะไม่ยอมให้ไปด้วย" เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาประกอบให้มากความ

   คราวนี้ผมเจอทางออกไปนอกลู่วิ่งที่หมุนเป็นวงกลมนี้แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างแต่มันก็คงดีกว่าการย่ำเท้าซ้ำไปมาบนพื้นที่เดิม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตว่ามันจะเดินไปทางไหน ถ้าคิดมากแล้วมันเหนื่อยนัก มีความสุขอยู่กับตอนนี้ก็พอ

   "น้อง โรม"

   "นั่นคือคำตอบของกู"

   "แม่งเป็นการตอบที่เหี้ยที่สุดที่กูเคยได้ยินมา ตอบอย่างนี้ก็ได้เหรอ?"

   "ได้สิ"

   "มึงคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเหรอ? นี่มึงชอบมันแน่ป่ะวะ?"

   เน็ททำท่าเหมือนพร้อมจะฆ่าผมให้ตายคามือได้อยู่ทุกขณะ ผมเอียงคอลงตอนที่ถามเขากลับ

   "ทำไมต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย?" ผมกำลังใช้ตรรกะแบบที่หนึ่ง การตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องใช้สมองคิดหาเหตุผลให้ยุ่งยากมากมาย ทั้งหมดคือเรื่องที่ออกมาจาก 'หัวใจ' เท่านั้นก็พอแล้ว "แค่สิ่งที่กูกับหนึ่งต้องการมันตรงกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ไอ้...สัตว์...."

   "เน็ท พอแล้ว ...น้องโรม มั่นใจแล้วนะ?"

   "ใช่"

   "ถ้ามั่นใจแล้วก็โอเค ตามสัญญาพี่จะไม่ถามอีกแล้ว"

   "โรมัน" นัทธิดันหัวของผมให้เอียงไปข้างหนึ่ง ใบหน้าติดไม่พอใจยังคงปรากฎชัด "ภูมิใจซะว่ามึงเป็นอย่างแรกที่กูจะปล่อยไปอะ มึงจะไม่ใช่ของกูอีกต่อไปแล้วนะ"

   จอมหวงที่ทุกอย่างที่เป็น 'ของเน็ท' แล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอื่น ตั้งแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยลามไปถึงคนที่มีชีวิตอย่างผม

   "กูควรดีใจป่ะมึง"

   "มึงควรเสียใจ เพราะพี่ชายอย่างกูมึงหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว"

   "บอกแล้วเหรอว่าอยากได้"

   "พอๆ ทำไมถึงชอบตีกันตลอดเลย" นิชรีบแทรกมาอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคนก่อนที่มันจะมีการวางมวยเกิดขึ้น "กลับไปทำอะไรที่ควรทำได้แล้วไป"

   การแนะที่มาพร้อมกับสายตาที่เชื่อมั่นในตัวผมเต็มเปี่ยม มันอาจเป็นครั้งแรกที่ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจขนาดนั้น

   "แน่นอน"


***
ต่อด้านล่างเลยค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #404 เมื่อ21-04-2016 21:06:50 »


   สองคนนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ตอนที่ผมกำลังเดินกลับเข้ามาด้านในของห้องฉุกเฉินที่มีญาติคนไข้รออยู่ประปราย เห็นที่หนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านในสุดของที่นั่งโดยไม่มีวี่แววของเวลหรือว่าไวท์อยู่แถวนั้นเลย ผมสั่งให้เท้าของตัวเองหยุดการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าของเขา ในเมื่อคนอื่นต่างบอกว่าวันนี้เราจะจบทุกอย่างลง มันก็ยังคงมีอะไรบางอย่างที่ผมควรจะบอกออกไป

   "หนึ่ง...ไปด้วยกันหน่อย"

   ชั้นสิบสอง ห้องที่สี่ ที่ที่ผมพาเขาไปคือห้องพักฟื้นบนชั้นสูง ห้องที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบ้านได้ในสมัยเด็ก

   “สวัสดีครับ”

   "อ้าว น้องโรมัน"

   พี่พยาบาลหน้าคุ้นทักทันทีที่เห็นว่าผมเดินเข้าไปหา เธอไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยี่ยมมากเท่าไหร่ ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มไปด้วยพลังงานอย่างเดิม ไม่ใช่ว่าพยาบาลที่นี่มีความสามารถในการจำคนไข้ได้ทุกคนหรอก เธอเป็นคนพูดเองว่าคงไม่มีคนไข้คนไหนที่ทำให้ประทับใจได้เท่าบ้านผมอีกแล้วก็เท่านั้นเอง

   "วันนี้คนไหนมาล่ะ"

   "ทั้งคนโตคนรองฮะ วันนี้มาครบเลย" เธอเป็นพยาบาลที่เคยดูแลลูกคุณพินิจมาครบแล้วทุกคน รู้จักกันเป็นอย่างดี "ห้องผมมีใครอยู่ไหมอะ ขอแวะเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ"

   "ห้องเหรอ ว่างๆ เข้าไปสิ"

   "ขอบคุณฮะ เดี๋ยวจะให้ไวท์ขึ้นมาหาตอนเช้านะ ...หนึ่ง ไปกันเถอะ"

   ในช่วงเวลานิทราของใครหลายคนมีเพียงเสียงฝีเท้าของเราก้องไปทั่ว ผมเดินนำเขาไปตามทางที่กว้างพอสมควร จนถึงหน้าห้องที่มีป้ายหน้าห้องว่า หนึ่งหนึ่งศูนย์สี่ เสียงเดินถึงหายไป

   "น้องนอนอยู่ที่นี่สามเดือนตอนปอหนึ่ง"

   การบอกเล่าอดีตของโรมเริ่มขึ้นแล้ว มันก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้าบอกว่าอาการบาดเจ็บมันมาจากกระสุนที่เกือบเข้ากลางหัวใจ และคนไข้ในตอนนั้นคือเด็กชายร่างกายอ่อนแออายุหกขวบ

   เปิดประตูออกกว้าง ปล่อยให้มือยื่นออกไปหาที่เปิดไฟตามที่ร่างกายสั่ง ห้องพักฟื้นขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้มากพอสมควรมีไว้เพื่อให้เด็กน้อยสี่คนในเวลานั้นได้พักอาศัยอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด ผมเดินไปนั่งด้านข้างของเตียงโดยมีที่หนึ่งยืนชิดอยู่ด้านหน้า

   "โดนแม่ของเกรย์ยิงเข้ากลางอก" ใช้นิ้วเคาะไปที่รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เขาเคยถามว่ามันเกิดจากอะไร รอบแผลที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหลาย "ถ้าเล็งแม่นอีกหน่อยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"

   "น้องโรม..."

   "เกรย์เลยบอกว่าน้องควรจะตายไปตั้งนานแล้วไง"

   ต้องอยู่ที่นี่นานจนเกือบนึกว่าเป็นการย้ายบ้านครั้งใหญ่ พวกพี่ๆ ทุกคนก็คอยผลัดกันเข้ามาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย เด็กปอหนึ่งแค่มีเพื่อนอยู่ด้วยมันก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากแล้ว

   หลังจากนั้นผมก็ได้มาเป็นลูกบุญธรรมของบ้านหลังนี้ เหตุผลเดียวคือไวท์ ไวท์ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่ผมต้องมาเจออะไรอย่างนี้เป็นเพราะเธอ เกรย์ก็น่าสงสารที่โดนลูกหลงจากเรื่องนั้นไปด้วย คนที่บ้านไม่ชอบแม่สองอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าเธอพร้อมจะทำลายคุณหนูของบ้านอย่างเลือดเย็นก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ จนในที่สุดเขาก็เลยหนีไปอยู่โรงเรียนประจำเสียเลย

   เขาก็พูดไม่ผิดเท่าไหร่ว่าผมมาแย่งทุกอย่างไป ผมเข้ามาแทนที่ตำแหน่งคุณหนูคนสุดท้อง และอาจรวมถึงที่ผมแย่งชีวิตของแม่สองไปด้วย จำไม่ค่อยได้แล้วว่าแม่สองหน้าตาประมาณไหน คุณพินิจไม่เคยเก็บรูปของภรรยาผู้ล่วงลับของตัวเองเอาไว้เลย

   มองหน้าเขาที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่อให้ผมอ่านใจเขาไม่ได้ก็ตามที แค่ลองคิดว่าผมต้องเป็นคนที่มายืนฟังอีกคนเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างนี้ก็คงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรพูดอะไรออกมา ผมทิ้งตัวลงนอนบนฟูกแข็ง ปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสไปกับเพดานสีขาวที่ยังคงให้ความรู้สึกว่างเปล่าทุกครั้งที่เห็นมัน เพดานที่ผมเคยตื่นมาครั้งหนึ่งแล้วลองถามแบล็คไปว่า คิดว่าเพดานอยากจะมีสีขาวหรือเปล่า หรือว่ามันอาจจะอยากได้สีอื่นก็เป็นได้

   เคยถามถึงขั้นว่า แล้วแบล็คอยากเป็นสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำหรือเปล่า

   "แล้วน้องก็นอนที่นี่อีกเกือบเดือน ตอนจบมอหก"

   กลายเป็นเรื่องตลกเวลาย้อนมองกลับไปแล้วพบว่ากลับมาสู่ห้องที่ชินตาหลังจากเวลาผ่านไปสิบสองปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เครื่องมือเครื่องใช้ชุดใหม่ ที่เหมือนเดิมก็คงเป็นรอยขีดที่ลึกเข้าไปในเนื้อปูนจากการเล่นซนของพวกผมหลังเตียงคนป่วย

   "ตอนนั้นยังรับไม่ค่อยได้ว่าลัจตายแล้ว เลยไปนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นเกือบเดือน จนโดนพวกขี้ยามาดักปล้น แล้วซ่าไง เลยโดนมาอีกแผล ได้มานอนหยอดน้ำเกลืออีกรอบ"

   ก็รู้อยู่ว่าเรื่องของลัจคงเป็นอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของที่หนึ่งมามากอยู่ แต่มันคือความจริงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ผมไม่มีทางที่จะทำเป็นลืมมันไปได้เพื่อให้เขาสบายใจ

   ผมยังรอ...คำตอบอยู่ตรงหน้าแผ่นหินแผ่นเดียวอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายวัน หวังว่าคงจะมีปาฎิหาริย์สักอย่างเกิดขึ้นที่จะทำให้ลัจฟื้นขึ้นมาฟังสิ่งที่ผมต้องการจะบอกได้ บางเรื่องที่อยากบอกออกไปเหลือเกินแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางได้รับฟังอีกแล้ว มันยากที่จะทำใจนะ การที่ต้องมารับรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองรักจากกันไปโดยไม่ทันได้เตรียมใจ เรายังคุยกันเรื่องเรียนต่อก่อนหน้านั้นไม่นาน เธอยังบอกว่าอาจจะมาเรียนที่เดียวกัน ไหงกลายเป็นว่าบินหนีกลับขึ้นสวรรค์ไปเสียได้

   พอนึกถึงเรื่องที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลตอนก่อนขึ้นปีหนึ่งได้ก็เชื่อมมาถึงอีกเรื่องที่เพิ่งเกิด ผมดีดตัวขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่งแบบเดิม คว้ามือของเขามาจับไว้ทั้งสองข้าง มันเย็นเฉียบจนผมยกมันขึ้นมาแนบแก้มเอาไว้เพื่อเพิ่มไออุ่น

   "อยากลองทายไหมว่าเพราะอะไรน้องถึงต้องรีบมา ทำไมน้องถึงบอกว่าแบล็คอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง"

   "ไม่ล่ะ"

   ถ้าลองตอบว่ารู้สิเขาคงเป็นยิ่งกว่าพวกโรคจิต

   "น้องกับแบล็คมีเลือดกรุ๊ปพิเศษ คนเอเชียพบแค่ศูนย์จุดสามเปอร์เซนต์"

   แบล็คเป็นราชา...เพราะเขาคือคนที่ต้องอยู่บนนั้นต่อจากพ่อของตัวเอง

   ไวท์เป็นคนบาป...ที่แบกรับความตายของคนที่รักยิ่งสองคนเอาไว้

   ส่วนเกรย์...

   เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ เพราะตอนที่เราเริ่มใช้ชื่อนี้กันอย่างจริงจังเกรย์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว และเราก็ว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เขาจะได้มีชีวิตที่แยกออกจากพวกเราไป

   ผมเป็น 'ผู้เสียสละ'

   ที่ไม่ใช่แค่การที่เกือบแลกชีวิตของตัวเองกับชีวิตของอีกคน แต่มันรวมถึง 'เลือด' ที่จะคอยต่ออีกชีวิตไปเหมือนกัน

   กรุ๊ปเลือดของผมคือ O RH-

   การควานหายิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ซ้ำร้ายกรุ๊ปโอยังรับเลือดเฉพาะแต่กรุ๊ปโอด้วยกันอีก ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้องรับบริจาคเลือดอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะไม่รอด

   คุณพินิจกับพ่อแม่ของผมให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจังก็ตอนที่เกิดเรื่องของแม่สองนั่นแหละ ตอนที่ผมเกือบตายไปจากการที่ไม่สามารถหาผู้บริจาคที่กลุ่มเลือดตรงกันได้ โชคยังดีที่ตอนนั้นหาคนมาช่วยไว้ได้ทัน ผมเลยยังคงอยู่เล่าเรื่องให้เขาฟังได้

   ผมกลายเป็นน้องเล็กที่โดนปกป้องยิ่งกว่าเดิม

   พวกเขาถึงไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเพื่อน แต่เป็นพี่ที่มีหน้าที่ต้องดูแลน้องอย่างที่คุณพินิจเคยบอกเอาไว้ เพราะคนเป็นพี่ต้องรับผิดชอบในการดูแลชีวิตมากกว่านั้นหลายเท่านัก เมื่อบวกกับผมเป็นคนตัวเล็กที่ดูไม่ค่อยสู้คนอยู่แล้ว มันเลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ พวกเขาเลยชอบทำตัวเป็นพวกมาเฟียที่ใช้อิทธิพลข่มขู่คนอื่นไปทั่วไม่ให้มายุ่งกับผมไง

   "ที่โดนแทงซ้ำนั่นแย่กว่าเดิมอีก คิดว่าต้องไม่มีใครตามมาเจอแล้วแหง ที่ไหนได้พวกนั้นแม่งไม่เคยปล่อยให้อยู่เดียวสักหน่อย"

   สิ่งที่เหล่าผู้ปกครองกังวลมันเกิดขึ้นจริงจนได้ ระบบการบริจาคเลือดไม่สามารถทำการเบิกจ่ายได้โดยฉับไว ต่อให้คุณพินิจเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ แบล็คเป็นคนบริจาคเลือดให้ผม เพื่อที่เราจะได้เบิกเลือดจากคลังออกมาใช้ได้

   ถ้าไม่มีเขา ผมก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน

   "พอตื่นขึ้นมาก็เจอเรื่องแย่ๆ อย่างที่ต้องมีรู้ว่าไวท์หนีออกจากบ้านอีก ตามหากันให้วุ่น พวกนั้นกลายเป็นพวกโรคจิตที่หวาดระแวงไปหมดเลย จะไปไหนต้องรายงานตลอด ถ้าเอาจีพีเอสมาล่ามที่เท้าได้ก็คงทำไปแล้ว น้องโดนสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนคนเดียวอีกเด็ดขาด"

   พวกปากแข็งที่ไม่พูดแต่การกระทำชัดเจน เขากลัวว่าผมจะหนีไปหาลัจแล้วจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีกครั้งเลยเอาแต่ห้ามนู่นห้ามนี่ ตามติดไปทุกฝีก้าวเอาให้ไม่คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

   "เป็นไง เรื่องแฟนตาซีพอไหม"

   "เรื่อง...จริง?"

   "ไม่ใช่เรื่องจริงล่ะมั้ง" เอียงหน้าให้แอบอิงกับฝ่ามือใหญ่ของเขา "เล่าให้ฟังหมดแล้ว คิดจะหนีตอนนี้ก็ไม่ยอมให้ไปไหนแล้วหรอกนะ"

   จะไม่ยอมให้ไปไหนอีก...

   ช้อนสายตาขึ้นมามองเจ้าของรอยยิ้มที่ผมชอบ ที่หนึ่งมองกลับมานิ่งๆ จนผมใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของผมอยู่เปลี่ยนไปเกลี่ยช่วงสันกราม เขาค่อยๆ โน้มตัวมาจนกระทั่งผมรู้สึกถึงรอบประทับตรงหน้าผาก ปล่อยให้มันค้างอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่จึงผละออกไป

   เขาเลื่อนมากุมมือของผม จับมันไว้แน่นจนผมอยากร้องไห้ออกมาอีกสักรอบ

   กอดอาจเป็นวิธีสร้างความอบอุ่นได้ดี แต่ว่าการกุมมือพร้อมกับส่งสายตาแทนคำพูดมันก็การสร้างความเชื่อมั่นได้ดีไม่ต่างกัน
 


   "โรม" คนที่เรียกผมด้วยเสียงบางเบาอย่างนั้นมีอยู่คนเดียว "เกรย์ทำแผลเสร็จแล้ว"

   พยักหน้ารับรู้ หันไปขอกำลังใจจากคนด้านข้างที่ยังคงจับมือกันเอาไว้ ที่หนึ่งเพิ่มแรงบีบนิดหน่อยให้ผมได้ใจชื้นว่าเขาจะคอยอยู่กับผม

   "ไวท์" ผมเรียกเธอไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลี่ยงตัวออกไป "เข้าไปหาเกรย์กัน"

   "..."

   "ไปจบทุกอย่างกันเถอะ"

   จากคำที่ผมใช้เป็นนัยเธอคงพอรู้ตัวแล้วว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันในห้องตอนนั้นผมได้ยินทั้งหมด ไวท์ก้มต่ำไม่ยอมสบสายตา จนผมต้องอธิบายเพิ่มเติม "ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็เถอะ น้องโรมรักพี่ไวท์เสมอนะ"

   เธอที่รักผมกว่าใคร

   จนที่สุดแล้วเธอก็ยอมเดินเข้ามาด้านในห้องทำแผลด้วยกัน นางพยาบาลชี้ให้ดูว่าคนที่พวกเราเข้ามาหาอยู่ตรงเตียงเบอร์ไหน ในห้องทำแผลสนธยากำลังเก็บของลงกระเป๋าไม่มีหยุด อาการบาดเจ็บแม้จะไม่ได้ร้ายแรงมากแต่จากผ้าพันแผลที่ติดอยู่หลายที่เขาก็คงเจ็บอยู่ไม่น้อย

   "ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม"

   ผมเป็นคนเปิดปากก่อน มองเขาทำเป็นหูทวนลมจัดระเบียบสิ่งของในกระเป๋าต่อไปไม่หยุดมือ เกรย์บอกความต้องการของตัวเองชัดเจนผ่านการกระทำว่าเขาไม่ต้องการที่คุยกันอย่างที่ผมขอ

   ได้แต่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะบอกออกไปอีกครั้ง "มาคุยกันแบบฝาแฝดกันไหม"

   เหมือนที่เขาเคยถาม มือที่หยิบจับข้าวของค้างอยู่อย่างนั้น มันเป็นการพนันที่ยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับผม จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรือจะกลายเป็นไม่รู้จักกันตลอดไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตอบรับของเขาทั้งสิ้น

   "ไม่เห็นใจกันก็ไม่เป็นไร แค่อยากคุยเผื่อคนที่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด"

   "..."

   เป็นการรอคอยที่ทรมาน

   จนเขาเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าสีเข้มของตัวเองจนครบจึงเงยหน้าขึ้นมาหาพวกเรา ผิวสีซีดยิ่งส่งผลให้เห็นรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากชัดรวมถึงมีอีกแผลที่แถวหางคิ้ว เกรย์ชอบอยู่เงียบๆ เขารักสันติเกินกว่าที่จะออกไปหาเรื่องใส่ตัว ความสุขของเราสองคนในวัยเด็กคือการได้นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กันในห้องสมุด ทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่

   "สองนาที"

   รู้ว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ หรอก ผมเก็บอาการดีใจไว้ข้างในจนมิด เริ่มประเด็นต่อไปอย่างไม่รอช้า

   "ก็ไม่ได้อยากจะแอบฟัง...แต่ดันได้ยินไปแล้ว เลยคิดว่าเราเข้าใจอะไรกันผิดอยู่หน่อย"

   เห็นเกรย์มองไปทางไวท์ เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้เตรียมกับไวท์มาก่อน ให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่อย่างที่ผมบอกไว้มันก็ดีเหมือนกัน

   "โรมนัดลัจจริง...แต่วันนั้นลัจไม่ได้ไปหาหรอกนะ"

   ริมฝีปากสีช้ำของสีเทาเม้มเข้าหากันตอนที่ได้ยินชื่อของเธอ

   "เขากำลังไปสนามบิน พ่อแม่เป็นคนบอกเอง"

   "...!"

   "ลัจกำลังไปเรียนต่อที่อังกฤษ ...แบบที่พวกเราไม่รู้"

   เรา...ที่รวมถึงตัวเกรย์เองด้วย

   จริงอยู่ว่าผมยังคงมีอะไรที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ไวท์ทำอยู่หลายอย่าง แต่ถ้าเชื่อตามที่เวลบอกว่าไวท์รู้อยู่แล้วว่าลัจจะไป ก็คงมีทางเลือกไม่มาก

   หรืออาจเป็นผมเองที่ดื้อรั้นจนสิ่งนี้มันเกิดขึ้น

   "ไม่จริงน่า..." น้ำเสียงที่สั่นเทา มือทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว

   "ถ้ายังไม่เชื่อก็จะย้ำว่าวันนั้นลัจไม่ได้ไปหาน้อง ลัจไปหาเกรย์ต่างหาก ใช่ไหมไวท์"

   โยนหน้าที่ไปให้อีกคนเสีย คงไม่มีใครที่จะให้คำตอบได้ดีเท่าสีขาวอีกแล้ว ขอเพียงหนึ่งคำตอบที่จะเป็นคำเฉลยทุกอย่าง

   "...ใช่"

   หนึ่งคำที่สลายหมอกในใจของทุกคน

   เจอจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นไวท์ถึงไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมบอกลัจออกไป เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าลัจมีใครในใจ ...ต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ตรงกลางระหว่างน้องทั้งสองคน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ต้องมีอีกคนที่เสียใจ

   เธอเดินเข้าไปหาน้องชายครึ่งสายเลือดของตัวเอง แตะลงตรงบ่าเล็กไร้กล้ามเนื้อ

   "ขอโทษ ขอโทษนะ ขอโทษที่พี่ปกป้องเธอไม่ได้นะ" ราชาที่บาดเจ็บได้ คนบาปที่ร้องไห้เป็น "ขอโทษที่ดูแลลัจให้ไม่ได้"

   "...พ" น้องชายต่างสายเลือดยกมือขึ้นเก้ๆ กังๆ อย่างทำอะไรต่อไปไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงสาวที่มักไร้ความรู้สึกจนชินตากำลังสะอื้นไห้

   "ขอโทษนะ..."

   ได้แต่มองพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่อย่างนั้น คราวนี้ผมไม่มีบัตรผ่านแบบ all area ที่จะพาผมไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ไวท์ยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ส่วนเกรย์ก็ยิ่งเลิกลั่กเข้าไปใหญ่ เขาหันมาขอความช่วยเหลือจากผม แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเพราะผมทำเป็นไม่เห็นเสีย

   คราวนี้ตัวใครตัวมัน จัดการเองแล้วกัน

   "....ตอนนี้ผมรู้สึกโคตรแย่" หลังจากทำท่าว่าจะพูดอะไรออกมาตั้งหลายครั้งเขาก็ยอมเอ่ยออกมาในที่สุด "นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ร้องไห้ให้ผมเห็นเลยรู้ไหมไวท์"

   "ไม่ได้อยากร้อง..."

   "พี่ดูแลลัจดีที่สุดแล้ว ที่เหลือมันคงเป็นเรื่องที่ยัยนั่นคงขี้เกียจเรียนต่อแล้วเลยหนีไปสบายก่อนใครเพื่อน"

   "..."

   "ส่วนเรื่องแม่..." เขายิ้มเยาะให้โชคชะตา "ถ้าผมเป็นพี่ก็คงต้องทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันนะ ถ้าต้องดูแลน้องให้ได้"

   "แต่ว่า...ฮึก"

   "แม่น่าสงสารนะ คุณพินิจไม่เคยรักแม่"

   การเรียกที่ห่างเหิน คือการเรียกให้เท่าเทียม

   "ผมก็คิดแหละว่าบางทีให้แม่ได้ไปอยู่ในที่อื่นที่ไม่ใช่โลกใบนี้ แม่อาจมีความสุขมากกว่า"

   น้ำตาที่เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่เราต้องสูญเสียเรย์ไป คราวนี้มันค่อยๆ ไหลรินลงมาตามข้างแก้มไม่มีหยุด ผมปล่อยมือที่จับกับอีกคนออก ยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดรอยน้ำอย่างที่เคยทำมาในอดีต

   "ใครบอกว่าต้องเข้มแข็งไง" เย้าแหย่ด้วยคำเดิม เกรย์แบะปากแบบไม่ค่อยพอใจ

   "...ขออีกแค่หนึ่งคำถาม"

   "ว่ามา"

   "ยัยนั่นยิ้มใช่ไหม"

   ภาพเธอนอนหลับฝันดีในห้องดอกไม้ สวยงามราวกับภาพวาดที่เป็นสีสดใส

   "อืม ยิ้มสวยเลยล่ะ"

   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยชีวิตอยู่ในนัยน์ตาของเขา จากที่ถูกทาบทับด้วยความทุกข์ทนที่วนเวียนอยู่รอบกายไม่เคยหายไปไหน

   "ดีแล้ว" สีเทากระชับเป้ในมือตัวเอง จับมันพาดขึ้นบ่าเตรียมเดินออก "งั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ"

   "เดี๋ยวก่อน" ผมร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน "มาสัญญากัน"

   ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปแทนการย้ำคำสัญญาที่เราสองคนเคยให้กันไว้ ครอบครัวนี้หลอมให้ผมเด็ดขาดในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องของสัญญา...ที่ต้องกระทำตามที่ลั่นวาจาไว้ให้ได้

   อย่า 'สัญญา' ถ้าคิดว่า 'รักษา' ไว้ไม่ได้

   เกรย์ส่ายหัวเบาๆ "ยังไม่ลืมอีกเหรอ"

   "ไม่ลืมหรอกน่า นี่แฝดของเกรย์เลยนะ"

   เรียกได้เต็มปากอย่างภาคภูมิใจ รอจนเขาตอบตกลงด้วยการยื่นมือออกมาเกี่ยวก้อยไว้

   เราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน


***
   เพราะวิธีการไปให้ถึงเส้นชัยไม่ได้มีแค่การวิ่งอย่างเดียว ให้ทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคงนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการค่ะ (ยิ้ม)
   ดูลำเอียงมาก ก็แค่ไปเปิดเรื่องใหม่ไว้แล้วค่ะ (ฮา) คิดว่าจากชื่อเรื่องน่าจะเดาได้ว่าของใคร ♚ PITCHBLACK ♛ ถามว่าแต่งแล้วเหรอก็ยัง แต่ฟีลอยากเปิดมันมาก็เปิดค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวต่อด้วยนะคะ
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #405 เมื่อ21-04-2016 22:42:06 »

หน่วงมาก เฉลยแล้ว แต่เราก็ขัดใจโรมอยู่มากมันสุขไม่สุด ที่หนึ่งน่าสงสารสุดถึงจะยอมรับได้ก็เถอะ (เราไม่สงสารโรมเลยซักกะนิด) :hao5:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #406 เมื่อ21-04-2016 23:31:09 »

เรื่องนี้ ที่หนึ่งน่าสงสารสุด :ling3:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #407 เมื่อ22-04-2016 03:36:34 »

กอดที่หนึ่งแน่นๆ :กอด1:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #408 เมื่อ22-04-2016 19:43:20 »


น้องโรมหลุดแล้ว เมื่อเผชิญด้วยความจริง และจะอยู่กับปัจจุบัน
ที่หนึ่งจะไปไหนเสีย ... :)

#ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
«ตอบ #409 เมื่อ22-04-2016 21:57:45 »

ที่หนึ่งน่าสงสารสุดแล้ว จริงๆ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
« ตอบ #409 เมื่อ: 22-04-2016 21:57:45 »





ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #410 เมื่อ24-04-2016 20:19:41 »

บทที่ 29

   NROME : Sent a photo
   NROME : ภูเก็ตสวยยย
   NETTLE : เหี้ยยย หนีเที่ยวไม่บอกกู
   NITCH : สวยดี ส่งมาอีกเยอะๆ นะน้องโรม
   GRAY : Sent a photo
   GRAY : บาร์ทฝนตกแล้ว

 

   ข้อความสุดท้ายในห้องสนทนาไม่ได้เข้ากับเนื้อหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ผมกดตรงรูปภาพเพื่อให้มันขยายใหญ่ขึ้นเต็มหน้าจอ เป็นรูปจากหน้าต่างห้องพักของเกรย์ที่มหาวิทยาลัย กรอบกระจกสุดวินเทจมีผ้าม่านสีเขียวแก่ประดับลวดลายอะไรสักอย่างมัดไว้อยู่ด้านข้าง ตรงกลางมีดอกแกลดิโอลัสสีสวยในแก้วกาแฟ และมีตุ๊กตาเชบูราชก้าพิงอยู่ข้างๆ ของสองอย่างที่สำคัญกับชีวิตของเขามากที่สุด

   กดพิมพ์ส่งกลับไปว่าดูแลสุขภาพด้วย เดี๋ยวผมจะเที่ยวเผื่อให้เอง เสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นหน้าจอถ่ายรูปเพื่อสะสมไว้อีกสักรูปสองรูปเป็นที่ระลึก

   ในวันที่ผมและที่หนึ่งควรจะนั่งเรียนวิชาไฟแนนซ์อยู่ในห้องเลคเชอร์หมีขั้วโลก กลับเป็นว่าเราสองคนกำลังนั่งห้อยขาดูวิวทะเลที่ไกลออกไปจนลิบตาอยู่บนจังหวัดเดียวในไทยที่เป็นเกาะอย่างภูเก็ต จะเรียกว่าทริปเร่งด่วนก็ได้อยู่นะ ผมดันเลื่อนเฟสไปเจอเพจโปรโมตเรื่องตั๋วลดราคา พอกดเข้าไปมั่วๆ แล้ววันที่ใกล้จะถึงมันดันมีมีที่นั่งเหลืออยู่พอดี หันไปขอความเห็นจากที่หนึ่งก็ได้รับคำตอบว่าพร้อมไปเสมอ มันเลยเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมา

   "เน็ทโวยวายใหญ่เลยอะ"

   ส่งโทรศัพท์ที่เป็นหน้าไลน์กลุ่มไปให้ที่หนึ่งดู เน็ทยังไม่เลิกส่งข้อความมาจนกระทั่งตอนที่ที่หนึ่งรับมันไปแล้ว โคตรงอแงอะบอกเลย

   "บอกแล้วว่าให้รายงานตัวก่อน" เขาส่ายหัวออกมาอย่างสุดเอือม "เน็ทบอกว่าจะบินตามลงมาพรุ่งนี้"

   "หา!" รีบชะโงกหน้าไปดูข้อความล่าสุด เน็ทเขียนว่า 'พรุ่งนี้มึงเจอกูแน่' ตามด้วยสติกเกอร์ยิ้มเป็นการปิดท้าย เอาแล้วไงน้องโรม งานงอกอีกแล้วไหมล่ะ

   "โอ๊ยยย ตายแน่เลยหนึ่ง"

   "ห้ามบ่น พี่บอกแล้วไม่เชื่อ"

   เขาบอกแล้วจริงๆ นั่นแหละว่าให้บอกคนอื่นก่อนว่าจะลงมาเที่ยว ผมก็เอาแต่คิดว่าเขาจะกลัวอะไรพวกพี่ของผมนักหนาเลยไม่เก็บมาใส่ใจ ลืมไปได้ยังไงว่าคนพวกนี้น่ะไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นผู้ปกครองต่างหาก

   "พรุ่งนี้เปลี่ยนแผนไปกระบี่เลยแล้วกัน"

   ตามกำหนดการเดิมแล้วเราจะอยู่ภูเก็ตอีกสองวัน แล้วจะไปต่อกระบี่อีกหน่อยก่อนบินกลับ ผมไม่ได้เป็นคนวางแผนเองหรอกครับ มีแต่พ่อคุณที่หนึ่งนี่แหละที่นั่งเปิดหารีวิวพันทิปให้สารพัด ปรินท์ออกมาเป็นปึกให้ผมเลือกว่าอยากไปที่ไหนบ้าง ที่เหลือเขาจะจัดสรรเวลาให้เอง

   "เดี๋ยวพวกนั้นก็จะตามไปกระบี่"

   "พวกมันควรเปิดบริษัทรับตามหาคนหาย น่าจะรุ่ง"

   "นี่ไงรายแรก น้องโรมเลย"
 

   KingB : กูเอาของฝากเป็นขนมโค ส่วนไวท์อยากได้ทรายเม็ดละเอียดๆ หน่อย   
   NROME : อะไรของพวกท่านครับบบบ
   KingB : ถ้าหาไม่ได้บอกที่หนึ่งว่าไวท์จะยึดมึงกลับบ้านสองสัปดาห์

 

   ผมกลายเป็นตุ๊กตาที่ให้คุณพี่ได้แย่งกันเอาไปดูแลเสียแล้ว คือราชาน่ะก็แค่อยากสนุกสนานไปอย่างนั้นแหละครับ ชอบแกล้งให้คนอื่นเดือดร้อนที่แหละเป็นความสุขขั้นสูงเลย คนที่ชอบเป็นคนเขียนบทตามใจแล้วก็มานั่งไขว่ห้างนั่งดูตัวละครที่ตัวเองเสกสรรขึ้นมากระโดดโลดเต้นไปตามความต้องการ

   บ่นไปอย่างนั้นอะ เดี๋ยวก็ต้องเปิดกูเกิ้ลหาว่าขนมโคคืออะไรอีกอยู่ดี

   ตอนนี้เรื่องในบ้านของเราก็ค่อนข้างกลับไปสู่ทางที่ควรจะเป็น ถึงต้องใช้เวลากว่ารอบนักษัตรในการกลับมาเป็นแบบเดิมแต่ว่ามันก็คงน้อยกว่าที่เหลือทั้งชีวิตที่เราจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ คุณพินิจ เอ๊ย คุณพ่อเองก็แฮปปี้มีความสุขสุดๆ ที่เหล่าลูกๆ ญาติดีกันเสียที ถึงกับถ่ายรูปแล้วอัดใส่กรอบใหญ่ไว้ในห้องนอนเลยทีเดียว

   เราต่างเหลือเวลาเรียนอีกแค่ปีกว่าๆ เกรย์เลยไม่ย้ายกลับมาเรียนที่ไทย เดี๋ยวหลังฝึกงานจบพวกเราเตรียมวางแผนยกโขยงไปเยี่ยมลูกชายคนที่สองที่อังกฤษอยู่เหมือนกัน กำลังอยู่ในขั้นตอนยื้อแย่งอยู่ว่าที่หนึ่งจะตามไปด้วยได้หรือเปล่า เพราะคุณพินิจโอเค แต่คุณพ่อแบล็คไม่โอเคน่ะสิ

   ความสัมพันธ์ของผมกับที่หนึ่งก็เป็นอย่างเดิม เราอยู่ด้วยกันอย่างที่เคยทำมา มีความสุขที่ได้เดินจับมือไปไหนมาไหนด้วยกัน วันก่อนก็พาไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับคุณพินิจมาเรียบร้อยแล้ว ผ่านฉลุยแบบที่ยังไม่ทันได้กังวลอะไน ส่วนพ่อแม่ของผมเดี๋ยวรอให้กลับมาจากประชุมวิชาการก่อนค่อยพาไปหา ปล่อยให้พ่อคุณผู้จิตตกว่าจะเข้าหน้าผู้ใหญ่ยังไงนั่งอ่านหนังสือสรุปประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแบบย่อไปเถอะ เห็นแล้วหมั่นไส้ ก็บอกแล้วว่าพ่อแม่ของผมไม่ได้น่ากลัวอะไรเบอร์นั้นก็ไม่เชื่อ

   ส่วนทางฝั่งที่หนึ่งนี่ไม่ต้องพูดอะไรเลย เข้าบ้านไปยังไม่ทันจะสวัสดีด้วยซ้ำก็ถูกอีกฝ่ายเข้ามากอดต้อนรับเสียยกใหญ่ ชื่อนามสกุลประวัติอะไรรู้หมดแล้วจนผมได้แต่นั่งเอ๋อๆ มาหลุดก็ตรงที่คุณแม่แอบแฉว่าที่หนึ่งเอาเรื่องของผมมาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว อารมณ์แบบ พูดให้ฟังบ่อยๆ จนชินหูพอมาบอกว่าชอบผมนะทางบ้านจะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปอะไรทำนองนั้น โคตรมองการณ์ไกล

   มันดูราบรื่นดีใช่ไหมล่ะ บอกเลยว่าคุณคิดผิดอย่างแรง เพราะต่อให้เหล่าบุพการีจะไม่มีปัญหาก็จริง แต่มันก็ยังมีเหล่าคุณพี่ทั้งหลายที่ไม่เคยปล่อยให้น้องเล็กของตัวเองได้อยู่อย่างที่ต้องการ ที่หนึ่งยังอยู่ในช่วงของการรายงานความประพฤติให้คุณพ่อทางพฤตินัยของผมฟังทุกสัปดาห์ โดยมีคุณพี่สาวเป็นคนคอยจดบันทึกรวบรวมข้อมูลว่ามีตรงไหนที่ย้อนแย้งกันบ้างหรือไม่ ขนาดเกรย์เองตัวไม่อยู่นี่ก็ยังขยันส่งข้อความมาถามความเป็นไปตลอดจนที่หนึ่งเกือบหัวระเบิดไปช่วงหนึ่ง

   ทั้งหมดนี้ไม่รวมคุณพี่ชายอีกสองคนอย่างนิชกับเน็ท ที่ต่อให้บอกว่าผมไม่ใช่ของเน็ทแล้วเขาก็ยังเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย จะพูดให้ดูเท่ทำไมก็ไม่รู้ว่าถึงวันหนึ่งก็ต้องปล่อยให้ผมเดินต่อไปเอง แล้วเป็นยังไงล่ะ ผมยังไม่ได้ก้าวเองสักก้าว
 

   NROME : หนึ่งบอกว่าอยากได้ก็มาบุกห้องเอง
   KingB : คิดว่ากูไม่กล้า?

 

   ผมย้ายกลับเข้าไปอยู่ห้องเดียวกับที่หนึ่งเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้มากไปกว่าการที่ได้เห็นตุ๊กตาสองตัวนั้นนั่งอยู่ข้างกันอีกครั้ง เรายกโซฟาหน้าทีวีให้เป็นที่อยู่ของเจ้าตัวประหลาดสองตัวนี้อย่างถาวร แล้วก็ระเห็จตัวเองลงมานั่งเบาะแบบญี่ปุ่นที่ซื้อมาเพื่อรองนั่งแทน


   KingB : เรื่องขนมโคกูล้อเล่น กว่าจะถึงมือกูแม่งคงบูดไปแล้ว แต่ของไวท์ต้องมี
   KingB : เที่ยวเผื่อด้วย
   KingB : ไว้พร้อมหน้าแล้วลงไปกันอีกสักรอบ


 
   "น้องโรม หันมาทางนี้หน่อย"

   "หืม มีอะไ...ที่หนึ่ง!" ได้เรียกเขาเสียงแหววแบบที่ไม่ได้ถามให้ครบ ก็พอผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วก็ถึงเห็นว่าคุณที่หนึ่งเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายรูปแบบสุดๆ ยังไม่ทันจะเก๊กหน้าทันเขาก็กดถ่ายไปเสียแล้ว เหมือนในรูปผมจะอ้าปากอยู่พอดีด้วย

   "น่ารัก"

   "ยังจะมาโชว์อีก เมมกล้องเมื่อไหร่จะหมดเนี่ย"

   บ่นโวยวายไปทั่ว ยืดออกไปจนสุดแขนหวังว่ามันจะช่วยให้ผมได้โทรศัพท์เจ้ากรรมของเขามาไว้ในมือ นี่เป็นโรคตามวีไปอีกคนแล้ว ชอบถ่ายรูปอยู่นั่น ถ่ายได้ทุกที่ทุกเวลาจนผมแอบรำคาญ คือเข้าใจฟีลคนโดนแอบถ่ายต่อหน้าป่ะ เออ มันไม่น่าจะเรียกว่าแอบถ่ายใช่ไหมล่ะ นั่นแหละจุดอ่อนของผมที่ไม่ค่อยรู้ว่าตอนนี้สิ่งรอบข้างมันดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เอาเป็นว่ารูปไหนที่ผมไม่ได้ชวนถ่ายเองผมนับว่าเป็นรูปแอบถ่ายหมดแล้วกัน

   "เอาลงคอมตลอดไม่ต้องห่วง" ยังมีการส่งนิ้วโป้งเพื่อบอกว่าไม่ต้องคิดมากไปอีกน่ะ

   "ชอบแอบถ่ายตอนเหวออยู่นั่น ไม่ชอบอะ"

   "แล้วถ้าชวนถ่ายดีๆ ยอมไหมล่ะ"

   "ก็ไม่ชอบถ่ายรูป"

   "กว่าจะยอมให้ถ่ายก็นาน ให้ทีก็ทำหน้าบึ้งทุกรูป"

   ที่หนึ่งส่ายหัวระอาพลางเปิดเปลี่ยนหน้าจอไปยังอีกหนึ่งส่วน เลื่อนขึ้นไปสองสามทีก็ส่งมาให้ผมดู "นี่ไง"

   ยินดีต้อนรับเข้าสู่น้องโรมคอลเล็กชั่นของที่หนึ่งอย่างเป็นทางการนะครับ ตอนนี้เขากำลังเปิดไล่รูปของผมที่ทำหน้าแบบโรมสไตล์อยู่ อธิบายสั้นๆ ก็ทำหน้านิ่งติดบึ้งบูดนั่นแหละ อัลบั้มนี้น่าจะเพิ่งสร้างได้ไม่นานเพราะรูปส่วนมากเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายไม่นานมานี้เอง

   "ก็ยิ้มแล้วตลก"

   "บอกแล้วว่าไม่ยิ้มก็ได้แค่ทำหน้าให้เป็นธรรมชาติพอ แบบรูปโปรเฟสก็ได้"

   "นั่นเรียกว่าธรรมชาติแล้วเหรอ?"

   รูปโปรไฟล์เฟสบุ๊คของผมตอนนี้เป็นรูปที่ผมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงโดยกอดเจ้าหมีส้มไปด้วย มีโน้ตบุ๊ควางอยู่ตรงหน้า ขอเล่าเบื้องหลังความเป็นมาของรูปที่ดูแล้วโคตรธรรมชาติหน่อยว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไง คือตอนนั้นผมเปิดโน้ตบุ๊คหาข้อมูลเกี่ยวกับสักวิชาเรียนนี่แหละ นอนยืดยาวเอาหลังพิงพนักธรรมดาเลย สักพักที่หนึ่งก็โยนน้องส้มเข้ามาหาพร้อมบอกว่า ลุกขึ้นมานั่งดีๆ หน่อย นี่ก็ยังคิดว่าเขากลัวเรื่องผมจะปวดหลังเลยยอมลุกขึ้นมาแล้วว่าจะเปลี่ยนไปทำงานหน้าโต๊ะเล็กตรงโซฟาจะได้ไม่โดนบ่น

   พอหยิบของทุกอย่างไว้ในมือเท่านั้นแหละครับ วิญญาณช่างกล้องมืออาชีพก็เข้าสิง ที่หนึ่งสั่งให้ผมนั่งขัดสมาธิแล้วก็เอาของอย่างอื่นมาจัดแต่ง ถ่ายไปสองสามภาพไม่พอใจก็มีการเอาพรอบอย่างอื่นเข้ามาเสริม เข้าๆ ออกๆ อย่างนั้นหลายต่อหลายรอบจนผมยื่นคำขาดว่าจะยอมถึงแค่เซตนี้เท่านั้นจึงยอมหยุดทำการเติมแต่ง ก็ยังไม่วายไปเอาหลอดไฟที่เคยใช้ประดับตอนวันเกิดของผมมาประดับตกแต่งรอบๆ ตัวจนกลายเป็นสายสิญจน์พันรอบตัวผมไว้อีก

   "แล้วสวยไหมล่ะ"

   "ครับๆ สวยครับผม" ได้โลเคชั่นที่พอใจแล้วยังจะมีจัดท่านั่งรวมถึงบอกว่าควรแสดงสีหน้ายังไงอีก ไม่อยากจะพูด "จะใช้รูปนี้ไปนานๆ เลย"

   "ไม่เอาสิ นี่ตั้งใจมาถ่ายเซ็ตใหม่เลยนะ"

   "รอไปได้เลย อีกนานนน"

   ผมไม่ชอบเปลี่ยนอยู่แล้ว รูปที่ใช้ก่อนหน้านี้อัพเดตครั้งสุดท้ายคือสิบเอ็ดเดือนที่แล้ว ที่หนึ่งเบะปากใส่แล้วก้มลงไปให้ความสนใจกับรูปภาพในโทรศัพท์ ผมเลยนั่งแกว่งเท้าที่ลอยเหนือพื้นพอสมควรไปมา ปล่อยความคิดทุกอย่างให้ลอยออกไปกับแผ่นน้ำที่ยาวจนสุดสายตา

   ได้ยินเสียงเขาหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ผมเลยเลื่อนตัวเองไปซบช่วงไหล่ของเขาแทน มองดูว่าที่หนึ่งกำลังทำอะไรอยู่ถึงดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

   "ไม่เอารูปนี้" ค้านสุดใจขาดดิ้นที่เขาจะอัพรูปผมอ้าปากกว้างอย่างนั้น

   "งั้นเลือกเองเลย"

   "รูปไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นอะ"

   "ถ่ายใหม่ไหมล่ะ คราวนี้ไม่แกล้งแล้ว"

   พอเขาบอกว่าที่ทำลงไปมันเป็นการแกล้งผมแล้วก็ไม่อยากให้ความร่วมมือขึ้นมาเฉยๆ คือคนหน้าตาดีต่อให้เป็นภาพแอบถ่ายตอนเพิ่งตื่นมันก็ดูดีอะ อย่างผมเป็นจำนวนต่อให้หามุมที่ดีที่สุดแล้วก็ยังโดนกลบด้วยความออร่าล้านแปดของเขาอยู่ดีไง โลกที่ไม่ยุติธรรมนี่มันน่าเศร้าสุดๆ ไปเลย

   "ไม่!"

   "งั้นลงรูปนี้นะ"

   "...ฮึ่มมม" ได้แต่กัดฟันกรอดที่โดนต้อนให้จนมุมอย่างนี้

   "ถ่ายใหม่เนอะ"

   มันคือการบังคับในรูปของคำเชิญชวน ผมมองตัวเองในกล้องแล้วก็ก้มลงหน่อยให้เห็นส่วนหน้าน้อยที่สุด รู้สึกได้ว่าแขนของเขาขยับขึ้นลงอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงลดแขนลงเพื่อให้ผมเคาะอนุมัติ ในรูปเขาไม่ได้มองกล้องอยู่ สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของเขากำลังมองลงมายังอีกคนที่กำลังแนบชิดอยู่ตรงลาดไหล่ มุมที่เขาถ่ายบวกกับการก้มหน้าของผมมันเลยแทบเอาไม่ออกว่าคนตรงนั้นคือใคร

   ถ้าบอกว่าผมไม่อยากให้เขาอัพภาพนี้ลงไปเลยจะเป็นคนขี้หวงไปไหมนะ

   ไม่อยากให้ใครเห็นมุมนี้ของเขาเลย

   "ไม่ชอบเหรอ"

   จนเขาทักถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วตอนที่ดูรูปอยู่ "ชอบ"

   "แล้วไหงทำหน้าอย่างนั้น?"

   "ไม่ให้ลง" ผมมองรูปนั้นอีกครั้ง "เก็บไว้ดูเองก็พอ"

   "หวง?"

   "สรุปคือไม่ให้ลง จบ"

   พอเข้าใจฟีลเป็นคนขี้หวงของเน็ทขึ้นมานิดหน่อย มันเป็นอารมณ์ประมาณว่าถ้าเอาลงเฟสไปมันก็ต้องมีคนเห็นเยอะแยะ ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นรอยยิ้มอย่างนั้นของเขาด้วย อะไรทำนองนี้

   "ไม่ให้ลงก็มาช่วยคิดสเตตัสเลย"

   เราสองคนไม่เหมือนกันในหลายๆ อย่าง เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ความเห็นของเราไม่ค่อยตรงกัน สำหรับผมแล้วเฟสบุ๊คมีไว้สำหรับเป็นมารยาทในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ต้องใช้เยอะหน่อยตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ แล้วมีวิชาเรียนรวมขนาดใหญ่ ใช้ตามข่าวสารรวมถึงใช้นัดแนะในการเรียนชดเชยอะไรพวกนั้น หลังจากปีสองเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยจำเป็นที่ต้องใช้มันอีกแล้วเลยกลายเป็นว่าผมมีเฟสบุ๊คไว้ประดับมือถือไปเท่านั้นเอง

   ในขณะที่ที่หนึ่งมีเพื่อนฝูงเยอะแยะที่พร้อมจะเข้ามาทักทายตลอดเวลา เขาก็อัพเดตชีวิตของตัวเองบ้างเป็นบางเวลา ชีวิตที่ว่ามันก็รวมถึงตัวผมด้วยอะนะ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความเข้าใจผิดๆ มาจากไหนเหมือนกันว่าผมเกลียดการลงรูปขั้นร้ายแรง จนเป็นโรคจิตที่ต้องเอาทุกอย่างมาขออนุญาตผมก่อนทำการลง เคยคุยกันไปแล้วนะว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องทำอะไรขนาดนี้ก็ได้ นั่นมันโลกของเขา เขาควรจะตัดสินใจได้เอง

   คุยกันเหมือนจะเข้าใจ นี่ก็กลับมาใช้ความเคยชินเดิมอีกล่ะ


***
ต่อด้านล่างเลยค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #411 เมื่อ24-04-2016 20:21:38 »


   "นี่ไม่ได้ประกวดเขียนเรียงความ ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้มั้ง" ขอแค่ได้เหน็บแนบพอเป็นพิธี ผมยื่นมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหญ่ของเขามา เลื่อนหาส่วนที่จะช่วยให้คนอื่นได้รับทราบถึงความเป็นไป จิ้มไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจอจนได้คำที่ต้องการ เดี๋ยวน้อยใจใส่โลเคชั่นให้ด้วยเลยแล้วกัน

   
   One Teenueng at แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต
   โดดเรียน
 

   ยังชื่นชมผลงานของตัวเองไม่ทันเสร็จดี ช่องการแจ้งเตือนก็ขึ้นสีแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดหน้าที่ของผมแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลให้ผมต้องยึดมันไว้กับตัวอีกต่อไป กลับไปเหม่อมองดูท้องน้ำใสสะอาดตาให้สบายใจ

   "สั้นจัง"

   "จะให้เล่าตั้งแต่ลงจากเครื่องเลยหรือไง?"

   ไม่มีใครถามว่าทำไมผมถึงเลือกภูเก็ตเพราะมันคงชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ถ้าแค่อยากเที่ยวทะเลคงไม่จำเป็นต้องถ่อลงมาถึงที่นี่ มันมีอีกหลายจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแผ่นน้ำแล้วยังมีค่าครองชีพถูกกว่าที่นี่หลายเท่า และคนที่ไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างผมก็คงไม่ได้ลงมาหาปาร์ตี้ฟูลมูนอะไรทำนองนั้นด้วย

   ที่นี่คือบ้านเกิดของผู้หญิงชื่ออจลา

   เหตุผลเดียวมันคือทริปที่ผมเคยพูดกับเธอไว้ว่าเราจะมาเที่ยวด้วยกันหลังจากจบชั้นมัธยม อยากมาดูว่าเมืองที่เธอโตขึ้นมานั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง สภาพแวดล้อมไหนที่หลอมให้นางฟ้าได้เป็นอย่างที่ผมจำได้อยู่ในความทรงจำ จะได้ไม่มีอะไรที่ค้างคากันอีกต่อไป

   ที่บอกว่ารีวิวพันทิปเป็นปึกนั่นสุดท้ายก็ได้ใช้จริงแค่ไม่กี่แผ่น ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องของกินอยู่แล้วเลยยอมไปเสี่ยงดวงเอาเองดีกว่า ส่วนสถานที่เที่ยวก็ไม่ได้เจาะจงที่ไหนเป็นพิเศษ อยากจะแวะตรงไหนก็แวะ ยังไงก็เช่ารถมาแล้วไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย เมืองที่มีรถประจำทางเป็นรถโพถ้องสามสายนี่ไม่สะดวกสำหรับคนที่พร้อมจะออกนอกแผนการเที่ยวอย่างผมเลยน่ะ

   อ้อ ผมไปซุปเปอร์ชีพตามที่ลัจบอกมาแล้วล่ะ ของถูกกว่าที่คิดไว้ แถมยังขายทุกอย่างที่ขวางหน้าจนผมอ้าปากค้าง ที่หนึ่งเล่าว่ามันเพิ่งไฟไหม้ไปเมื่อสองสามปีก่อน ถ้ามาแบบเวอร์ชั่นออริจินอลผมน่าจะประทับใจมากกว่านี้อีก เห็นว่ายังเอาพวกสังกะสีมากั้นอะไรทำนองนั้น

   เราสองคนมาถึงที่นี่เมื่อวาน เครื่องลงตั้งแต่เช้ามืด จัดการเรื่องที่พักกับรถเช่าเสร็จก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว วันแรกหมดไปกับการเดินสำรวจรอบที่พักกลางเมืองรวมถึงตลาดที่เมืองเก่า พอมาวันนี้ก็ล่องลอยต่อ เดี๋ยวเย็นนี้ไม่ก็พรุ่งนี้จะไปป่าตองอีก มาทั้งทีมาให้คุ้มจริงๆ

   ที่ดูไม่คุ้มที่สุดก็คงเป็นค่าใช้จ่ายที่ตัวเลขสูงอย่างกับว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อาหารจานเดี่ยวยังปาไปห้าหกสิบ ไม่ต้องไปคิดถึงมื้อใหญ่ที่คูณเข้าไปเยอะกว่านั้นอีก ไม่แปลกใจเลยที่ลัจบอกไว้ว่าของแพง นี่มันเมืองขายของให้ฝรั่งอย่างเดียวชัดๆ คนไทยแทบไร้ที่ยืนแล้ว

   ผมว่าตัวเองโคตรขี้บ่นเลยอะ ทั้งที่คนจ่ายคือที่หนึ่งนะนั่น

   "ลมแรงแล้ว กลับกันเถอะ"

   แหลมพรหมเทพคือจุดที่ทุกคนบอกว่าต้องมา ซึ่งพอมาถึงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เห็นแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นแหลมเสียเลย มีต้นมะพร้าวหักๆ จากแรงลมอยู่เรียงราย ผมอยากจะลงไปเดินเล่นด้านล่างอยู่เหมือนกัน มาติดตรงผู้ร่วมเดินทางที่เอาแต่มองตาขวางแล้วบอกว่าอันตรายนั่นแหละ

   "เดี๋ยวแวะกินหมี่สะปำด้วย"

   ให้เลือกระหว่างเที่ยวตามสถานที่กับกินผมเลือกกินอยู่แล้ว นี่อ่านเจอมาว่ามันเป็นหนึ่งในห้าหมี่ที่ห้ามพลาดถ้ามาภูเก็ต เมื่อวานผมจัดไปแล้วหนึ่ง วันนี้อีกสอง แล้วที่เหลือก็น่าจะเก็บได้หมดก่อนที่จะย้ายไปกระบี่ กลับไปคงเอียนอาหารประเภทเส้นไปช่วงหนึ่ง

   "ครับๆ"

   เขารับคำแล้วยื่นมาจับมือผมไว้อย่างเช่นทุกที ต่อให้เราอยู่ที่มหาลัยที่มีคนรู้จักเขาอยู่ทั่วไปเราก็ยังทำอะไรอย่างที่เราอยากทำ อย่างวีเองก็ชอบทักมาแซวอยู่บ่อยๆ ว่าพอเปิดตัวแล้วก็หวานไม่เกรงใจใคร แล้วมันก็โดนผมเผ่นกบาลไปรอบข้อหาพูดอะไรเกิดจริง เราไม่เคยมีช่วงโปรโมชั่นอะไรอย่างใครเขา เราก็เป็นแบบเดิมอย่างที่เคยเป็นมา ไม่มากไม่น้อย มีตรงกลางที่พอดีกับเราสองคน

   คือผมก็รู้ลิมิตตัวเองดีไงว่าแบบไหนถึงจะไม่ดูเกินขอบเขต ผมอาจเป็นที่รู้จักของคนอื่นขึ้นมาหน่อยเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนของที่หนึ่งอะไรประมาณนั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างผมไม่เคยคิดจะเก็บของพวกนั้นมาใส่ใจให้เสียเวลา

   ยังคงเดินเล่นอยู่แถวนั้นอีกหน่อย ภูเก็ตอาจไม่ได้เป็นเมืองที่เจริญเท่าที่ผมคิดไว้ในตอนแรกแต่พอมองไปทางไหนก็จะเจอชาวต่างชาติปะปนอยู่ทั่วไป ร้านค้าไม่ได้ขึ้นแค่สองภาษาแต่มีถึงสามหรือสี่ในบางพื้นที่ ขนาดตอนที่รอกระเป๋าที่สนามบินป้ายที่ติดไว้ยังมีภาษาอื่นติดอยู่เป็นพรืด อีกหน่อยคงกลายเป็นหมู่บ้านรัสเซียตามพัทยาไป

   "ทากันแดดก่อนมา"

   จะว่าอินดี้ก็ไม่เชิง ผมบอกว่าไม่อยากมาช่วงเวลาที่คนเยอะเราเลยมาดูแหลมกันตอนกลางวัน พิลึกไหมล่ะ ร้อนก็ร้อนแถมความรุนแรงของแดดยังมากสมกับเป็นช่วงซัมเมอร์ พวกปากมากชอบบอกว่าช่วงนี้ผมดูผิวพรรณดีขึ้น ก็แน่ล่ะ ลองมาเจอคุณพ่อจอมเฮี้ยบอย่างเขาหน่อยไหม ไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ

   "มันเหนียว"

   "เปลี่ยนสูตรแล้ว อันนี้คนขายบอกว่าเป็นแบบดราย"

   ผมทำหน้าบูด "หนีไปซื้อมาตอนไหน ไม่เห็นรู้เลย"

   "ก็ตอนที่เน็ทมาขโมยถึงหน้าห้องเรียนไง ว่างตลอดเย็นเลยออกไปซื้อของ"

   ความโรคจิตของคุณพี่ผมแม่งทะลุหลอดอะ คือมีอย่างที่ไหนมานั่งดักรอหน้าห้องตั้งแต่ก่อนเลิกสิบนาที ยังมีหน้ามาบอกว่าสอนเกินไปสองนาที เกือบจะบุกเข้าห้องแม่งแล้วด้วย ไม่มีเวลาอัพเดตสถานการณ์ล่าสุดให้ที่หนึ่งฟังเพราะว่าโดนยึดมือถือไปหน้าตาเฉย ทีแรกผมก็นึกว่าเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้น ที่ไหนได้แม่งลากผมไปรับรองเท้าคู่ใหม่ที่จตุจักร เน็ทครับ เรื่องแค่นี้มันไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้ป่ะ

   ที่หนึ่งเขย่าขวดกันแดดแบบสเปรย์จนได้ยินเสียงลูกเหล็กข้างในกลิ้งไปมา ผมปล่อยให้เขาได้ดูแลผิวของผมตามต้องการ บอกเลยว่าอาการแพ้แดดของผมมันไม่มีทางได้กลับมาทักทายผมได้แน่ตราบใดที่ยังมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดจนาดนี้

   "หมวกก็ไม่ใส่ หน้าแดงหมดแล้วนั่น"

   "ก็ลืมอะ"

   "เชื่อเลย ลืมของที่พี่ให้ได้ยังไงหืม?"

   ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการบ่นไปเรื่อย ผมก็อดหงอยลงไปไม่ได้ที่ดันลืมของที่เขาให้อย่างที่บอก หมวกปีกกว้างใบเดิมที่กลายเป็นของผมไปโดยปริยายจากการหยิบใช้บ่อยครั้ง แล้วครั้งนี้ผมเองก็ไม่พลาดที่จะเอามันติดตัวมาด้วย หมายถึงติดตัวมาที่ภูเก็ตด้วยแล้วก็ลืมไว้ในห้องพักน่ะ

   "ขอโทษ..."

   "ไม่ได้โกรธ แค่กลัวว่าจะแพ้แดดอีก"

   "ก็รู้"

   "พรุ่งนี้ก็ใส่มาด้วยแล้วกัน โอเคไหมครับ?"

   รีบพยักหัวขึ้นลงไวๆ เราเดินเล่นกันจนพอใจแล้วก็เตรียมตะลุยตามแผนต่อ ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปยังจุดจอดรถแล้วผมก็เหลือบตาไปเห็นของที่คุ้นตายามมีการแข่งขันกีฬาขึ้น มันเป็นแท่นรับรางวัลทำจากไม้ ดูจากสภาพแล้วคงผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนานจนได้ปลดระวางไว้อยู่ริมทางอย่างนี้

   ผมมองมันอยู่อย่างนั้น เกิดไอเดียที่จะบอกอะไรบางอย่างที่เคยคิดเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้พูดสักที

   "หนึ่ง ขึ้นไปอยู่ตรงนั้นหน่อย"

   "จะถ่ายรูปเหรอ"

   เขาขึ้นไปอยู่บนนั้นอย่างไม่อิดออด พอก้าวไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็ก้มหน้ามาหาผมงงๆ ว่าจะให้เขามาอยู่ตรงนี้ทำไม

   "ที่หนึ่ง"

   "ครับผม"

   "ถ้าน้องบอกว่าจนถึงตอนนี้ตำแหน่งของลัจมันก็ยังอยู่ที่เดิม หนึ่งจะทำยังไง?"

   เรื่องที่ยังคงค้างคามาจนถึงตอนนี้ ถ้าความรู้สึกของผมที่เคยให้เธอกับความรู้สึกที่ผมมีให้เขามันไม่เหมือนกันเลยสักนิด ถ้าผมเรียกสิ่งนั้นว่ารัก แล้วสำหรับที่หนึ่งมันควรจะเป็นคำว่าอะไร

   ยิ้มละไมที่ส่งมาให้ช่างสว่างสดใส "พี่ก็ยังเป็น 'ของโรม' อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ"

   สิ่งที่สำคัญมากกว่า 'คำ' คือความรู้สึก

   ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นตอนที่ยกมือขึ้นชี้ไปหาเขา

   "นี่ที่หนึ่ง"

   สายตาที่มองมาดูไม่ค่อยเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ การเอียงคอน้อยๆ มันแทนบอกว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อมากเท่าไหร่

   "เป็นที่หนึ่ง"

   พูดอย่างที่ให้ไปตีความเอาเอง ไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา นี่คือทั้งหมดที่ผมอยากบอกออกไป

   คนที่ผมบอกว่าเขา 'เป็นที่หนึ่ง' นิ่งไปครู่ใหญ่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพูดอะไรที่เข้าใจยากเลยนะ ทำไมถึงต้องใช้เวลาในการประมวลผมมากมายขนาดนั้น เป็นคอมเวอร์ชั่นเก่าหรือไง

   "...ส่วนน้องโรมก็อยู่ตรงนี้"

   เขาเดินลงมาจากแท่น ใช้แรงเพียงนิดหน่อยผมก็ตัวลอยขึ้นไปอยู่แทนที่ที่เขาอยู่เมื่อสักครู่ "เป็นที่หนึ่งของที่หนึ่ง"

   เป็นที่หนึ่งของโรม...

   "หนึ่ง" เรียกเขาเสียงเบา

   "ครับ"

   "รับหน่อย"

   กระโดดลงมาจากแท่นนั้นอย่างไม่กลัวว่าคนข้างล่างรับไว้ไม่ทัน ความสูงมันก็ไม่ได้มากอะไรแหละ เพียงแค่การกระโดดไม่ได้เตรียมให้พร้อมสำหรับการแลนด์ดิ้งด้วยตัวเอง ถ้าเขารับไม่ได้ก็เตรียมหน้าแหกได้เลย แต่ที่หนึ่งไม่มีทางปล่อยให้ผมตกลงไปหรอก

   "น้องโรม!"

   บอกแล้วไงว่ายังไงเขาก็รับได้ ผมหัวเราะขำขันให้อาการตื่นตกใจของเขา "อย่ากระโดดลงมาอย่างนี้สิ มันอันตรายนะ ถ้ารับไม่ทันแล้วจะเป็นไง"

   "พี่หนึ่งไม่ยอมให้เกิดขึ้นหรอก" ยังคงเกาะเขาไว้จนตัวลอยคล้ายสัตว์ที่เกาะกับกิ่งไม้ใหญ่ "...นี่ที่หนึ่ง"

   "จะอ้อนให้พี่หายโกรธหรือไง"

   เขาหมุนตัวไปมา จนร่างของผมเองก็หมุนตามไปด้วย

   "คิก เปล่านะ"

   "แล้วทำไมไม่ยอมลงไปสักทีหืม"

   ทำเป็นบ่นแต่ตัวเองก็ไม่ยอมปล่อยผมไปเองนั่นแหละน่า ผมลอยไปมาอยู่อย่างนั้นจนเริ่มรู้สึกมึนหัวจากการถูกเหวี่ยงมากเกินไปถึงบอกให้เขาปล่อยลง

   "มาตกลงอะไรกันไหม?"

   "ตกลง?"

   "ไม่ต้องขึ้นไปอยู่บนแท่นนั่นหรอก มันเก่าจะตาย เดี๋ยวซาเล้งก็มาซิวไปแล้ว"

   "..?"

   "ไม่ต้องคนที่ต้องมองจากข้างล่างแหงนจนปวดคอด้วย" เอียงคอไปมาเป็นการประกอบ การที่ต้องมองเขาจากมุมเงยก็เหนื่อยเหมือนกัน "เรามายืนอยู่ข้างล่างด้วยกันไหม ไม่ต้องขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้ว”

   ไม่ต้องให้อะไรมีความหมายกับเรามากไปกว่าการให้ความสำคัญกับกันและกัน

   "ให้เราอยู่ข้างๆ กันอย่างนี้"

   ไม่ต้องมาตั้งให้ใครเป็นที่หนึ่ง มันจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง

   "ให้เราได้จับมือกันแบบที่ไม่ต้องให้อีกคนอยู่สูงกว่า" ผมยิ้มกว้างให้เขา "ดีไหม?"

   ผมเหมือนรุ่นพี่ที่กำลังสารภาพรักกับรุ่นน้องอยู่อะไรอย่างนั้น

   ใบหน้าของเขาขึ้นสีเลือด ที่หนึ่งยกมือขึ้นมาปิดครึ่งหน้าของตัวเองเอาไว้อย่างที่ชอบทำเวลาเขิน คือช่วยคิดหน่อยว่าคนที่ควรเขินคือผมมากกว่าไหมอะ พูดอะไรเลี่ยนๆ อย่างนี้ออกมาก็อายเป็นนะเฮ้ย

   ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยไง แถวนี้มันมีแต่ผู้ชายสองคนที่ยังคงยืนอยู่ชิดกัน ที่หนึ่งปล่อยมือที่จับหน้าของตัวเองออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนน่ากลัวว่ากำลังจะต้องตัดสินใจอะไรที่มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ

   "น้องโรม"

   "ว่า?"

   "จูบได้ไหม"

   ผมคว่ำปากให้คำขอนั้น ไม่ยอมสนับสนุนข้อเสนอของผมแล้วยังจะมาเปลี่ยนเรื่องอีก "ตอบมาก่อน"

   "จูบแล้วเดี๋ยวตอบเลย"

   "อย่ามาต่อรอง"

   "นะนะนะ"

   อาการแพ้แดดอาจจะไม่มี แต่อาการแพ้ที่หนึ่งนี่ไม่เคยจะดีขึ้นเลยให้ตาย แค่ทำหน้าอ้อนแล้วใช้เสียงเล็กหน่อยก็ยอมแล้ว
 
   "แล้วถ้ามีคนเดินมาทางนี้ล่ะ"

   "พูดภาษารัสเซียใส่ไปเลย"

   "พูดไม่เป็น"

   ความสูงของเราที่ต่างกันอยู่พอควรทำให้ที่หนึ่งต้องย่อตัวลงมาเพื่อให้ระดับสายตาของเราประสานกันได้ ผมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาที่เคยสะกดผมมาแล้ว ภาพสะท้อนผ่านแก้วตาสีดำขลับมีเพียงใบหน้าของผมอยู่ในนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้นะ ใช่อย่างเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่หรือเปล่า

   "If I say you're the ONE ,Would you believe me?"

   สำเนียงที่ไม่ได้สวยงามขนาดเจ้าของภาษา แต่ก็ตราตรึงไปทุกคำ

   "อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ"

   "อย่าหลุดภาษาไทยสิ ตีเนียนเร็ว"

   กลัวอะไรนักหนา เขาเคลื่อนใบหน้าของตัวเองให้เข้ามาอยู่ใกล้กับผมเรื่อยๆ จนจมูกของเราชนกัน ความร้อนของบรรยากาศเทียบไม่ได้กับลมหายใจที่เป่ารดใบหน้าผมอยู่ เกลียดจริงเลยพอรู้ว่าผมแพ้อะไรอย่างนี้ก็ชอบทำอยู่นั่น ที่หนึ่งรู้ว่าถ้าเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างนี้แล้วผมจะยอมทุกอย่างเพื่อให้หนีออกไปได้มากที่สุด ก็หน้าของเขาเวลายิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์เวอร์ชั่นอัพเกรดมันทำใจผมเต้นแรงจนน่าห่วงว่าจะเป็นโรคหัวใจวายตายสักวัน

   "เคยไม่เชื่อด้วยรึไง"

   เสียงอื่นใดไม่ได้เล็ดลอดออกมาจากปากผมอีกเมื่อที่หนึ่งฉวยโอกาสปิดมันด้วยริมฝีปากของตัวเองอย่างรวดเร็ว
สัมผัสนุ่มที่มาพร้อมลิปกลิ่นขนมหวานที่ผมซื้อมาให้เขาช่วงหน้าหนาวปีที่แล้ว มันไม่ใช่การจูบที่ลึกซึ้งหรือว่าดูดดื่มอะไร จะเรียกง่ายๆ มันก็คือการเอาริมฝีปากของเรามาชนกันก็เท่านั้น ...จะเป็นแบบไหนผมก็ชอบมันทั้งหมดแหละ

   "You're my only one"

   คุณเป็นที่หนึ่งและที่เดียว


***
   เหลือบทส่งท้ายสั้นๆ อีกหน่อยแล้วก็จบแล้วค่ะ น่าจะลงได้พรุ่งนี้ "ที่หนึ่ง" ก็จะจบอย่างเป็นทางการแล้ววว
   ไว้คุยกันยาวๆ ทีเดียวตอนหน้านะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #412 เมื่อ24-04-2016 21:37:47 »

หวานแล้ว

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #413 เมื่อ25-04-2016 14:25:13 »


ที่หนึ่งและหนึ่งเดียว วรั้ยยยยยยยยย! เขินอ่ะ
ดีกันแล้วก็ดีไป ทั้งคู่หลักและสมาชิกบ้านทรายทอง(ฮ่าๆๆ)ด้วย
แบล็คกับเกรย์เองก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง
แอบรู้สึกว่าบทเกรย์จะเปิดใจก็ดูง่ายไปรึเปล่า?
ที่ยังค้างก็คือคู่รอง(?)นี่แหล่ะ ตกลงยังไงกัน? ไวท์เวลเนี่ยยังไงกัน?

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #414 เมื่อ25-04-2016 16:58:59 »

หวานนนนนนน :o8:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
«ตอบ #415 เมื่อ25-04-2016 19:50:32 »

โอยยยย เขิลลล

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #416 เมื่อ25-04-2016 21:17:09 »

บทส่งท้าย

   คุณคิดว่า 'ชื่อ' มีความสำคัญมากขนาดไหนครับ?

   นอกจากไว้ใช้แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร ชื่อมีความหมายว่าอะไร ใครเป็นคนตั้ง อาจสำคัญตอนที่อาจารย์ใช้เรียกเช็คชื่อ ตอนไล่ดูหาคะแนนสอบของตัวเองในใบประกาศ ตอนที่ใช้จองคิวร้านอาหาร หรืออีกสารพัดเวลาที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน

   สำหรับผมแล้วผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชื่อจะมีความสำคัญมากไปกว่าเป็นสิ่งที่คอยบ่งบอกตัวตนว่านี่คือเรา ต่อให้ตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นมงคลหรือสวยงามขนาดไหนมันก็ไม่มีผลอะไรกับการดำเนินชีวิตทั้งนั้น

   ชื่อก็แค่ชื่อ

   "หนึ่งงง"

   "ว่าไงครับ"

   "ที่หนึ่งที่หนึ่ง"

   "จะอ้อนเอาอะไรล่ะ"

   เด็กน้อยตรงตักฉีกยิ้มกว้าง ยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับแสงสว่างที่คอยส่องลงมาให้ความอบอุ่นกับผมอยู่เสมอ

   "อยากเรียกเฉยๆ"

   "งั้นก็เรียกต่อไปห้ามหยุด"

   "ที่ หนึ่ง"

   "กวนนะเรา"

   หมั่นเขี้ยวจนยกมือขึ้นบีบจมูกจนอีกฝ่ายร้องประท้วง เปลี่ยนไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าเขาออก กลับไปมองภาพเคลื่อนไหวในโทรทัศน์แบบติดผนังตรงหน้า คนที่บอกว่าอยากจะดูการ์ตูนคงลืมไปแล้วว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วพูดอะไรออกมาถึงได้ก่อกวนไม่มีหยุดปากอย่างนี้

   ฟังเสียงของเขาเรียกชื่อของผมซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ลูบเส้นผมที่เริ่มยาวขึ้นจนเกือบเท่าเดิมไปมาด้วยความเพลิดเพลิน ผมหลับตาลงเพื่อให้เสียงของเขาก้องอยู่ในหัวมากกว่าเดิม เสียงที่ไม่ได้ไพเราะหรือว่าหวานซึ้งจับใจ แต่ก็ฟังได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ

   บางที 'ชื่อ' สำหรับผมมันมีความสำคัญตรงนี้ก็ได้

   มีไว้เพื่อรอใครสักคนมาเรียก

   ...คนที่ทำให้รู้สึกว่าชื่อของคุณพิเศษกว่าใคร
 

THE END
"ที่หนึ่ง"


***
   ได้พิมพ์คำว่าจบลงไปสักทีค่ะ (ยิ้ม) อย่างแรกเลยก็ต้องขอขอบคุณทุกการติดตามนะคะ เจ้าเองไม่ได้แต่งนิยายขนาดยาวอย่างนี้มานานมากแล้ว อะไรหลายๆ อย่างก็ดูไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางในบางที แต่ก็เป็นครึ่งปีกว่าที่สนุกมาเลยค่ะ (ยิ้มกว้าง)
   ที่จริงแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม "ที่หนึ่ง" เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรนอกจากชื่อพระเอกค่ะ แค่อยากแต่งเรื่องที่มีพระเอกชื่อนี้จริงๆ (ฮา) ก็คิดอยู่นานว่าจะให้มันออกมาในทางไหน จนมาจบตรงที่ถ้าที่หนึ่งไม่สามารถเป็น 'ที่หนึ่ง' ได้ล่ะ? ถ้าการแข่งขันคือการแข่งกับคนที่ไม่มีทางชนะมันจะเป็นอย่างไร แล้วยิ่งพอเป็นการแต่งแบบตอนต่อตอน ไม่เคยจะมีสต็อกเก็บไว้ก็ยิ่งแล้วใหญ่เลยค่ะ อยากจะเสริมเติมแต่งเปลี่ยนตรงไหนก็ทำตามใจชอบสุดๆ (หัวเราะ) ตอนแรกที่วางโครงไว้แค่ยี่สิบกว่าตอนก็จบแล้วค่ะ พอแต่งไปแต่งมาจบตอนที่ยี่สิบเก้าแหนะ
   เป็นเรื่องที่เรียกว่าตามใจฉันได้อย่างแท้จริงเลยค่ะ อยากให้มันออกไปทางไหนก็ทำ ไม่เคยคิดอะไรมากเลย (หัวเราะ) ตัวละครทุกตัวเจ้าวางนิสัยไว้ค่อนข้างชัดเจน ที่หนึ่งนี่เป็นอีกรูปแบบของตัวละครที่อยากทำมานานแล้วค่ะ ผู้ชายที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า 'รัก' มีแค่นั้นจริงๆ เป็นจำพวกซื่อตรงกับความต้องการ แยกเรื่องของหัวใจกับเรื่องของเหตุผลเด็ดขาดมาก อาจมีเขวบ้างในบางที แต่ถ้าลองให้มั่นใจแล้วยังไงเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ
   ส่วนน้องโรมนี่คือซับซ้อนมากกก หมายถึงซับซ้อนเรื่องความรู้สึกนะคะ เรื่องความคิดที่น้องไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกกับที่หนึ่งมันชื่ออะไรกันแน่ หรือสุดท้ายแล้วมันไม่จำเป็นต้องมีชื่อมาเรียกให้สับสนหรอก เจ้าไม่ให้น้องตอบไปในทันทีเพราะโรมที่เจ้าวางไว้ไม่ได้เป็นคนชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่เคยต้องตัดสินใจอะไรเอง สำหรับเจ้าแล้วการที่น้องรู้จักตัวเองพร้อมกับยอมรับว่าเรื่องของที่หนึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตได้ก็ดีมากแล้วค่ะ มันคือขั้นแรกที่ดีที่จะให้น้องได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเสมอไป
   เรื่องนี้เจ้าวางธีมกับเรื่องชื่อไว้เยอะค่ะ เกือบทุกตัวละครจะออกมาพร้อมกับ 'ความหมาย' ที่ต่างกันไป ถ้าพูดไปแล้วก็แทบมีแต่น้องโรมนี่แหละที่ไม่ค่อยตรงกับคอนเซปมากเท่าไหร่ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ามีคนสังเกตหรือเปล่าว่าเรื่องนี้เจ้าแทบไม่ได้ใช้คำว่า 'รัก' เลย อย่างที่เขียนไว้ในตอนที่แล้วว่าคำไม่สำคัญเท่าความรู้สึกหรอก นั่นคือสิ่งที่เจ้าอยากแสดงออกมาค่ะ (ยิ้ม)
   เกือบจะยาวเท่าเนื้อหาบทส่งท้ายได้แล้วมั้งเนี่ย (หัวเราะ) ส่วนเนื้อหาของพี่นิชที่เป็นสเปเชี่ยลจะเหลืออีกประมาณสองตอนค่ะ ตามที่คิดไว้ แล้วก็พาร์ทของเวลกับไวท์ที่ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ แล้วก็มีของเน็ทอีกหน่อยน่าจะเป็นตอนเดียวจบนะคะ (แน่นอนค่ะว่าทั้งหมดเป็นแค่การวางเนื้อหาที่ยังไม่ได้มีการพิมพ์ใดๆ /ปาดน้ำตา)
   ส่วนของพี่แบล็คก็ไม่ได้ลำเอียงอะไรเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่งไปหมั่นไส้พี่ไปค่ะ คนอะไรทำไมใจร้ายอย่างนี้ เลยแยกเรื่องให้เลยแล้วกัน ช่วงนี้ต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วค่ะแต่ก็ยังไม่มีไฟสักที ถ้าเห็นอัพเมื่อไหร่ก็เดาได้เลยค่ะว่าเจ้าหนีหนังสือมา (ฮา)
   สุดท้ายนี้คงไม่มีคำไหนดีกว่าคำว่าขอบคุณ ทั้งกดบวก กดชื่นชม ทุกคอมเมนท์ที่ให้ความรักกับเรื่องนี้มาตลอด
   ขอบคุณจากใจค่ะ
   23August

ออฟไลน์ Nuch_Chii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #417 เมื่อ25-04-2016 21:32:13 »

จะรวมเล่มไหมคะ?

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #418 เมื่อ25-04-2016 22:52:02 »

สุดท้ายแล้ว คำ ไม่ได้มีค่าเท่าความรู้สึก
ชื่อก้อเช่นกัน อยู่มีคนเรียก
อ่อยยยย ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
เริ่มจากน่ารัก น่าค้นหา เครียด เคลีย ฟิน

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #419 เมื่อ25-04-2016 23:02:29 »

อยากให้รวมเล่มจัง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด