สองคนนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ตอนที่ผมกำลังเดินกลับเข้ามาด้านในของห้องฉุกเฉินที่มีญาติคนไข้รออยู่ประปราย เห็นที่หนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านในสุดของที่นั่งโดยไม่มีวี่แววของเวลหรือว่าไวท์อยู่แถวนั้นเลย ผมสั่งให้เท้าของตัวเองหยุดการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าของเขา ในเมื่อคนอื่นต่างบอกว่าวันนี้เราจะจบทุกอย่างลง มันก็ยังคงมีอะไรบางอย่างที่ผมควรจะบอกออกไป
"หนึ่ง...ไปด้วยกันหน่อย"
ชั้นสิบสอง ห้องที่สี่ ที่ที่ผมพาเขาไปคือห้องพักฟื้นบนชั้นสูง ห้องที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบ้านได้ในสมัยเด็ก
“สวัสดีครับ”
"อ้าว น้องโรมัน"
พี่พยาบาลหน้าคุ้นทักทันทีที่เห็นว่าผมเดินเข้าไปหา เธอไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยี่ยมมากเท่าไหร่ ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มไปด้วยพลังงานอย่างเดิม ไม่ใช่ว่าพยาบาลที่นี่มีความสามารถในการจำคนไข้ได้ทุกคนหรอก เธอเป็นคนพูดเองว่าคงไม่มีคนไข้คนไหนที่ทำให้ประทับใจได้เท่าบ้านผมอีกแล้วก็เท่านั้นเอง
"วันนี้คนไหนมาล่ะ"
"ทั้งคนโตคนรองฮะ วันนี้มาครบเลย" เธอเป็นพยาบาลที่เคยดูแลลูกคุณพินิจมาครบแล้วทุกคน รู้จักกันเป็นอย่างดี "ห้องผมมีใครอยู่ไหมอะ ขอแวะเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ"
"ห้องเหรอ ว่างๆ เข้าไปสิ"
"ขอบคุณฮะ เดี๋ยวจะให้ไวท์ขึ้นมาหาตอนเช้านะ ...หนึ่ง ไปกันเถอะ"
ในช่วงเวลานิทราของใครหลายคนมีเพียงเสียงฝีเท้าของเราก้องไปทั่ว ผมเดินนำเขาไปตามทางที่กว้างพอสมควร จนถึงหน้าห้องที่มีป้ายหน้าห้องว่า หนึ่งหนึ่งศูนย์สี่ เสียงเดินถึงหายไป
"น้องนอนอยู่ที่นี่สามเดือนตอนปอหนึ่ง"
การบอกเล่าอดีตของโรมเริ่มขึ้นแล้ว มันก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้าบอกว่าอาการบาดเจ็บมันมาจากกระสุนที่เกือบเข้ากลางหัวใจ และคนไข้ในตอนนั้นคือเด็กชายร่างกายอ่อนแออายุหกขวบ
เปิดประตูออกกว้าง ปล่อยให้มือยื่นออกไปหาที่เปิดไฟตามที่ร่างกายสั่ง ห้องพักฟื้นขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้มากพอสมควรมีไว้เพื่อให้เด็กน้อยสี่คนในเวลานั้นได้พักอาศัยอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด ผมเดินไปนั่งด้านข้างของเตียงโดยมีที่หนึ่งยืนชิดอยู่ด้านหน้า
"โดนแม่ของเกรย์ยิงเข้ากลางอก" ใช้นิ้วเคาะไปที่รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เขาเคยถามว่ามันเกิดจากอะไร รอบแผลที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหลาย "ถ้าเล็งแม่นอีกหน่อยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"
"น้องโรม..."
"เกรย์เลยบอกว่าน้องควรจะตายไปตั้งนานแล้วไง"
ต้องอยู่ที่นี่นานจนเกือบนึกว่าเป็นการย้ายบ้านครั้งใหญ่ พวกพี่ๆ ทุกคนก็คอยผลัดกันเข้ามาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย เด็กปอหนึ่งแค่มีเพื่อนอยู่ด้วยมันก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ได้มาเป็นลูกบุญธรรมของบ้านหลังนี้ เหตุผลเดียวคือไวท์ ไวท์ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่ผมต้องมาเจออะไรอย่างนี้เป็นเพราะเธอ เกรย์ก็น่าสงสารที่โดนลูกหลงจากเรื่องนั้นไปด้วย คนที่บ้านไม่ชอบแม่สองอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าเธอพร้อมจะทำลายคุณหนูของบ้านอย่างเลือดเย็นก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ จนในที่สุดเขาก็เลยหนีไปอยู่โรงเรียนประจำเสียเลย
เขาก็พูดไม่ผิดเท่าไหร่ว่าผมมาแย่งทุกอย่างไป ผมเข้ามาแทนที่ตำแหน่งคุณหนูคนสุดท้อง และอาจรวมถึงที่ผมแย่งชีวิตของแม่สองไปด้วย จำไม่ค่อยได้แล้วว่าแม่สองหน้าตาประมาณไหน คุณพินิจไม่เคยเก็บรูปของภรรยาผู้ล่วงลับของตัวเองเอาไว้เลย
มองหน้าเขาที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่อให้ผมอ่านใจเขาไม่ได้ก็ตามที แค่ลองคิดว่าผมต้องเป็นคนที่มายืนฟังอีกคนเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างนี้ก็คงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรพูดอะไรออกมา ผมทิ้งตัวลงนอนบนฟูกแข็ง ปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสไปกับเพดานสีขาวที่ยังคงให้ความรู้สึกว่างเปล่าทุกครั้งที่เห็นมัน เพดานที่ผมเคยตื่นมาครั้งหนึ่งแล้วลองถามแบล็คไปว่า คิดว่าเพดานอยากจะมีสีขาวหรือเปล่า หรือว่ามันอาจจะอยากได้สีอื่นก็เป็นได้
เคยถามถึงขั้นว่า แล้วแบล็คอยากเป็นสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำหรือเปล่า
"แล้วน้องก็นอนที่นี่อีกเกือบเดือน ตอนจบมอหก"
กลายเป็นเรื่องตลกเวลาย้อนมองกลับไปแล้วพบว่ากลับมาสู่ห้องที่ชินตาหลังจากเวลาผ่านไปสิบสองปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เครื่องมือเครื่องใช้ชุดใหม่ ที่เหมือนเดิมก็คงเป็นรอยขีดที่ลึกเข้าไปในเนื้อปูนจากการเล่นซนของพวกผมหลังเตียงคนป่วย
"ตอนนั้นยังรับไม่ค่อยได้ว่าลัจตายแล้ว เลยไปนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นเกือบเดือน จนโดนพวกขี้ยามาดักปล้น แล้วซ่าไง เลยโดนมาอีกแผล ได้มานอนหยอดน้ำเกลืออีกรอบ"
ก็รู้อยู่ว่าเรื่องของลัจคงเป็นอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของที่หนึ่งมามากอยู่ แต่มันคือความจริงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ผมไม่มีทางที่จะทำเป็นลืมมันไปได้เพื่อให้เขาสบายใจ
ผมยังรอ...คำตอบอยู่ตรงหน้าแผ่นหินแผ่นเดียวอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายวัน หวังว่าคงจะมีปาฎิหาริย์สักอย่างเกิดขึ้นที่จะทำให้ลัจฟื้นขึ้นมาฟังสิ่งที่ผมต้องการจะบอกได้ บางเรื่องที่อยากบอกออกไปเหลือเกินแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางได้รับฟังอีกแล้ว มันยากที่จะทำใจนะ การที่ต้องมารับรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองรักจากกันไปโดยไม่ทันได้เตรียมใจ เรายังคุยกันเรื่องเรียนต่อก่อนหน้านั้นไม่นาน เธอยังบอกว่าอาจจะมาเรียนที่เดียวกัน ไหงกลายเป็นว่าบินหนีกลับขึ้นสวรรค์ไปเสียได้
พอนึกถึงเรื่องที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลตอนก่อนขึ้นปีหนึ่งได้ก็เชื่อมมาถึงอีกเรื่องที่เพิ่งเกิด ผมดีดตัวขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่งแบบเดิม คว้ามือของเขามาจับไว้ทั้งสองข้าง มันเย็นเฉียบจนผมยกมันขึ้นมาแนบแก้มเอาไว้เพื่อเพิ่มไออุ่น
"อยากลองทายไหมว่าเพราะอะไรน้องถึงต้องรีบมา ทำไมน้องถึงบอกว่าแบล็คอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง"
"ไม่ล่ะ"
ถ้าลองตอบว่ารู้สิเขาคงเป็นยิ่งกว่าพวกโรคจิต
"น้องกับแบล็คมีเลือดกรุ๊ปพิเศษ คนเอเชียพบแค่ศูนย์จุดสามเปอร์เซนต์"
แบล็คเป็นราชา...เพราะเขาคือคนที่ต้องอยู่บนนั้นต่อจากพ่อของตัวเอง
ไวท์เป็นคนบาป...ที่แบกรับความตายของคนที่รักยิ่งสองคนเอาไว้
ส่วนเกรย์...
เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ เพราะตอนที่เราเริ่มใช้ชื่อนี้กันอย่างจริงจังเกรย์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว และเราก็ว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เขาจะได้มีชีวิตที่แยกออกจากพวกเราไป
ผมเป็น 'ผู้เสียสละ'
ที่ไม่ใช่แค่การที่เกือบแลกชีวิตของตัวเองกับชีวิตของอีกคน แต่มันรวมถึง 'เลือด' ที่จะคอยต่ออีกชีวิตไปเหมือนกัน
กรุ๊ปเลือดของผมคือ O RH-
การควานหายิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ซ้ำร้ายกรุ๊ปโอยังรับเลือดเฉพาะแต่กรุ๊ปโอด้วยกันอีก ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้องรับบริจาคเลือดอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะไม่รอด
คุณพินิจกับพ่อแม่ของผมให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจังก็ตอนที่เกิดเรื่องของแม่สองนั่นแหละ ตอนที่ผมเกือบตายไปจากการที่ไม่สามารถหาผู้บริจาคที่กลุ่มเลือดตรงกันได้ โชคยังดีที่ตอนนั้นหาคนมาช่วยไว้ได้ทัน ผมเลยยังคงอยู่เล่าเรื่องให้เขาฟังได้
ผมกลายเป็นน้องเล็กที่โดนปกป้องยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาถึงไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเพื่อน แต่เป็นพี่ที่มีหน้าที่ต้องดูแลน้องอย่างที่คุณพินิจเคยบอกเอาไว้ เพราะคนเป็นพี่ต้องรับผิดชอบในการดูแลชีวิตมากกว่านั้นหลายเท่านัก เมื่อบวกกับผมเป็นคนตัวเล็กที่ดูไม่ค่อยสู้คนอยู่แล้ว มันเลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ พวกเขาเลยชอบทำตัวเป็นพวกมาเฟียที่ใช้อิทธิพลข่มขู่คนอื่นไปทั่วไม่ให้มายุ่งกับผมไง
"ที่โดนแทงซ้ำนั่นแย่กว่าเดิมอีก คิดว่าต้องไม่มีใครตามมาเจอแล้วแหง ที่ไหนได้พวกนั้นแม่งไม่เคยปล่อยให้อยู่เดียวสักหน่อย"
สิ่งที่เหล่าผู้ปกครองกังวลมันเกิดขึ้นจริงจนได้ ระบบการบริจาคเลือดไม่สามารถทำการเบิกจ่ายได้โดยฉับไว ต่อให้คุณพินิจเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ แบล็คเป็นคนบริจาคเลือดให้ผม เพื่อที่เราจะได้เบิกเลือดจากคลังออกมาใช้ได้
ถ้าไม่มีเขา ผมก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน
"พอตื่นขึ้นมาก็เจอเรื่องแย่ๆ อย่างที่ต้องมีรู้ว่าไวท์หนีออกจากบ้านอีก ตามหากันให้วุ่น พวกนั้นกลายเป็นพวกโรคจิตที่หวาดระแวงไปหมดเลย จะไปไหนต้องรายงานตลอด ถ้าเอาจีพีเอสมาล่ามที่เท้าได้ก็คงทำไปแล้ว น้องโดนสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนคนเดียวอีกเด็ดขาด"
พวกปากแข็งที่ไม่พูดแต่การกระทำชัดเจน เขากลัวว่าผมจะหนีไปหาลัจแล้วจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีกครั้งเลยเอาแต่ห้ามนู่นห้ามนี่ ตามติดไปทุกฝีก้าวเอาให้ไม่คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
"เป็นไง เรื่องแฟนตาซีพอไหม"
"เรื่อง...จริง?"
"ไม่ใช่เรื่องจริงล่ะมั้ง" เอียงหน้าให้แอบอิงกับฝ่ามือใหญ่ของเขา "เล่าให้ฟังหมดแล้ว คิดจะหนีตอนนี้ก็ไม่ยอมให้ไปไหนแล้วหรอกนะ"
จะไม่ยอมให้ไปไหนอีก...
ช้อนสายตาขึ้นมามองเจ้าของรอยยิ้มที่ผมชอบ ที่หนึ่งมองกลับมานิ่งๆ จนผมใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของผมอยู่เปลี่ยนไปเกลี่ยช่วงสันกราม เขาค่อยๆ โน้มตัวมาจนกระทั่งผมรู้สึกถึงรอบประทับตรงหน้าผาก ปล่อยให้มันค้างอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่จึงผละออกไป
เขาเลื่อนมากุมมือของผม จับมันไว้แน่นจนผมอยากร้องไห้ออกมาอีกสักรอบ
กอดอาจเป็นวิธีสร้างความอบอุ่นได้ดี แต่ว่าการกุมมือพร้อมกับส่งสายตาแทนคำพูดมันก็การสร้างความเชื่อมั่นได้ดีไม่ต่างกัน
"โรม" คนที่เรียกผมด้วยเสียงบางเบาอย่างนั้นมีอยู่คนเดียว "เกรย์ทำแผลเสร็จแล้ว"
พยักหน้ารับรู้ หันไปขอกำลังใจจากคนด้านข้างที่ยังคงจับมือกันเอาไว้ ที่หนึ่งเพิ่มแรงบีบนิดหน่อยให้ผมได้ใจชื้นว่าเขาจะคอยอยู่กับผม
"ไวท์" ผมเรียกเธอไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลี่ยงตัวออกไป "เข้าไปหาเกรย์กัน"
"..."
"ไปจบทุกอย่างกันเถอะ"
จากคำที่ผมใช้เป็นนัยเธอคงพอรู้ตัวแล้วว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันในห้องตอนนั้นผมได้ยินทั้งหมด ไวท์ก้มต่ำไม่ยอมสบสายตา จนผมต้องอธิบายเพิ่มเติม "ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็เถอะ น้องโรมรักพี่ไวท์เสมอนะ"
เธอที่รักผมกว่าใคร
จนที่สุดแล้วเธอก็ยอมเดินเข้ามาด้านในห้องทำแผลด้วยกัน นางพยาบาลชี้ให้ดูว่าคนที่พวกเราเข้ามาหาอยู่ตรงเตียงเบอร์ไหน ในห้องทำแผลสนธยากำลังเก็บของลงกระเป๋าไม่มีหยุด อาการบาดเจ็บแม้จะไม่ได้ร้ายแรงมากแต่จากผ้าพันแผลที่ติดอยู่หลายที่เขาก็คงเจ็บอยู่ไม่น้อย
"ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม"
ผมเป็นคนเปิดปากก่อน มองเขาทำเป็นหูทวนลมจัดระเบียบสิ่งของในกระเป๋าต่อไปไม่หยุดมือ เกรย์บอกความต้องการของตัวเองชัดเจนผ่านการกระทำว่าเขาไม่ต้องการที่คุยกันอย่างที่ผมขอ
ได้แต่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะบอกออกไปอีกครั้ง "มาคุยกันแบบฝาแฝดกันไหม"
เหมือนที่เขาเคยถาม มือที่หยิบจับข้าวของค้างอยู่อย่างนั้น มันเป็นการพนันที่ยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับผม จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรือจะกลายเป็นไม่รู้จักกันตลอดไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตอบรับของเขาทั้งสิ้น
"ไม่เห็นใจกันก็ไม่เป็นไร แค่อยากคุยเผื่อคนที่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด"
"..."
เป็นการรอคอยที่ทรมาน
จนเขาเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าสีเข้มของตัวเองจนครบจึงเงยหน้าขึ้นมาหาพวกเรา ผิวสีซีดยิ่งส่งผลให้เห็นรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากชัดรวมถึงมีอีกแผลที่แถวหางคิ้ว เกรย์ชอบอยู่เงียบๆ เขารักสันติเกินกว่าที่จะออกไปหาเรื่องใส่ตัว ความสุขของเราสองคนในวัยเด็กคือการได้นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กันในห้องสมุด ทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่
"สองนาที"
รู้ว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ หรอก ผมเก็บอาการดีใจไว้ข้างในจนมิด เริ่มประเด็นต่อไปอย่างไม่รอช้า
"ก็ไม่ได้อยากจะแอบฟัง...แต่ดันได้ยินไปแล้ว เลยคิดว่าเราเข้าใจอะไรกันผิดอยู่หน่อย"
เห็นเกรย์มองไปทางไวท์ เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้เตรียมกับไวท์มาก่อน ให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่อย่างที่ผมบอกไว้มันก็ดีเหมือนกัน
"โรมนัดลัจจริง...แต่วันนั้นลัจไม่ได้ไปหาหรอกนะ"
ริมฝีปากสีช้ำของสีเทาเม้มเข้าหากันตอนที่ได้ยินชื่อของเธอ
"เขากำลังไปสนามบิน พ่อแม่เป็นคนบอกเอง"
"...!"
"ลัจกำลังไปเรียนต่อที่อังกฤษ ...แบบที่พวกเราไม่รู้"
เรา...ที่รวมถึงตัวเกรย์เองด้วย
จริงอยู่ว่าผมยังคงมีอะไรที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ไวท์ทำอยู่หลายอย่าง แต่ถ้าเชื่อตามที่เวลบอกว่าไวท์รู้อยู่แล้วว่าลัจจะไป ก็คงมีทางเลือกไม่มาก
หรืออาจเป็นผมเองที่ดื้อรั้นจนสิ่งนี้มันเกิดขึ้น
"ไม่จริงน่า..." น้ำเสียงที่สั่นเทา มือทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว
"ถ้ายังไม่เชื่อก็จะย้ำว่าวันนั้นลัจไม่ได้ไปหาน้อง ลัจไปหาเกรย์ต่างหาก ใช่ไหมไวท์"
โยนหน้าที่ไปให้อีกคนเสีย คงไม่มีใครที่จะให้คำตอบได้ดีเท่าสีขาวอีกแล้ว ขอเพียงหนึ่งคำตอบที่จะเป็นคำเฉลยทุกอย่าง
"...ใช่" หนึ่งคำที่สลายหมอกในใจของทุกคน
เจอจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นไวท์ถึงไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมบอกลัจออกไป เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าลัจมีใครในใจ ...ต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ตรงกลางระหว่างน้องทั้งสองคน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ต้องมีอีกคนที่เสียใจ
เธอเดินเข้าไปหาน้องชายครึ่งสายเลือดของตัวเอง แตะลงตรงบ่าเล็กไร้กล้ามเนื้อ
"ขอโทษ ขอโทษนะ ขอโทษที่พี่ปกป้องเธอไม่ได้นะ" ราชาที่บาดเจ็บได้ คนบาปที่ร้องไห้เป็น "ขอโทษที่ดูแลลัจให้ไม่ได้"
"...พ" น้องชายต่างสายเลือดยกมือขึ้นเก้ๆ กังๆ อย่างทำอะไรต่อไปไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงสาวที่มักไร้ความรู้สึกจนชินตากำลังสะอื้นไห้
"ขอโทษนะ..."
ได้แต่มองพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่อย่างนั้น คราวนี้ผมไม่มีบัตรผ่านแบบ all area ที่จะพาผมไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ไวท์ยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ส่วนเกรย์ก็ยิ่งเลิกลั่กเข้าไปใหญ่ เขาหันมาขอความช่วยเหลือจากผม แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเพราะผมทำเป็นไม่เห็นเสีย
คราวนี้ตัวใครตัวมัน จัดการเองแล้วกัน
"....ตอนนี้ผมรู้สึกโคตรแย่" หลังจากทำท่าว่าจะพูดอะไรออกมาตั้งหลายครั้งเขาก็ยอมเอ่ยออกมาในที่สุด "นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ร้องไห้ให้ผมเห็นเลยรู้ไหมไวท์"
"ไม่ได้อยากร้อง..."
"พี่ดูแลลัจดีที่สุดแล้ว ที่เหลือมันคงเป็นเรื่องที่ยัยนั่นคงขี้เกียจเรียนต่อแล้วเลยหนีไปสบายก่อนใครเพื่อน"
"..."
"ส่วนเรื่องแม่..." เขายิ้มเยาะให้โชคชะตา "ถ้าผมเป็นพี่ก็คงต้องทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันนะ ถ้าต้องดูแลน้องให้ได้"
"แต่ว่า...ฮึก"
"แม่น่าสงสารนะ คุณพินิจไม่เคยรักแม่"
การเรียกที่ห่างเหิน คือการเรียกให้เท่าเทียม
"ผมก็คิดแหละว่าบางทีให้แม่ได้ไปอยู่ในที่อื่นที่ไม่ใช่โลกใบนี้ แม่อาจมีความสุขมากกว่า"
น้ำตาที่เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่เราต้องสูญเสียเรย์ไป คราวนี้มันค่อยๆ ไหลรินลงมาตามข้างแก้มไม่มีหยุด ผมปล่อยมือที่จับกับอีกคนออก ยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดรอยน้ำอย่างที่เคยทำมาในอดีต
"ใครบอกว่าต้องเข้มแข็งไง" เย้าแหย่ด้วยคำเดิม เกรย์แบะปากแบบไม่ค่อยพอใจ
"...ขออีกแค่หนึ่งคำถาม"
"ว่ามา"
"ยัยนั่นยิ้มใช่ไหม"
ภาพเธอนอนหลับฝันดีในห้องดอกไม้ สวยงามราวกับภาพวาดที่เป็นสีสดใส
"อืม ยิ้มสวยเลยล่ะ"
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยชีวิตอยู่ในนัยน์ตาของเขา จากที่ถูกทาบทับด้วยความทุกข์ทนที่วนเวียนอยู่รอบกายไม่เคยหายไปไหน
"ดีแล้ว" สีเทากระชับเป้ในมือตัวเอง จับมันพาดขึ้นบ่าเตรียมเดินออก "งั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ"
"เดี๋ยวก่อน" ผมร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน "มาสัญญากัน"
ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปแทนการย้ำคำสัญญาที่เราสองคนเคยให้กันไว้ ครอบครัวนี้หลอมให้ผมเด็ดขาดในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องของสัญญา...ที่ต้องกระทำตามที่ลั่นวาจาไว้ให้ได้
อย่า 'สัญญา' ถ้าคิดว่า 'รักษา' ไว้ไม่ได้
เกรย์ส่ายหัวเบาๆ "ยังไม่ลืมอีกเหรอ"
"ไม่ลืมหรอกน่า นี่แฝดของเกรย์เลยนะ"
เรียกได้เต็มปากอย่างภาคภูมิใจ รอจนเขาตอบตกลงด้วยการยื่นมือออกมาเกี่ยวก้อยไว้
เราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน***
เพราะวิธีการไปให้ถึงเส้นชัยไม่ได้มีแค่การวิ่งอย่างเดียว ให้ทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคงนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการค่ะ (ยิ้ม)
ดูลำเอียงมาก ก็แค่ไปเปิดเรื่องใหม่ไว้แล้วค่ะ (ฮา) คิดว่าจากชื่อเรื่องน่าจะเดาได้ว่าของใคร
♚ PITCHBLACK ♛ ถามว่าแต่งแล้วเหรอก็ยัง แต่ฟีลอยากเปิดมันมาก็เปิดค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวต่อด้วยนะคะ
#ที่หนึ่ง