"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 193430 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #270 เมื่อ23-01-2016 01:07:53 »

ไปทำะไรทำไมโดนหวงขนาดนี้นะ

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #271 เมื่อ23-01-2016 07:30:58 »


ในอดีตเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #272 เมื่อ23-01-2016 09:26:08 »

เรื่องในอดีตคงร้ายแรงสำหรับน้องโรมมากๆแน่อ่ะ

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #273 เมื่อ23-01-2016 16:15:15 »

แบล็คแอนด์เดอะแก๊งส์มากดดันกันครบเลย ที่หนึ่งกะน้องโรมจะรอดมั๊ยเนี่ว  :serius2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
«ตอบ #274 เมื่อ24-01-2016 14:07:05 »

บทที่ 14.2

   “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเว้ย”

   "ยุ่ง! กลับไปได้แล้วมึง" มีการถีบไล่หลังอีก ผมมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนมันกลมกลืนกับทีมของเขาแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่คนข้างตัวเป็นการถามว่าแล้วทำไมถึงยังไม่กลับไปบ้าง

   "น้องโรมจะเชียร์ใคร”

   เปลี่ยนหน้ากากไวสุด ที่หนึ่งคนแมนเมื่อกี้หายไปไหน ทำไมเหลือแค่ที่หนึ่งคนแบ๊ว

   “อีกฝั่ง”

   “ให้ตอบใหม่” คงไม่รู้ตัวว่าเวลาที่ไม่พอใจคำตอบ เขาชอบทำปากยื่นใส่อย่างตอนนี้

   “ทีมนี้มีมึงอยู่ ไม่อยากเชียร์”

   “น้องโรมควรเชียร์พี่สิ”

   “เหรอ?”

   “โหย ไม่มีกำลังใจเล่นแล้วนะ” โคตรสำออย ผมพูดได้แค่ในใจเท่านั้นอะ ขืนลองพูดออกไปสิพ่อคุณได้งาบหัวผมแหง "แพ้ชัวร์เลย"

   "ก็แพ้ไปดิ"

   "อยากให้พี่แพ้รึไง"

   คือเขาต้องการอะไรจากผม ต่อให้เชียร์สุดใจขาดดิ้นขนาดไหนก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะสักหน่อย

   คราวนี้ไม่ใช่แค่เรียกให้นักกีฬาเตรียมตัว มันถูกระบุไปถึงชื่อของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ สมน้ำหน้า อยากเล่นตัวดีนัก ตอนนี้คนรอบข้างเริ่มมองมาที่เราสองคนมากขึ้นแล้ว ผมเลยเคาะไปที่ลายสกรีนตราคณะบนอกเสื้อเขาสองสามครั้ง

   “มึงเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วน่า”

   รอยยิ้มกว้างแบบที่หนึ่งสไตล์กลับมาอีกครั้ง ผู้ชายที่ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ก็พบว่าเขาเด็กกว่าผมอีก ที่หนึ่งชอบให้ผมพูดในทำนองเอาใจ จนผมคิดว่าเขาเป็นพวกที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอยู่มากพอควร

   จนกระทั่งเขาหันหลังเพื่อกลับไปรวม ผมถึงได้เห็นเต็มตาว่าทำไมถึงโดนแซวเรื่องหลังของเขา ที่หนึ่งอยู่ในชุดบาสสกรีนหมายเลข 11 นั่นไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ สิ่งที่ควรโฟกัสมากกว่าคือชื่อที่เขาใช้ ไม่ใช่ TeeNueng อย่างที่ควรจะเป็น บนเสื้อมีเพียงตัวอักษรเดียวปรากฎอยู่

   I

   ตัวไอในเลขโรมันคือที่หนึ่ง

   ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย ...จริงๆ นะ

   ที่หนึ่งเป็นนักกีฬาชุดแรกที่ลงสนาม เสียงเชียร์แสบหูดังมาจากทุกทางจนผมต้องยกมือขึ้นอุดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้แก้วหูได้รับการกระทบที่มากเกินควร เห็นแวบๆ ว่ามีคนทำป้ายไฟให้ด้วย นี่มาดูบาสหรือคอนเสิร์ตกันแน่ครับ

   หามุมอับที่มั่นใจว่าเหล่าพี่ทั้งหลายจะไม่มีทางเห็นผมได้ ใช้ผ้าขนหนูที่เขาฝากไว้มาคลุมหน้าเอาไว้ไม่ให้เป็นที่สังเกตได้ จากตรงนี้เห็นการแข่งขันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เลยแฮะ

   “ทำอะไรของพี่อะ?”

   เครื่องเพิ่มไม่น่าไว้วางใจถูกกระชากออกไปจากศีรษะ ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางตอบกลับเสียงคุ้นเคยของวี

   “หายตัว”

   “นี่ไม่ใช่ผ้าคลุมล่องหน”

   “กูปลุกเสกมาแล้ว”

   "ถ้าสบายใจอย่างนั้นผมก็จะพยายามเข้าใจนะ"

   “ฝ่ายสวัส?” ป้ายห้อยคอที่ไม่ต่างของผมเขียนชื่อเขาในบรรทัดแรก และมีคำว่าสวัสดิการอยู่ในบรรทัดที่สอง

   “ถูกกก ดอยขนมได้เยอะแยะเลย”

   ว่าพลางยื่นขนมที่ขโมยมาให้ ผมรับของโจรมาไว้ในมือตอนที่แขวะน้องสายกลับ

   “กราบขอบพระคุณครับไอ้น้องประเสริฐ...มึงช่วยทำอะไรที่มันเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้หน่อยเหอะ"

   "ก็ของมันเหลือ ผมแค่ไม่อยากให้มันเน่าไง"

   "ตรรกะสมกับเป็นมึงดี"

   ตอบกลับแบบที่สายตายังคงจับต้องอยู่แต่ในสนาม ตอนนี้คะแนนแรกของเกมส์เกิดขึ้นแล้วจากการจั๊มป์เปิดเกมส์ของกัปตันตัวสูงฝ่ายตรงข้าม ผมว่ามันเป็นเกมส์ที่ค่อนข้างคาดเดาได้ยากเพราะตัวเก่งของทั้งสองฝั่งเคยอยู่ทีมเดียวกันมาก่อน เทคนิคการเล่นคงเป็นสิ่งที่พอจับทางกันได้ ที่เหลือก็ต้องอยู่ที่ว่าทีมเวิร์คของใครจะดีกว่ากันแล้วล่ะ

   อีกไม่กี่อึดใจต่อมานักบาสทีมผมสามารถตัดบอลได้กลางสนาม ทีมเราบุกกลับอย่างรวดเร็ว เสียงเชียร์ที่ดังสนั่นกว่าปกติบอกให้ผมรู้ว่าตอนนี้ใครเป็นคนครอบครองลูกสีส้มอยู่แม้จะไม่เห็นด้วยตัวเอง

   นกหวีดเป่าบอกการเกิดขึ้นของแต้ม จากตอนแรกที่ผมไม่เห็นแม้แต่ชายเสื้อของเขาก็กลายเป็นเห็นทั้งตัวกำลังส่งนิ้วโป้งเป็นเครื่องหมายเยี่ยมมาให้ เชื่อเขาเลย ผมอยู่มุมขนาดนี้ยังเจอ

   "พี่ที่หนึ่งนี่ความจริงก็ชอบโชว์นะ"

   "...?"

   "ผมเรียนวิทย์คณิตมานะพี่ ทำไมจะไม่รู้ว่าไอหมายถึงอะไร"

   ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะตอบยังไงกลับไปให้ดูโอเคมากที่สุดผมเลยเงียบไว้ดีกว่า พอวีพูดอย่างนี้ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าพวกนั้นจะต้องรู้ไม่ต่างกันแน่ว่าที่หนึ่งกำลังสื่อถึงอะไรอยู่ ชักไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าเย็นนี้ตอนกลับห้องไปผมจะยังได้เห็นหน้ารูมเมทอยู่รึเปล่า

   บาสเก็ตบอลชายได้แต้มเร็วกว่าการเล่นของผู้หญิง ผมได้ยินเสียงบอกแต้มต่อเนื่องไม่หยุด 

   "วันนี้พี่ที่หนึ่งฟอร์มดีชะมัด"

   "เคยดูด้วยเหรอ?"

   "ไม่อะ นี่นัดแรก"

   "แล้วรู้ได้ไงว่าฟอร์มดี"

   ขนาดผมเองที่เคยตามไปดูพี่ชายแข่งยังจำไม่ได้เลยว่าเขาเล่นเก่งแค่ไหน วีถอนหายใจออกมาเป็นพรืดแล้วยกมือขึ้นตบหัวผมแปะๆ

   "ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเรียกพี่ว่าเด็กเอ๋อ"

   "เดี๋ยวนี้ลามปามนะมึงงง"

   “จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อว่าพี่ไม่ได้รหัสนักศึกษาเดียวกับผม”

   “พ่อง!”

   “คิก พี่ที่หนึ่งเขาลงทุนขนาดนี้พี่ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ?”

   “...”

   “เงียบนี่คือคบกันแล้ว?”

   “คบเตี่ยไรล่ะ!”

   “ก็พี่เล่นทำตัวติดกันขนาดนั้น ถ้าเป็นพี่สายเทคคนเดียวกับที่ผมเจอตอนต้นเทอมไม่มีทางมาอยู่ในงานอะไรอย่างนี้หรอก”

   วีกวาดมือไปรอบๆ ‘งานอะไรอย่างนี้’ ที่เต็มไปด้วยเสียงดังครึกโครม ความวุ่นวายจากกิจกรรม และผู้คนจำนวนมหาศาล ผมเป็นคนโลกแคบ ไม่เคยคิดจะเข้าร่วมสังคมมหาลัยด้วย ชีวิตของผมที่มีพ่อแม่แล้วก็พี่น้องมันเพียงพอกับความต้องการแล้ว ตอนที่จับสายผมเดินไปหาวีพร้อมแนะนำตัวว่า ‘หวัดดี กูชื่อโรม ปีสาม สายเรามีแค่กูกับมึง’ แค่นั้นด้วยซ้ำไป

   “ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ ก็แค่สงสัย เก็ตป่ะ เวลาที่พี่ไม่ชอบอะไรพี่ผลักออกรุนแรงจะตายไป แต่กับพี่ที่หนึ่งดูเหมือนพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยอะ ...เหยด พี่ที่หนึ่งอย่างเท่”

   "ไหน?" ละความสนใจการอ่านค่าโภชนาการที่อยู่ด้านหลังของซองขนมไปตามทิศทางที่ปารวีชี้โดยพลัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็เจอคนที่ตามหานั่งคุยกับเพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่งอยู่ข้างสนาม มึงจะบอกว่าท่านั่งของเขาเท่รึไง "หนึ่งยังไม่ได้ลงนี่หว่า แกล้งกูอีกล่ะ"

   "แหนะ ชะเง้อขนาดนั้นแถมยังเรียกแค่หนึ่งด้วย"

   "กวนตีนกูมากๆ จะตัดสายล่ะนะมึง"

   "กวนตีนไรวะ พี่ไม่เคยสังเกตรึไงว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อพี่ที่หนึ่งพยางค์เดียวอะ ผมเองก็เรียกว่าพี่ที่หนึ่งอยู่ตลอดเลยเหอะ"

   "ไม่อะ" ผมเคยเสวนาอะไรกับใครที่ไหนล่ะ

   "ก็เห็นพวกผู้หญิงพูดกันว่าพี่เขาไม่ค่อยชอบให้ใครเรียก"

   "เหรอ..."

   ย้อนกลับไปตอนที่เรียกครั้งแรก เขาไม่เห็นจะไม่ชอบตรงไหน เห็นเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่นแหละ

   "พี่ที่หนึ่งแม่งมีหูทิพย์แน่เลย เดินมานู่นแล้ว ผมไปก่อนดีกว่า"

   หายวับไปกับตา วีไม่อยู่ให้ผมบอกลาแม้แต่คำเดียว คนขี้หวงที่เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ข้างสนามเดินตรงมาทางที่ผมยืนอยู่

   "ยืนตั้งนานไม่เมื่อยเหรอ"

   "ไม่นะ"

   "ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ดีกว่าเนอะ"

   มันไม่ใช่คำชวนแต่เป็นคำบอกให้ทำตาม ผมถูกเขาลากไปตามแรงดึงจากมุมมืดของสนามไปยังส่วนของที่นั่งนักกีฬา มีคนในชุดบาสแบบเดียวกับของที่หนึ่งทักทายผมอย่างคุ้นเคยเป็นระยะ ก็เล่นไปนั่งดูการซ้อมตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายถ้าจำผมไม่ได้ก็แย่เกินไปล่ะ

   "คุยอะไรกับวีตั้งนาน"

   "เผามึงให้มันฟั..." ลืมไปว่าวันนี้มือเขาว่างแล้ว "หนึ่ง!"

   หลังจากวันประกวดจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงปิดปากเงียบเรื่องที่วีตั้งใจแกล้ง และที่หนึ่งคงยังไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่เวลาที่ชื่อน้องสายออกมาจากปากของผม

   "ใครบอกว่าเด็กจะกลัวเวลาโดนตี"

   "กูไม่ใช่เด็กไง" แม่งเอามือที่จับลูกบาสแถมยังปาดเหงื่อมาตบผมอีกล่ะ

   "น้องโรมเด็กจะตาย"

   "แล้วคนที่ลากกูมานั่งโง่ๆ ตรงนี้ไม่เด็กเลยเนอะ"

   ที่หนึ่งแม่งบ้า ผมอยู่มุมมืดอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้วดันลากมาให้พวกพี่เห็นง่ายๆ อีก ไม่ต้องหันหลังไปยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาเลยให้ คืนนี้กลับห้องไปถ้าต้องนอนกอดส้มม่วงคนเดียวจะไม่แปลกใจเลย

   "ไม่นะ ก็อยากให้น้องโรมเห็นพี่หนึ่งชัดๆ นี่"

   เท่านั้นแหละผมไม่เอาผ้าคลุมล่องหนออกจากหัวอีกเลย


 

   จังหวะเป่านกหวีดสั้น สั้น ยาวบอกหมดเวลาการแข่งขัน

   การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของฝั่งผมอย่างที่คิดไว้ ที่หนึ่งก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของชื่อไว้ได้อย่างเดิม ถึงผมจะไม่ได้นับแต้มแบบละเอียดเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกได้ว่าวันนี้เขาเล่นดีมาก หลายครั้งที่แต้มสูสีแล้วเขาก็เรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ทีมได้

   ผมมองทั้งสองทีมเดินไปจับมือกัน ตามมาด้วยการถ่ายรูปรวมทั้งหมด ผมยืนดูกิจกรรมภายนอกเงียบๆ อยู่ที่เดิม ไม่อยากเดินออกไปให้พี่ทั้งหลายเห็นไปมากกว่านี้ พื้นที่ชั้นล่างสุดเป็นที่ปลอดภัยให้ผมในระดับหนึ่งเพราะถ้าไม่มีบัตรผู้จัดงานคุณไม่มีทางที่จะเข้ามาในส่วนนี้ได้ ถึงไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหาไม่ได้นี่ อย่าลองดีกับคนพวกนี้เลยเชื่อผมเถอะ ขอพูดในฐานะคนที่เจ็บมาเยอะ

   ที่หนึ่งยืนคุยอยู่กับกัปตันทีมอีกฝ่ายอยู่กลางสนาม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายเบอร์ 11 คนนั้น เขาไม่ใช่คนที่สูงที่สุดหรือคล่องแคล่วที่สุด ถึงอย่างนั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็อยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา ไม่ต่างกับเขาที่หันมาหาผมเสมอไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสนามนั่นแหละ และถึงจะเป็นนัดจริงเขาก็ยังรีบเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วเดินมาทางผมเหมือนเดิม

   "ชนะแล้วแหละ"

   "รู้แล้ว" บอร์ดสกอร์โชว์คะแนนอยู่ทนโท่อย่างนั้นผมคงไม่รู้มั้ง

   "มีรางวัลไหม?"

   "มี" ขนมที่ยังคงไม่ได้แกะจากวีถูกยื่นไปให้เขา "วีให้มา"

   ก็รู้ทั้งรู้นะว่าเขาต้องทำหน้ามุ่ยแหง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังชอบแกล้งอยู่ดี

   "ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมอะ"

   "ไม่มีตัวเลือกเว้ย"

   "ชู้ตสามแต้มได้ตั้งเยอะ"

   "จ้า เก่งจ๊ะ" ปรบมือแปะๆ ให้ด้วย

   "เล่นโชว์ให้น้องโรมดูคนเดียวเลยนะ"

   "ไปขอร้องให้ทำตอนไหน?"

   "ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ"

   ทั้งผมและเขาหุบยิ้มโดยพลัน บอกแล้วไงว่าถ้าพวกเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างมันต้องเป็นไปอย่างที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นคนที่ไม่มีบัตรห้อยคอแถมหนึ่งในนั้นยังใส่เสื้อช็อปมาจะได้ลงมาอยู่ตรงนี้เหรอ

   "นิช...เน็ท...”

   "ขอคุยกับน้องหน่อย" ยามที่เขาหันไปหาอีกคน มันคือการสั่ง "คนเดียว"

   "ไม่ต้องไปนะ”

   คว้าแขนของคนข้างๆ ไว้อย่างไม่ต้องคิด ผมเขม่นพี่ชายทั้งสองคนที่กำลังแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อไหร่พวกเขาจะเลิกใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่ออย่างนี้กัน

   “เข้าใจที่กูพูดใช่ไหมที่หนึ่ง?”

   "หนึ่งไม่ต้องไปสนใจ"

   "ที่ หนึ่ง"

   ผมกอดแขนคนกลางไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย "ไปกันเถอะ"

   "น้องโรม" เดือนคณะผู้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างที่สุดลูบหัวของผมบางเบา "ถ้าไม่ใช่เด็กแล้วก็ต้องคุยกับพี่ดีๆ สิ"

   "หนึ่ง..."

   ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง ถึงอย่างนั้นเขากำลังบอกให้ผมอย่ากลืนน้ำลายตัวเอง

   "พี่ไม่ไปไหนหรอก"

   "..."

   "คุยแป๊บเดียวก็จบแล้ว เดี๋ยวเราไปกินฉลองกันเนอะ"

   จำเป็นต้องปล่อยมือที่กำลังเกาะหาที่พึ่งพิงออกอย่างไม่เต็มใจสักนิด "อือ"

   "ไม่มาให้หมดเลยล่ะ" หลุดประชดออกไปไม่รู้ตัวหลังจากที่คนตัวสูงหายไปจากสายตา ทั้งคู่พาผมมายังมุมหนึ่งของตึกที่ไม่มีคนเดินผ่านไปมากนัก นี่เป็นคราวที่สองแล้วที่พวกเขายกโขยงบุกมาหาผมอย่างนี้ ไม่รู้โรคหวงน้องไม่รู้จักจบสิ้นนี่เมื่อไหร่จะหายขาด

   "สองคนนั้นเคยขัดใจน้องโรมเสียที่ไหนล่ะ"

   การเรียงลำดับความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดของกลุ่มผมจะแบ่งได้เป็นสามระดับ เน็ทอยู่ในจำพวกแรกคือขัดได้เมื่อไหร่เป็นขัด บางเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมารองรับขอให้เน็ทพูดออกมาคำเดียวว่าไม่ชอบนั่นคือจบ นิชอยู่ในพวกที่สองคือตามใจเกือบทั้งหมดขอแค่มีข้อสนับสนุนที่มากเพียงพอ และพวกที่สามคือไวท์ พี่ไวท์ตามใจน้องโรมในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ส่วนหนึ่งที่ผมเป็นเด็กเอาแต่ใจได้ขนาดนี้ก็คิดว่ามาจากการเลี้ยงของเธอนี่แหละ

   ส่วนแบล็คไม่จัดอยู่ในจำพวกไหนทั้งนั้น เขาชอบที่จะมองลงมาจากมุมสูงโดยไม่เข้ามาเอี่ยวมากกว่า

   "พวกมันเข้าใจกูต่างหาก"

   “เน็ทเล่าให้พี่ฟังแล้ว”

   เขาเริ่มอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนรู้เรื่องที่ผมทะเลาะกับเขาวันก่อน

   “เล่าหรือฟ้อง?” ผมย้อนกลับ

   "กูเล่า"

   "มึงตกลงกับกูแล้วว่างานนี้จะไม่สอดนะเน็ท เงียบไป"

   คุณแม่นิชคือคนเดียวที่กำราบลูกชายคนโตได้อยู่หมัดที่สุด เน็ทได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจมากเท่าไหร่ในคำสั่งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมที่จะไม่ต้องทะเลาะกับเขาอีกครั้ง

   "อย่างแรกเลยคือน้องโรมกำลังหลบหน้าพี่”

   “เปล่า”

   "งั้นเหรอ"

   "จะยุ่งอะไรกับที่หนึ่งอีกก็รีบพูด”

   "น้องโรมรู้ใช่ไหมว่าทำไมพี่ถึงไม่ห้าม" นิชถอดแว่นออกมาเช็ดเลนส์ขนาดใหญ่กับชายเสื้อยืดสีขุ่น "เพราะนั่นคือ 'ที่หนึ่ง' คนที่พวกพี่ไม่มีทางหาข้อติเจอ”

   เพราะเขาต่างจากคนอื่นที่เข้ามา เราต่างรู้แต่ไม่ยอมรับว่ากำลังเอาใครเป็นมาตรในการเปรียบเทียบ ใครที่ไม่สามารถทะยานขึ้นมาถึงจุดนั้นได้จะโดนกันออกให้หลุดออกจากวงโคจรไป

   "ไม่ต้องเอาเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายเหมือนกันมาพูด พี่ไม่เคยสนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว พี่มาวันนี้พี่อยากรู้อย่างเดียว" กลืนน้ำลายยังรู้สึกผิด คนบางจำพวกต่อให้ไม่เคยเรียนวิชาสะกดจิตหรือโน้มน้าวใจคนก็ทำให้รู้สึกหวาดผวาได้เพียงแค่เอ่ยปากออกมาไม่กี่ประโยค...และ 'ปีศาจ' คือหนึ่งในคนแบบนั้น

   ต่อให้นิชเลี้ยงผมมาแบบโคตรสปอยล์แค่ไหน เพื่อคำตอบที่ต้องการเขาไม่เคยเลือกวิธีเช่นกัน

   “น้องโรมคิดยังไงกับที่หนึ่ง?”

   "..."

   ไม่เคยมีใครตั้งคำถามอย่างนี้กับผมมาก่อนเลย และผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะถามคำถามนี้กับตัวเองด้วย

   "โรมไม่เคยเป็นอย่างนี้รู้ไหม โรมไม่เคยให้ใครเข้ามาอยู่ในชีวิตมากขนาดนี้ ...อาจมากกว่าครั้งก่อนอีกนะ”

   อย่างกับนัดกับวีมาถามอย่างไงอย่างนั้น ผมยอมให้เขาตามไปทุกที่ ยอมพาเขาไปที่บ้านทั้งที่รู้ว่าต้องเจอเรื่องใหญ่ ยอมย้ายไปอยู่กับเขาโดยไม่มีเงื่อนไข งานที่ต้องเจอประชากรมหาศาลมากแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดอยากโวยวายใส่

   "พี่ถึงถามว่ารู้สึกยังไงกับที่หนึ่ง"

   "..."

   "ทีให้พูดก็ไม่พูด" เรื่องใช้คำเชือดเฉือนไม่มีใครสู้นิชได้หรอก "ตอบไม่ได้หรือว่าไม่รู้สึก?"

   ผมควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง ไม่ใช่ก้มลงมองเท้าตัวเองอยู่อย่างนี้ เหมือนสิ่งที่กำลังเป็นของตัวเองอยู่ตอนนี้มีเพียงสมอง ส่วนร่างกลายเป็นของใครไม่รู้ที่ผมไม่สามารถควบคุมให้เคลื่อนไหวได้ตามใจ

   "ถ้าน้องโรมไม่รู้สึก พี่ก็คงบอกเหมือนเน็ท หยุดได้แล้ว" มือของเขาแตะที่บริเวณหัวใจ หนึ่งแผลเป็นที่อยู่อย่างนั้นไม่มีทางหายคอยย้ำเตือนสิ่งที่ผ่านมา “ไปคิดให้ดี แล้วมาให้คำตอบพี่ใหม่ คราวนี้พี่สัญญาว่าถ้าโรมมั่นใจแล้วพี่จะไม่เข้าไปยุ่งอีกเลย"

   สัญญาต้องเป็นสัญญาเสมอ

   ผละออกจากตรงนั้นทันทีที่ได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระ ใจคิดแต่จะตามหาคนที่โดนสั่งห้ามไม่ให้อยู่ด้วย จากมุมนี้เลือกทางเดินต่อได้ว่าจะตรงไปหรือเลี้ยวขวา ขวาร้ายซ้ายดีแต่ไม่มีซ้ายก็ไปขวาแล้วกัน

   ...

   ผมชาไปทั้งร่างและความรู้สึกตอนที่เห็นว่าใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนอย่างที่พูดไว้ จากจุดเดิมที่ผมยืนมาถึงตรงนี้แทบจะนับก้าวได้ ความเงียบที่เกิดขึ้นบอกผมให้รู้...

   เขาได้ยินหมดทุกอย่าง


***
   อากาศกลับมาเย็นอย่างที่แต่งนิยายแล้วเพลินมากค่ะ ถึงจะไอคอกแคกไปด้วยก็เถอะ (ฮา) รักษาสุขภาพกันนะคะทุกคน ป่วยทีนี่มันช่างเหนื่อยกับชีวิตเสียเหลือกัน
   เห็นหลายคนคิดถึงพี่นิชเลยพากลับมาหาค่ะ อ้าว ไม่ได้ให้กลับมาหาอย่างนี้เหรอคะ (หัวเราะ) สัปดาห์หน้าตั้งใจว่าจะลงให้ได้ทั้งสเปพี่นิชแล้วก็พาร์ทของเวลค่ะ พักหายใจหายคอหน่อยเนอะ นี่จบตอนเหมือนให้เตรียมพร้อมสำหรับดราม่าเลยล่ะ อย่าเพิ่งเครียดไปนะคะ เจ้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดราม่า ไม่ซับซ้อน ไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ นี่แหละ
   ชักไม่อยากให้ที่หนึ่งกับน้องโรมแล้วค่ะ สงสารนางจัง ทำไมต้องมาเจอกลุ่มนี้ด้วยนะ (ฮา) ต้องสู้นะที่หนึ่ง <3
   แล้วเจอกันใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
«ตอบ #275 เมื่อ24-01-2016 16:13:25 »

แม้ว่าน้องโรมจะยังไม่ได้พูด ที่หนึ่งอย่าเพิ่งถอดใจนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
«ตอบ #276 เมื่อ24-01-2016 18:46:33 »

รู้สึกว่า....รัก...ที่หนึ่ง มากขึ้นทุกวัน  :-[

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
«ตอบ #277 เมื่อ24-01-2016 19:38:13 »


แค่ไม่กี่บรรทัดก็ทำเอาเรารู้สึกหน่วงแล้ว...

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
«ตอบ #278 เมื่อ26-01-2016 15:04:38 »



นี่มันเรื่องอะไรคะ? นี่มันเรื่องอะไร?
ทำไมมันมีลับลมคมในไปเสียทุกเงี่ยงทุกมุมขนาดนี้?!!
สงสารที่หนึ่งมากเหลือเกิน อยากจะไปลักพาตัวมาโอบกอดปลอบประโลมให้มีแรงกลับไปต่อสู้กับใจน้องโรมให้ได้จริง ๆ

น้องโรมนี่ก็น่าตีนะคะ... เก็บผ้าเก็บผ่อนไปอยู่กับเขา ตัวติดกันกับเขา นอนกอดตุ๊ตาของเขาทุกคืน ๆ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดอะไรเลยเถิดกับพ่อที่หนึ่งของป้า? เอาล่ะ... ป้าให้เวลาแค่ชั่วพักเบรคโฆษณาสิปป์นิช หนูต้องคิดดี ปฏิบัติชอบกับพ่อที่หนึ่งของป้าให้ทันนะลูก!!!

เป็นกำลังใจให้ และรออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:


ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Limited Book [สิปป์-นิช]


(3)


   บัตรเข้างานสีดำสนิทปั๊มนูนด้วยฟลอยด์สีเงินวางลงตรงหน้าผม


   "เซนต์ให้ผมหน่อยดิพี่นิช"


   "เอาไปทำไม?"


   "เผื่อขายได้ รายได้เสริมของผมคือเอาของพวกนี้ไปปล่อยในกรุ๊ปคนรักพี่สิปป์แหละ"


   เอมหัวเราะให้กับการกระทำของตัวเอง ผมเลยเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนที่จะปฏิเสธกลับไปนิ่มๆ


   "แกควรเอาไปให้เจ้านายเซนต์มากกว่าพี่"


   "โหย ทำได้ทำไปนานแล้วพี่" เขาจีบปากจีบคอพูดให้ผมฟัง "พี่แกไม่ยอมให้ตรงๆ ผมต้องใช้วิธีซิกแซกตลอด"


   "เงินเดือนไม่พอรึไง"


   จากการเป็นพนักงานไร้เงินเดือนผิงเคยเล่าเรื่องตัวเลขเงินที่ผมควรได้รับให้ฟัง มันก็มากอย่างที่ไม่แปลกใจที่มีพนักงานแค่สองคนในร้าน


   "เงินเดือนก็ส่วนเงินเดือนสิ ผมบอกแล้วไงว่านี่รายได้เสริม"


   "หน้าเลือดเนอะ"


   "เขาเรียกรู้จักจัดการชีวิต"


   "ถามจริงเหอะ เด็กเอกวรรณกรรมที่ขับฮาร์เล่ย์มาทำงานอย่างแกนี่ต้องการเงินพิเศษอีกเหรอ"


   "โหยพี่ แค่ค่าน้ำมันก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว เนี่ยเลยต้องหาเงินไปขับเคลื่อนน้องฮาวสุดที่รัก"


   ผู้ชายที่เด็กกว่าทำหน้าเหยเกให้ผม เอมชี้ลงมาที่บัตรอีกครั้งเป็นการจี้ให้ผมเซนต์ลงไป "อยากไปดูพี่นิชเล่นเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ยี่สิบเข้าไม่ได้"


   ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เอมรู้เรื่องงานใหม่ของผม เอมรู้มาจากผิง ส่วนผิงรู้มาจากสิปป์อีกที เป็นร้านที่น่ารักมากจริงๆ ไม่ว่าผมจะทำอะไรทุกคนจะต้องรู้หมด ตอนที่ผมเจอเจ้าของผมสีเขียวมิ้นท์เมื่อวันก่อนเขายังย้ำคำเดิมว่าไม่แปลกใจที่สิปป์ไม่ยอมปล่อยผมไปไหน


   "รักจริงต้องปลอมบัตรดิ" ผมแกล้งยุกลับในระหว่างที่ตวัดลายเซนต์รูปอนันต์ลงไปในบัตรตามที่เขาต้องการ


   "โดนจับได้ไม่คุ้มอะ พี่สิปป์เคยขู่ไว้ว่าถ้าจับได้จะไล่ออก”


   “กลัวทำไม”


   “แล้วนี่มารอไปพร้อมพี่สิปป์เหรอ”


   ตอบกลับด้วยการผงกหัวขึ้นลง ผมเองก็ไม่อยากที่จะมาหาเขาที่นี่หรอกถ้าเลือกได้น่ะ เขาเล่นโทรมาเตือนตั้งแต่วันจันทร์ยันวันศุกร์ แถมโทรมาตอนสองทุ่มตรงเป๊ะทุกวัน ถือว่าเห็นแก่ความตรงต่อเวลาผมเลยยอมมาหาที่นี่


   “โคตรหวงจริงว่ะ พี่เชื่อไหมขนาดพี่น้ำอ้อนวอนแค่ไหนพี่สิปป์ก็ให้ไปเจอที่ร้านตลอด”


   “ไม่หรอก พี่ไปครั้งแรกไง”


   “ไม่จริงอะ พี่สิปป์แม่งไม่ใจดีอย่างนั้นหรอก”


   ผมปล่อยให้เอมขยับปากไปเรื่อย เขาชอบมานินทาเจ้านายให้ฟังอย่างนี้แหละ อยากจะลองอัดเสียงไปให้เขาฟังดูเผื่อว่าจะได้โบนัสในการแจ้งเบาะแส


   วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้ขึ้นแสดงจริง หลังจากที่ผมทำการฆ่าปาดคอพวกคนอวดดีไปแล้ววันนั้นพีทก็ไม่เข้ามาวุ่นวายกับผมอีกเลย ส่วนน้ำถึงไม่เข้ามายุ่มย่ามแต่ก็ชอบทำตัวเป็นลูกแมวไร้แม่ที่น่าเวทนา คอยขู่ฟ่อตลอดเวลา  โชคดีที่เพลงของสิปป์มีโน้ตไม่ยากเกินไป ใช้เวลาทำความคุ้นเคยเพียงไม่นานก็พอจะถูไถไปได้


   "ทำไมใส่เสื้อกล้ามมา"


   ขนลุกกราวยามที่มีเสียงกระซิบข้างหู ผมตวัดตาขวางไปหาคนที่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง สิปป์อยู่ในชุดเสื้อยืดลายแปลกกับกางเกงยีนส์รัดรูปมีสายโซ่ร้อยไว้ ผมที่เซ็ตตัวอย่างดีเผยให้เห็นต่างหูหลากหลายแบบละลานตา เขาไม่คิดจะเหลือพื้นที่ให้เนื้อตรงหูหน่อยหรือไง


   “อยากใส่”


   “ล่ะนี่อะไร”


   เขาจิ้มลงมาตรงช่วงหลังส่วนบน วันนี้ผมใส่เสื้อกล้ามตัวหลวมมาเพื่อให้เหมาะกับการขยับร่างกาย ไม่รู้ว่าร้านที่กำลังจะไปเล่นมีบรรยากาศโดยรวมเป็นยังไงเลยไม่อยากเสี่ยง ผมไม่ชอบอากาศหนาว แต่ไม่ชอบอากาศร้อนมากกว่า เพราะงั้นวันนี้เสื้อของผมเลยโชว์ผิวขาวอย่างคนไม่ค่อยโดนแดดมากกว่าทุกวัน


   พอผมลอยหน้าลอยตาไม่ตอบ เขาก็ลากมือไปมาตามรอยสีที่แทรกลึกเข้าไปในชั้นผิว


   “Endless Knot?”


   “รู้จักด้วยเหรอ”


   “ไหน หลังพี่นิชมีอะไรเหรอพี่ ...โห โหดสัตว์ลัตเวีย”


   ถอนหายใจเบาๆ  ให้อาการตกตะลึงที่โอเวอร์เกินไปหน่อย ผมมีรอยสักขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือหน่อยที่ตั้งใจจะเก็บไว้ดูคนเดียวอยู่ช่วงบนของแผ่นหลัง เป็นลายปมอนันต์ (endless knot) หรือปมที่ซับซ้อนมากขึ้นของสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วแต่เพิ่งได้ทำตามที่ต้องการตอนจบมอหก ที่ทำตอนนั้นเพราะว่าไม่ต้องใส่เสื้อนักเรียนสีขาวที่มองทะลุไปถึงไหนต่อไหนอีกต่อไป


   “ใครๆ ก็มี”


   “พี่ไม่เจ็บเหรอ ผมกลัวเข็มอะเลยไม่กล้าสัก”


   “ก็เจ็บ แป๊บเดียว”


   ผมไม่ได้พูดโกหกนะ เจ็บน่ะแป๊บเดียว ...แต่ปวดน่ะแทบแย่ ต้องนอนคว่ำเป็นสัปดาห์เลยล่ะ


   “ไปกันได้แล้ว”


   “นี่เพิ่งสองทุ่มเอง” เขาบอกผมว่างานเริ่มสี่ทุ่มแถมจากนี้ไปถึงร้านก็ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน


   "ร้านขอเลื่อนเวลา เมื่อกี้น้ำเพิ่งโทรมาบอก"


   ได้ยินชื่อของคนที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูอย่างชัดเจนแล้วอารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อยากเจอผู้ชายที่ดีแต่ปากคนนั้นไวๆ จังนะ อยากเห็นสีหน้าที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นอีกสักที ยิ่งลำพองผยองมากเท่าไหร่ ตอนตกลงมามันเจ็บเจียนได้ยิ่งกว่าเยอะ


   "งั้นไปกันเลย"


   โบกมือลาพนักงานที่ยังคงต้องเฝ้าร้านไปจนกว่าผิงจะกลับมาจากการซื้อของใช้ทั่วไป เอมดูไม่มีปัญหากับการที่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ตลอดการทำงาน ถ้าเป็นพ่อแม่ผมนะหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้มาทำแหงๆ


   "พี่ผิงเอาวีออสไปนะพี่" เอมตะโกนไล่หลังมาตอนที่เราอยู่หน้าร้านแล้ว


   "มันบอกแล้ว"


   "งั้นพี่ก็ต้องไปอีกคันอะดิ"


   ได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่ายุ่ง นี่ขนาดเจ้านายยังไม่เว้นเลย "จะให้พี่โบกตุ๊กตุ๊กไปรึไง"


   "เช้ดเด้! เรื่องนี้ถึงพี่ผิงแน่"


   "เออ จะทำอะไรก็เรื่องของมึงเหอะ เก็บร้านให้เรียบร้อยแล้วกัน"


   ผมเดินตามเจ้าของร้านไปยังโรงรถขนาดเล็กข้างตึก เบนซ์สปอร์ตสองประตูสีดำสนิทดูเข้ากับเขาดี ผมเองสงสัยว่าอาชีพนักร้องไม่มีสังกัดอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้มันสร้างเม็ดเงินได้มากขนาดนี้ได้เหรอ ทั้งร้านกาแฟตามอารมณ์กลางเมืองหลวง เงินเดือนพนักงานที่สูงลิบ แล้วยังรถสปอร์ตราคาไม่รู้กี่ล้านนี่อีก


   "สรุปทำไมใส่เสื้อแบบนี้มา แล้วไปสักตั้งแต่เมื่อไหร่"


   เขาถามขึ้นในระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปตามทาง


   "เผื่อร้อน ตั้งแต่จบมอหก"


   ตอบกลับสั้น ผมทำเป็นกดมือถือเรื่อยเปื่อยเหมือนเสียงติดไม่พอใจที่เขาใช้มันไม่มีผลอะไร ลอบแอบมองว่าเขามีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไรบ้างกับการเดินหมากของผมในคราวนี้ สิปป์ไม่ได้ละสายตาจากถนนคอนกรีต มีเพียงแค่สายตาเจือความไม่สบอารมณ์ที่ปรากฎ


   ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบให้ใครขัดใจ


   "โทรไปหาน้ำไม่ก็พีท บอกว่าเอาเสื้อแขนยาวไปเผื่อด้วยตัวนึง"


   "ไม่มีเบอร์"


   "เอาของฉันไปโทร"


   "ถ้าไม่ทำ?"


   จังหวะไฟแดงทำให้เขายื่นหน้ามาหาผมได้ใกล้ ผมยิ้มกวนประสาทกลับคืนไปให้ชายที่ถูกเรียกว่าตัวร้าย


   "เป็นลูกจ้างต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายสิ"


   คำพูดของตัวเองกลายเป็นบ่วงแน่นที่รัดคอไว้ สบถหยาบคายในใจพอให้หายหงุดหงิดที่โดนเล่นงานกลับ ตอนที่พูดไปก็ดันคิดแต่เรื่องแกล้งสองคนนั้น ยังดีที่ข้อแม้ที่เหลือมันคงไม่ย้อนกลับมาทำร้ายผมได้มากไปกว่านี้


   ถ้าให้คิดจริงๆ แค่ผมยอมให้เขาเป็นเจ้านายก็เสียเปรียบไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้วล่ะ


   "งั้นก็เอามา" แบมือขอโทรศัพท์โดยที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้อย่างรวดเร็ว "มีพาสเวิร์ด พิมพ์ให้หน่อย"


   "1010"


   "ไว้ใจขนาดนั้น?"


   "คิดว่ายังไงล่ะ"


   "นี่อาจเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดที่สุดของนาย"


   ผมใส่รหัสผ่านตามที่เขาบอก รูปหน้าจอล็อคสกรีนของเขาเป็นรูปถ่ายเช็ตแฟชั่นที่เพิ่งออกไปไม่นาน งานนั้นเขาโทรมาสั่ง ใช่โทรมาสั่ง ไม่ได้โทรมาขอร้องหรือว่าขอความร่วมมืออะไรทั้งนั้น ให้ผมช่วยไปเป็นผู้จัดการชั่วคราวให้หน่อยเพราะว่าคนดูแลติดปัญหาครอบครัวมาทำงานให้ไม่ได้


   "..."


   ส่วนที่ทำให้ผมนิ่งไปคือหน้าจอโฮมสกรีน กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความมัวของสายตา ผู้ชายคนนี้เขามีมุมอะไรอย่างนี้กับคนอื่นเขาด้วยเหรอ ภาพที่เขาใช้เป็นพื้นหลังคือรูปวาดของผมครั้งที่สองหรือรูปที่ผมส่งให้เขาไปเพื่อขอบคุณในการช่วยโปรโมตร้าน


   "นี่..." ผมพลิกให้เขาเห็นภาพหน้าจอของตัวเอง "ชอบมากเลยรึไง?"


   สิปป์หันมามองปราดเดียวแล้วกลับไปใช้สมาธิกับการขับรถ "ก็บอกแล้วว่าชอบทั้งงานแล้วก็เจ้าของงาน"


   "ชอบอะไรมากกว่า"


   ไม่รู้อะไรที่ดลใจให้ถามกลับไปอย่างนั้น ผมเปิดดูรายชื่อเบอร์ที่โทรเข้าออก ล่าสุดคือเบอร์ที่บันทึกไว้ว่าน้ำอย่างที่เขาบอกว่าเพิ่งโทรมาเลื่อนเวลาโชว์ กดโทรออกแต่ไม่ได้เอามาแนบหู


   "ไม่เลือกได้ไหม"


   ยังคงเป็นคำว่า Calling อยู่ตอนที่เขาตอบ


   "ไม่"


   "อืม...เลือกยากจังเลยนิรันดร์" ไม่รู้แน่ชัดว่าเอาชื่อของผมไปหาคำแปลตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชอบเรียกชื่อนี้มากกว่านิชเวลาที่อารมณ์ดี "ทางไหนก็ชอบพอกันเลย"


   จากตัวอักษรภาษาอังกฤษแปรเปลี่ยนเป็นตัวเลข 00.00 ผมยิ้มให้แผนการณ์ที่กำลังดำเนินไปด้วยดี "เลือกมา ตอนนี้เลย"


   เขาคงรู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ โทรศัพท์ในมือถูกดึงกลับไปเสียแล้ว เสียดายจังที่เขายังไม่ตอบผมมาก่อน อยากจะให้ปลายสายได้ยินว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการมากกว่ากัน


   "แต่ผมเลือกคนสวยเอาแต่ใจอยู่แล้วล่ะ"


   "!"


   สิ่งที่เขาทำผิดจากที่คาดไว้ ผมนึกว่าเขาจะเอาไปคุยเคลียร์หรือไม่ก็ตัดสายไปให้จบๆ แต่เขากลับยกมือถือขึ้นระดับริมฝีปาก พอบอกประโยคนั้นเสร็จก็กดตัดสายไปทันที


   "ร้ายตลอดนะ" ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมแล้วกัน


   "ขอบคุณ"


   "ผมชักจะกลัวแล้วสิ"


   ปากบอกกลัวแต่หัวเราะร่า ผมเท้าคางกับริมกระจกหันหน้าออกไปมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวง เคาะมือกับข้างแก้มเป็นจังหวะไปมาเพื่อใช้ความคิด นี่มันแค่ออร์เดิฟเท่านั้นแหละ รอให้ถึงร้านก่อนค่อยคิดแผนต่อไป ตั้งแต่ไม่ต้องตามเก็บกวาดคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องโรมแล้วรู้สึกฝีมือตกไปเยอะ มีเควสพิเศษมาให้ทำแก้เบื่อก็ดีเหมือนกัน


   อีกไม่นานนักเราก็มาถึงผับ เขาเข้าทางที่จอดด้านหลังผมเลยไม่รู้จำนวนลูกค้าในวันนี้ จากที่หาข้อมูลในเว็บมาก่อนร้านนี้เป็นร้านดังที่เต็มไปด้วยลูกท่านหลานเธอหลายคนแวะเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้นสิ ชีวิตวันๆ ของผมน่ะหมดไปกับการนั่งวาดรูประบายสี ไม่มีเวลามาหาแสงสีอย่างนี้หรอก อีกอย่างคือผมมีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่นักกับร้านประเภทนี้ เขาเคยไม่ให้ผมเข้าด้วยเหตุผลว่าหน้าผมเด็กเกินไป ซวยซ้ำสองตรงที่โดนหาว่าปลอมบัตรประชาชนอีกต่างหาก เน็ทหัวเราะใหญ่บอกว่าต้องโทษที่ผมชอบคีฟลุคเด็กเนิร์ดตลอดเวลา


   "ขอตรวจบัตรครับ"


   นั่นไงล่ะ ขนาดผ่านมาครึ่งปีได้แล้วมั้งยังเหมือนเดิมเป๊ะ


   "นักดนตรี ต้องตรวจด้วยเหรอ" ผมชี้ไปทางผู้ชายที่สะพายกีตาร์เดินตามหลังมา "ผมมากันคนนั้นน่ะ"


   "มีอะไรรึเปล่าที่รัก"


   แสดงความเป็นเจ้าของด้วยการโอบไหล่ผมไว้ มือที่เจอความเย็นจากแอร์ในรถเมื่อแตะลงตรงผิวของผมก็อดสะดุ้งไม่ได้ มือเขาเย็นเฉียบอย่างกับคนไร้ชีวิต


   "เขาขอตรวจบัตร"


   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเต็มที่ ไม่ใช่แค่หัวเราะในลำคอหรือแสร้งทำ มันน่าตลกตรงไหนกับการที่ผมโดนเรียกบัตรน่ะฮะ


   "ฮ่าๆ นี่มันเรื่องที่ทำให้ผมขำได้มากที่สุดในรอบหลายวันเลยนะ ...ไม่เป็นไรครับพี่ เขามากับผมจริง"


   จัดการจูบที่ขมับแสดงความเป็นเจ้าของอีกด้วย คนเฝ้าประตูมองมาที่ผมซ้ำอีกครั้งจึงยอมปล่อยให้เราสองคนเข้าไปด้านใน โลกหลังประตูไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้ เสียงดังอึกทึก กลิ่นควันที่ตีกันหลากหลายจากมุมสูบบุหรี่ กองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สีสันที่มากจนเกินพอดีทำให้ผมเบ้ปากให้โลกราตรี สำหรับผมพื้นที่นี้มันเป็นแหล่งรวมคนไร้สติชั้นเยี่ยมที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวเท่าไหร่


   เขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ อย่างชำนาญ ตลอดทางถ้ามีพนักงานสวนผ่านก็จะทักทายอย่างเป็นกันเอง ก็มีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นดีเหมือนกันนี่นา นึกว่าพอเป็นนักร้องแล้วจะทำตัวหยิ่งใส่คนอื่นไปทั่ว กลายเป็นผมเองมากกว่าที่มองเลยผ่านไม่สนใจคนรอบข้าง


   ห้องที่ติดป้ายกระดาษแผ่นใหญ่ว่า DIX คือจุดสุดท้ายของการเดิน สมกับเป็นร้านหรูมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเตรียมไว้ให้ครบครันอยู่ภายใน ผมวางของใช้ที่จำเป็นลงบนโต๊ะหน้าโซฟาขนาดใหญ่ กวาดสายตาสำรวจรอบห้องไปเรื่อยเปื่อย


   "อยากกินอะไรหน่อยไหม?" สิปป์ถามขณะที่อยู่หน้าตู้เย็น เขาเปิดให้ผมเห็นเครื่องดื่มรวมถึงของกินเล่นบางอย่างเรียงต่อกันจนไม่มีพื้นที่ว่าง สวัสดิการก็ดีเยี่ยมไม่แพ้รสนิยมของคนตกแต่งห้อง


   "ไม่ล่ะ"


   ก่อนออกมาผิงเตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ให้ บอกว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้ผมประสบความสำเร็จในวันนี้ จะไม่กินก็ไม่ได้ ผมชอบฝีมือผู้ชายผมสีชมพู (ผิงเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นชมพูแล้ว) นี่นา

***
ต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2

   "ตื่นเต้น?"


   "นายต้องได้เห็นดินเนอร์คอมโบที่ผิงทำ"


   "จะตกใจถ้าตอบว่าตื่นเต้น"


   "นี่มองว่าผมเป็นตัวอะไรเนี่ย"


   "หนังสือลิมิเต็ดที่ไม่ยอมให้อ่านสักที"


   เขาเดินมานั่งข้างๆ ผม อ้อมแขนมาโอบไว้หลวมๆ จากด้านหลัง มืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อดังที่เปิดฝาแล้วไว้


   "กินอะไรตามไปด้วย เดี๋ยวอ้วกหรอก" เตือนไว้ก่อน การกินเครื่องดื่มพวกนี้ตอนท้องว่างมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ "นี่กินไปแค่มื้อกลางวันล่ะสิ"


   หน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกรวมถึงพนักงานไร้เงินเดือนทำให้ผมรู้สภาพชีวิตทั่วไปของเขามากพอควร สิปป์ไม่กินข้าวเช้าเพราะตื่นทีก็เกือบเที่ยง กินเสร็จไม่ขังตัวอยู่ในห้องทำงานที่อยู่ถัดจากห้องนอนก็ลงมาหาเรื่องใช้งานผมไปเรื่อย จะกินอีกทีก็ช่วงห้าทุ่มเที่ยงคืนนู่น ตอนที่ท้องร้องประท้วงนั่นแหละ ถ้าวันไหนผมอยู่ร้านดึกก็จะได้รับคำสั่งให้ไปลากสิปป์สเตอร์ลงมากินมื้อเย็นไม่ก็ออกไปหาอะไรง่ายๆ แถวนั้น คนร้านนี้เลี้ยงผมดีอย่างที่มองตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกว่าแก้มมันเริ่มพองมากเกินไปทุกที


   "ปกติ"


   "แล้วจะรอดู"


   ผมปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเริ่มทำให้ตาแห้งไปหมด การที่ใส่แว่นแล้วไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องการน้ำตาเทียมสักหน่อยนี่นา


   เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเก่งมาเปิดหาสิ่งที่ต้องการ ผมไม่แน่ใจว่าก่อนออกจากห้องตัวเองเก็บน้ำตาเทียมลงกระเป๋าแล้วรึยัง เมื่อวันก่อนนั่งทำงานดึกไปหน่อยเลยหยิบมาใช้แล้วทิ้งไว้หน้าโต๊ะทำงาน


   นั่นไง ไม่ได้เอามาจริงด้วย


   "หาอะไรอยู่"


   "นายมีน้ำตาเทียมไหม?"


   "เป็นอะไร เจ็บตาเหรอ"


   เขารีบวางเครื่องดื่มในมือลง ดึงแว่นตากรอบใหญ่ของผมออกแล้วใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผม ไอ้ผมมันคนสายตาสั้นเกือบเจ็ดร้อย พอไม่มีเครื่องมือที่ช่วยเปิดโลกให้แล้วก็กลายเป็นคนตาบอดไปเลย ตลกดี ทำไมผมยังเห็นหน้าของเขาชัดเจนทุกรายละเอียดได้ขนาดนี้ล่ะ


   ชัดเจนอย่างที่เห็นว่ามีเงาตัวเองสะท้อนกลับมาจากนัยน์ตาสีดำขลับของเขา


   "ฝุ่นเข้าตาเหรอ ก็ไม่มีนะ"


   "..."


   "หรือว่าแพ้อะไรรึเปล่า อาหารที่กินไปเมื่อกี้มีอะไรบ้าง"


   "เปล่า แค่ตาแห้งน่ะ"


   รีบอธิบายก่อนที่การคาดเดาจะไปไกลกว่านี้ เขารับทราบด้วยการตอบรับในลำคอพลางทัดผมให้เรียบร้อยไม่ยุ่งเหยิง จะโดนจับเนื้อต้องตัวกี่รอบมันก็ยังไม่ชินสักที เขาไม่รู้ตัวหรือไงว่าการสกินชิปที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันทำให้ใจผมเต้นระส่ำมากี่สิบรอบแล้ว


   "อยากได้ใหม่ไหม เดี๋ยวฝากคนอื่นซื้อมาก็ได้"


   "ไม่อะ นิดหน่อยเอง"


   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีอะไรถึงฮัมเพลงไม่ยอมหยุด "งั้นหลับตาลง"


   "หืม?"


   "หลับตาครับ"


   "จะกล่อมให้หลับเหรอ" ขอแค่ให้ได้เถียงกลับไปผมก็พอใจแล้ว เปลือกตาของผมเคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ ตามคำสั่งของเขา


   มือสองข้างยังคงอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเสียงลมหายใจที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมีสัมผัสแปลกปลอมบางอย่างอยู่ที่เปลือกตา


   ...ริมฝีปากของเขา


   สั่งให้ตัวเองอย่าหวั่นไหวไปกับการกระทำนั้น ถึงจะพูดไปอย่างนั้นหัวใจไม่รักดีกลับเพิ่มจังหวะการบีบตัวให้เร็วขึ้นจนน่ากลัว ผมถึงบอกว่าผมเกลียดเขาไง ผู้ชายร้ายกาจที่มีแรงดึงดูดมหาศาลจนน่ากลัว เขากำลังล่อผมให้ตกอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนยากที่จะหาทางออก


   สิปป์โหมดอบอุ่นมันก็ดีอยู่หรอก


   แต่ผมก็ชอบโหมดตัวร้ายของเขามากกว่า


   คราวนี้ไม่มีใครเข้ามาเห็นช็อตเด็ดแสลงใจ ผมจะต้องขึ้นแสดงตอนสามทุ่มครึ่งและตอนนี้ก็สามทุ่มยี่สิบแล้ว เรากำลังเตรียมตัวอยู่ด้านหลังของเวทีขนาดย่อม จากการกวาดสายตามองผู้ชมคร่าวๆ แล้ววงของสิปป์ต้องมีชื่อเสียงอยู่พอตัวอย่างที่พีทเคยบอก กว่าจะเห็นพื้นที่โล่งให้หายใจได้ก็เกือบด้านหลังสุดของฟลอร์เข้าไปแล้ว ส่วนมากเป็นสาวสวยมากหน้าหลายตา จะเห็นส่วนสูงของผู้ชายโดดเด่นขึ้นมานับหัวได้เลย


   "นิช"


   "ว่าไง" ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนจำนวนมากผมเลยต้องใช้เสียงดังกว่าปกติ


   "ขอกำลังใจหน่อย"


   ขอมองแรงใส่จะดูชัดเจนไปไหมนะ ผมปั้นหน้าให้นิ่งสนิทเอียงคอเล็กน้อยทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด วันนี้น้ำก็ยังคงทำตัวเป็นลูกแมวไร้แม่ที่คอยหวงคนเลี้ยงอยู่เหมือนเดิม เขาแทบไม่ยอมห่างจากนักร้องนำของวงเลยตั้งแต่ผมเห็นหน้า


   "ตรงนี้"


   โอเค กรอกตาบนไปให้จบๆ เรื่องเลยดีกว่า ส่วนสูงของผมกับเขาต่างกันมากพอสมควร โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ชอบกินนมตั้งแต่เด็กแล้วยังเกลียดการออกกำลังกายอีกต่างหาก ผมสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าเพราะงั้นเขาน่าจะสูงร้อยแปดสิบสี่ถึงร้อยแปดสิบห้า สิปป์ย่อตัวลงมาเพื่อให้ 'ตรงนี้' หรือปากของเขาตรงกับผม นั่น มีการแตะนิ้วย้ำแถมยังยิ้มยั่วอีก เกลียดความดูดีทุกการเคลื่อนไหวของเขาจริงจังให้ตายเถอะ!


   "ไม่"


   "นะครับ" เพิ่มออฟชั่นด้วยการก้มตัวลงต่ำอีกนิดแล้วช้อนตาขึ้นมา ประกายแวววับจากดวงตาเล่นเอาผมร้อนวูบทั้งที่อากาศเย็นฉ่ำ ยิ่งตอนที่เขาฉีกยิ้มอีกนิดแล้ว...


   นี่มันสถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเจอมา


   "ดิซ เตรียมตัวได้แล้ว"


   "นะ..."


   เขาไม่สนใจเสียงเรียก ใช้เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอนร้องขอผมอีกครั้ง


   "นิดเดียวก็ยังดี"


   ผู้ชายคนนี้รู้จักวิธีการใช้ร่างกายของตัวเองเป็นอาวุธอย่างดีเลยล่ะ เขารู้จักวิธีบังคับควบคุมเสียงอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้เสียงเพื่อแสดงความรู้สึกเลย แค่ควบคุมให้สติอยู่กับตัวเองตลอดเวลาไม่เตลิดไปตามการชักจูงของจอมวายร้ายก็ยากเกินไปแล้ว อีกอย่างคือผมเองไม่มีสิทธิต่อรองอะไรมากขนาดนั้นเพราะถ้าเขาอยากได้อะไรก็บังคับให้ผมทำให้เขาจนได้


   อ้อ อย่าคิดว่าผมจะก้มลงไปจุมพิตตัวร้ายด้วยความเต็มใจอะไรขนาดนั้น ก็แค่จูบมือตัวเอง เอาไปประทับไว้ตรงที่เขาต้องการแล้วดึงออกในเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง


   "คุณมันร้าย รู้ไหมสิปป์" ผมเอ่ยด้วยความเอือมระอาเต็มที่


   สิปป์หัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบผม "รู้ดีเลยล่ะ"


   "นี่ ขึ้นเวทีไปได้แล้ว"


   เสียงไม่สบอารมณ์แทรกเข้ามาในระหว่างการสนทนา ตัวร้ายตามที่ผมตั้งฉายาให้พาร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขึ้นเวทีไปอย่างคุ้นเคย ผมปล่อยให้น้ำกับพีทเดินตามไปก่อนแล้วจึงค่อยเป็นคนปิดท้าย เสียงกรี๊ดดังสนั่นเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ สมัยเปิดวงกับที่หนึ่งมันยังเป็นแค่วงในโรงเรียนธรรมดาทั่วไป พอมาเจอของจริงอย่างนี้แอบประหม่าอยู่เหมือนกันแฮะ


   พาตัวเองไปอยู่หลังเครื่องดนตรี ตรวจเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์จนครบ ตรงพื้นที่ของผมถูกยกให้สูงขึ้นกว่าตำแหน่งอื่นเล็กน้อย ผมเลยเห็นภาพโดยรวมได้สะดวกขึ้น บริเวณฟลอร์ถูกจับจองจนแน่นไปทุกส่วน เสียงตะโกนเรียกชื่อสมาชิกในวงตีกันวุ่นวายไปหมด


   "Are you ready?"


   แค่คำสั้นๆ ที่ออกไมค์ก็ได้รับการตอบรับถล่มทลาย สิปป์หันมายิ้มหวานให้ผมตอนที่พูดคำต่อไป "Welcome to MYWORLD"


   พระเจ้าครับ


   ผมควรซ่อนตัวอยู่ตรงไหนถึงจะไม่โดนดูดไปอยู่ในโลกของเขาเหรอครับ



≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ผ่านครึ่งทางของการแสดงไปโดยสวัสดิภาพ ผมเป่าลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขอบคุณร่างกายของตัวเองที่ขยับทันความคิดที่ไปก่อนแล้ว ตอนเพลงแรกกับเพลงที่สองมันก็ตามที่ซ้อมอยู่หรอกแต่พอเพลงที่สามเท่านั้นแหละ จังหวะจากเครื่องซินธ์ (Synth) ที่ต้นน้ำเล่นมันก็เริ่มรวนไปหมด และผมก็ไม่ใช่คนดีพอที่จะคิดว่ามันคงเป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิค


   "ไหวนะ"


   "ช่วยกลับไปบอกคนของนายให้มีความเป็นมืออาชีพกว่านี้หน่อย" ผมบอกกลับไปตามตรง ความรู้สึกเหมือนการทำรายงานที่ตัวเนื้องานไม่ได้ยากอะไรเลยมีแค่คนร่วมงานที่ทำตัวมีปัญหาตลอดเวลา


   "คนของฉัน?"


   "คนที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนของนาย" แก้คำพูดก็ได้ ไม่เห็นต้องมาทำท่าไม่พอใจใส่เลย


   "ไม่ไปบอกเองล่ะ"


   "ไม่อยากเสวนาด้วย"


   นั่นออกมาจากเบื้องลึกของใจ ผมโคตรอารมณ์ไม่ดีในตอนนี้ อยากจะเหวี่ยงใส่เครื่องตีจนหายหงุดหงิดแต่ก็กลัวทำพังไปเสียก่อน มันคงเป็นการเดบิวท์ที่ไม่น่าประทับใจมากเท่าไหร่


   "เดี๋ยวจบงานจะคุยให้ โอเคไหม"


   "คุยแล้วต้องเคลียร์นะ ถ้าไม่จบฉันจะเข้าไปจัดการเอง"


   "สัญญาเลย"


   เขายกมือขึ้นทำท่าวันทยาหัตถ์สามนิ้วแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ความไม่เข้ากันของนักร้องใต้ดินที่ร้องเพลงเนื้อหาเสียดสีสังคมกับท่าสัญญาแบบเด็กมัธยมช่วยให้ความขุ่นมัวในใจของผมลดลงไปนิดหน่อย ย้ำ นิดหน่อย ทางเดียวที่ผมจะกลับไปอารมณ์ดีตามเดิมได้คือพวกลอบกัดจะต้องได้รับอะไรคืนไปก่อน


   "กลับไปเหอะ พีทหันมามองหลายรอบแล้ว"


   ตอนนี้มือเบสของวงกำลังพูดคุยทักทายผู้ฟังเป็นการชั่วคราวอยู่


   "อืม ฝากนี่หน่อย"


   "เฮ้ย!"


   ผมอยากได้วิธีรับมือกับสิปป์สเตอร์


   หลังจากที่เขาตอบผมว่าจะกลับไปครองไมค์ สิปป์ก็จัดการถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วโยนมาทางผม เสียงฮือฮาตามมาไม่มีหยุด ตอนนี้พีทหมดความน่าสนใจแล้วครับ ทุกคนมุ่งความสนใจมาที่ร่างเปลือยท่อนบนของนักร้องนำหมดแล้ว


   นอกจากในรูปที่ผมเคยวาด นี่เป็นครั้งแรกกับการได้เห็นกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่แบบเต็มตา (บางครั้งที่เข้าไปปลุกสิปป์ก็ใส่เสื้อแบบผู้คนปกติ) เขามีซิคแพกเรียงตัวสวยไม่แพ้นายแบบในนิตยสารเลย ผิวขาวเมื่อต้องกับแสงไฟที่สาดส่องมายิ่งเพิ่มความคมชัดจนเหมือนกำลังเอาดินสอสองบีถมดำลงไป


   "ดิซครับ คุณมึงจะช่วยเหลือพื้นที่ให้กับผู้ชายตัวเล็กๆ แบบผมหน่อยได้ไหม"


   เจ้าของชื่อที่แปลว่าสิบในภาษาฝรั่งเศสหันไปยักคิ้วให้เพื่อนร่วมวง เขายังคงยืนอวดบอดี้อยู่ตรงหน้าราวกับกำลังทดสอบความอดทนของผมอยู่


   "ที่รัก..." แม้อยู่กลางฝูงชนเขาก็ยังกล้าเรียกผมด้วยชื่อนี้ "ผมมีทางเลือกให้คุณสองทาง หนึ่งคือแลกเสื้อกับผมดีๆ หรือจะผมถอดให้คุณเอง"


   มันเรียกว่าทางเลือกตรงไหนวะ!


   แยกเขี้ยวขู่ฟ่อโดยพลัน "ไม่ทั้งนั้น!"


   อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านกับอาการที่ผมแสดงออกสักนิด เขาโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว


   "ผมมีสถิติอยู่ที่เจ็ดวินาทีในการทำคิสมาร์ค..." เสียงติดแหบอย่างคนใช้เสียงมากทำเอาผมขนลุกเกรียว "ทางเลือกที่สามคือผมพร้อมทำลายสถิติเดิมของตัวเองลงบนคอขาวๆ ของคุณตอนนี้เลย"


   "!"


   "นับหนึ่งถึงห้า"


   "ฮึ่ม..." ผมกัดฟันกรอด อยากจะยกไม้ขึ้นฟาดลงบนผิวเนียนที่ประชิดตัวให้ขึ้นรอย


   "ว่าไง เสื้อกล้ามบางๆ แถมยังเว้าไปถึงไหนไม่รู้ของคุณมันทำผมไม่สบอารมณ์มามากพอแล้ว" 


   เขามันจอมวายร้าย...


   "ห้า"


   เริ่มนับเร็วไปไหมล่ะ!


   "สี่"


   เขานับต่อไปอย่างต่อเนื่อง


   "สาม"


   เพิ่งสามแล้วมายุ่งกับชายเสื้อของผมทำไมเฮ้ย


   "สอง"


   ไม่ต้องอ้าปากท้วงอะไรทั้งนั้นเสื้อของผมก็เลิกไปครึ่งตัวแล้ว สุดท้ายเขาจะให้ข้อเสนอผมทำไมในเมื่อตัวเองมีคำตอบไว้ในใจแล้วน่ะ เสื้อกล้ามตัวเล็กหลุดออกจากตัวไปแล้ว สิปป์สวมเสื้อตัวใหญ่ที่กลายเป็นพอดีกับตัวเขาอย่างรวดเร็ว โชคดีคือกลองตัวใหญ่ยังคงบังร่างกายไว้เกือบหมด พอตัวเองพอใจแล้วถึงหันมาใช้สายตาสั่งผม


   "เหม็นเหงื่อ"


   ไม่ได้ล้อเล่นนะ เสื้อของเขาชุ่มเหงื่อไปหมดเลย


   "ต้องใส่ให้ด้วยใช่ไหม?"


   แล้วก็ต้องทำตามความต้องการของเขาอีกครั้ง ผมรีบสวมเสื้อลายแปลกด้วยความไวแสง


   "เด็กดี"


   อยากย้อนเวลาได้ชะมัด


   จะย้อนกลับไปเลี้ยงน้องด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ เพราะตอนนี้กฎของนิวตันว่าด้วยแอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่นถูกพิสูจน์ให้ผมเห็นจนกระจ่างเลยล่ะ


   "หน้าด้าน"


   ระหว่างที่สิปป์โดนพีทเรียกไปตอบคำถามแฟนเพลง สมาชิกอีกคนที่เหลือก็ทำทีเดินมาหยิบน้ำในกระบะที่อยู่ถัดไปจากเวทีกลอง


   ผมขยับแว่นให้ขึ้นไปอยู่บนสันจมูกตามเดิม เหงื่อที่ถูกขับออกมาจากร่างกายทำให้ความสามารถในการเกาะน้อยลงจนน่ารำคาญ


   "อย่าคิดว่าพิเศษ ดิซเขาขี้เบื่อ"


   ตอนแรกก็ตั้งใจว่าวันนี้จะยังไม่เปิดศึกอะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นการเริ่มทำงานวันแรกเราก็ควรเจอแต่สิ่งดีๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเขาเสนอตัวมาให้ถึงที่เราก็ควรสนองหน่อยจริงไหม


   "ความจริงผมไม่เคยคิดไปเองว่าตัวเองพิเศษหรอกนะ"


   ทำทีเป็นกระพือคอเสื้อไล่ความร้อน เขาคงไม่ความจำสั้นขนาดไม่รู้ว่าเสื้อที่ผมใส่อยู่เป็นของใคร ใบหน้าของอีกฝ่ายถมึงตึงขึ้นมาทันตา ผมเลยโต้กลับไปด้วยรูปแบบเกมส์ที่ถนัดที่สุด


   ผมส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยรอยเวทนาไปให้


   "มันคือเรื่องจริงต่างหากที่ผม 'พิเศษ' กว่าคุณเยอะ"



***
   อากาศหนาวนี่ไปไวมาไวดีนะคะ ยังหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ไม่ครบเลยค่ะ อยากเอนจอยกับแฟชั่นฤดูหนาว (ที่ไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะมีอีก) มากกว่านี้จัง (ร้องไห้)
   ตามที่บอกไว้ว่าจะพาพี่นิชมาเบรคอารมณ์ค่ะ แล้วเสาร์น่าจะลงพาร์ทเวลได้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าสิปป์เป็นคนที่พูดคำว่า 'ที่รัก' แล้วเขินมาก เวลาพิมพ์ทีไรรู้สึกอิจฉาพี่นิชเสียเหลือเกินค่ะ (หัวเราะ) หลังจากผ่านมาสามตอนก็สรุปได้ว่าแต่งพี่นิชไม่ยากเท่าแต่งที่หนึ่งจริงๆ ค่ะ (ปาดน้ำตา) หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ คุณแม่นิชของน้องโรมทำไมทำกับเจ้าอย่างนี้นะ...
   ช่วงนี้เจ้าซุกตัวอยู่แต่ในผ้าห่มบนเตียงมีคอมอยู่ตรงหน้าตักทั้งวันเลยค่ะ (ฮา) ดูแลสุขภาพกันเยอะๆ นะคะ กอดดด
   วันเสาร์เจอกันใหม่นะคะ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
กรี๊ดดด สิปป์ นิชน่ารักอ่ะ อยากอ่านต่อจัง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
«ตอบ #282 เมื่อ30-01-2016 21:35:55 »

บทที่ 15

[Side : เวลา]

   ในโลกที่ช่องทางการสื่อสารมีมากมายจนนับไม่ถ้วน เราสามารถเป็นเพื่อนกับใครสักคนบนโลกนี้ได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ต่างกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่ออะไรก็ได้ แต่งเติมตัวตนให้เป็นตามที่ต้องการ ผมและ 'ใครคนนั้น' เป็นเพื่อนในแชตออนไลน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ รู้แค่เราคุยกันได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา และเราสบายใจที่จะอยู่ในสถานะนี้


   Night_ : อยากหนีไปที่ไหนก็ได้


   แชตแรกของวันดูต่างจากทุกที ผมกดเข้าไปดูหน้าโฮมของอีกฝ่ายเผื่อว่าจะเจอเบาะแสอะไรบ้างแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า


   NaTime : เกิดอะไรขึ้น
   NaTime : เจอเรื่องอะไรมา

   Night_ : หลายอย่าง

   NaTime : อยากเล่าไหม?

   Night_ :  เล่าไม่ได้...

   NaTime : ผมก็เจอเรื่องแย่มาเหมือนกัน
   NaTime : ถ้าหนีไปไกลๆ ได้ก็ดีเนอะ

   Night_ : ไปไหมล่ะ?



   "…"

   มันเป็นการชวนที่เรียบง่ายจนชวนให้สะดุด ถึงตามข้อมูลเบื้องต้นผมและอีกฟากฝั่งคุยกันอย่างนี้มานานแล้วแต่สิ่งที่ต้องเน้นคือเรารู้จักกันแค่ในโลกสมมติ ในโลกแห่งความเป็นจริงเราอาจไม่เคยหายใจอยู่ในพื้นที่เดียวกันเลยก็เป็นได้

   เปลี่ยนจุดโฟกัสจากหน้าจอการสนทนาเป็นแผ่นกระดาษขนาดเอห้าที่ปักไว้ตรงกระดานไม้เหนือหัวเตียง มันมีรอยหมึกอยู่ไม่ถึงสี่บรรทัดดีเมื่อรวมกับท้ายกระดาษที่ผมลงชื่อตัวเองไว้ ข้อความที่ตั้งใจว่าจะส่ง...และคงทำได้แค่ตั้งใจ

   มันสอนให้ผมตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด


   NaTime : แล้วเจอกัน
 



   ถ้าให้นิยามผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม คำแรกคือ สวย แต่คำที่ตามมาคือ สวยแบบแปลกๆ ผิวขาวเกือบซีดตัดกับเรือนผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ยามต้องกับแสงไฟกลับออกเป็นสีเทาเคลือบ คิ้วเรียงตัวสวย จมูกเชิดดูรั้นเข้ากับริมฝีปากที่เอ่ยออกมานับคำได้ สิ่งที่เหมาะกับนิยามคำว่าสวยแปลกๆ ที่สุดคือนัยน์ตาสีดำนั่น สีดำที่มองลึกเข้าไปแล้วพบก็เพียงแต่ความว่างเปล่า

   ที่ใครเคยนิยามว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจคงใช้กับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้

   “ผมชื่อเวลา จะเรียกเวลก็ได้”

   เลือกที่จะเปิดบทสนทนาแบบเป็นทางการด้วยการแนะนำตัวเอง ในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้านก็ควรที่จะบอกให้รู้รายละเอียดขั้นพื้นฐานบ้าง ไม่เคยมีใครรู้ว่าเหตุผลคืออะไรผมเลยได้ชื่อที่ดูประหลาดอย่างนี้เป็นชื่อเล่น และผมก็เลิกใส่ใจที่จะตามหาคำตอบมาตั้งนานแล้ว

   เธอไม่หลบสายตาหรือแสดงอาการประหม่ายามตอบกลับ “ซิน”

   “ซินเดอเรลล่า?”

   “คนบาป S-I-N” เธอคงเห็นผมมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลยพูดต่อ “ก็เหมาะกับฉันดี”

   เอาล่ะ นอกจากจะสวยแปลกแล้ว ความคิดก็แปลกด้วย ผมค่อนข้างตกใจตอนที่เธอชวนหนี แล้วยิ่งพอมาบอกว่าตัวเองเหมาะกับชื่อว่า ‘คนบาป’ นี่ผมควรแปลกใจคูณสองสินะ

   “แล้ว หนี...”

   “ไม่ได้หนีออกจากบ้าน” เธอชิงตัดบทขึ้นก่อน

   “ก็ไม่ได้บอกว่าหนีออกจากบ้าน”

   กระเป๋าเดินทางที่ยังคงอยู่ข้างตัวบอกได้ มันเป็นกระเป๋าขนาดกลางที่ทำให้คล่องตัวในการเดินทาง คาดคะเนแล้วคงอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ คงเล็กไปสำหรับคนที่หนีออกจากบ้าน อย่างที่ผมบอก เธอไม่มีอาการกระสับกระส่ายหรือหวาดระแวงใดๆ มันทำให้ผมทำได้แค่ยอมรับว่าเธออาจแค่ต้องการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เข้าเค้าเลยสักนิด

   “ก็เห็นตอนแรกบอกหนี” ที่เธอบอกว่าหนีไปที่ไหนก็ได้ “นึกว่าหนี...ใคร”

   เหมือนกับที่ผมเลือกเดินออกมา

   “หนีความจริง”

   “...?”

   “ฉันหนี ‘ความจริง’ มา”

   แค่ประโยคเดียวของเธอกลับทำให้ผมชะงัก หัวใจกระตุกวูบแบบไม่มีสาเหตุ ผมเหมือนเด็กที่กำลังบอกคุณครูว่าไม่ได้แอบกินขนม ทั้งๆ ที่ยังมีร่องรอยปรากฎอยู่ชัด

   ริมฝีปากของเธอเริ่มขยับอีกครั้ง เมื่อเห็นผมตกอยู่ในห้วงความคิด ภาพของผู้หญิงอีกคนทับซ้อนขึ้นมากับคนตรงหน้า

   “ความจริงที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็รู้ดีว่าหนีไม่พ้น”

   ไม่มีรอยยิ้มล้อเลียน ไม่มีน้ำเสียงหยอกเย้า แต่เมื่อมองลึกลงไปในนัยน์ตาที่ว่างเปล่า สีดำราวรัตติกาลเหมือนกำลังบอกว่า

   ฉันรู้ว่าคุณก็หนีความจริงมาเหมือนกัน

 

   เสียงล้อเบรคกระทันหันแล่นเข้ามาในโสตประสาท ตามด้วยเสียงโครงเหล็กกระแทกกับรั้วคอนกรีตดังสนั่น ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที ผมมองกลุ่มควันสีเทาลอยจากเครื่องยนต์เหล็กขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วทำได้เพียงยืนนิ่ง

   “...!!!”

   เสียงที่คุ้นเคยกรีดร้องสุดเสียง มือที่กอบกุมมาตลอดตั้งแต่จำความได้สะบัดออกอย่างแรง ราวกับเป็นสัญญาณของการบอกลา ผู้หญิงคนนั้นวิ่งตรงไปอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนไม่น้อยกรูเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุเช่นกัน แต่สายตาของผมก็ไม่อาจหันเหไปที่อื่นได้เลย มันเป็นคำตอบที่ชัดเจนเหลือเกิน

   เธอวิ่งออกไปแล้ว

   ...วิ่งออกไปจากหัวใจผมตลอดกาล

   “!”

   เสียงริงโทนที่คุ้นเคยปลุกประสาทของผมให้ตื่นตัวเต็มที่ สายตาที่ยังไม่คุ้นชินกับความมืดค่อยๆ ปรับให้เข้าที่ พลางสอดส่องหาที่มาของเสียง โทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงส่งเสียงร้องจนถึงตอนที่ผมหยิบมันมาไว้บนมือ หน้าจอแสดงชื่อและรูปภาพที่ผมกำหนดไว้ รูปที่ผมยืนอยู่กับใครอีกสองคน...

   ยังไม่อยากรับ แต่ไม่รับก็ไม่ได้ ผมเลยทำได้แค่เพียงรีบสไลด์กดรับเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นภาพนั้นอีก

   “ว่าไง”

   (กลับเมื่อไหร่?) นั่นเป็นข้อดีของปลายสาย ไม่เคยถามอะไรซอกแซก พูดให้ถูกคืออีกฝ่ายรู้อยู่แล้วเลยไม่ต้องถามต่างหาก

   “ไม่มีกำหนด มีอะไรเร่งด่วนรึเปล่า”

   (ยัยนั่นถามหา)

   เคยบอกตัวเองว่าจะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมแต่เพียงแค่ได้ยินชื่อก็พาลจะหมดแรงเสียแล้ว ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับเสียงให้ไม่มีพิรุธก่อนจะตอบไป

   “ก็บอกไปว่าออกไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แล้วกัน”

   (คงเชื่อ...)

   “ถ้าบอก ยังไงก็เชื่อ”

   (อืม แล้วก็อย่าลืมของฝากนะ)

   ยามที่ปลายสายดัดเสียงให้เล็กลงเพื่อล้อเลียนบุคคลที่สามในบทสนทนาทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย

   “หึหึ ไม่ลืมอยู่แล้วครับผม”

   (ดูแลตัวเองด้วย)

   “ครับ”

   (กลับเมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวไปรับ)

   ปลายสายวางทันทีที่จบคำสุดท้าย ผมปรับโทรศัพท์ให้อยู่โหมดรักษาพลังงานแล้วโยนเข้าไปในลิ้นชักข้างหัวเตียง ล้มตัวลงกับเตียงใหญ่อีกครั้ง ลมหายใจถูกถอนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

   ความจริงที่หนีไม่พ้น

   คำพูดของเธอวนเวียนไปมา ยอมรับว่าซินมีอิทธิพลต่อความคิดของผมอย่างมากในเวลานี้ เราไม่เคยรู้จักกัน ผมแน่ใจในข้อนั้น แต่สิ่งที่เธอเอ่ยออกมามันเหมือนเธอรู้ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่

   ใช่ ผมเป็นฝ่ายที่ไม่ถูกเลือก นั่นคือ ‘ความจริง’ ที่เกิดขึ้น และบอกเลยว่าผมไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้น มองดูความรักของตัวเองมีความสุขกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย ในวันที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรในหัวใจเธออีก

   “แย่ล่ะ”

   สายตามองตรงไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ริมห้อง เข็มสั้นชี้ตรงเลข 10 ผมแยกกับเธอประมาณห้าโมง นัดว่าจะพาเธอออกไปทานอาหารเย็นกันตอนทุ่มหนึ่ง แต่คงเป็นเพราะเดินทางมาตั้งแต่เช้า ทำให้ผมเพิ่งตื่นจากความฝัน วันแรกก็แสดงความน่าประทับใจเลยแฮะ

   ซินไม่อยู่ในห้องนอน ไม่มีวี่แววอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่ากลัวเธอเป็นสิบแปดมงกุฏอะไรหรอก เพราะกระเป๋าก็ยังคงอยู่ในห้อง แต่ผมกลัวเธอออกไปไหนแล้วหลงทางต่างหาก บ้านนี้ลึกเข้าไปในหุบเขาพอสมควร คนที่เพิ่งมาครั้งแรกหากออกไปข้างนอกโดยไม่มีคนคุ้นทางไปด้วยอาจหลงทางได้ง่ายๆ

   ลองเดินทั่วบริเวณบ้านอีกครั้งก็ไม่มีวี่แวว จนกระทั่งผมเดินไปด้านหลังของตัวบ้านที่ยื่นออกไปเป็นระเบียงขนาดใหญ่ เลยพบคนที่ตามหากำลังนั่งอยู่บนชุดเก้าอี้หวาย เรือนผมสีดำที่ไม่ได้มัดไว้ปลิวตามลม ออกไปทำอะไรตรงนั้น?

   แปลกนะ สิ่งที่กั้นขวางผมไว้กับระเบียงภายนอกมีเพียงกระจกใส แต่ความรู้สึกของผมกลับบอกว่าตรงหน้าคือกำแพงขนาดใหญ่ บางอย่างบอกว่าผมไม่ควรล้ำเข้าไปในโลกของเธอ อย่างไรก็ตามอากาศของบ้านกลางหุบเขาตอนกลางคืนไม่ได้เหมาะกับการนั่งเรื่อยเปื่อย เมื่อคิดอย่างนั้นบวกกับผมควรไถ่โทษที่ผิดคำนัด กลับเข้ามาหาสิ่งที่ต้องการบริเวณห้องครัว ผมบอกคนดูแลบ้านไว้ล่วงหน้า มันเลยมีของกินจุกจิกอยู่ไม่น้อย บางชิ้นที่มีร่องรอยการเปิดคงจะเป็นฝีมือของเธอ 

   มือข้างหนึ่งคว้าน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ไว้สองกระป๋อง อีกข้างอุ้มผ้านวมผืนใหญ่ ผมเปิดกระจกบานเลื่อนให้เบามากที่สุด วางเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะกลมขนาดย่อมที่คั่นกลางเก้าอี้หวายสองตัวเอาไว้

   “ข้างนอกมันหนาวนะ”

   “ขอบคุณ” มือซีดยื่นมือมารับผ้านวมสีหวานที่ผมยื่นให้

   “ขอโทษที่ไม่ตื่น”

   “เดินทางมานานมันก็เหนื่อย”

   นั่นคงเป็นประโยคบอกว่าเธอไม่ได้ติดใจอะไร ไม่มีใครพูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงลมพัดเป็นดนตรีบรรเลงไปมา ผมยกเครื่องดื่มที่วางไว้ขึ้นจิบรสชาติ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายร้อนขึ้นมาบ้าง บอกแล้วว่าบ้านกลางเขามันหนาว

   หันกลับมามองคนขวาก็พบว่าผ้านวมผืนนั้นได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ซินเป็นคนตัวเล็ก และยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่เมื่อถูกห่อหุ้มด้วยผ้าปุยนุ่น สายตาของเธอจ้องตรงไปยังสมุดสีดำเล่มหนาบนตัก ตวัดตัวอักษรไปมาโดยไม่มีหยุดพัก จากมุมนี้มองได้ชัดเจนว่ากระดาษสีขาวได้รับการรังสรรค์จำนวนมากเพียงใด สมัยนี้ยังมีคนเขียนไดอารี่อยู่ด้วยเหรอ

   เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในโลกของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ผมที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาจากข้างในบ้านเลยทำได้แต่มองทิวทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย คืนนี้ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวงแต่สายตาผมก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัด รั้วต้นไม้ถูกตัดแต่งอย่างดีแสดงถึงความใส่ใจ หากมองลึกเข้าไปก็จะพบกับสวนผลไม้หลายหลายสายพันธุ์ที่ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมของเจ้าของพื้นที่

   มองมุมระนาบจนเบื่อเลยเปลี่ยนเป็นแหงนมองบนฟ้า ลมเย็นตีเข้าหน้าตลอดเวลาจนรู้สึกชาเล็กน้อย พื้นท้องฟ้าสีดำสนิทแซมไปด้วยเกล็ดละอองสีเงิน ความสวยงามที่พบเจอได้ยากมากในเมืองกรุง เกิดความคิดว่าเพราะอะไรมนุษย์ถึงพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ทั้งๆ ที่ความสวยงามอยู่ตรงหน้ามากมาย

   “ดาวอะไรส่องแสงสว่างมากที่สุด”

   แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะอะไรเธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน แต่ผมก็ตอบไป

   “เคยได้ยินว่าดาวเหนือนะ”

   “...ซิริอุสต่างหาก” นิ้วเรียวสวยชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า คาดคะเนบริเวณที่เธอบอกจะพบกับดาวดวงหนึ่งส่องสว่าง กลบรัศมีดาวน้อยใหญ่ในบริเวณนั้นไปสิ้น “บางคนก็เรียกว่าดาวโจร”

   “เทพเจ้าแห่งกองโจร?”

   “สุนัขต่างหาก”

   หันมาสบตากับคนที่ยังเจี้ยวแจ้วไม่หยุด “สุนัข?”

   “เลยมีอีกชื่อว่าดาวสุนัขใหญ่”

   เธอดูมีความสุขกับการได้บอกเล่าเรื่องราวของจุดสว่างบนท้องฟ้า และผมเองก็ไม่มีความรู้อะไรด้านนี้มากเท่าไหร่ ไม่สิ ไม่มีเลยต่างหาก ดังนั้นตามน้ำไปคงจะดีที่สุด

   “ซิริอุสเป็นสุนัขของโอไรออน โอไรออนเป็น ‘คนรัก’ ของอาร์เทมิส แต่เทพีแห่งพรหมจารีย์ไม่สมควรมีรัก เทพอะพอลโล่ที่เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ ฝาแฝดของเธอเลยวางแผนทำให้อาร์เทมิสฆ่าโอไรออนโดยเข้าใจผิด พอเธอรู้เรื่องทั้งหมดเลยเสกให้โอไรออนกับซิริอุสเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า”

   “มันก็แค่ก้อนหิน”

   “ก็อยู่ที่เลือกว่าจะเชื่อยังไง”

   เธอไม่ใส่ใจกับความไร้จินตนาการของผม สมุดสีดำเล่มโตถูกปิดลงแล้ว กระป๋องน้ำถูกยกขึ้นพิจารณาในระดับสายตาแทนที่

   “คุณเชื่อว่ามันเป็นสุนัข?”

   “ฉันแค่อิจฉาที่โอไรออนไม่เคยต้องอยู่คนเดียวต่างหาก”

   ซินเป็นคนแปลก นั่นคือทั้งหมดเท่าที่ผมสรุปได้ในเวลานี้

   “อิจฉาแม้กระทั่งก้อนหิน” ผมเย้ากลับไปขำๆ พยายามกลบใบหน้าของใครคนนั้นลงไปให้อยู่ในความทรงจำแบบเดิม คนที่กำลังมีความสุขกับใครอีกคน และเป็นผมที่ต้องอยู่คนเดียว

   “คนบาปก็ทำได้แค่นี้แหละ”

   “ก็ยังดีกว่าอิจฉาคนบางคนในชีวิตจริงนะ...”

   “มนุษย์” ริมฝีปากบางยกขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง “เลยมีความรู้สึก”

   “คุณบอกว่าคุณหนีความจริงไม่พ้น”

   “ใช่” คำตอบฉะฉานจนผมถามกลับ คำถามที่ไม่รู้ว่าถามเธอ หรือถามใจผมเอง

   “แล้วหนีทำไม?”

   “เพราะฉันเป็นมนุษย์”

   สั้น เรียบง่าย แต่ได้ความหมายชัดเจน ซินไม่เคยพูดยาวเยิ่นเย้อ ไม่แปลกใจเลยถ้าเธอจะถูกนิยามจากคนที่เพิ่งรู้จักกันว่าหยิ่งยโส ผมเคยคุยกับเธอผ่านแค่ตัวอักษรถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันมากเท่าไหร่เมื่อต้องมาพูดคุยกันโดยเห็นหน้าตาอย่างนี้ ผมกลับชอบที่เธอเป็นแบบนี้เสียอีก น้ำเสียงราบเรียบที่เหมือนกราฟเส้นตรงทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

   ...ยิ่งได้พูดคุยกับเธอยิ่งรู้ว่าไม่ควร ใจผมคิดถึงแต่ผู้หญิงอีกคน

   ผมไม่เคยโทษความมึนเมา ไม่โทษบรรยากาศ ไม่โทษเธอที่พูดอะไรแปลกๆ ผมโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความอ่อนแอครอบงำความรู้สึกทั้งหมด จนตัดสินใจพูดอะไรแบบนั้นออกไป

   “ถ้าบอกว่าหนีความจริงมา ตอนนี้ก็คงเป็นความฝันสินะ”

   ผมรู้ผมกำลังหลอกตัวเอง...

   “มาตกลงกันไหม เราสองคนจะอยู่ด้วยกันจนสิ้นสุดการหนี จากนั้นต่างคนต่างไป เรากลับไปเป็นคนที่คุยกันผ่านแชตแบบเดิม”

   แต่ตอนนี้ผมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญความจริง

***
มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
«ตอบ #283 เมื่อ30-01-2016 22:05:29 »


   “น้ำตก?"

   “ใช่ จากที่นี่ประมาณ 10 นาทีก็ถึง”

   “...”

   “ผมกลัวคุณเบื่อ”

   ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออก เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาชีวิตผมวนเวียนแค่ตื่นเช้ามากินข้าว กลางวันเข้าไปเดินเล่นในสวน สักสี่โมงก็เลาะไปลำธารข้างล่างดูเด็กๆ ของชาวบ้านเล่นน้ำ กลับขึ้นมาทานข้าวเย็นที่ทำเองบ้าง ฝากคนดูแลบ้านทำบ้าง นั่งเป็นเพื่อนซินอยู่ตรงระเบียงตอนกลางคืน แล้ววนกลับเหมือนเดิมในเช้าวันต่อมา

   ความตั้งใจแรกของผมตอนที่จะมาพักที่นี่มันรวมถึงทริปน้ำตกอยู่แล้ว แต่เพราะซินดูไม่ชอบออกไปข้างนอกมากเท่าไหร่ ผมเลยไม่กล้าที่จะชวนไปไหนมาไหน

   ตอนนี้สถานะของเราเป็น ‘คู่สัญญา’ เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอในคืนนั้น ซินก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ‘ตามนั้น’ ไม่มีถามเงื่อนไข ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไร เหมือนเธอไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความกลัวหรือความระมัดระวังเลยสักนิด

   ...ไม่รู้จัก หรือไม่มีอะไรให้ต้องกลัวไปมากกว่านี้ก็ไม่รู้

   “ไม่ได้เบื่อ ก็ไปได้”

   “งั้นอีกครึ่งชั่วโมงออกเดินทาง ไปเตรียมตัวได้เลย”

   ผมยิ้มให้เธอยามที่ตอบตกลง ซินพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องนอนของตัวเอง บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน ห้องรับรองแขกเลยได้หน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถอยู่ในเวลานี้ ผมไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอะไรมาก เมื่อออกมาแล้วยังพบว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกพอสมควร เดินออกไปเช็คสภาพเครื่องจักรยานยนต์ที่ปกติแล้วจะให้คนดูแลเอาไปขับเพื่อรักษาสภาพไว้ให้ทำงานได้ปกติ พอมั่นใจว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาดกลางทางก็พิงรถรอใครอีกคน

   ถ้าพูดตามตรงคือเราสองคนดูใช้ชีวิตได้เป็นปกติอย่างมาก ไม่มีความรู้สึกว่าเมื่อวันก่อนนั้นเราเป็นคนแปลกหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตื่นเช้ามาก็ช่วยกันทำอาหาร อย่างวันก่อนเธอก็ตามผมเข้าไปในสวน ตอนดึกก็นั่งเล่นอยู่ตรงระเบียง ซินไม่เหมือนคนที่กำลังหนี หรือถ้ากำลังหนีจริงๆ ก็เป็นคนที่ใจเย็นมากเลยทีเดียวล่ะ

   “นี่” เสียงเรียบแบบกราฟเส้นตรงเรียกสติผมกลับมา “เสร็จแล้ว”

   เธอไปเปลี่ยนจากเสื้อขาวเป็นเสื้อสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้นยังเป็นตัวเดิม นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อสังเกตที่ผมได้มา ซินเป็นผู้หญิงที่ใส่เสื้ออยู่แค่สามสี ขาว เทา ดำ แม้แต่การเลือกเสื้อผ้าก็ยังแปลกในความรู้สึกผม ไม่รู้สิ ถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วไปก็คงเลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสมากกว่าสีที่ดูเหมือนไว้ทุกข์ตลอดเวลาอย่างนี้

   “มอ’ไซต์นะ”

   เธอไม่ได้ตอบมาเป็นคำพูด เหวี่ยงตัวเองขึ้นมาซ้อนท้ายผม นั่นผมจะถือว่าไม่มีปัญหาแล้วกัน

   ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีตามที่บอก เราก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการ โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาคนเลยไม่มากเท่าไหร่ จากที่จอดรถต้องผ่านร้านค้าที่จัดเรียงไว้ตามข้างทาง ผมคิดว่ามันเป็นการตลาดแบบบังคับที่เยี่ยมยอดมาก เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะขึ้นไปน้ำตก

   คนข้างกายไม่หยุดอยู่ร้านไหนร้านหนึ่งเป็นพิเศษ เธอเดินช้าๆ คอยสอดส่องซ้ายขวาไปเรื่อย ท่าทางเหมือนไม่เคยมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้ ความจริงถ้าดูจากผิวซีดๆ ของเธอผมคงไม่แปลกใจถ้าเธอจะบอกว่าใช้เวลาในวันหยุดไปกับการอยู่ในบ้านหรือที่ร่ม ชีวิตแบบนั้นน่าเบื่อจะตาย คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?

   สุดท้ายมาจบอยู่ที่ร้านขายของสารพัดอย่าง ซินแยกตัวไปอยู่ตรงหน้ากระบะน้ำแข็งที่มีเครื่องดื่มแบบขวดแช่อยู่เต็มไปหมด ผมเลยมายืนอยู่ตรงหน้าชั้นเหล็กที่เต็มไปด้วยโปสการ์ดหลากหลายรูปแบบ บางแผ่นก็ดูเหลืองกรอบ บ่งบอกได้ว่าอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่ มันกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เราจะซื้อ ‘ของฝาก’ เป็นเจ้ากระดาษแผ่นเล็กนี้ทุกครั้งที่ออกเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ผมแค่นยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังคงคิดถึงเธออยู่ตลอด

   “สวยดี”

   ไม่รู้ว่าเลือกเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอวางน้ำเปล่ากับน้ำชายี่ห้อดังลงตรงชั้นที่อยู่ข้างๆ

   “ลายไหน?”

   “ก็สวยหมด”

   “งั้นเลือกให้หน่อย สองใบ”

   นัยน์ตาที่ว่างเปล่าช้อนขึ้นมามอง เธอไม่ได้สูงโปร่งขนาดนางแบบ แต่ก็ไม่ได้ตัวเล็กจนเกินไป เรียกได้ว่าพอดี พอดีในแบบของเธอเอง ”ต้องซื้อของฝากไปให้เพื่อนน่ะ”

   คงเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจ เธอเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ ซินหันไปให้ความสนใจกับโปสการ์ดหลากหลายรูปแบบที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าด้านข้างที่ผมเห็นกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกอย่างเต็มที่ ไม่ควรเข้าไปรบกวนเป็นอย่างยิ่ง ข้างๆ โปสการ์ดกองใหญ่คือกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง ผมไม่ได้เห็นเจ้าสิ่งนี้มานานมากจนลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนก็เคยใช้มันหลายครั้งเหมือนกัน

   เริ่มตั้งแต่สมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ ทุกอย่างที่เป็นดิจิตอลค่อยๆ ดูดกลืนความเป็นอนาล็อค ที่จริงผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้เจ้าเครื่องสารพัดประโยชน์ให้น้อยที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ มันเลยนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง จะหยิบมันมาตรวจการโทรเข้าออกแค่ก่อนนอนเท่านั้น ส่วนคนข้างๆ ที่ยังคงอยู่ในโลกของโปสการ์ดน่ะไม่เคยแม้แต่จะเห็นตัวเครื่องด้วยซ้ำ สมกับที่เธอบอกว่าหนี คงไม่อยากให้ใครตามรอยได้ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่ เธอดูไม่เร่งร้อน ไม่กลัวมีคนตามเจอ หรือเธอเชื่อว่าตัวเองจะปลอดภัยอย่างแน่นอน?

   หยิบขึ้นมากล่องหนึ่งโดยไม่ลังเล เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอเหลือแผ่นกระดาษในมือเพียงสองใบ ทั้งสองแผ่นเหมือนกันตรงที่เป็นภาพขาวดำ ภาพหนึ่งเป็นกลุ่มเด็กกำลังเล่นน้ำตก และอีกภาพเป็นเนินน้ำตกจากมุมสูง ปกติผมไม่ชอบภาพขาวดำเพราะมันดูหม่นหมอง แต่คงเป็นเพราะคนตรงหน้าเป็นคนเลือก มันเลยกลายเป็นภาพที่ดูสื่อตัวตนของเธอออกมาได้เด่นชัด

   “ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบบาทจ้ะ”

   กำลังจะยื่นแบงค์ร้อยสี่ใบให้คนตรงหน้า สายตาหันไปเห็นหมวกแก๊ปสีขาวห้อยลงมาจากชั้น หยิบมันลงปัดฝุ่นแดงที่เกาะอยู่แล้วสวมมันลงบนศีรษะของคนที่กำลังพยายามแกะซีลพลาสติกของขวดน้ำ เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้เธอปฎิเสธ

   “ไม่ต้องทอนครับ”

   ราคาหมวกเมื่อรวมแล้วไม่เกินแน่ๆ กึ่งชวนกึ่งบังคับให้คนที่ยังทำหน้าตาไม่เข้าใจเดินมานั่งศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นน้ำตก

   “ห้ามถอดด้วย” ดักคอไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด อากาศวันนี้ร้อนไม่ใช่เล่น คนตัวเล็กกว่าเหมือนไม่เคยออกแดดหรือออกกำลังกายด้วยซ้ำ ผมกลัวว่าร่างกายของเธอจะไม่ไหว

   น้ำชาพร่องไปพอควร เธอตีขาไปมาขณะที่รอผมจัดการกับเจ้ากล้องตัวใหม่ เช็คสภาพรวมถึงวันหมดอายุของฟิล์มให้เรียบร้อย เมื่อแน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้ก็ตั้งใจจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง เสียงร้องไห้จ้าดังมาจากทางเดิน เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นพ่อ บริเวณฝ่าเท้าน้อยๆ มีร่องรอยของบาดแผล ให้ตาย ผมลืมไปเลย

   “ซิน”

   เธอคงรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร “ฉันไม่ใช่เด็ก”

   “เอามาแลกกัน”

   “ไม่เป็นไร”

   “อย่าดื้อน่า”

   ไม่เปิดโอกาสให้โต้เถียง ผมก้มลงจับข้อเท้าของเธอแล้วหยิบรองเท้าแตะแบบคีบสีดำออก

   “นี่!” ถ้าผมยังไม่บอก ซินไม่เคยเรียกผมว่าเวลาหรือเวลตามที่เคยบอกเลย ชื่อที่เธอใช้เรียกคือ ‘นี่’ และผมก็ชินไปแล้วล่ะครับ

   “ผมลืมบอกให้ใส่รองเท้าผ้าใบมา”

   การเดินขึ้นภูเขาตามชั้นน้ำตกควรใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่เหมาะกับการปีนป่าย รองเท้าแตะแบบคีบอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ยามที่ต้องเดินผ่านก้อนหินหรือลำธาร ผมเคยมาแล้วเลยเตรียมตัวมาพร้อม ไม่เหมือนคนที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจอยู่ตอนนี้

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   “ตอนนี้ผมคือคนดูแลคุณ”

   “ฉันดูแลตัวเอง”

   ซินดื้อ แต่ผมบอกเลยว่าผมสามารถดื้อได้มากกว่า เปลี่ยนจากนั่งข้างๆ มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แรงที่เยอะกว่าทำให้ผมชนะคนที่กำลังดิ้น แม้จะมั่นใจว่าขนาดรองเท้าผ้าใบของตัวเองจะต้องใหญ่กว่าพอสมควร แต่ผมก็เปลี่ยนให้จนสำเร็จทั้งสองข้าง ผมไม่ยอมให้เธอเปลี่ยนเองหรอก ขืนทำอย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้ขึ้นไปด้านบน

   การแลกรองเท้าใส่ทำให้ผมต้องพยายามยัดเท้าขนาดผู้ชายลงไปในรองเท้าของผู้หญิง ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ และบางทีผมว่ามันก็ดูพิลึกไม่ใช่น้อย

   “คู่สัญญาต้องทำอะไรขนาดนี้เลยรึไง?”

   ผมส่งยิ้มให้เธอ ยิ้มที่กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

   “นั่นสินะ”

   “นั่นไม่ใช่คำตอบ”

   “ก็นั่นสินะ”

   “ไร้สาระ...”

   คำที่เหมือนกับก่นว่าทำให้ผมอารมณ์ดี “ก็นั่นสินะ”

 

   สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ป่านานาพรรณ น้ำตกมีทั้งหมดเจ็ดชั้นและเรากำลังข้ามไปยังชั้นที่สี่ ที่นี่ก็เหมือนกับแหล่งน้ำตกทั่วไปที่ไม่มีการถางอะไรเป็นกิจลักษณะ อาศัยการเหยียบย่ำในบริเวณเดียวกันซ้ำๆ จนกลายเป็นทางเดินตามธรรมชาติ ผู้หญิงในชุดลำลองรองเท้าผ้าใบยังคงเดินต่อไปโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบอย่างที่คาดการณ์ไว้

   จนมาถึงจุดพักผมจึงได้รู้ว่าผู้หญิงผิดซีดคนนี้ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด เราสองคนเดินขึ้นมาโดยไม่มีการหยุดพักและเธอก็ไม่ได้ปริปากบ่นออกมาสักคำ หมวกถูกสะบัดไปมาแทนพัด ใบหน้าสวยแปลกนั่นมีเหงื่อซึมไม่ใช่น้อย ผมเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวไว้ตลอดไปให้

   “เอ้า!”

   สายตาที่ผมบอกว่าว่างเปล่าทำให้ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ไม่เป็นไร”

   “เหงื่อไหลขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไร?”

   “นิดเดียว"

   “ครับ นิดเดียว”

   ไม่รอให้ปฎิเสธ ผมจัดการซับเหงื่อบริเวณข้างแก้มทั้งสองข้างจนพอใจโดยเลือกที่จะมองผ่านคิ้วโก่งที่กำลังขยับเข้ามาชิดกัน แก้มที่เริ่มมีสีฝาดทำให้เธอดูสมกับเป็นมนุษย์ขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นปกติซีดจนนึกว่าไม่มีเลือด ยิ่งรวมกับพฤติกรรมที่ชอบอยู่ตอนกลางคืนแล้วเหมือนแวมไพร์ไม่มีผิด

   “ผ้าเช็ดหน้าผมเหม็นเหรอ?”

   “...”

   “เพิ่งหยิบผืนใหม่มานะ”

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

   “ค่อยยังชั่ว”

   ในความรู้สึกผมซินไม่ใช่คนหยิ่ง เธอแค่ชอบที่จะเลือกคำพูดที่ดูสั้นกระชับมากที่สุดในการสนทนามากกว่า และจะเลือกตอบเฉพาะในเวลาที่อยากจะตอบเท่านั้น

   ใบหน้าที่เริ่มออกอาการไม่พอใจชัดเจนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพไว้ ตัวเลขบนตัวกล้องถอยหลังลงไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นกล้องที่ถูกจำกัดจำนวนไว้เพียง 39 รูป มันทำให้การกดปุ่มแต่ละครั้งต้องใช้สมาธิและการตัดสินใจที่เด็ดขาดมากเหลือเกิน

   [27]

   หมวกสีขาวถูกสวมกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับร่างของเธอที่ผ่านผมไป สองเท้าทำได้เพียงรีบก้าวเดินตามไปให้เร็วที่สุด ผมรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าขยับไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพักแล้วก็กดชัตเตอร์อีกครั้ง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมหลงรักการใช้กล้องฟิล์ม เรากำลังอยู่ในโลกที่การถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องมีการจัดองค์ประกอบ ไม่ต้องกังวลเรื่องแสง ไม่ต้องห่วงเรื่องจำนวนภาพที่ถ่ายได้ในแต่ละครั้ง จนเราลืมไปแล้วว่าความรู้สึกใส่ใจเป็นแบบไหน

   [23]

   เปลี่ยนจากแผ่นหลังของคนข้างหน้ามาเป็นทิวทัศน์ไม่ก็ผู้คนที่เดินผ่านสวนกันไปมา ผมหลงรักเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมนี้ เพราะมันเป็นครูที่ดีอย่างหนึ่ง บทเรียนสำคัญที่ผมได้รับคือโอกาสที่มาพร้อมกับการตัดสินใจ ภาพตรงหน้ามีแค่สองทางเลือกคือบันทึกด้วยความทรงจำหรือบันทึกด้วยกล้อง ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีการย้อนกลับมา

   [18]

   “นี่” รู้ตัวโดยความเคยชินว่าคนข้างหน้าเรียกผม

   “ครับผม?”

   “ทำไมถึงยังเดินต่อ”

   เธอหยุดเดิน สายตามองตรงไปยังทางที่เราเดินผ่านมา

   “ขอทวนคำถาม”

   “ทำไมถึงยังเลือกเดินไปต่อ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถึง ...ไม่สิ ไม่รู้ว่ามีจุดสุดท้ายรึเปล่า”

   “คุณคงไม่ได้หมายถึงข้างบนนั่น”

   ผมชี้ไปยังทางเดินตรงหน้า คำถามที่แฝงความนัยเอาไว้อย่างชัดเจน เธอกำลังถามถึง ‘การหนี’ ของเราสองคน ไม่มีทางหรอกที่มนุษย์จะมั่นคงได้ขนาดนั้น เธอกำลังถามคำถามที่ค้างอยู่ในใจของตัวเอง และอยู่ในใจของผมด้วยเหมือนกัน

   เพราะทางที่เราสองคนเลือกเดินมันช่างอันตราย

   “ทางที่คุณและฉันกำลังเดินอยู่”

   ตอนแรกผมเดินตามหลังเธอมาตลอดเพราะกลัวเธอจะเหนื่อยแล้วล้มไปไม่ก็หันกลับมาอาจไม่เจอผู้หญิงแปลกๆ คนนี้แล้วก็เป็นได้ เปลี่ยนมาเดินอยู่ข้างๆ เพื่อให้ตอบคำถามถนัดหน่อย
 
   “เป็นคำถามที่น่าสนใจ”

   “จะตอบว่า?”

   ช่วงหน้าที่พ้นจากหมวกสีขาวกำลังรอคอยคำตอบ ซินยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า มีหลายครั้งที่ผมพยายามช่วยพยุงเธอไว้ แต่แน่นอนว่าความช่วยเหลือไม่เคยไปถึง เธอดูแลตัวเองได้ดีอย่างที่บอกผมไว้ตั้งแต่แรก

   ถ้าทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีจุดจบรึเปล่างั้นเหรอ

   ทำไมคำถามที่ไม่น่าจะตอบยากถึงทำให้ผมต้องมาคิดอะไรมากมายอย่างนี้ด้วยนะ ถ้าเธอหมายถึงการมาเดินเที่ยวอย่างนี้แน่นอนว่าถ้าคุณเดินไปถึงจุดๆ หนึ่งมันย่อมมีจุดสุดท้ายหรือจุดสิ้นสุดของการเดินให้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ มีแต่คนที่ยอมแพ้ก่อนนั่นแหละที่จะไปไม่ถึง มันเหมือนการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถ แต่วัดกันที่กำลังใจและความพยายามที่จะพาตัวเองไปถึงจุดหมายให้ได้

   แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีจุดจบรึเปล่า ผมกำลังคิดถึงการว่ายน้ำในมหาสมุทร เพราะมองไปตรงไหนก็ไม่เห็นพื้นดิน นั่นสิ...ทำไมถึงเลือกที่จะว่ายต่อไป ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกไกลแค่ไหนจะถึง ...หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ

   “เพราะผมมีความหวัง”

   ผมตอบตามความรู้สึกของตัวเอง

   “หวัง?”

   “ใช่ หวังว่าข้างหน้าจะดีกว่าตรงนี้”

   “มั่นใจ?”

   ความสงบเงียบทำให้เสียงของเธอดังกังวาล น้ำตกชั้นที่ห้าคือชั้นที่สูงที่สุดที่ผมเคยมา เพราะคราวนั้นเรามากันเย็นมากแล้ว เจ้าหน้าที่เลยไม่เปิดให้ขึ้นไปถึงชั้นสุดท้าย ผมเพิ่งสังเกตว่าไม่มีคนเดินสวนลงมาหรือมีใครเดินตามหลัง ตอนนี้เหลือเพียงผมกับเธอเท่านั้น

   [12]

   ผมไม่ตอบเธอ หันมาให้ความสนใจกับทางเดินหินตรงหน้า มันเป็นเส้นทางน้ำขนาดใหญ่ ถ้าจะข้ามไปอีกฟากต้องเหยียบก้อนหินไปเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่ง ทางเดินที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่แรกหรือมนุษย์ทำให้ดูเหมือนเป็นธรรมชาติไปเสียแล้ว

   ยื่นมือกลับมาให้คนด้านหลังจับ เผื่อว่าถ้าลื่นไปก็ยังสามารถพยุงกันได้อยู่ เธอมองมือของผมแล้วเงยขึ้นมาสบตา นั่นคงหมายความว่าไม่จับสินะ

   ซินเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ

   “เดี๋ยวลื่น ก้อนหินพวกนี้กลม”

   “ไม่ลื่น” คำตอบมั่นใจในตัวเอง

   “อย่าดื้อ”

   เธอไม่ตอบ ยืนอยู่เฉยๆ บนก้อนหินที่ผมเพิ่งเหยียบผ่านมา ไม่มีอาการใดๆ แสดงออกบนใบหน้า ผมไม่เคยเจอใครที่อ่านยากเท่าเธอมาก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออารมณ์ดีร้ายแค่ไหน

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   นั่นเป็นพูดซ้ำครั้งที่สองหรือสามนะ หรือครั้งที่สี่ก็จำไม่ได้ ต่างจากอีกคนที่ดูแลตัวเองไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็ดูแลสามมาตลอด ไม่ใช่ว่าสามทำอะไรไม่เป็น แต่ผมอยากที่จะดูแลเธอในทุกเวลา พอมาเจอคนที่ย้ำว่าสามารถดูแลตัวเองได้เลยไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน

   “ผมแค่อยากดูแลคุณ”

   “เพราะ” น้ำเสียงยังคงราบเรียบ

   “บอกไปแล้วว่าอยากทำ”

   เธอคงไม่พอใจในคำตอบนั้น ริมฝีปากบางพึมพำอะไรสองสามประโยคแล้วหมุนตัวกลับไปอีกฝั่ง ผมเตรียมขยับตามจังหวะการเดินของเธอ ผู้หญิงผิวซีดก้าวข้ามครั้งแรกไปอย่างง่ายดาย แต่ไม่มีก้าวที่สองเกิดขึ้น ร่างเล็กๆ โอนเอนไปมาเหมือนรักษาสมดุลไม่ค่อยได้ก่อนที่ทั้งร่างจะโน้มตัวลงสู่น้ำ

   “ระวัง!”

   ร่างกายพุ่งไปก่อนที่จะคิด หลังจากที่ควบคุมสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ ผมถึงรู้ว่าตัวเองเข้ามารับซินได้ทัน โชคดีที่เธอไม่ได้ตกน้ำไปอย่างที่กลัว เธอเปียกเพียงแค่ครึ่งแข้งเพราะหล่นลงมาบริเวณที่เป็นลำธาร ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่ ผู้หญิงในอ้อมกอดนิ่งจนผมกลัวใจ กลิ่นหอมแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสปะทะเข้าเต็ม กลิ่นที่ดูเหมือนจะหวาน...แต่กลับเย็นยะเยือก

   “เอ่อ ขอโทษนะ” ผละออกอย่างว่องไว สายตาสอดส่องดูว่าคนที่เมื่อกี้อยู่ในอ้อมกอดบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ พื้นน้ำเต็มไปด้วยหินขนาดเล็กและแหลมคม ผมเองก็รู้สึกระคายผิวไม่ใช่น้อย

   “ดีที่ใส่ผ้าใบ"

   “...”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง มันยากที่จะเดาว่าตนข้างหน้ากำลังรู้สึกอะไรอยู่รึเปล่า เหมือนคุณอยู่กำลังคุยอยู่กับหุ่นขี้ผึ้งที่ทำหน้าแบบเดียวตลอดเวลา

   “หนาวรึเปล่า เดินต่อเถอะ”

   บรรยากาศดูกระอักกระอ่วน ผมเลยเป็นฝ่ายเดินนำมาก่อน ไหนๆ ก็เปียกแล้วเลยเดินเลาะลำน้ำมาดีกว่า น้ำเย็นเฉียบจนรู้สึกชาเล็กน้อย ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเธอพลาดตกลงไปมันจะแย่มากแค่ไหน แม้เธอจะพิสูจน์โดยการกระทำแล้วว่าเธอไม่ใช่คนที่ดูอ่อนแอ ...แต่สำหรับผมเธอก็ยังไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองได้ดีอยู่นั่นแหละ

   “หืม?”

   ผมรู้สึกได้ถึงแรงรั้ง หันกลับมาก็พบสาเหตุ มือที่กำลังดึงชายเสื้อผมไว้

   “...ขอบคุณ” ไม่ต้องมีสีหน้าประกอบใดๆ แค่เสียงเบานั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดี วันนี้เธอทำผมประหลาดใจไปกี่รอบแล้วนะ

   “ผมจะคอยดูแลคุณเอง”

   [11]

   ป้ายที่มีเลขเจ็ดปรากฎ รู้ได้โดยทันทีว่าผมได้ขึ้นมาถึงปลายทาง ธรรมชาติที่ปรากฎเบื้องหน้าทำให้ผมลืมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปสิ้น พื้นที่โล่งเต็มไปด้วยสีเขียวจากต้นไม้ เสียงน้ำกระทบลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกผสมกับเสียงนกร้องปนเป จากความสูงนี้ผมสามารถมองไปรอบๆ ได้เกือบร้อยแปดสิบองศา มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว

   สิ่งที่ดูขัดกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุดคือชิงช้าไม้ที่เหมือนจะสร้างขึ้นลวกๆ แค่นำท่อนไม้ใหญ่มาเจาะร้อยเข้ากับเชือกหนาแล้วฟาดกับกิ่งไม้ใหญ่ ผมเดาว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวที่มานั่งไกวเล่น เหมือนที่ ‘คู่สัญญา’ ของผมกำลังทำ ซินไกวชิงช้าไปมา ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังมองไปที่ไหน หรือกำลังคิดอะไรอยู่ ผมให้คำนิยามเวลาที่เธอนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ว่า ‘หลุมอากาศ’ เพราะถ้าเธออยู่ในอาการนี้ มันเหมือนมีบาเรียกางรอบตัว พร้อมด้วยป้ายประกาศตัวใหญ่ๆ ว่าห้ามรบกวน นั่นคือโลกที่เธอไม่ต้องการให้ใครเข้าไปใกล้

   ผมก้าวถอยหลังมาจนถึงระยะที่ตัวเองต้องการ จัดมุมที่ตัวเองต้องการมากที่สุดแล้วหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมกดปุ่ม

   ...มั่นใจ?

   คำเดิมกลับมาหลอกหลอน ผมบอกเลยว่าถ้าเธอหมายถึงการเดินทางวันนี้มันคุ้มค่ามากกับการที่ไม่ถอดใจไปกลางทาง ผมพร้อมที่จะตอบเธอทันทีว่าผมมั่นใจ แต่ถ้ามันเป็นทางที่ไม่มีจุดจบแบบที่เธอถาม ผมคิดถึงการหนีของเราสองคน...

   ซินบอกว่าเธอหนีไม่พ้น แต่เธอก็ยังหนี มันก็เหมือนกับการเดินที่ไม่มีจุดจบนี่แหละ สำหรับผมแล้ว ‘ความหวัง’ คือสิ่งที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมหวังว่าผมจะเจออะไรที่ดีกว่า แต่สำหรับเธอผมไม่รู้... ว่ามันจะดีกว่าสำหรับเธอรึเปล่า

   ตั้งท่าให้พร้อม ขยับปากเรียกคนที่ยังคงอยู่ในหลุมอากาศ

   “ซิน”

   ไม่รอให้เสียเวลา ทันทีที่ร่างนั้นขยับผมก็กดชัตเตอร์ไปโดยไม่ลังเล ภาพผู้หญิงชุดดำบนชิงช้า หมวกสีขาวถูกสลับฝั่งให้ปีกหมวกอยู่ข้างหลัง ยามที่ครึ่งหน้าเผยให้เห็นจึงไม่มีสิ่งใดขวางกั้นไว้ บรรยากาศข้างหลังคือท้องฟ้ายามบ่ายแก่ที่สดใสเกินคำบรรยาย

   [10]

   เหลืออีกสิบภาพ อาจดูแปลกแต่ผมกลับเก็บอุปกรณ์บันทึกความทรงจำลงในกระเป๋าเป้ ความรู้สึกตอนนี้คือผมได้ภาพที่ดีเกินพอแล้ว แม้จะเหลือพื้นที่ให้เก็บแต่ผมไม่ต้องการมันสักนิด

   “ผมจะให้คำตอบคุณ เรื่องที่คุณถาม” ไม่มีใครอื่นบริเวณนี้ ผมเลยสามารถใช้เสียงได้เต็มที่ “แต่คุณต้องให้คำตอบผมมาก่อน”
คำถามที่ไม่รู้ว่าควรจะถามไปหรือไม่

   “ถามมา” น้ำเสียงมั่นคง นั่นแหละคือซิน

   “ถ้าเป็นคุณ จะเดินต่อรึเปล่า” ก้าวเท้าเข้าไปใกล้บริเวณนั้นมากขึ้น “...ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอยู่ตรงไหน”

   ก้าวช้าๆ เหมือนเป็นการถามตัวเองไปในตัวว่าการ ‘หนี’ นี้จะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่ แล้วสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการหนีที่มีจุดจบรึเปล่า

   ใบหน้าสวยแปลกมองตรงมาอย่างท้าทาย เธอชี้ลงไปที่ข้อเท้าของตัวเอง

   “ฉันไม่มีทางไปถึงจุดหมาย...” อ้างว้างทั้งนัยน์ตาและน้ำเสียง “ตราบใดที่ยังมี ‘โซ่’ ตรึงฉันไว้อยู่”

   “ผมไม่นับว่าเป็นคำตอบ”

   เธอยิ้มให้ผม ยิ้มเศร้าแกมสงสาร

   “ชะตาฉันถูกกำหนดไว้แล้ว”

   “ชะตาอะไรของคุณ"

   “ฉันตอบคำถามแล้ว ตาคุณตอบ” อยากจะสบถออกมายาวเหยียด ผู้หญิงคนนี้แปลกเกินกว่าที่ผมจะรับได้ในบางที คิดว่าผมไม่รู้หรือไงว่ามันคือการเบี่ยงประเด็น

   “นั่นไม่ใช่คำตอบนะซิน”

   “ก็นั่นสินะ”

   คำเดิมที่ผมเคยใช้กลับมาเล่นงานตัวเอง เธอยังคงไกวชิงช้าไปมาเอื่อยๆ เอียงคอให้ผมเล็กน้อยเป็นการเร่งให้ผมทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้

   “ผมไม่มั่นใจว่าทางข้างหน้ามันจะดีกว่า แต่ผมก็จะเลือกเดินต่อ เพราะสำหรับผมมันดีกว่าการยืนอยู่ที่เดิม”

   ไม่มีอะไรทำให้ผมทรมานได้เท่าการยอมรับความจริงว่าที่ข้างๆ เธอไม่ได้มีไว้สำหรับผม

   “นั่นคือคุณมั่นใจนั่นแหละ”

   “ไม่ ผมไม่มั่นใจ” มือจับเชือกเส้นหนาไว้มั่น ผมออกแรงให้มันเอนไปมา “ถ้าพูดให้เจาะลึกลงไป สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง ... ผมกำลังอ่อนแอ และสิ่งที่ผมเลือกทำคือการออกเดินทางเพื่อเรียกความเชื่อมั่นว่าผมสามารถอยู่ต่อไปได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม และถ้าผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ปลายทางมันจะไม่สำคัญอะไรเลย”

   จากมุมนี้เธอพยักหน้ารับรู้การอธิบายของผม

   “ผมไม่ใช่นักทำนาย ผมไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าทางข้างหน้าจะดีกว่าตรงนี้รึเปล่า แต่ที่ผมรู้แน่ๆ ถ้าเดินต่อไปแล้วทางข้างหน้ามันไม่ได้ดีอย่างที่คิด ก็ไม่มีกฎข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ผมเดินกลับมาที่เดิมนี่”

[End : เวลา]

***
   กล้องแบบใช้แล้วทิ้งเป็นอะไรที่เล่นสนุกจริงๆ นะคะ ถึงราคาจะไม่ค่อยสนุกตามในบางรุ่นก็เถอะ (หัวเราะ)
   ตอนหน้าทั้งตอนก็ยังคงเป็นพาร์ทของเวลนะคะ เจ้าน่าจะลงประมาณวันพุธหรือไม่ก็วันพฤหัสตามเดิมให้วันอาทิตย์กลับไปลงในส่วนของที่หนึ่งต่อได้ ที่ต้องปล่อยให้เป็นพาร์ทของเวลต่อเนื่องยาวอย่างนี้เพราะเขาสองคนที่คนที่จะทำให้เรื่องเดินต่อได้ค่ะ หมดสองตอนนี้แล้วคงเป็นที่หนึ่งยาวจนจบเลย ตอนนี้พอจะคำนวณตอนจบไว้คร่าวๆ ได้แล้วค่ะ เฮ
   เข้าใจว่าอาจไม่ถูกใจ (หรือเจ้าอาจคิดไปเอง) แต่ก็อยากให้อยู่กับเวลต่อไปในตอนหน้านะคะ ความรักมันไม่เคยมีนิยามเนอะ (ยิ้ม)
   ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
«ตอบ #284 เมื่อ02-02-2016 15:56:18 »



ไม่เป็นไรค่ะ จะคู่ไหนเราก็รออ่าน (แม้จะอยากอ่านสิปป์นิชเยอะ ๆ ก็ตามเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เวลกับไวท์นี่ไม่น่าจะมีโมเมนท์หวาน ๆ กันได้เลยเนอะ... คือเอาจริง ๆ เราสัมผัสได้ถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติของทั้งสองนะคะ
แต่ถ้าไม่มีช่วงให้หนุ่มสาวสปาร์ค เราว่าไวท์มีความเป็นมาสคูลีนสูงจนให้บรรยากาศของการเป็นเพื่อนมากกว่าพอสมควร - นี่ถ้าเรื่องนี้ดุเด็ดเผ็ดมันและดาร์คกว่านี้ เราว่าไวท์นี่ให้อารมณ์เหมือนลิซเบธ (The Girl with the Dragon Tattoo) ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ (คือถ้าเข้าพระเข้านางกันแล้วไวท์บังคับการเองตั้งแต่ต้นจนจบเราก็ว่าไม่แปลกเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

อย่างไรก็ดี... เรารออ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ สู้ ๆ นะคะคุณเจ้า ^^  :L2:


ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
«ตอบ #285 เมื่อ03-02-2016 21:05:13 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
«ตอบ #286 เมื่อ04-02-2016 20:17:21 »

บทที่ 16


[Side : เวลา]

   "ภาพสวยนะ ขนาดเป็นกล้องพลาสติก"

   "ต้องขอบคุณบรรยากาศครับ"

   ผมตอบกลับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ระหว่างที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของม้วนฟิล์มในซองรวมถึงรูปถ่ายที่อัดออกมา

   "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเอาฟิล์มมาล้างกันแล้ว จะมีก็แต่ลูกค้าประจำเลยยังไม่ยกเลิก ถ้าเราไม่ทำเขาก็ไม่รู้จะไปให้ที่ไหนช่วย"

   "อย่างน้อยวันนี้พี่ก็ช่วยชีวิตผมไว้แล้วล่ะครับ"

   "ได้เห็นภาพสวยๆ ก่อนใครก็เป็นกำไรสำหรับอาชีพนี้แหละ"

   "น่าอิจฉาจัง"

   มือยังคงเปิดไล่เช็คภาพทีละแผ่น ความไวแสงของฟิล์มที่มากอยู่มันช่วยให้รูปที่ออกมามีสีสันแปลกตากว่าที่คิดไว้ แม้บางภาพจะมัวไปหน่อยจากการถ่ายในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีแสง ได้แต่ทำใจเพราะใช้เพียงกล้องชนิดชั่วคราว

   "อ้อ ส่วนตัวพี่ชอบภาพนี้ที่สุดนะ"

   'ภาพนี้' คือกระดาษมันแผ่นสุดท้ายของเล่ม ผมเปิดค้างไว้ในขณะที่สายตากวาดมององค์ประกอบโดยรวมของภาพ มันเป็นจังหวะที่เธอกำลังหันมาทางผมอย่างที่จงใจไว้ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจนผิวที่ขาวอยู่แล้วยิ่งดูสว่างเข้าอีก ถึงภาพที่ได้กับที่เห็นด้วยตาตัวเองจะไม่ได้มุมที่ตรงกันมากนักมันก็ยังสร้างความพึงพอใจให้ผมอยู่ไม่น้อย

   ไม่มีใครไม่ชอบภาพที่ตัวเองถ่ายหรอก

   "นางแบบสวยดี แฟนเหรอ?"

   "...เปล่าครับ" ผมปฏิเสธกลับแล้วเก็บทุกอย่างใส่ซองแบบเดิม "เราไม่รู้จักกัน"


 
   จากส่วนเมืองมาถึงบ้านใช้เวลาเป็นชั่วโมง นี่ถือว่าโชคดีที่มอเตอร์ไซค์ไม่แผลงฤทธิ์กลางทางอย่างที่คนดูแลบ้านขู่ไว้ ผมลงมาอัดภาพที่ถ่ายไว้คราวก่อนรวมถึงซื้อของใช้จำเป็นหลายอย่าง ชวนซินมาด้วยแล้วนะแต่อีกฝ่ายไม่มาด้วย อย่างกับกลัวว่าถ้าอยู่ในพื้นที่สาธารณะเมื่อไหร่จะโดนจับได้เมื่อนั้น

   ไม่รู้ว่าหนีความจริงหรือหนีอะไรกันแน่

   ช่วงเวลาบ่ายสามของทุกวันถ้าไม่ขีดเขียนอะไรลงในสมุดเล่มเดิมก็ออกไปอยู่ในสวน กิจกรรมกลางแจ้งที่ผมทำตลอดหลายสัปดาห์เปลี่ยนสีผิวให้ออกสีแทน ไหงเธอยังขาวกึ่งซีดได้อยู่อย่างเดิมไม่เคยเปลี่ยนก็ไม่รู้

   "กินอะไ..."

   ตั้งใจจะถามว่าตอนเที่ยงกินอะไรรึยัง เธอทานน้อยยิ่งกว่าที่เขาว่าแมวดมจนน่ากลัวว่าสารอาหารในร่างกายมันต้องรียูสมาใช้ใหม่ ยังคงบอกเหมือนเดิมว่าเธอแปลก

   ที่พูดได้ไม่จบประโยคก็เพราะปลายกระบอกปืนที่กำลังจ่อมาทางผม ซินกับปืนสั้นหนึ่งในเซ็ตของโชว์บนฝาบ้านอันเป็นรสนิยมของคุณตา เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เคยเป็นที่พักเวลาคุณตากับเพื่อนมาล่าสัตว์กัน หลังจากมีการรณรงค์ไม่ให้ล่าสัตว์ป่ามันเลยกลายเป็นเพียงของประดับภายในบ้านไป

   ผมไม่เคยเรียนยิงปืนแบบเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่คุณตาที่เคยสอนวิธีการใช้เบื้องต้นรวมถึงเทคนิคการเล็งเป้าหมาย ความรู้ที่มีนิดหน่อยบอกผมว่าเธอคุ้นเคยกับอาวุธชนิดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

   "เป็นการทักทายที่ระทึกใจดีนะ"

   ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ ซินที่ยังคงอยู่ด้วยหน้ากากชิ้นเดิมค่อยๆ ลดมือลง "ไหนบอกกลับเย็น"

   "คราวที่แล้วที่เคยไปทำมันนาน แต่คราวนี้แป๊บเดียว" เคยต้องรอเป็นครึ่งวันกว่าจะล้างฟิล์มเสร็จ ไม่เหมือนร้านนี้ที่ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงดีผมก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ "นี่ทำอะไรอยู่"

   "ทำความสะอาด มันน่าสงสาร"

   ตั้งแต่คุณตาของผมเสียไปเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่มีใครยุ่งกับส่วนนี้ของบ้าน พ่อกับแม่ผมไม่ชอบของอันตรายพวกนี้และผมเองก็ไม่ได้นิยมความรุนแรงอะไร คอลเล็กชั่นปืนสะสมของคุณตาเลยถูกปล่อยปละให้ฝุ่นเคลือบอยู่อย่างนั้น

   ปลายนิ้วสวยที่เปลี่ยนไปจับแส้ล้างปืนสั่นเล็กน้อย พอสังเกตดูให้ดีถึงเห็นรอยเหงื่ออยู่บริเวณขมับ ผมย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เพิ่งเกิดขึ้นถึงรู้สึกว่านัยน์ตาว่างเปล่าของเธอเบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อย อาการทั้งหมดคล้ายว่าหวาดระแวงอะไรอยู่

   "แล้วไปเอาของมาจากไหน?"

   "ขอลุงมา"

   "อ้อ..." คนดูแลบ้านของผมเป็นครอบครัวที่อยู่แถวนี้จากรุ่นสู่รุ่น ลุงที่เธอว่าคือผู้ดูแลคนปัจจุบันที่ชื่นชอบในอาวุธหลากหลายชนิด ไม่ค่อยน่าแปลกใจที่มีอุปกรณ์ทำความสะอาด

   ที่ควรประหลาดใจคืออีกคนที่กำลังถอดชิ้นส่วนอย่างคล่องแคล่วนี้ต่างหาก

   นั่งมองเธอแบ่งชิ้นส่วนออกแล้ววางแยกเป็นหมวดหมู่จนไม่เหลือเค้าเดิม ผมที่เพิ่งนึกได้ว่าซื้อของสดมาด้วยเลยเดินไปเก็บใส่ตู้เย็นให้เรียบร้อย มีของใช้ที่ลุงฝากซื้ออยู่สองสามชิ้น ไว้ค่อยเอาไปให้พร้อมคืนของที่ซินยืมมาด้วยเลยดีกว่า

   "พักกินน้ำก่อนไหม"

   ไม่เห็นว่ากับข้าวเมื่อเช้าพร่องไปเลยสักนิด ผมยื่นน้ำชายี่ห้อเดิมที่เธอชอบไปให้ ความแปลกอย่างที่ร้อยได้แล้วมั้งคือเธอชอบดื่มน้ำชาแบบที่เป็นชาจริงๆ ไม่ผสมความหวานอะไรทั้งสิ้น ขมอย่างที่ผมเคยจิบไปแค่คำเดียวก็ขอยกขึ้นลิสต์ของที่ไม่มีทางซื้ออีกตลอดกาล

   ตอนที่เธอรับมันไปผมเลยถามต่อ "แล้วทำไมไม่กินข้าว"

   "ต้องกิน?"

   อยากรู้ว่าใครเป็นคนสอนให้ตอบคนอื่นด้วยคำถามอย่างนี้ ผมล่ะไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ไม่ชัวร์ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังคำถามง่ายๆ มันคือการเตือนให้ผมอย่าลืมฐานะของตัวเอง

   "ใช่"

   "...ไว้จะกิน"

   "เย็นนี้ต้องกินสองจาน"

   อีกฝ่ายไม่ตอบรับ อย่างกับเสียงของผมเดินทางไปไม่ถึงเธอเสียอีก ได้แต่ยอมแพ้ให้กับผู้หญิงที่กลับไปจมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ถึงนิดได้ว่านอกจากไปซื้อของมาแล้วผมยังมีของฝากอีกอย่าง

   ส่งรูปอัดที่อยู่ในเล่มไปให้ทั้งหมด คนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่กับกองน้ำมันไม่ได้สนใจสิ่งใหม่ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด จนผมวางบันทึกความทรงจำลงกับตักนั่นแหละเธอถึงเงยหน้าขึ้นมาหาผมได้สักที

   "ที่ถ่ายวันนั้น"

   "อ้อ..."

   คำรับกระชับ ประจวบเหมาะกับการทำความสะอาดปืนกระบอกสั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงยอมวางทุกอย่างลง ผมชะเง้อมองเธอไล่รูปไปทีละแผ่นช้าๆ จนหยุดอยู่ตรงรูปบริเวณกลางเล่ม รูปที่ผมถ่ายเธอจากด้านหลังขณะปีนขึ้นไปยังน้ำตกชั้นถัดไป

   ผมเกือบชอบรูปนี้ ที่ใช้คำว่าเกือบเพราะมัน 'สวยงาม' เกินไปหน่อยสำหรับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างผม เธอเป็นคนตัวเล็กที่หุ่นดี เมื่ออยู่กับหมวก กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ มันจึงกลายเป็นสาวเท่ไปได้ไม่ยาก และเพราะมันเท่นี่แหละ ผมถึงไม่ชอบ คนบาปสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยเหลือ

   ไม่ว่าต้องแบกรับอะไรไว้ขนาดไหนก็ตาม

   "ชอบเหรอ"

   "แอบถ่าย"

   "สวยไหมล่ะ"

   "...สวยดี"

   คุยกันคนละอย่างก็ยังกลับมาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ เป็นคำชมที่ผมรู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าตามประโยค

   "ให้ หยิบออกไปเลย"

   "?"

   "มีอีกตั้งหลายภาพ ไม่แย่งภาพเดียวกันก็โอเคแล้ว" หมายถึงภาพที่อยู่หลังสุด "อยากได้ภาพไหนอีกไหมล่ะ?"

   เธอส่ายหัวไปมาพลางดึงรูปของตัวเองออก "ขอบคุณ"

   "ค่าตอบแทนเป็นพรุ่งนี้ต้องกินข้าวเช้า"

   รูปที่กำลังหลุดจากซองถูกสอดกลับเข้าไปในทันที ผมเลยได้แต่หัวเราะแล้วรีบกลับลำ

   "ล้อเล่น เอาไปเถอะ ผมอยากให้คุณเก็บไว้"

   มันไม่ใช่รูปถ่ายคุณภาพสูง ถ้าลองพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่ามีจุดฝ้าแสดงถึงความละเอียดต่ำอยู่ทั่วไป ถึงอย่างนั้นผมกลับชอบมันมากกว่าหลายๆ ชุดภาพที่เคยถ่ายมาในอดีต

   "ผมดีใจที่คุณชอบนะ"

   "อยากให้เกลียด?"

   "ชอบแหละดีแล้ว" หลังจากหยิบรูปออก เธอก็ไม่สนใจที่จะเปิดดูต่อไปอีก ผมเลยเอื้อมมือหยิบทั้งเล่มกลับมาไว้กับตัว "ยิงปืนได้?"

   "ต้องฝึกไว้" กราฟไร้โทนหายไปจากหน้าจอการอ่านพักหนึ่ง "ฝึกให้ไม่กลัวอีก"

   "แล้วมีอะไรที่เกลียดไหม?"

   อยากรู้ว่าคนแปลกที่กลัวปืนจะเกลียดอะไร เลยถามออกไป

   แต่อีกฝ่ายก็กลับไปอยู่ในหลุมอากาศพร้อมกองปืนเสียแล้ว


 
   “ฉันเกลียดคำว่าฝันดี”

   ในที่สุดเธอก็ยอมปริปากหลังจากรอบข้างของผมกับเธอเต็มไปด้วยความเงียบตลอดวัน ตอนนี้เรากำลังทำกิจวัตรประจำวันอันได้แก่การมานั่งเล่นบริเวณระเบียงหลังบ้าน เมฆที่ลอยเกาะกลุ่มหนาทำให้คืนนี้ไม่เห็นละอองสีเงินมากเท่าที่เคย ขนาดพระจันทร์ก็ยังเห็นเป็นเพียงภาพที่ดูเลือนราง

   “เพราะ?”

   “เพราะมันไม่มีจริง”

   ปิดสมุดปกดำเล่มเดิมแล้ววางมันบนโต๊ะ ขาสองข้างยกขึ้นมาชันเข่าแล้วกอดเอาไว้ เธอหลับตาแล้วซบหน้าลงไป

   “แล้วคุณล่ะ?"

   “ผมไม่ชอบการโกหก”

   “แล้วชอบอะไร”

   พินิจใบหน้าของคู่สนทนา นัยน์ตาสีดำกำลังส่งสัญญาณว่าเธอรอคอยคำตอบอยู่ ดูหยิ่งยโส แข็งแกร่ง และไม่ยอมใคร ผมชอบแล้วก็กลัวตาของซินในเวลาเดียวกัน ความว่างเปล่ามันทำให้ดูจริงใจ แต่บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังซ่อนอะไรไว้เต็มไปหมด

   ผมเป็นคนช่างสังเกต อะไรที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยมักจะไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่ รวมถึงเป็นประเภทความรู้สึกไวมันเลยทำให้ผมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับคู่สัญญาผมก็เก็บข้อมูลของเธอได้เยอะไม่ใช่น้อย แต่สิ่งที่ผมรู้ก็จะเป็นอะไรที่ดูออกได้โดยการสังเกตภายนอก อะไรที่เป็นเรื่อง ‘ภายใน’ ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับเธอเลย

   ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ แต่เรามีเส้นเขตแบ่งที่ชัดเจนเกินไป ชัดจนไม่ควรแม้แต่จะคิดข้าม ซินไม่เคยปกปิด...แต่ก็ไม่เคยพูด ผมถึงบอกว่าเธอเป็นคนแปลก เรียกได้ว่าตั้งแต่พบเธอวันแรกจนถึงวันนี้ผมยังคงเซอร์ไพรส์ใน ‘ความเป็นคนบาป’ ของเธอตลอดเวลา

   “ไม่มีเป็นพิเศษ”

   ไม่ได้ต้องการยียวนกวนประสาท นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมไม่เคยตอบได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างสามารถยืดหยุ่นได้ตามข้อจำกัดของการเลือก ผมเชื่อในเรื่องที่ว่ามนุษย์ไม่มีทางได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง เพราะงั้นถ้าไม่ชอบก็จะไม่ผิดหวังเวลาที่ไม่ได้ตามที่ต้องการ

   “นึกว่าชอบถ่ายรูป” เธอประกบมือขึ้นเป็นกรอบสี่เหลี่ยมแล้วเล็งมาทางผม “ในห้องก็ของคุณใช่ไหมล่ะ”

   คงหมายถึงรูปบนฝาผนังรวมถึงเซตล่าสุดเมื่อตอนบ่าย ผมซื้อกระดานไม้แผ่นใหญ่มาติดไว้ในห้องนอนทั้งสอง เอาไว้สะสมความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ที่บ้านก็มีแบบเดียวกัน แตกต่างกันที่ในห้องนอนของซินจะมีการประดับตกแต่งมากกว่าเพราะอีกคนเคยบอกว่ามันดูจืดชืด เจ้าของห้องทางพฤตินัยอย่างเธอเลยจัดการตบแต่งให้ใหม่เสร็จสรรพ

   “แล้วคุณชอบอะไร?” ย้อนถามกลับคนที่เริ่มวาดมือไปมาบนอากาศ ตวัดไปมาอย่างรวดเร็วจนผมมองไม่ทันว่ากำลังบรรเลงอะไร

   “ชอบเหรอ...” นิ้วเรียวสวยยังคงขยับไปมา ก่อนจะหยุดแล้วชี้มาที่ผม

   "?"

   ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ขยับปากถามไปว่าหมายถึงผมรึเปล่า มันเป็นความรู้สึกที่จั๊กจี้หัวใจพิลึกเวลาที่แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอต้องการจะสื่อว่าชอบผม ซึ่ง...ผมควรจะเก็บความคิดนี้ไว้ให้ลึกที่สุด

   “สีผม ฉันชอบสีเทา เหมือนสีของดาว”

   “อ่าฮะ” แก้เก้อด้วยยกมือขึ้นเสยผม ผมควรจะเก็บความคิดประหลาดนั่นไว้อย่างที่คิดจริงๆ

   ตอนนี้เส้นผมถูกย้อมให้เป็นสีเทา สีที่ใช้เวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ช่างนำชาร์ตสีมาให้เลือก อย่างที่เคยบอกผมเสียศูนย์ไปมาก และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลักฐานที่ยังคงตอกย้ำถึงรอยแผลบนหัวใจ

   “แล้วก็ชอบท้องฟ้าตอนกลางคืน”

   นั่นคงเป็นที่มาของโหมดแวมไพร์ รวมถึงความรู้ทางดาราศาสตร์จำนวนมหาศาลด้วย แต่การนอนดึก ...ไม่สิ นอนเช้าต่างหาก ผมเคยตื่นมาเพราะเสียงไก่ขันตอนตีสี่แล้วยังเห็นแผ่นหลังเล็กๆ อยู่ที่เดิม พฤติกรรมอย่างนั้นไม่ได้ดีต่อสุขภาพเลยสักนิด

   “แล้วไม่ชอบ?”

   “ไม่ชอบกลางคืน” ชอบท้องฟ้าตอนกลางคืน แต่ไม่ชอบกลางคืนเนี่ยนะ? “ฉันเกลียดรัตติกาล”

   “ขอเวลาเรียบเรียงความคิดหน่อยนะ”

   เสียงหัวเราะแว่วมากับสายลม ผมไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่ขอเรียบเรียงความคิด เธอชอบพูดสั้นแบบที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ และไม่สนใจที่จะอธิบายซ้ำ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเข้าใจ

   “คุณเป็นคนแปลก...”

   “ฉันก็เป็นฉัน” ยักไหล่แบบไม่สนใจใคร

   “ดื้อที่หนึ่ง”

   ยามที่สายตาไม่พอใจตวัดมาช่างดูแปลกตา ผมพยายามกลั้นขำกับปฎิกิริยาตอบกลับของเธอ แปลกตาแต่ก็อยากเห็นบ่อยๆ อะไรก็ดีกว่าโหมดหลุมอากาศทั้งนั้น

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   “ดีพอที่จะย...” ผมเกือบที่จะหลุดพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ คำว่ายิงปืน ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่าเธอคุ้นชินกับอาวุธอันตรายชิ้นนั้น ทุกอย่างแสดงออกชัดเจนผ่านทางการกระทำ โชคดีที่เธอดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของผมมากเท่าไหร่เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง "ถ้าดูแลได้ก็ต้องกินข้าวให้ครบ"

   “ต้อง?”

   เชิดหน้าท้าทาย ซินยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ แบบที่ผมได้แต่เตือนเสียงอ่อน

   “มันไม่ดีต่อสุขภาพ”

   “เหรอ”

   “...ตามใจเถอะ”

   ยอมศิโรราบให้กับความเป็นซินจริงๆ เธอสามารถตัดบทสนทนาแบบที่ผมไม่มีทางกลับมาต่อติดได้เลยเสมอ ถ้าซินไม่อยากพูดหรือไม่อยากยอมรับ ไม่ว่าจะทำวิถีทางไหนเธอก็ไม่ปริปากอย่างแน่นอน

   “ฉันผูกปมไว้ ฉันต้องแก้เอง”

   “นั่นมันก่อนที่คุณตกลงทำสัญญากับผม”

   “ไม่มีข้อไหนที่ฉันตกลงให้คุณเข้ามาแก้ปัญหาของฉัน”

   ทุกอย่างจบลงด้วยประโยคที่มาพร้อมรอยยิ้มละไม แปลก วันนี้ยิ้มบ่อย

   ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยยิ้ม แต่มักจะเป็นยิ้มยกมุมปากไม่ถึงสามสิบองศาเสียมากกว่า เธอย้ำเรื่องข้อตกลงของเราอีกแล้ว ในเมื่อสิ่งที่เราตกลงกันมันมีแค่อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตกลงเรื่องอื่นนี่นา แล้วทำไมผมจะขยายข้อตกลงในรูปแบบที่ผมต้องการไม่ได้ล่ะ

   “อะไรที่คุณหนีมา ผมจะไม่ยุ่ง” รอบตัวของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความลับมากเกินไป...

   “เราจะอยู่ด้วยกัน”

   “เก่งมาก” เปลี่ยนมายืนอยู่ตรงหน้าคนที่ยังคงนั่งชันเข่าอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ให้รางวัล”
นั่นคือสิ่งที่ผมตอบกลับความสงสัยที่ส่งออกมาผ่านนัยน์ตาสีดำสนิท มือขวาเอื้อมไปจับแขนของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้ยกขึ้นมาเหนืออากาศเล็กน้อย

   ผมชอบสะสมนาฬิกาข้อมือ เรียกว่าคลั่งไคล้ก็ได้ กลไกการทำงานของมันทำให้ผมอัศจรรย์ใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น เครื่องเรือนวงกลมแสนซับซ้อนทำงานตลอดเวลาไม่เคยมีวันหยุดเว้นแต่ในกรณีที่แบตเตอรี่หมด ขยัน สม่ำเสมอ ตรงต่อเวลา ผมเคยบอกกับครอบครัวว่าจะเรียนต่อในสายของช่างนาฬิกาด้วยซ้ำ

   หรือบางทีมันคงเป็นเพราะว่าผมชื่อ ‘เวลา’

   ไม่มีอะไรที่จะบอกตัวตนของเวลาได้เท่านาฬิกาอีกแล้ว

   ปลดสายหนังสีขาวออกจากข้อมือของตัวเอง แล้วย้ายไปให้ตรงกับผิวสีขาวซีด ลำบากนิดหน่อยตอนปรับสายให้เข้ากับข้อมือที่เล็กกว่าของตัวเองหลายช่วง นาฬิกาเรือนนี้เป็นสีขาวล้วนทั้งหมด มีเพียงหน้าปัดกับตัวเลขที่บอกเวลาเท่านั้นที่เป็นสีดำเด่นขึ้นมา เป็นแบรนด์ในอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงพอสมควร ผมเป็นลูกค้าประจำมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่วางขาย เรียกได้ว่ามีรุ่นใหม่ออกวางขายเมื่อไหร่ผมได้เสียทรัพย์อย่างไม่ต้องสืบ

   “รางวัล?”

   “อ่าฮะ”

   เธอขมวดคิ้วจนเกือบเป็นปม “ให้ของใช้แล้วเป็นรางวัลเหรอ”

   ผมหัวเราะให้คำเปรย ตอนแรกคิดว่าเธอจะถอดมันออกแล้วส่งกลับมาให้ผมด้วยใบหน้าไม่พอใจแบบที่ชอบทำเสียอีก ไม่ใช่การมาบ่นเรื่องที่มันเป็นของผ่านการใช้งานมาแล้ว

   “ไว้คราวหน้าจะซื้อสีเทาให้นะ”

   เธอชอบสีเทา ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจ

   มือขวาแตะลงตรงหน้าปัด จนได้ยินเสียงเข็มวินาทีที่ขยับอยู่ตลอดเวลา “ใส่ไว้ตลอดนะซิน เพราะ ‘เวลา’ จะอยู่กับคุณเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม”

   “น้ำเน่า”

   “ยอมรับ” ผมเลือกที่จะปล่อยผ่านประโยคที่แสนทิ่มแทงใจ เหยียดแขนทั้งสองข้างไว้กับพนัก โน้มตัวเข้าไปใกล้คนที่ยังคงให้ความสนใจกับนาฬิกา “รู้ไหม ...เขาว่ากันว่าการชนหน้าผากเป็นการส่งผ่านฝันดี แต่คุณคงไม่อยากได้”

   สายตาว่างเปล่าที่มองกลับมาโดยไม่มีหลบอ่านไม่ออกเช่นเคย เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกกักอยู่ในอ้อมแขนยังคงไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดมันยิ่งทำให้ผมกล้าที่จะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น ใกล้จนได้กลิ่นหอมหวานชัดเจนกว่าทุกที จนในที่สุดหน้าผากของเราก็อยู่ชิดกัน เย็นเฉียบ...แต่กลับรู้สึกว่ามีความอบอุ่นส่งผ่านมาถึงข้างใน

   “ผมขอให้คุณไม่ฝันนะ คนบาป”

***

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
«ตอบ #287 เมื่อ04-02-2016 20:39:11 »


   กว่าผมจะได้เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดปืนไปคืนลุงจริงๆ ก็อีกหลายวันต่อจากนั้น

   ซินเสกให้ของรักของคุณตากลับมามีชีวิตใหม่ทุกกระบอกอย่างที่ไม่เหลือเค้าความเป็นของเก่าเก็บ ได้แต่คิดในใจว่าถ้าตายังมีชีวิตอยู่เธอคงกลายเป็นหลานรัก ส่วนหลานแท้ๆ อย่างผมก็เป็นคนแปลกหน้าไป

   "ขอบคุณมากครับลุง"

   "ไม่เป็นไรๆ ไว้เข้าไปทำความสะอาดวันไหนจะไปดูผลงาน"

   "ลุงต้องตะลึงแน่"

   "ก็ว่าอย่างนั้นอยู่ คุณซินเธอแปลกนะ ไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่สนใจเรื่องปืนมากเท่าไหร่" ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่แถวนั้นระหว่างมองดูลุงเก็บของเข้าที่ "จะว่าไปคุณหนูจะกลับเมื่อไหร่ครับ มานานขนาดนี้คุณหญิงไม่ว่าเหรอ"

   พอโดนทักอย่างนั้นผมถึงรู้สึกว่าตัวเองหนีมาอยู่ในโลกกลางหุบเขานี้เกือบสองเดือนแล้ว การตัดขาดจากโลกภายนอกและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตมันหลอกให้ผมลืมว่าสุดท้ายตัวเองก็ต้องกลับไปเผชิญความจริงอยู่ดีในวันหนึ่ง ชีวิตในตอนนี้สร้างโลกใหม่ขึ้นมาจนผมหลงระเริง

   "ก็คงใกล้แล้วล่ะครับ"

   "เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ คุณหนูตัวเล็กของผมใกล้เป็นนักศึกษาแล้วสินะ"

   ผมสอบตรงได้ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมสองใหม่ๆ ของชั้นมัธยมหก ถึงจะชอบการถ่ายภาพมากกว่าสิ่งอื่นมากแค่ไหนสุดท้ายผมเลือกเรียนต่อในเอกภาษาอังกฤษ การเรียนที่ต่อให้ลองเชื่อมโยงยังไงก็ดูไม่เข้ากับธุรกิจของครอบครัวด้านโภชนาการอาหาร

   "ปิดอีกสักพักแหละครับ"

   "แล้วคุณซินล่ะ เธอเรียนอยู่ชั้นเดียวกับคุณหนูรึเปล่าครับ ได้มหาลัยอะไรล่ะ"

   "...ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ"

   จากวันแรกจนถึงวันนี้ซินก็ยังคงเป็น 'คนแปลกหน้า' ในบางความรู้สึก ผมไม่เคยรู้ชื่อจริง นามสกุล หรือข้อมูลส่วนตัวอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ของเธอแม้แต่น้อยนิด อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน เราอายุเท่ากันจากที่เคยคุยกันในแชต แต่ถ้าถามต่อไปว่าเธอจะไปเรียนต่อที่ไหนมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้และถึงถามก็ใช่ว่าจะตอบ

   "รอแอดมิชชั่นเหรอครับ เห็นลูกบ้านท้ายน้ำก็บอกว่ารอแอดๆ อะไรนี่เหมือนกัน"

   "น่าจะใช่แหละครับ" ตอบไปให้อีกฝ่ายสบายใจ

   "คนน่ารักอย่างนั้นได้ตามที่... ใครมากดกริ่งน่ะ"

   เสียงกระดิ่งที่ไม่เคยได้ยินมานานแล้วดังระหว่างการพูดคุย ผมมองลุงเดินออกไปหาต้นเสียงโดยที่ตัวเองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม วันนี้ซินคงเข้าไปอยู่ในสวนตามเคย ช่วงนี้สวนผลไม้ที่ปลูกไว้เริ่มมีผลออกมาให้เชยชมสมกับที่ชาวบ้านถนอมรักษา ชาวบ้านที่ว่ารวมถึงคนบาปที่ได้รับคำชมไม่ขาดปากว่าคล่องแคล่วผิดกับรูปร่าง

   สำเนียงคนเมืองจ๋าอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักในละแวกนี้ มองลอดผ่านกระจกออกไปก็พบรถยนต์สีดำคันใหญ่ติดฟิล์มกรองแสงสีทึบให้ความรู้สึกว่าเป็นรถของพวกผู้ทรงอิทธิพลได้ไม่ยาก ผมเห็นลุงยืนคุยอยู่กับเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่เดาจากหน้าตาแล้วถ้าไม่ใช่รุ่นเดียวกับผมก็คงบวกลบกันไม่เกินสองปี ในมือของชายหนุ่มคนที่อยู่ใกล้ลุงมากที่สุดมีสมาร์ทโฟนจอใหญ่โชว์อยู่

   คงเป็นพวกมาเที่ยวกันในช่วงปิดเทอมแล้วหลงทาง แถวนี้นอกจากน้ำตกที่ผมเคยพาซินไปแล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่อีกสองสามแห่ง

   "...ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้นะ"

   ลุงไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังขนาดนั้นในการคุย และรูปประโยคที่ฟังยังไงแล้วก็ดูไม่ใช่การถามทางบอกให้ผมเปลี่ยนที่อยู่เพื่อให้สะดวกต่อการสังเกตการณ์มากขึ้น

   "ไม่เลยเหรอครับ เห็นเด็กๆ ข้างล่างบอกว่าอยู่บ้านนี้"

   "!"

   "ลุงไม่มีลูกครับ อยู่กับป้าเหี่ยวๆ คนเดียว"

   ผมพิงตัวเองกับอีกฝั่งของประตู เลือดที่ไหลเวียนผ่านหัวใจมีปริมาณมากกว่าปกติอย่างที่เรียนมาในวิชาชีววิทยาว่าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ตื่นเต้นตกใจหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น

   มันเป็นการคาดคะเนที่ดูเข้าข้างตัวเอง ผมกำลังคิดว่าคนพวกนี้มาตามหาซิน

   "งั้นเหรอครับ"

   "ครับ ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้นะ"

   "ขอโทษที่มารบกวนคร..."

   "คิดว่ากูโง่เหรอ!!"

   ในจังหวะที่เสียงหนึ่งกำลังบอกลาอีกเสียงกลับตวาดลั่น ผมปลอบตัวเองให้อย่าตระหนกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จากนั้นผมได้ยินเสียงเครื่องแก้วที่น่าจะเป็นแจกันเซรามิคใบที่ผมซื้อมาฝากเมื่อหลายปีที่แล้วกระแทกกับพื้น และยังคงเป็นเสียงเดิมที่คำรามต่อเนื่อง

   "กูรู้ว่าอยู่ที่นี่!! ไปพามาให้กู!!!"

   รู้ว่าไม่ควรออกมาแต่มือกลับบิดกลอนประตูจนมันเปิดออก ตรงหน้ามีผู้ชายสามคนกำลังยืนเรียงกัน เจ้าของเสียงดังคงไม่พ้นคนกลางที่สูงที่สุด มีเพื่อนริมขวาสุดกำลังรั้งไม่ให้ระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้ ส่วนคนซ้ายเป็นเด็กแว่นที่เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือด้วยใบหน้าแบบผมบอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกไหน

   อ้อ...มากันสี่คน หลังผู้ชายลุคเนิร์ดแว่นกรอบใหญ่มีคนตัวเล็กร่างซูบเซียวคล้ายคนป่วยกำลังหลบอยู่ข้างหลัง

   "เดี๋ยวผมจัดการเองครับลุง"

   "คุณหนู..."

   "ผมจัดการเองครับ"

   ยิ้มสร้างความมั่นใจว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้เอง รอจนได้ยินเสียงงับกลอนประตูถึงเปิดการสนทนา

   "ตามผมมาทางนี้"

   ไม่สนว่าผู้มาเยือนใหม่ทั้งสี่คนจะเดินตามมาจริงหรือเปล่า ผมเดินนำไปยังสวนดอกไม้ขนาดย่อมที่เป็นโรงเพาะตามใจฉันของภรรยาคุณลุง ผมกลัวว่าถ้ายังอยู่หน้าบ้านอย่างนั้นคงมีบิลเบิกค่าซ่อมแซมไปหาที่บ้านใหญ่มากโข

   "รบกวนพาคนของเรามาคืนด้วยครับ"

   เจ้าของเสียงสุภาพคงไม่พ้นหนุ่มแว่น เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ผมในเวลานี้โดยอีกสามคนที่เหลืออยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เหลือบมองไปยังชายหนุ่มในเสื้อสีดำที่กำลังถูกอีกสองคนรั้งไว้อยู่แล้วก็กลับมาอยู่กับคนตรงหน้า

   "คนของเรา?"

   "ผมไม่ชอบคนตีหน้าซื่อเล่าเรื่องโกหก แล้วก็ไม่อยู่ในอารมณ์มานั่งเล่นเกมส์จับผิดด้วย"

   "คืนกูมา!!!"

   ที่เห็นไม่นานชายชุดดำเป็นคนอารมณ์ร้อนพอควร โครงหน้าที่ลองคิดดูแล้วถ้าอยู่ในรูปแบบของความเงียบสงบก็คงดูน่ายำเกรงไปอีกแบบ คือเขาไม่ได้ดูไร้ชีวิตอย่างที่ซินเป็น แต่ก็ไม่ได้ดูมีชีวิตอย่างคนทั่วไปเช่นกัน

   "กูจัดการเอง มึงเงียบไปไอ้สัตว์!!" พอหลุดคำผรุสวาทออกมาแล้วมาดเด็กเรียนก็หายวับไปกับตา ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ไม่ให้ผิดสังเกตว่ากำลังประหม่าแค่ไหน

   "โว้ย!!!"

   "คุณน่าจะเห็นว่าผมไม่ว่าง รบกวนคุณช่วยส่งคนของเราคืนมาได้ไหมครับ"

   วิชาภาษาไทยสอนว่าการลงท้ายประโยคด้วยคำว่าไหมมันคือการร้องขอไม่ใช่หรือไง นี่มันต่างอะไรกับการขู่กรรโชกเหรอ เขายกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปิดอะไรสักอย่างแล้วโชว์ให้ผมดู ...และอย่างที่คิดไว้มันเป็นใบหน้าของคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือน

   "คุ้นหน้าอยู่แล้วเนอะ คืนมาแล้วพวกผมจะได้ไปสักที"

   "บุกเลยเหอะ กูรำคาญแล้วว่ะ"

   "ไอ้เหี้ย ไปดูดไกลๆ"

   ที่บอกกันว่าบุหรี่ทำให้คนใจเย็นลงคงเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มอารมณ์ร้ายไม่เหลืออยู่แล้ว เขากำลังเปลี่ยนบุคลิกตามที่ผมคิดอยู่เมื่อครู่

   และขอถอนคำพูดที่ว่าคงน่ายำเกรง มันน่าหวาดหวั่นต่างหาก

   "มึงก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบอยู่นั่นนิช กลับไปดูแลน้องโรมเหอะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแล้วยังดื้อมาด้วย"

   "ให้น้องอยู่ตรงนั้นไป เรารีบมาคุยให้มันจบๆ ดีกว่า"

   "ผม ไม่ คืน"

   มันไม่มีข้อดีที่จะดึงเกมส์ การที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้คงไม่ใช่การเดินทางแบบสุ่มอยู่แล้ว ใบหน้าของทั้งคู่ตึงไปหนึ่งระดับตอนที่ผมบอกไปอย่างนั้น และมันหมายความอย่างนั้นจริงๆ ว่าผมจะไม่คืนซินให้คนพวกนี้เด็ดขาด

   ผมต้องดูแลคู่สัญญาของผม

   "อยากพูดใหม่รึเปล่า?" ชายที่ผมยังไม่รู้จักชื่อขยี้ปลายมวนให้ดับด้วยเท้า

   "ไม่คืน"

   "..."

   "ถ้าซินหนีพวกคุณมา เรื่องอะไรผมจะให้เธอกลับไปล่ะ"

   ความจริงที่เธอไม่มีทางหนีพ้นกำลังอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน เพื่อนนี่เขาต้องทุ่มเทให้ขนาดนี้เชียวเหรอ หรือคนรัก...

   "...ซิน?"

   "หึ ก็ว่าอยู่" กลิ่นยาเส้นชวนให้คลื่นเหียนกลบอีกกลิ่นไว้ กลิ่นที่ผมไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกไปเองรึเปล่า ผู้ชายคนนี้ใช้น้ำหอมที่คล้ายกับเธอเสียเหลือเกิน "ไปมึง กลับ"

   "...?" กลับคำพูดง่ายจนผมแคลงใจ

   ถ้าเลือกได้ ผู้ชายสี่คนที่อยู่ตรงนี้ผมขอไม่เจอกับชายในชุดสีดำที่อยู่ใกล้กับผมมากที่สุดอีก คนที่สามารถปรับคลื่นอารมณ์ไปมาได้รวดเร็วจนตามไม่ทัน "ฝากไปบอกด้วย 'ครึ่งชีวิตของสีขาว' มาหา"


 
   ท้องฟ้าในเมืองหลวงไม่สวยงามเลยสักนิด

   ผมเก็บเรื่องที่เจอไว้กับตัวเอง กำชับลุงว่าห้ามเล่าให้ซินฟังเด็ดขาด ก็เป็นเหมือนอย่างเคยที่เธอไม่มีอาการอิดออดตอนบอกว่าต้องย้ายออกจากที่นี่แล้ว เราสองคนใช้เวลาเก็บของน้อยเหมือนกับว่าเตรียมพร้อมจะเดินทางได้ตลอดเวลา

   เก้าอี้สามส่วนที่ปกติแล้วจะวางอยู่ข้างเตียงถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่นอกระเบียงขนาดกำลังเหมาะนอกห้องนอน เป็นฝีมือของคนที่ยังเป็นแวมไพร์ตอนกลางคืนไม่เปลี่ยน ผมยกห้องนอนห้องเดียวให้เธอไปตั้งแต่วันที่พากลับมาอยู่ในคอนโดริมชานเมืองที่ซื้อเตรียมไว้สำหรับอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมหาวิทยาลัย

   จากที่เป็นคนเมืองกรุงมาโดยตลอดผมแทบไม่เคยได้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้า พอถูกลวงให้ปรับพฤติกรรมมากเข้าจากคนร่วมห้องก็ติดเป็นนิสัยที่จะแหงนมองขึ้นไปดูว่าตอนนี้ก้อนหินพวกนั้นกำลังเคลื่อนตัวไปถึงไหน บางดวงลับฟ้าไป...และบางดวงก็ขึ้นมาทักทายใหม่แทน

   ผมยังไม่ได้บอกใครว่ากลับมาจากบ้านสวนแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ผมหนีไปและยังไม่ได้เอาของฝากไปให้ หลังจากทุกอย่างเข้าที่ตามที่ควรจะเป็นเลยเพิ่งว่างนัดอีกฝ่ายมารับของที่สั่งไว้

   "งั้นแยกกันตรงนี้นะ ขอบคุณสำหรับของฝาก" หญิงสาวตรงหน้าก็ยังคงเป็นความสดใสอย่างเดิม วันนี้อีกคนไม่ได้มาด้วยเพราะติดธุระกับที่บ้าน "...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างด้วย"

   "..."

   ไม่อยากพูดอะไรต่อจากนั้น แม้จะยกถุงกระดาษที่บรรจุขนมหวานอย่างที่เธอชอบขึ้นมาเป็นการประกอบ มันก็ไม่ได้หมายความว่าการ 'ขอบคุณ' ที่บอกมันจะหมายถึงแค่ของหวาน

   "หายไปนานเปลี่ยนไปเยอะนะ" ปลายนิ้วที่ผมเคยจับเมื่อนานมาแล้วชี้มาที่ถุงพลาสติกในมือผม ของที่ผมกำลังซื้อกลับไปให้อีกคนที่รอผมอยู่  "เวลาเดินต่อแล้วใช่ไหม"

   สมุดสีดำของซินมันเหลืออยู่แค่ไม่กี่หน้าจากที่ผมสังเกตเมื่อคืน พอดีกับผ่านร้านขายเครื่องเขียนสไตล์แปลกผมเลยแวะซื้อเล่มใหม่รวมถึงซื้อปากกาเพิ่มไปด้วยเลย ถึงฟ้าเมืองกรุงจะไม่ปรากฏแสงสีเงินให้เห็นเธอก็ยังคงอยู่กับมันได้เหมือนเดิม ยังคงเหม่อมองไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่งอาจเป็นดาวเคราะห์ที่เธอจากมา

   และเพราะไม่มีทางเห็นท้องฟ้าได้อย่างที่ชอบ ผมเลยซื้ออะไรอีกอย่างไปให้ด้วย

   "เวลามันหยุดเดินไม่ได้ต่างหาก"
   
   ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงต้องฝืนยิ้มให้ ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ผมส่งยิ้มให้เธอได้อย่างสนิทใจ

   "อย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นคงไม่โกรธถ้าจะเราบอกอะไรสักอย่าง"

   "เราเคยโกรธรึไง"

   "ไม่เคยไง ก็เลยกลัวว่าอาจโกรธเพราะเรื่องนี้เป็นครั้งแรก"

   "สัญญา ไม่โกรธหรอก"

   "...อย่าเอาใครมาแทน อะไรที่ไม่ได้มัดไว้ มันจะลอยหายไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ"

   ผมจมอยู่กับคำพูดสุดท้ายจนถึงหน้าประตู

   ห้องมืดสนิทตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป มันเป็นห้องชุดที่แบ่งสัดส่วนการใช้งานชัดเจน ปกติในเวลานี้ซินมักจะอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อดูช่องสารคดีไปเรื่อยจนกว่าสี่ทุ่มถึงจะไปสิงอยู่ตรงระเบียง

   ?

   มือที่กดเปิดสวิทช์ไฟค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อแสงจากหลอดอิเล็กทรอนิกส์กระจายความสว่างให้กับห้องผมถึงเห็นว่าข้าวของบางอย่างอยู่ผิดที่ผิดทางกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะปฏิทินแบบแขวนขาดวิ่นและตุ๊กตาแก้วเคลือบรูปนางฟ้าที่เป็นของประดับตกลงมาแตกจนแหลกละเอียด

   จะบอกว่ามันยังอยู่ในภาวะปกติก็คงไม่ใช่ ผมเรียกหาเธอตั้งแต่ในห้องนั่งเล่นจนครบทุกห้องเหลือเพียงแต่ห้องนอน ห้องที่ผมเก็บไว้เป็นที่สุดท้ายเพราะมันหมายความว่าถ้าเปิดไปแล้วเจอความว่างเปล่า นั่นคืออีกฝ่ายจบการหนีแล้ว

   อะไรที่ไม่ได้มัดไว้ จะลอยหายไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ

   คำขู่ที่ผมไม่อยากยอมรับว่าระแวงแค่ไหน

   หมอกในใจสลายไปพลันเมื่อเห็นคนที่คิดถึงนั่งอยู่ตรงริมระเบียงอย่างเดิม ที่ดูแตกต่างกับทุกวันคือทุกอย่างที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ ซินกับชุดเดรส...ไม่สิ เสื้อเชิ้ตผู้ชายที่ขนาดใหญ่กว่าตัวสองถึงสามเบอร์สีดำสนิท มันยาวลงมาจนเกือบครึ่งขาอ่อน ซึ่งเป็นคนละตัวกับที่ผมเห็นเธอใส่ก่อนออกห้องไปเมื่อบ่าย

   เธอไม่ได้สนใจว่ามีใครเปิดระเบียง คนบาปยังคงล่องลอยออกไปไกลแสนไกลโดยมีแท่งนิโคตินสีดำสนิทอยู่ที่ร่องนิ้วมือแทนที่จะเป็นสมุดเล่มเดิมอย่างทุกที

   บุหรี่

   สิ่งที่เตือนผมให้อย่าลืมว่ามีใครอีกคนยังคงตามหาเธออยู่

   "ทำอะไรอยู่"

   "..."

   "ทำไมถึงสูบบุหรี่"

   "กำลังอวยพร"

   มันคงเป็นแค่การอวยพรอย่างที่พูดไว้ เมื่อเธอไม่ได้เอาแท่งเสพติดชิดกับริมฝีปากเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เธอทำคือคีบมันไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ปล่อยให้กลิ่นยาเส้นฟุ้งออกมาพร้อมกับควันสีเทา ผมก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองที่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่กระจายเกลื่อน จากที่มองดูเร็วๆ แล้วมันคงมีไม่ต่ำกว่าสิบตัว

   ผมไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

   "...แล้ว"

   "หืม?" ผมยังคงอยู่ในโลกของตัวเองตอนที่ได้ยินเสียงเธออีกครั้ง

   "นับให้หน่อย กี่ตัวแล้ว"

   "หนึ่ง ...สาม ...แปด ...สิบสอง" จำนวนที่ผมบอกมันรวมกับที่อยู่ในมือของอีกคน "พอแล้ว สิบสองตัวแล้วนะ"

   บ้านผมไม่มีใครสูบบุหรี่เลยตั้งแต่คุณตาเสียไป อาจเป็นเพราะท่านเสียไปด้วยโรคมะเร็งปอดที่่มีสาเหตุหลักมาจากแท่งกลมเล็กๆ นี่ด้วยแหละ ยิ่งบอกกันว่าคนไม่สูบแต่ต้องดมจะตายไวกว่ายิ่งไม่อยากเข้าไปเสี่ยง

   ชุดสีดำตัดกับผิวสีซีดอย่างชัดเจน ผมฉวยเอาสิ่งที่อยู่ในมือเธอมาไว้กับตัวแล้วทำท่าจะดับมันกับริมระเบียง

   "อย่า ปล่อยให้มันหมดไปเอง"

   "ทำไม?"

   "เมื่อกี้บอกสิบสองใช่ไหม ของแม่สองครบแล้ว..."

   "งั้นก็พ..."

   ที่ตั้งใจจะบอกว่าพอแล้วก็หายลงไปอยู่ในลำคออย่างเดิม ผมมองเธอคาบแท่งที่สิบสามไว้ตรงปากในขณะที่มือทั้งสองช่วยกันประคองไลท์เตอร์อย่างที่ขายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปสู้กับแรงลมได้ กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าใบหน้าไร้ความรู้สึกตรงหน้ากำลังแสดงออกอย่างที่เห็นในคราวแรกจริงหรือไม่

   ซินกำลังร้องไห้

   "...ให้อีกคน"

   บรรยากาศที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ราวกับฟ้าเป็นใจวันนี้เลยไม่มีลมพัดผ่านมาให้แสบหน้า ความเงียบเมื่อบวกเข้ากับควันสีเทาลอยเอื่อยมันกำลังขมวดความอึดอัดให้เป็นก้อนใหญ่มากขึ้น มันมีอะไรหลายที่ผมควรทำมากกว่ายืนนิ่งมองคนข้างๆ ร่ำไห้แบบไร้เสียง ไม่มีรอยสะอื้น ไม่มีการสั่นของร่าง มีเพียงนัยน์ตาคู่เดิมฉายรอยเศร้าเกินคำบรรยาย สิ่งเดียวที่บอกผมว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่คือสายน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาอย่างเดียวเท่านั้น

   จนกระทั่งไฟสีส้มมอดลงไป เธอจึงปาดน้ำตาที่เลอะเต็มแก้มโดยที่ผมไม่กล้าช่วย

   ซินไม่ต่างจากแก้วเจียระไนเนื้อบางที่อาจร้าวได้เพียงสัมผัส

   "ขอโทษที่ทำสกปรก เดี๋ยวเก็บให้ตอนเช้า"

   "ไม่เป็นไร..."

   ผมควรพูดอะไรอย่างอื่นที่มากกว่าคำว่าไม่เป็นไร

   "แล้วก็ทำตุ๊กตาตก"

   "เจ็บหรือเปล่า?"

   สิ่งที่น่าห่วงคือคนที่ชอบบอกว่าดูแลตัวเองได้ ยิ่งเธอเป็นอย่างนี้มันยิ่งน่าห่วงเข้าไปใหญ่ว่าปล่อยให้ตัวเองเจ็บแล้วไม่ยอมรักษาหรือเปล่า

   เธอถลกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นแล้วพลิกไปมาให้ผมดูว่าไม่มีแผลอย่างที่ผมกังวล "เปล่า"

   "ดีแล้ว" โล่งอกไปหนึ่ง "งั้นเข้าห้องนะ"

   ไม่ไว้วางใจให้อยู่คนเดียวอย่างทุกวัน ผมกล่อมจนอีกฝ่ายยอมเดินเข้ามาอยู่ด้านในห้อง เห็นถุงพลาสติกวางทิ้งไว้อยู่ใกล้ๆ ถึงนึกได้ว่าตัวเองมีของที่ยังไม่ได้ให้อยู่

   "แลกกับที่ทำของแตก หลับตา"

   สงสัยอยู่กับกลิ่นบุหรี่มากไป ซินถึงยอมขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียงแล้วหลับตาลงตามที่ผมสั่งโดยไม่อิดเอื้อน ไม่อย่างนั้นปกติต้องให้ขู่กันแทบตายถึงจะยอมทำตาม ผมรีบเดินไปปิดม่าน ไม่มีแสงจากภายนอกลอดเข้ามาได้ แกะกล่องที่บรรจุเครื่องทรงเหลี่ยมออก ตระเตรียมความพร้อมให้เสร็จสรรพ เดินไปปิดไฟห้องนอนเป็นสิ่งสุดท้าย

   "ลืมตาได้"

   "..."

   "น่าจะพอแทนกันได้เนอะ"

   นัยน์ตาที่ว่างเปล่าเสมอมากำลังเต็มไปด้วยประกายแวววาว

   ห้องที่ถูกปิดจนมืดสนิทกลายเป็นโลกของประกายดาราทันทีที่ผมกดปุ่มเปิด ท้องฟ้ากลางคืนที่เธอชอบไม่มีอยู่ที่นี่ ผมเลยลองเสิร์จหาพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ดูจนเจอกับเครื่องจำลองดวงดาว หาจนเจอที่พอใจแล้วถึงไปซื้อเมื่อเช้า ตั้งใจว่าจะมาเซอร์ไพรส์ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นผมเสียเองที่เจอเรื่องน่าตกใจ

   "ก็ได้อยู่"

   ซินหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองอีกแล้ว เธอคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน ทั้งรอยยิ้มแล้วก็การที่เงยหน้ามองไปทั่วห้องไม่หยุดพักอย่างนี้ ผมชอบเวลาเธอยิ้มแบบนี้ ยิ้มที่ดูมีความสุขออกมาจากข้างใน

   "อันนี้ให้"

   "รางวัล?"

   "คิก อยากให้" ส่วนสมุดไว้ค่อยให้ตอนเช้าแล้วกัน ตอนนี้ไม่มีอะไรดึงเธอออกมาจากหลุมอากาศได้หรอก

   "ขอบคุณ"

   "เต็มใจ"

   ต่างฝ่ายต่างเงียบ ผมปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับแสงไฟสีขาวขุ่นที่กระจายตัวอยู่ทั่วห้องสลับกับฟังเสียงของอีกคนไล่ชื่อของดวงดาวไปทีละจุด กลิ่นหวานปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมกล่อมให้ผมเคลิ้มไปกับทุกสิ่งรอบตัว หัวใจพองโตโดยไร้สาเหตุมารองรับ

   "นี่..."

   "ครับ" บอกแล้วไงว่านี่มันคือการเรียกผม

   "ช่วยฟังอะไรสักหน่อย...ได้ไหม"

   จากนั้นสิ่งที่พรั่งพรูออกมามันคือ 'บาป' ที่ผมไม่มีทางลืม
 


   เรื่องเมื่อคืนเหมือนความฝัน...

   ผมฟังเรื่องราวที่ไม่อยากยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงกับผู้หญิงตัวเล็กแค่นี้ เรื่องที่ทำให้ 'ความจริง' ที่ผมบอกว่ามันร้ายแรงกลายเป็นเพียงเรื่องงี่เง่าเล็กน้อย จนไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงชอบพูดอะไรที่ดูเข้าใจยาก

   จนอีกฝ่ายผลอยหลับไป ผมถึงจัดการเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ และมันเป็นคืนแรกที่ผมเห็นเธอหลับแบบจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การบอกลากันเท่านั้น ทำอย่างกับผมไม่รู้ว่าต่อให้เธอบอกเองว่าจะนอนแล้วกว่าเธอจะเข้านอนจริงก็ปาไปตีห้าหกโมง พอสักสิบโมงก็ตื่นแล้ว นอนน้อยอย่างที่น่าเป็นห่วงเหลือเกิน นี่ว่าจะลองผสมยานอนหลับลงไปเผื่อว่ามันจะช่วยให้ร่างได้พักผ่อนซ่อมแซมเสียบ้าง

   ประตูห้องนอนยังคงปิดสนิท ไม่กล้าเคาะหรือเปิดเข้าไปรบกวนการนิทรา ผมเดินไปยังส่วนครัวเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ถังขยะขนาดใหญ่มีซากเซรามิคปนกับก้นของบุหรี่อยู่ในนั้น ซินตื่นแล้วงั้นสิ

   เคาะประตูห้องนอนหลังจากเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ อย่างซีเรียลเรียบร้อย ปกติอีกคนจะเปิดประตูให้หลังจากนั้นไม่นานนัก ต่างจากครั้งนี้ที่ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า

   "ซิน ออกมากินข้าว"

   มือปะทะกับประตูไม้อีกครั้ง ยังคงเป็นเช่นเดิมที่ผมไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตจากอีกฝั่งของประตู มันเงียบจนใจผมหล่นวูบ จากหน้าห้องนอนเมื่อหันขวาจะเห็นได้ไกลถึงชั้นวางรองเท้าหน้าห้อง ที่มักจะมีเพียงรองเท้าแตะแบบผู้หญิงคู่เดียววางไว้
แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า

   หรือว่า...

   ผลักประตูออกอย่างแรง ภาพติดตาแรกคือร่างคุ้นเคยอยู่ตรงระเบียงเช่นทุกที หากเมื่อกระพริบตาซ้ำสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็พลันหายไป เท้าที่ก้าวยาวๆ ไปทั่วห้องหยุดลงเมื่อเหลือบเห็นของคุ้นตาอยู่ตรงหัวเตียง กระดาษเอห้าที่หล่นลงมาจากตัวปัก นาฬิกาสีขาวเรือนโปรดและรูปแผ่นหลังที่เธอบอกว่าสวย

   การจากลาไม่เคยมีคำเตือน

[End : เวลา]

***

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
«ตอบ #288 เมื่อ04-02-2016 20:40:34 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
«ตอบ #289 เมื่อ04-02-2016 21:00:56 »

 :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
« ตอบ #289 เมื่อ: 04-02-2016 21:00:56 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
«ตอบ #290 เมื่อ05-02-2016 14:15:38 »

อึมครึมตลอด

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #291 เมื่อ07-02-2016 19:39:59 »

บทที่ 17


   อยากให้เขาทำหน้าผิดหวังเหมือนนิชตอนรู้ว่าผมสอบตก


   อยากให้เขาดุผมเหมือนแบล็คตอนที่ผมทำโมเดลประกอบมือตัวโปรดพัง


   อยากให้เขาโวยวายใส่เหมือนเน็ทเวลาผมเถียงกลับแบบไร้เหตุผล


   อยากให้เขาทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังทำผิด


   ...ไม่ใช่แค่ดึงไปกอดแล้วไม่พูดอะไรอย่างนี้


   ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนเห็นที่หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น และไม่คิดมาก่อนว่าพอเขาหันมาเห็นผมแล้วจะคว้าทั้งตัวไปอยู่ในอ้อมแขนเกือบทันที มันล้างความเข้าใจที่ว่าตัวเองเจอวิธีการลงโทษที่พิศดารมามากจนไม่กลัวอะไรอีกแล้วไปเสียหมด สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้เข้าข่ายของการทำโทษแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


   “โอเคไหมครับ”


   “คิดว่าโอเค”


   “เก่งมาก บอกแล้วว่าน้องโรมทำได้”


   “...”


   "ไปฉลองที่ไหนกันดี"


   เขายังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระตอนที่ถามและผมก็ยังไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในตอนนี้ ตอนที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขากำลังแสดงออกผ่านสีหน้าแบบไหนอยู่ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังหลายต่อหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะผลักออก อ้อมกอดของที่หนึ่งมันทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัยจนไม่อยากให้มันหายไป


   "ไม่กินก็ได้" บอกกลับเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังคงชินอยู่กับอกของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของผมไปมาอยู่อย่างนั้นเหมือนพ่อปลอบลูก "หนึ่ง..."


   เขาได้ยินใช่ไหม เขารู้ใช่ไหมว่าผมตอบออกไปไม่ได้


   "ไม่ให้ ตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่"


   ผมคิดยังไงกับเขากันแน่


   "ก็ไม่มีอะไรอยากกิน"


   "วนรอบนึงแล้วเลือกไหม ตอนนี้ก็ไม่ค่อยหิวแฮะ”


   “อื้อ”


   “งั้นไปกันเลยเนอะ”


   ยามที่ผละตัวออกผมก็รีบคว้ามือเขาไว้โดยไม่คิด คล้ายมีอะไรสักอย่างเตือนผมว่าถ้าไม่รีบจับไว้ที่หนึ่งจะหายไป ผู้ชายในเสื้อบาสเบอร์ 11 ดูตกใจนิดหน่อยที่ผมทำอย่างนั้น เขายกมืออีกข้างมาดึงแก้มของผมจนต้องประท้วงกลับ


   "งือออ"


   "ชอบดื้อ แต่พอโดนดุก็ทำหน้าจ๋อย"


   "..."


   “เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมปลอบใจนะ”


   ทั้งผมและเขาไม่มีหน้าที่อื่นในงานอีกแล้ว เราเลยแทรกตัวออกมาจากงานได้โดยสะดวก หางตาเหลือบไปเห็นกลุ่มเพื่อนบาสของเขาคุยเสียงดังโหวกเหวกไปทางที่จอดรถที่ไม่ห่างออกไป พอหนึ่งในนั้นเห็นเราสองคนก็เดินมาหาอย่างที่ไม่ต้องใช้สกิลช่างสังเกตอะไรมากเห็นอยู่เขาว่ามองมือที่จับกันอยู่วูบหนึ่งแล้วทำเมินเสีย


   "เจอกันหน้ามอ จองไว้แล้วชื่อที่หนึ่ง"


   "อ้าวไอ้เหี้ย เอาชื่อกูไปใช้ไม่บอก"


   "เออน่า ถ้าถึงก่อนก็ได้สั่งไปเลย"


   "กูบอกแล้วเหรอว่าจะไป"


   "ไปดิวะ ชนะต้องฉลองงง" เขาหันมายิ้มกว้างให้ผม "โรมก็ต้องไปนะ บังคับ"


   คนในทีมส่วนมากรู้จักชื่อผมทั้งหมดนั่นแหละ ไปทุกวันจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกดีเด่นประจำทีมไปแล้ว


   "อ่า..."


   "น้องโรมไม่ชอบเสียงดัง หน้ามอแม่งเปิดเพลงดังจะตายห่า" เขาก็ยังคงคิดถึงผมก่อนตัวเอง "กูคงไม่ไปอะ ฝากกินเผื่อด้วยแล้วกัน"


   "ไปดิว้า เขาไปกับหมดนะมึง"


   "ขอผ่า..."


   "ไปได้นะ" ผมแทรกขึ้น


   "หือ?"


   "ไปได้"


   "แต่..."


   ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ ทำไมผมถึงหันไปพยักหน้าให้เขาอย่างนั้นนะ "ไม่เป็นไร"
 




   ที่หนึ่งบอกว่าร้านนี้เสียงดัง ผมว่าเขาพูดผิด
   
   ร้านนี้แม่งเสียงดังฉิบหายวายป่วงต่างหากล่ะ


   "เอ้า แดกกก"


   ไม่มีอะไรที่เหมาะสำหรับการฉลองเท่าร้านหมูกระทะ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่บัญญัติขึ้นมาว่าการฉลองหลังเสร็จกิจกรรมอะไรสักอย่างต้องมาลงเอยที่ร้านปิ้งย่างอย่างนี้ด้วย ผมถูกดันมาอยู่ส่วนท้ายสุดของโต๊ะโดยมีที่หนึ่งนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป อีกฝั่งเป็นเพื่อนคนเดิมที่เดินมาหาพวกผมพร้อมบ่นไม่หยุดปากว่าโดนไล่ที่


   "ตรงนี้เป็นหม้อจิ้มจุ่มได้ป่ะวะ ปลามันปิ้งแล้วตลกอะ"


   "อย่าเรื่องมากครับไอ้นักกีฬาดีเด่น กูจะแดกเนื้อ"


   "ก็..."


   "หนึ่ง น้องกินได้" หันไปดึงแขนเสื้อคนที่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตอนอยู่บนรถ "ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก"


   อย่างที่หนึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วล่ะ ยิ่งพอเขาบอกว่ามันปิ้งปลาไม่ได้ก็รู้เลยว่าเขาคงกลัวว่าคนไม่ชอบเนื้อสัตว์จำพวกหมูอย่างผมจะกินไม่ได้ คือสุดท้ายแล้วผมก็ยังเป็นเด็กหอที่จะเสกให้ทุกอย่างเป็นดังใจเหมือนตอนที่อยู่บ้านไม่ได้ไง มีอะไรก็ต้องกินไป


   "งั้นเอาอย่างอื่นเพิ่มไหม?"


   ส่ายหัวให้พลางดันเมนูที่ยื่นมากลับ ที่จริงผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์เอนจอยอะไรอย่างนั้นเลย ยิ่งเขาทำอย่างนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ที่หนึ่งดูเหมือนปกติมากๆ ในขณะที่ผมเหมือนเป็นน้ำขุ่นที่ถูกพวกพี่ผสมให้ยิ่งมัวเข้าไปใหญ่ 
เขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้


   "ที่จริงไปกินอย่างอื่นกันก็ได้นะ"


   "อยู่กับเพื่อนบ้างแหละดีแล้ว"


   หลังซ้อมเขาก็ไม่เคยไปกินข้าวกับเพื่อนต่อสักครั้ง อยู่แต่กับผมจนถึงไม่พูดแต่ทุกคนก็พอจะเดาได้ล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นคงมีคนอื่นเข้ามาร่วมแจม ไม่ใช่อย่างตอนนี้ที่มองไปจนถึงหัวโต๊ะอีกฝั่งมันไม่มีคนอื่นนอกจากผมที่เป็นคนนอกทีม


   "น้องโรม" เสียงเพลงดังอย่างที่ถ้าไม่ตะโกนหากันก็ต้องเข้าไปใกล้จนเกือบชิด ที่หนึ่งขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เสียงของตัวเองมาถึงผม "เป็นอะไรครับ?"


   อยากจะว้ากกลับไปว่าตัวเองนั่นแหละยังเป็นคนปกติอยู่รึเปล่า คนที่เพิ่งได้ยินอะไรอย่างนั้นทำไมถึงยังทำตัวได้เป็นปกติขนาดนี้


   "เปล่า"


   "เลิกทำหน้าอึนได้แล้ว ไว้เดี๋ยวแวะซื้อไอติมเซเว่นขัดตาทัพไปก่อนแล้วกัน"


   "..."


   "ไม่อย่างนั้นต้องออกจากร้านเร็วหน่อย" ตอนนี้ผมรู้เลยว่าตัวเองเป็นนักพูดที่ห่วยแตก ในใจมีอะไรเป็นล้านที่อยากบอกออกไปแต่ก็เอาแต่น้ำท่วมปากอยู่นั่น "บอกแล้วว่าร้านนี้เสียงดัง น้องโรมไม่ชอบหรอก"


   "ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย"


   "หรืออยากออกไปข้างนอกก่อนไหม"


   "ไม่เอา" ส่ายหัวดิก เขาจะกังวลอะไรเบอร์นั้นกับการที่ผมต้องมานั่งกินข้าวเย็น คือนี่มากินข้าวไง ไม่ได้กำลังไปผจญภัยในป่าอเมซอนสักหน่อย


   "น้องโรมไม่ยิ้มเลยอะ"


   จะให้บอกไปได้ยังไงว่าก็เขานั่นแหละที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกอยู่ตอนนี้ คือผมผิดไง เรื่องที่คุยกับนิชผมผิดแบบเต็มๆ อย่างที่ไม่มีทางหาข้อยกเว้นอะไรมาลบล้างความผิดได้เลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นแสดงออกสักนิดว่ากำลังเสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป และผมจะรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าเขาทำตัวรู้ร้อนรู้หนาว จะเหวี่ยงจะดราม่าใส่อะไรก็ได้


   ถ้าเป็นผมนะ เจอเรื่องอย่างนี้เข้าไปไม่มีทางทำได้อย่างเขาหรอก


   "ปกติก็ไม่ยิ้ม" คิดว่าได้อิทธิพลเรื่องนี้มาจากไวท์


   "น้องโรมยิ้มให้พี่บ่อยจะตาย"


   "คิดไปเองแล้ว"


   อย่างผมนี่นะจะขยับปาก วันๆ อีกคนเอาแต่หาเรื่องให้ผมบ่นได้ตลอดมากกว่า


   เขารับถาดหมูสไลด์จากพนักงานมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง ผลักถาดเบคอนมาไว้กับผม งานนี้คงกะมาถล่มร้านกันอย่างจริงจังถึงมีจานอัดแน่นถึงพื้นที่จนแทบจะหาที่ว่างไม่เจอ


   "ห้ามแย่งน้องโรมกินนะมึง"


   “กูไม่กล้าหรอกครับ ไม่ต้องมองแรงขนาดนั้นได้ป่ะไอ้เหี้ย”


   สงสัยไม่ค่อยมีใครอยากร่วมโต๊ะกับผม มันเลยมีแค่เราสามคนเท่านั้น ตั้งแต่เด็กที่ผมจะชอบหลบอยู่ข้างหลังของพวกพี่ๆ มันเป็นสถานที่เสมอในความคิดผม และตอนนี้ผมก็อยากจะหลบอยู่ด้านหลังของที่หนึ่งอย่างนั้นไม่พบปะใคร เออ ก็ดี รบเร้าให้อีกคนพามาเองแล้วพอมาถึงก็ทำตัวมีปัญหา


   ผมแม่งควรได้ตำแหน่งจอมงี่เง่าดีเด่น


   “กินได้แน่นะ จะเป็นอะไรรึเปล่า”


   จำได้ว่าเคยเล่าแค่ผมไม่ชอบเนื้อสัตว์เพราะเคยเจอของไม่ดี ไม่ได้เคยไปฆ่าล้างโคตรจนโดนจองล้างจองผลาญสักหน่อย


   "ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


   "งั้นก็กินเยอะๆ”


   “เออที่หนึ่ง งานบียัวร์ไปถึงไหนแล้ววะ”


   ผมคีบเนยลงไปในถาดเหล็ก ความร้อนหลอมก้อนไขมันแบบอิ่มตัวให้กลายเป็นของเหลวในชั่วพริบตา เอาเนื้อตามลงไปเพื่อพาตัวเองให้ออกมาจากการสนทนาอย่างเนียนๆ


   "ก็ใกล้จะจบแล้วมั้ง เหลือมีไปค่ายกับชมรม แต่ยังไม่ชัวร์ว่าชมรมไหน"


   "ค่ายไรวะ ไปต่างจังหวัดเหรอ?"


   "บอกแล้วว่ายังไม่สรุป กูก็ไม่ได้เข้าไปเลยช่วงหลัง โดดไปงานนึงเลยไม่อยากเข้าไปบ่อย"


   คงไม่พ้นงานปั่นจักรยานวันนั้น เขาไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และผมเองก็เพิ่งนึกได้ว่าโครงการนี้ยังไม่จบ ก็เขาเอาแต่อยู่ติดกับผมอย่างนั้น จนนึกว่าเขาเป็นพวกว่างงานเตะฝุ่นอยู่


   "โดด? คนอย่างมึงที่เอาแต่ด่าให้กูเข้าเรียนให้ครบเนี่ยนะ"


   "เขาให้ขาดได้สามครั้งมึงก็ขาดไปสองครั้งครึ่ง คราวล่าสุดถ้ากูไม่ช่วยอ้อนวอนอาจารย์ก็หมดสิทธิ์สอบแล้วป่ะ"


   "อันนั้นแม่งสุดวิสัย"


   "อะกูให้ กินไปให้หมด ปากจะได้ไม่ว่างอีก" ที่หนึ่งย้ายเนื้อที่อยู่ในเตาไปยังจานของอีกฝั่งแบบไม่สนเลยว่าเนื้อมันสุกหมดแล้วหรือไม่ คือหนึ่ง กูเพิ่งลงไปเมื่อกี้อะ แม่งยังแดงๆ อยู่เลย


   "อ้อ พูดถึงแล้วก็เพิ่งนึกได้ น้องโรมจำเวลได้ป่ะ"


   "...จำได้"


   ชื่อที่ผมไม่อยากจำออกมาจากปากของเขา


   "วันก่อนไปเจอเวลมา มันพาไว..."


   เสียงตะโกนเฮลั่นดังมาจากส่วนหน้าของโต๊ะ ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ชายร่างเล็กบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่กำลังชูมือขึ้นเหนือหัวสองข้างด้วยหน้าปลื้มปริ่มเต็มประดา ที่เหลืออีกสองสามคนกำลังทำท่าบูชาเทพเจ้าอยู่


   "ที่หนึ่งครับบบ งานที่ส่งประกวดได้รางวัลชนะเลิศ!"


   "เหรอ”


   เขาเพียงปรบมือแปะๆ ให้ตัวเอง ดูเหมือนกับว่ารางวัลที่เพิ่งได้รับมาไม่มีผลอะไรต่อชีวิตเลยสักนิด ในขณะที่เพื่อนหลายคนส่งเสียงดังจนน่าปวดหัวยิ่งกว่าเดิม


   “มึงช่วยตื่นเต้นมากกว่านี้หน่อยสิ”


   “เย้”


   เขายกมือขึ้นคล้ายท่าเฮ แล้วก็พูดคำว่าเย้ด้วยหน้านิ่งๆ แบบที่ผมหลุดขำได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าร้านมา


   น่าจะเป็นงานที่เด็กในคณะหลายคนส่งไปประกวดอยู่เหมือนกัน ผมไม่ชอบงานอะไรที่ต้องติดต่อสื่อสารหรือใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทไปกับการสร้างผลงานชิ้นหนึ่งขึ้นเลยไม่สนใจมัน ถึงเงินรางวัลกับโอกาสที่จะได้รับการทาบทามให้ไปทำงานต่อหลังจบมันจะมีมากแค่ไหนก็เถอะ แค่เรื่องฝึกงานผมยังไม่คิดเลย จะจบเทอมหนึ่งอยู่แล้วแท้ๆ


   “ไอ้เชี่ย นี่กูหวังอะไรสูงไปเหรอวะ”


   "ทำงานมึงก็ต้องหวังชนะเลิศดิ"


   "กูหมายถึงจะได้เห็นมึงทำหน้าดีใจมากกว่านี้อะ"


   เนื้อร้านนี้อร่อยกว่าที่คิด แต่ท้องของผมมันกลับรับสารอาหารลงไปไม่ได้อีกแล้ว ผมเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ปิ้งมือฉมังให้คนอื่นในโต๊ะได้กินอย่างไม่มีสะดุด


   "ก็ดีใจนะ เย้"


   เขากดปุ่มย้อนกลับไปยังฉากก่อนหน้าที่ยกมือขึ้นแล้วทำหน้าเรียบ "พอใจยัง"


   "ใช่สิ มึงคงได้ที่หนึ่งจนเบื่อแล้วมั้ง"


   นั่นสินะ ตั้งแต่เคยได้ยินชื่อเขาครั้งแรกจนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีครั้งไหนที่เขาได้ยืนอยู่ตำแหน่งอื่นนอกจากจุดสูงสุดอย่างนั้นเลย


   "ก็เปล่า" ตะเกียบในมือของเขาส่ายไปมา "งานนี้กูช่วยนิดเดียวเอง"


   "แล้วโรมทำด้วยป่ะ?"


   ส่งเครื่องหมายเอ็กซ์กลับไป เพื่อนร่วมทีมที่ผมไม่อยากจะจำชื่อ (เพราะถ้าเริ่มจำแล้วมันต้องไปจำคนอื่นต่ออีกแหง) ขยับหัวขึ้นลงให้เป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว จากเป็นปลายโต๊ะที่สงบกว่าส่วนอื่นมันก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่อง


   "พ่อพระของลูกช้างงง"


   "มีเงินใช้ล่ะว้อย"


   "กราบ อยากได้ของบูชาเป็นอะไรครับมึง"


   บอกแล้วว่าผมมันพวกขี้รำคาญ คนมากหน่อยก็พร้อมจะเลี่ยงตัวเองไปอยู่ที่อื่นแล้ว สิ่งที่น่าอึดอัดกว่าจำนวนคนคือบรรยากาศที่ผมมองไปรอบตัวแล้วไม่รู้สึกสบายใจ ก็ใช่ว่าเป็นคนคุ้นหน้า แต่คือระดับคุ้นหน้าของผมมันเท่ากับการที่พอจำได้ไม่ใช่สนิทกัน


   ส่องหาพื้นที่สงบๆ จนเจอกับม้านั่งไม้ไผ่ขนาดยาวอยู่ด้านข้างของร้าน ผมถอนหายใจออกมาจนน่ากลัวว่าจะขาดอากาศกลับเข้าไปแลกเปลี่ยน ผมอยากเข้าใจระบบการทำงานของความรู้สึกเหมือนกัน บางทีที่เราทะเลาะกันหรือว่าผิดใจกันมันจะมีอะไรบางอย่างบอกเราว่าตอนนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ปกตินะ ความเงียบที่เกิดขึ้นตอนที่เราทะเลาะกับช่วงเวลาปกติสุขกันมันแยกได้ง่ายดายมากเลยล่ะ




   NITCH : ไปคิดให้ดีๆ นะน้องโรม พี่รออยู่




   คงไม่คิดอะไรถ้านิชส่งไลน์มาให้ในแบบห้องแชตส่วนตัว นี่เล่นส่งมาในไลน์กลุ่มให้คนอื่นเห็นทั่วกันพี่นิชของผมคงกัดไม่ปล่อย จะมาใครมาช่วยหนุนหลังผมได้บ้าง


   ที่หนึ่งเหรอ


   จากที่อาการหนักอยู่แล้วพอคิดถึงตอนที่เขาดึงผมไปกอดอย่างนั้นก็ยิ่งแย่ ถ้าเป็นสัตว์จำพวกมีหูตอนนี้ก็คงลู่จนแทบติดกับหน้า ย้ำไว้อีกครั้งตรงนี้ว่าผมไม่โอเคมากกับการเห็นเขาทำตัวแสนดีกับผมอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


   "กลับกันไหม?"


   ยังไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่ามีอยู่รายเดียวที่ติดจีพีเอสไว้ที่ตัวผมอย่างนี้ ผมกดปุ่มพักหน้าจอเพื่อให้เขาไม่เห็นว่านิชส่งอะไรมาให้ เรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนที่จะสบตากลับ นัยน์ตาสวยคู่เดิมปิดความกังวลไม่มิด


   "ไม่อะ ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ"


   เขาคงมีเพื่อนอยู่เยอะแยะ ผมแย่มากที่ทำให้เขาต้องมาติดแหงกอยู่กับผมคนเดียวอย่างนี้


   "น้องโรม..." ที่หนึ่งย่อตัวลงมาให้ผมไม่ต้องยกคอขึ้น "ไม่เห็นต้องฝืนใจมาเลย"


   "หนึ่งต่างหากที่ฝืนอะ"


   ฝืนที่ผมบอกมันมีหลายอย่าง...เขาจะรู้ไหมนะ


   "ฝืน?"


   "ไม่เห็นต้องมาติดอยู่ที่โรมเลย เพื่อนหนึ่งก็มี..." แล้วไหงผมถึงเสียงแห้งอย่างนี้ ขอบตาก็เริ่มร้อนๆ อีก


   ได้ยินเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อาการเหนื่อยหน่ายมันเบะปากของผมออก เขาต้องคิดว่าผมเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วแหง


   "น้องโรมครับ" ผู้ชายตัวสูงขยับตัวมานั่งชิดกัน จากที่นั่งหลังตรงก็โดนดึงให้ไปซบกับไหล่อีกฝ่าย กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมที่เขาใช้ประจำมันแสบจมูกจนผมน้ำตาซึม "โรมเคยบังคับให้พี่อยู่กับโรมเหรอ?"


   "เปล่า..."


   "แสดงว่าหนึ่งเต็มใจอยู่เองถูกไหม"


   "ไม่รู้"


   "โอเค งั้นรู้ไว้ว่าหนึ่งเต็มใจอยู่ ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นมากหรอก" เขาคงเดาได้แล้วว่าผมกำลังคิดมากเรื่องอะไร "ได้แต่มองน้องโรมอยู่ห่างๆ ตั้งหลายปี พอได้อยู่ใกล้จริงๆ มันก็อยากอยู่ให้ได้มากที่สุดแหละ"


   คนอย่างโรมันมีดีอะไรที่ทำให้ที่หนึ่งมาอยู่ตรงนี้


   "...เพราะต่อจากนี้หนึ่งอาจไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกเลยก็ได้นะ"


   ผมไม่รู้เลยจริงๆ
 




   ที่เข้าใจว่าร้านนี้เปิดแค่เพลงจากเครื่องเสียงกลายเป็นว่าพอเริ่มอิ่มก็กลายเป็นลานดนตรีแสดงสด ผมวางตะเกียบลงหลังจากที่งอแงจนสบายใจไปเปราะหนึ่งแล้วก็กลับมาทำลายล้างเผ่าพันธุ์สัตว์เนื้อต่ออีกยก งานนี้สบายหน่อยตรงที่ไม่มีใครกล้ามาแย่งผมกินเหมือนเตาอื่นที่ยิ่งกว่าสงครามกลางเมือง คนกินน้อยที่สุดเปลี่ยนจากผมเป็นที่หนึ่งผู้ซึ่งถูกเรียกหาตัวไปพูดคุยถ่ายรูปตามประสาจนก้นไม่ได้ติดเก้าอี้อีกเลย


   ความรู้ใหม่อีกอย่างคือเจ้าของร้านเป็นศิษย์เก่าคณะผม พอรู้ว่าเราเพิ่งชนะบาสประเพณีมาเลยร่วมแจมโดยการเปลี่ยนนักร้องมืออาชีพเป็นพวกสมัครเล่นมาร้องคาราโอเกะ บางคนกำลังกรึ่มได้ที่จากของมึนเมาก็ขึ้นไปร้องเพลงหลงคีย์ให้คนอื่นได้โห่เล่น ถึงรอบข้างจะเฮฮามากแค่ไหนผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงที่ของตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ให้หายเบื่อบ้าง ผมอัพเดตทุกโปรแกรมออนไลน์ในเครื่องจนไม่มีอะไรให้เข้าไปดูอีกเว้นแต่ไลน์ ผมไม่กล้าเข้าไปดูว่ามันมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง


   "และเพลงต่อไป ขอเชิญฮีโร่ของเราในเกมส์ครับบบ"


   ผู้ชายคนนั้นยังคงเฉิดฉายท่ามกลางฝูงคน ที่หนึ่งขึ้นไปอยู่บนเวทีหลังจากที่คุยอะไรกับคนคุมเครื่องเสียง ยามที่เขาโปรยยิ้มการค้ามันเรียกเสียงเชียร์จากเหล่าสมาชิกร่วมทีมได้ถล่มทลาย


   ...เขาเหมาะที่จะอยู่อย่างนั้น


   อยู่กับแสงสี อยู่บนที่สูง อยู่ให้สมกับเป็นที่หนึ่ง


   ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้เมโลดี้แรกของเพลงก็ดังขึ้น ผมไม่ได้ฟังเพลงไทยมากเท่าไหร่เลยยังไม่รู้ว่าเขากำลังจะร้องเพลงอะไร ที่หนึ่งทำหน้าเหวอใส่เพื่อนคนอื่นจนผมต้องหันมามองรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้น มีบางคนยังหัวเราะใส่นักร้องจำเป็น อีกส่วนหนึ่งหันมามองทางผมด้วยสายตาแปลกๆ


   "เชี่ยหนึ่ง! เผด็จศึกเลยมึง!!!"


   ผู้คนจำนวนมากกลบที่มาของเสียง นักร้องชั่วคราวบนเวลาพูดแบบไม่มีเสียงพร้อมส่งนิ้วกลางอย่างเดียวลงมาให้ผู้ชมด้านล่าง เห็นไม่ชัดแต่ก็คล้ายว่าเคยเห็นเขาในมุมเขินอายอย่างนี้มาก่อน


   "พวกมึงนะ..." คำกล่าวเบา "ช่วยรับฟังด้วยนะครับ"


 
   ปฏิเสธหัวใจอย่างไร ฉันทำไม่เป็น
   เพียงแค่เห็นเธอ เข้ามาทักทาย
   เหมือนได้เห็นความฝันที่กลับกลายเป็นความจริง



 
   มันเป็นเพลงไทยที่ผมเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจเนื้อร้องเท่าครั้งนี้


 
   หัวใจที่ไม่เคยมีรัก กลับอยู่ไม่เป็นจังหวะ
   เพียงแค่เธอส่งยิ้มมา ไม่กล้าเปิดเผยใจ
   กลัวเธอจะรู้ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

 
   จะรู้อะไรล่ะ...
 
   แอบหลงรักเธออยู่ แต่เธอคงดูไม่ออก
   ซ่อนความรักไม่กล้าบอก กลัวเธอจะเปลี่ยนไป
   ห้ามใจยังไงให้ไหว เมื่อเธอน่ารักเกินกว่าใคร
   ปฏิเสธอย่างไร เมื่อรักเธอจนไม่อาจจะถอนตัว

 


   ใครจะทำอะไรก็ช่างมันแล้ว ผมยกมือถือขึ้นมาปิดหน้าอย่างกับว่ามันใหญ่พอที่จะปิดหน้าของผมได้ทั้งหมด เขาไม่หันไปมองทางอื่นบ้างเลย มุมเดียวที่หันองศามาคือตรงที่ผมยืนอยู่ พื้นที่ที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาบังรัศมีแม้แต่เสี้ยว


   แอบบ้าอะไร นี่มันปราศรัยไฮปาร์คแล้ว


   ยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ที่ผมไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ส่งมาให้ระหว่างที่ยังไม่ขึ้นเนื้อร้องท่อนถัดไป ต่อให้มีเสียงอื่นแทรกมากแค่ไหนผมก็ไม่สนใจที่จะฟัง สิ่งเดียวที่ผมกำลังพุ่งสมาธิไปหาคือเขา ผู้ชายกลางแสงไฟที่เต็มไปด้วยความโดดเด่น




   ปฏิเสธไม่ไหว วันนี้ฉันจะบอกเธอให้รู้ตัว


- ปฏิเสธอย่างไร (ลิปตา)
 


   พูดแบบเกรงใจก็คนเล่นกีต้าร์ไม่ได้หมายความว่าจะร้องเพลงเพราะ ส่วนถ้าแบบไม่เกรงใจคือเพี้ยนวายวอด ผมปรบมือให้หลังจากท่อนสุดท้ายจบลง การปรบมือที่ไม่ใช่ตามมารยาทอย่างทุกที


   "มันแอบเปลี่ยนเพลงอะ หนึ่งไม่ได้เลือกเพลงนี้นะ"


   "แล้วตอนแรกจะร้องเพลงอะไร"


   "บัวลอย"


   "..."


   เขาทำหน้าจริงจังชนิดที่ผมไม่กล้าตกมุกกลับ


   "ฮ่าๆ ตอนแรกจะร้องเพลง XX แต่คงใหม่ไป เครื่องหาไม่เจอ" มันคือเพลงที่ผมกำลังเปิดวนลูปฟังในช่วงนี้ ที่หนึ่งรู้ดีอยู่แล้วล่ะก็เล่นเปิดมันทั้งวันตอนอยู่ในห้อง แล้วเขาก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับการเล่นซ้ำไปมาเป็นร้อยๆ รอบอย่างนั้นผมเลยไม่ได้สนใจ


   "ไม่ร้องเพลงชาติล่ะ เจอแน่นอน"


   "โห ตั้งแต่จบมอปลายมานี่ร้องนับครั้งได้เลยนะ"


   "จะได้ทวนความจำไง"


   "มันควรจะจำได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"


   "กว่าน้องจะจำบทแผ่เมตตาได้ก็ตอนมอห้าอะ"


   "ไม่ท่องได้วันจบเลยล่ะ" เขายกมือขึ้นมาโยกหัวผมไปมา หน้าเวทีเวลานี้กลายเป็นลานคนโศกไปแล้วเมื่อเพลงเศร้าเล่นต่อเนื่องกันเป็นรอบที่สาม ผมมองเหม่อกลุ่มชายหนุ่มกลางแสงไฟแย่งกันร้องท่อนฮุกของเพลง มือเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเคยชิน


   "เอ๊ะ"


   ผมอุทานออกไปเบาๆ ยามมือเราสองคนแตะกันโดยบังเอิญ หันไปมองฝ่ามือใหญ่ที่กว่าค่อยๆ ประสานทีละนิ้วเข้าหากันช้าๆ จนรับกันสนิท มุมปากที่ยกขึ้นขึ้นเรียกให้ผมทำตาม


   แล้วเราก็หัวเราะให้กันท่ามกลางเพลงช้าเนื้อหาโศก 


 
   กลิ่นเนื้อย่างที่ติดตัวอย่างที่ไม่ค่อยอยากยอมรับตัวเองมากเท่าไหร่ ผมพุ่งเข้าไปอาบน้ำทันทีที่กลับมาถึงห้องปล่อยให้อีกคนเคลียร์อุปกรณ์เล่นกีฬาที่ถูกโยนๆ มาให้ช่วยเก็บเพราะว่าเป็นคนเดียวมีรถ พวกมันก็อ้างไปอย่างนั้นแหละ เรื่องจริงคือมีแผนเมาเหล้ากันต่อไม่อยากเอาอะไรไปเป็นภาระต่างหาก


   เวลาที่ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืนบอกว่าได้เวลานอนแล้ว ที่หนึ่งหันไปมองห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังเปิดไฟสว่างแล้วชี้นิ้วถาม


   "ไวท์นอนดึกเนอะ"


   "ปกติ"


   อยากจะแก้คำ ขืนแก้ไปก็ต้องมาอธิบายไม่จบไม่สิ้น ว่าไม่ได้นอนดึก...ไม่นอนต่างหาก


   ตอนที่นอนห้องเดียวกันบอกเลยประสาทจะกิน คุณพี่สาวที่ไม่เคยสะกดคำว่าเกรงใจเป็นเหมือนเน็ทอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจ เคยสะดุ้งตื่นตอนตีสามจากการที่เธอทำของตกอยู่เหอะ กว่าจะหลับลงอีกทีก็ตีห้า แล้วต้องตื่นมาเรียนแปดโมงไง


   "อ้อ ที่ยังเล่าเรื่องเวลไม่จบ คือ..."


   "นอนกันเถอะ"


   แค่ได้ยินชื่อก็ไม่อยากจะฟังอะไรต่อแล้ว ผมสะบัดเสียงห้วนใส่แล้วคว้าน้องส้มมากอดไว้ ซุกตัวเองลงไปอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ของเขาเพื่อบังคับกลายๆ ให้อีกฝ่ายต้องยอมหยุดพูด


   เหมือนเขาพูดครับๆ ตามมาด้วยไฟห้องที่ปิดลง ในความมืดผมเห็นกลุ่มความน่าอึดอัดกระจายอยู่รอบตัว ตอนนี้ผมอยากอ่านใจคนได้ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันคือการพยายามทำตัวให้เป็นปกติอยู่หรือเปล่า


   "หนึ่ง"


   "ครับ"


   "ที่หนึ่ง"


   "หืม"


   "ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง"


   ผมเอาแต่เรียกชื่อเขาซ้ำๆ อย่างนั้นเหมือนเครื่องเล่นเพลงที่เล่นวน


   เตียงของเขามีขนาดใหญ่อย่างที่ผู้ชายสองคนนอนได้สบาย เราแบ่งฝั่งกันหลวมๆ แบบที่ต่างฝ่ายไม่มีใครเข้าไปรุกล้ำมากจนเกินพอดี ปกติแล้วผมจะนอนกอดหมีส้ม (ซึ่งตอนนี้เป็นกอดหมีส้มกับเจ้าม่วงสลับกันไปตามมาอารมณ์) ส่วนที่หนึ่งนอนแบบไม่ต้องใช้อะไรเสริมทั้งนั้น


   ยิ่งข่มตาให้หลับมากแค่ไหนภาพเขาบนเวทีก็ชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น ผู้ชายที่ควรค่ากับการอยู่บนจุดสูงสุดกับการกระทำที่ผมเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้ามันจะต้องส่งผลอะไรบางอย่าง หันมามองคนที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่อย่างนั้นแล้วไม่พอใจอย่างไรไม่รู้ ถึงมันจะไม่ต่างจากหลายคืนที่ผ่านมาก็เถอะ


   "หันมาหน่อย"


   เขาหันมาหาผมอย่างว่าง่าย "ยังไม่ง่วงเหรอ"


   ส่ายหัวไปมาเป็นการปฏิเสธ ผมเขยิบตัวเองเข้าไปจนระดับความใกล้ของเราไม่ต่างอะไรกับที่เคยเขาดึงผมไปกอดจนชิด จากที่นอนแยกกันคนละหมอนมันก็เป็นสองคนบนหมอนเดียวกัน ความมืดแม้จะเสกให้ผมกลายเป็นคนตาบอดแต่มันก็เพิ่มประสาทสัมผัสการรับรู้ส่วนอื่นให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น 


   กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำสูตรเย็นคุ้นจมูก เสียงลมหายใจของเขาผ่อนลมเข้าออกสลับไปมา เราสองคนต่างปิดปากสนิทเหมือนกำลังเล่นเกมส์ที่ใครพูดออกมาก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ความน่าหงุดหงิดใจบอกให้ผมเคลื่อนมือไปแตะตรงบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของเขา ให้รู้กันไปเลยว่าคนข้างกายยังคงมีหัวใจอยู่หรือเขาไร้ใจจนไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้เลย


   "น้องโรม?"


   ร่างกายเขาตอบผมกลับผ่านจังหวะการเต้นที่เร็วกว่าปกติ ความหน่วงเหมือนกำลังทำโจทย์ที่ใช้ตัวช่วยมากแค่ไหนก็แก้ไม่ออก จนยอมแอบเปิดดูเฉลยจนรู้คำตอบแล้วปลอบใจตัวเองว่าได้คำตอบก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้วิธีแก้หรอก


   ผมไม่อยากหาคำอธิบายให้สิ่งที่กำลังทำอยู่ สำหรับผมการเลือกแบ่งได้เป็นสองแบบคือใช้สมองไตร่ตรองคิดวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียจนครบทุกด้านกับใช้ความรู้สึกถูกชะตากับมัน แน่นอนว่าแต่ละอย่างก็แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดนั้น


   และตอนนี้ผมเลือกโดยใช้หัวใจ


   "...กอดหน่อยได้ไหม"


   ผมอยากอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง


***
   สวัสดีวันตรุษจีนค่ะ /จุดพลุ
   เป็นวันที่ต่อให้อยากนอนตอนรับอากาศเย็นๆ มากแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะโดนเสียงพลุมาทักทายตลอดเวลาค่ะ (ฮา) ขอให้เฮงๆ กันตลอดไปนะคะ (ยิ้ม)

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #292 เมื่อ07-02-2016 21:42:46 »

 :L2: :L2: :mc4:

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #293 เมื่อ07-02-2016 22:27:20 »

โอ้ยๆ กอดแน่นๆเลยน้าาาา เขินมากตอนร้องเพลงงงง >///////< รู้สึกถึงความหน่วง อึดอัดไปพร้อมๆกับความหวานลึกๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #294 เมื่อ08-02-2016 00:49:46 »

พอเป็นคู่นี้มันสั้นทุกทีเลย

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #295 เมื่อ08-02-2016 09:02:31 »


ถ้าคิดเยอะแล้วมันหนักหนาก็เลิกคิดเถอะน้องโรม
พี่ที่หนึ่งกอดน้องแน่นๆ ห้ามปล่อยเลยนะ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
«ตอบ #296 เมื่อ10-02-2016 14:22:17 »



จากที่คิดว่าแค่สงสารที่หนึ่ง ตอนนี้เริ่มจะโคตรสงสารพ่อพระเอกของเรื่องนี้สุด ๆ ไปเลย
ใครมันจะรักมั่นและปักหลักกับน้องโรมที่โคตรมีปมอดีตเยอะแยะได้มากเท่าที่หนึ่ง... คงไม่มีอีกแล้วแหละ
อ่าน ๆ ไปนี่ก็นึกนะว่า ถ้าเกิดที่หนึ่งถอดใจจากน้องโรมเอากลางคัน น้อมโรมจะรู้สึกตัวบ้างไหมว่าตัวเองเดินมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากแล้ว และบาดแผลหลังจากที่หนึ่งหายไปคงจะกรีดลึกอยู่ในใจน้องโรมไปอีกนานเลยทีเดียว

เฮ่อ... เป็นพระเอกของน้องโรมต้องอดทน โดนสงครามประสาทหล่นใส่ต้องไม่ตาย (ตบบ่าที่หนึ่งปุ ๆ )
รออ่านตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^  :pig4:



ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
«ตอบ #297 เมื่อ11-02-2016 22:48:27 »

บทที่ 18.1


   วันที่สิบห้า เดือนกันยายน เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเด็กชายโรมันได้ลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก

   วันนี้วันเกิดของผม

   "น้องเอ๋อตื่น"

   ตาทั้งสองข้างเปิดกว้างตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วส่งสัญญาณไปให้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องรู้ว่าหลุดออกมาจากโลกแห่งความฝันแล้ว แบล็คมีหน้าที่ปลุกผมตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านนี้ ตอนแรกก็เป็นไวท์อยู่หรอกแต่คือผมไม่ตื่นอะ เสียงเรียบๆ นิ่งๆ อย่างนั้นฟังไปก็กลายเป็นเพลงกล่อมเด็กให้นอนต่อมากกว่า พอแฝดเปลี่ยนตัวผู้เล่นเป็นพี่ชายคนโตผมเลยโดนสารพัดวิธีปลุกให้ตื่น จนเป็นโรคจิตแค่ได้ยินเสียงก็ต้องดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้ว ไม่เหมือนที่หนึ่งปลุกเบาๆ ก็ตื่น

   "...แม่ง"

   หลุดคำหยาบออกไปตอนที่คิดถึงอีกคน ผมขยี้หัวที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่มากกว่านี้หน่อย มืออีกข้างคว้ามือถือมาตรวจสอบว่ามีข้อความที่ต้องการเพิ่มขึ้นมาหรือไม่

   ...แล้วมันก็ไม่มี

   เป็นการเริ่มต้นวันที่แย่มาก

   "อย่าเพิ่งเล่นมือถือ ล้างหน้าแล้วลงไปตักบาตรก่อน เดี๋ยวพระหมด"

   "อือออ" อือๆ ออๆ แต่ก็ยังคงตรวจดูแอพอื่นว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ต่อไป

   "น้อง โรม"

   เสียงกึ่งไม่พอใจบอกให้วางมือถือลง ผมเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวด้วยความไวแสงแล้วลงไปสมทบกันคนอื่นในบ้านที่รออยู่บริเวณห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว

   "คุณพินิจสวัสดีครับ"

   ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน คุณพินิจเป็นผู้ใหญ่วัยเกือบห้าสิบที่เห็นจากภายนอกก็ให้ความรู้สึกเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง จนได้เห็นนามสกุลนั่นแหละถึงรู้ว่าผู้ชายที่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงสามส่วนสมัยอากงจะเป็นเจ้าของธุรกิจสีเทาหลายอย่าง ผมเองไม่รู้อะไรมากไปกว่าบ้านนี้มีอาวุธอันตรายซ่อนไว้สำหรับป้องกันการบุกรุกเต็มไปหมด ถ้าลองรื้อดีๆ ก็อาจเจอปืนสั้นบรรจุกระสุนเต็มเก็บไว้ข้างชั้นวางของก็เป็นได้ เชื่อเถอะ ผมกับแบล็คเคยเล่นเป็นนักสำรวจมาแล้ว

   ไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเรียกผู้ใหญ่สุดในบ้านด้วยชื่อนี้ แม้แต่ลูกแท้ๆ ถ้าเป็นการคุยต่อหน้าหรือคุยกับบุคคลที่สามที่มีเจ้าตัวอยู่ในวงสนทนาด้วยก็ต้องเรียกว่าคุณพินิจเช่นกัน มันดูเหมือนจะเก๋าแต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมารองรับอยู่ไม่น้อยที่ลูกต้องมาอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างนี้

   ฝาแฝดไม่ค่อยเหมือนพ่อถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ถ้าลองรู้จักแล้วจะไม่แปลกใจเลยที่เขาสองคนเติบโตมาได้อย่างเข้มแข็งและสวยงามขนาดนี้ พวกเขาได้วิญญาณจากพ่อมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยล่ะ

   ส่วนผมในฐานะลูกบุญธรรมที่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลเลยไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ และผมเองก็ไม่อยากเล่าประวัติความเป็นมาให้ใครฟัง ก็เคยเล่าไปแล้วไม่เห็นมีใครเชื่อเลยเลิกเล่าดีกว่า

   “เมื่อคืนนอนดึกนะ เกือบตีหนึ่งแล้วลุงยังเห็นไฟห้องเปิดอยู่แล้ว”

   "แฮะๆ"

   "เอาแต่เล่นเกมส์ล่ะสิ"

   “เปล่าสักหน่อย”

   จะบอกว่านอนดึกก็ไม่เชิง คือผมคงหวังอะไรมากไปหน่อยเลยยอมรอถึงเที่ยงคืนเพราะคิดว่าจะต้องมีข้อความส่งมาสุขสันต์วันเกิดแน่ๆ

   แล้วเป็นไงล่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังศูนย์ข้อความ

   "แบล็ค ดูแลน้องด้วยสิ"

   "มันอายุยี่สิบแล้วคุณพินิจ"

   "แล้วเป็นน้องอยู่รึเปล่า"

   "เป็น"

   "พ่อเคยพูดไว้ว่าไง?"

   "เป็นพี่ต้องดูแลน้อง" ราชาชิงท่องประโยคที่ถูกกรอกหูจนขึ้นใจ ไม่ต่างกับผมและไวท์ที่ทำปากขมุบขมิบตามไปด้วย ประโยคนี้คือ 'คำสั่ง' ที่พวกเราจำได้ดี ใครเกิดก่อนมีหน้าที่ต้องดูแลปกป้องคนที่เด็กกว่า นั่นรวมถึงแบล็คยังคงต้องดูแลไวท์เช่นกันแม้ว่าจะเกิดห่างกันไม่กี่นาทีก็เถอะ

   ผมไม่ได้อยากกลับบ้านสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นธรรมเนียมของทั้งบ้านที่จะต้องลงมาทำบุญตักบาตรในตอนเช้าของวันเกิด เลยต้องยอมแหกขี้ตาตื่นมารับพรให้คุณพินิจสบายใจ ผมน่ะลูกชายดีเด่น ไม่เหมือนที่เหลือหรอก

   รอจนพระสงฆ์รูปสุดท้ายลับตาไปถึงถ่ายรูปโต๊ะว่างเปล่าไปให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดดูว่าเช้านี้ได้ทำอะไรไปบ้าง ตอนนี้บุพการีของผมกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปดูงานที่แถบละตินอเมริกา เวลาของนี่นู่นน่าจะยังไม่พ้นวันใหม่เลยไม่มีข้อความจากท่าน

   เล่าความเป็นมาแบบย่อมากที่สุดคือการที่ผมมารู้จักกับฝาแฝดได้มันเกิดขึ้นจากการที่แม่ของเราสามคนเป็นเพื่อนกันมาก่อน ไม่รู้ระดับความสนิทเพราะไม่เคยมีใครเคยบอก ผมเกิดทีหลังแต่ยังอยู่ในปีเดียวกัน ความเป็นลูกคนเดียวบวกกับลักษณะนิสัยส่วนตัวของผู้ให้กำเนิดที่ไม่ชอบอยู่กับที่ไหนที่หนึ่งนานๆ เลยถูกโยนมาให้ทางนี้ช่วยเลี้ยงให้เพราะเราเกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แล้วมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยช่วงประถมมันเลยทำให้ผมต้องมาเป็นลูกบ้านนี้ตามกฎหมาย แบล็คเล่าว่าข้อดีคือผมสามารถรับมรดกของทั้งสองบ้านได้เต็มจำนวน น่าดีใจจริงๆ

   จบภารกิจช่วงเช้าแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง คุณพินิจออกไปทำงาน พี่ชายสีดำของผมเดินหายเข้าไปในสวนป่าหลังบ้าน พี่สาวก็ได้เวลานอน ส่วนผมเองกลับไปข่มตานอนโดยที่หวังว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งจะได้เห็นสิ่งที่หวังไว้

   เทวดาคงเกลียดผมมากเลยแกล้งอย่างนี้ หน้าเฟสบุ๊คของผมมีเพื่อนสองสามคนมาอวยพรตามที่มีระบบแจ้งเตือนวันเกิด คือขนาดคนที่ผมไม่ค่อยรู้จักยังมา แล้วทำไมมันถึงไม่มี

   ถูกต้อง

   ที่หนึ่งยังไม่โผล่มาอวยพรวันเกิด

   มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน คนที่บอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้วก็รู้มากอย่างที่ผมตะลึงในหลายๆ ครั้งจะจำข้อมูลสำคัญอย่างนี้ไม่ได้เหรอ เขารู้วันเกิดผมเพราะเขาเคยบอกได้ถูกต้องว่าผมเกิดวันไหน แล้วตอนที่ผมบอกเขาว่าต้องกลับไปนอนบ้านนะก็ไม่เห็นจะถามเลยสักคำว่าทำไมต้องกลับ แถมยังมาส่งผมถึงบ้านอีก อย่างนี้จะให้คิดว่าไง

   เขาลืมวันเกิดผมเหรอ คือมันไม่ควรเป็นอย่างนี้ป่ะ

   "มึงเป็นแอตลาสหรือไง แบกโลกไว้แต่เช้า"

   "เสือก"

   "ไม่ใช่ว่าเป็นวันเกิดมึงแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ"

   "โอ๊ยยย อย่ามายุ่งกับกูได้ป่ะ"

   ตีรวนระดับสิบ โยนโทรศัพท์มือถือลงกับพื้นพรมในห้องนั่งเล่นแล้วเอาหมอนขนเป็ดมาปิดหน้าไว้ไม่ให้ใครยุ่งอีก

   “เป็นอะไรของมึง วันเกิดไม่ใช่เหรอวะ”

   ก็วันเกิดไง!

   ส่งมาแค่สามตัว HBD มันยากตรงไหนถามหน่อย สติกเกอร์มีเป็นล้านก็จิ้มๆ สองทีมันก็ส่งมาถึงผมแล้ว!

   “มึงไปจะไปรมควันที่ไหนก็ไปเลย”

   “ถ้ามึงยังนอนไม่พอกูแนะนำให้ขึ้นไปนอนต่อนะน้องเอ๋อ”

   "ไปไกลๆ จากสายตากูก็พอ"

   "ปิดหน้าอย่างนั้นคงเห็นอะไรหรอก"

   ปล่อยเสียงของพี่ชายให้หายไป ผมเบ้ปากอยู่ใต้หมอนใบเขื่อง สาปส่งคนที่คิดถึงให้รู้ตัวเสียบ้างว่ากำลังทำอะไรผิดอยู่ บางทีอาจมีงานด่วนอะไรสักอย่างก็ได้ เขาเป็นคนของประชาชนอยู่แล้ว

   ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจผมหรอกน่า

   “สุขสันต์วันเกิดน้องโรม”

   ช่วงเที่ยงเสียงกริ่งก็ดังก้องทั่วบ้าน ปีนี้ไม่รู้ว่าพิเศษกว่าทุกปียังไงนิชถึงมาพร้อมกับของขวัญกล่องใหญ่ แทนที่จะเป็นรูปวาดที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ในแต่ละปี ผมเขย่าๆ ฟังเสียงเพื่อคาดเดาว่าข้างในมันคืออะไรก่อนถามกลับ

   "ทำไมมาเป็นกล่อง?"

   นิชทำหน้าเบื่อก่อนตอบ "เจ้านายฝากมาให้ด้วย"

   "ให้กูเหรอ"

   "อืม รับๆ ไปเถอะ"

   "มีคนเลี้ยงนี้มันดีจังน้า" เสียงหัวเราะประหลาดๆ ของเน็ทมาพร้อมกับการกระทุ้งสีข้าง "อิจฉาาา"

   "แม่งจ่ายเองไม่ถามกูป่ะล่ะ เดี๋ยวเงินเดือนกูออกมาแล้วหายไปก็รู้เองนั่นแหละ"

   พี่นิชกำลังเดือดร้อนเพราะผมรึเปล่า สงสัยเป็นเจ้านายของวงดนตรีที่ไปเล่นให้ล่ะมั้ง เพิ่งเห็นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นตอนเล่นดนตรีอยู่ที่ไหนสักแห่ง เท่สุดยอด

   “ล่ะของขวัญกูอะ?”

   รอจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นว่าจะมีของชิ้นไหนอยู่ในมือของเน็ทเลย

   “ทวงจัง ปีที่แล้วมึงให้กูเลท ปีนี้กูก็จะให้มึงเลท จบนะ”

   “ไหงงั้นนน”

   ปีที่แล้วผมสั่งของขวัญเป็นรองเท้าหนังแบบที่เน็ทบ่นๆ ว่าอยากได้ แต่เพราะมันเป็นของพรีออเดอร์เลยต้องรอตามรอบ และกว่าของจะส่งถึงผมมันก็เลยวันเกิดพี่ชายคนนี้ไปนานแล้ว ผมไม่ผิดสักหน่อย

   “เสมอภาคเว้ยน้องโรม”

   "เสมอแป๊ะไรของมึง พากูไปเลี้ยงเค้กเลย"

   "ไม่"

   "เน็ททท"

   "ปกติไม่เห็นมึงสนใจวันเกิด ปีนี้เป็นบ้าไรขึ้นมา"

   โดนผลักจนหน้าหงาย ผมลงไปจมอยู่ในโซฟาอีกครั้งโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ว่างของที่นั่งขนาดยาว ไปนั่งตรงเก้าอี้เดี่ยวแล้วกันนะ เจ้าของบ้านขอยึดหน่อยเถอะ

   อิทธิพลไม่สนใจวันเกิดของผมคงมาจากทิวาราตรีนี่แหละ พวกเขาไม่ค่อยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับวันเกิดมากเท่าไหร่มันเลยทำให้การฉลองหายไปโดยปริยาย แล้วมันก็คงตลกดีถ้าคนอย่างผมจะมีงานเลี้ยงในขณะที่ลูกจริงไม่มีแม้แต่เค้กวันเกิด

   ไม่มีงานเลี้ยงนี่ผมไม่สนหรอก ก็อยากให้โทรมาหน่อยไหมล่ะ หวังน้อยๆ แค่ส่งข้อความมาในไลน์ก็ยังดี

   "เหม่อไร"

   จอมหวงที่มือหนักต่างจากรูปร่างฟาดมาที่แก้มของผมเต็มแรง เล่นเอาสติที่หลุดไปอยู่ในโลกความคิดวิ่งกลับมาอยู่ในร่างแทบไม่ทัน เมื่อไหร่แม่งจะเลิกใช้กำลังทำร้ายร่างกายคนอื่นสักที

   "เปล่า"

   "กูเรียกมึงมาสามรอบแล้วไม่ตอบยังบอกว่าเปล่า แม่งเอ๋อจริงน้องกู"

   "ไม่มีของขวัญก็กลับไป"

   "เชี่ย มึงจะปีกกล้าขาแข็งไปหน่อยล่ะ ถึงกับไล่พี่แล้วเหรอ" เน็ทกระโจนเข้ามาหาพลางถลกแขนเสื้อขึ้นจนสุด ผมที่เห็นลางร้ายใกล้เข้ามาเลยรีบลุกออกมาหาที่กำบังอย่างหลังของนิช

   "พี่นิชชช เน็ทจะแกล้งโรมอะ"

   "ทำไมมึงไม่เรียกกูว่าพี่บ้างวะ..."

   ความสูงของพวกเราสามคนไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ก็ไม่ใช่เตี้ยแคระ ความสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าของพวกเราเมื่อเทียบกับผู้หญิงแล้วมันไม่ได้แย่ แต่พอลองเอาไปเทียบกับคุณพ่อแบล็คแล้วก็กลายเป็นเด็กตัวเล็กที่ได้รับกรรมพันธุ์ตัวเตี้ยมาจากฝั่งแม่ทั้งหมด ไม่มีใครได้ยีนสูงมาจากพ่อเลย น่าเศร้าจริง

   เพราะงั้นตอนที่ผมหลบไปอยู่ด้านหลังของนิชมันเลยไม่ค่อยช่วยเป็นที่กำบังให้มากเท่าไหร่ในเรื่องของส่วนสูง และวันนี้คุณพี่นิชของผมก็คงไม่ได้อยู่ข้างลูกชายคนเล็กเลยเปิดโอกาสให้ลูกอีกคนแกล้งได้ตามใจชอบ เล่นกับเน็ททีไรได้แผลตลอด ไม่ชอบเลย

   "เพราะตอนนี้กูอายุเท่ามึงแล้วไง"

   ข้อดีของการอายุยี่สิบแล้วคือจะผมสามารถเถียงกลับไปได้ว่าตอนนี้อายุเท่ากันแล้ว

   "แก่ขึ้นนี่ภูมิใจเนอะ"

   “แน่นอน ก็พวกมึงชอบข่มกูเรื่องนี้อะ”

   “เกิดช้าสุดทำไมล่ะมึง พวกกูไม่ผิด”

   “พอๆ ทะเลาะอะไรกันอยู่นั่น” เจอฤทธิ์คุณแม่ปีศาจตบบ้องหูไปคนละทีถึงยอมสงบ "เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันแหละ ฉลองวันเกิดหน่อย"

   "เน็ทเลี้ยง"

   ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเดิม

   "ไม่!!"

   "งกสัตว์ วันเกิดน้องมึงเลยนะ"

   "วันเกิดกูนอกจากมึงจะไม่ให้ของกูแล้วมึงยังไม่ไปเลี้ยงฉลองต่อกับกูครับ เรื่องอะไรกูต้องเลี้ยง"

   เน็ทคือกฎแรงสะท้อนกลับ ใครมาดีเขาก็ดีกลับ ใครมาร้ายก็จะร้ายกว่า เจ้าคิดเจ้าแค้นแม้กระทั่งเรื่องจุกจิกจนไม่มีใครทนได้ เรื่องที่เอามาอ้างคืองานวันเกิดของเน็ทเมื่อต้นปี กว่าผมจะกล้าสารภาพออกไปว่าไม่ได้เอาอะไรติดมือมาเลยก็ทำเอาอีกคนโล้งเล้งจนงานเกือบล่ม พอจะไปต่อกันที่ผับแถวทองหล่อผมก็ไม่อยากไปต่อเพราะมันไม่ใช่ทาง คุณเจ้าของวันเกิดเลยงอนผมไปหลายวันอยู่ ต้องเอาของไปถวายถึงยอมเลิกเล่นตัว

   "เรื่องชาติที่แล้วลืมๆ ไปบ้างก็ได้นะมึง"

   "พอดีมันเป็นเรื่องชาตินี้กูเลยยังจำได้ว่ะ"

   "มึงจะกลับแล้วเนอะ เดี๋ยวกูไปส่งหน้าบ้าน"

   "กู ไม่ กลับ" ลืมไปได้ยังไงว่าเน็ทเป็นที่สุดของความดื้อ "บอกว่าจะไปกินข้าวไม่ใช่เหรอ ไปลากไวท์ลงมาสิ เดี๋ยวกูกับนิชเลือกร้านเอง"


 
   มันเลยกลายเป็นว่าพวกเรายกพลกันออกมากันที่ร้านอาหารกลางเมือง มีคุณพินิจเป็นผู้สนับสนุนหลักในส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดแทนการไถ่โทษที่ปีนี้ไม่สามารถมาเลี้ยงได้ด้วยตัวเอง

   "สั่งดิน้องโรม เลิกกดมือถือสักทีได้ป่ะ"

   "สั่งไปเลย"

   นี่มันบ่ายสามแล้วนะ ทำไมไลน์ไม่กระเตื้องขึ้นเลยล่ะ ผมเปิดหน้าจอสนทนาครั้งล่าสุดที่เขาส่งมาเตือนว่าอย่าลืมทำการบ้านวิชาบัญชีขั้นสูงเมื่อสองวันก่อนแล้วเปลี่ยนไปใช้ไวไฟฟรีของร้านในการเชื่อมต่อแทนที่จะเป็นสามจี ก็เผื่อว่าเน็ตผมโดนตัดไม่รู้ตัวอะไรอย่างนี้ไง

   พอผมเปลี่ยนไปใช้ไวไฟ หน้าจอโฮมสกรีนตรงกล่องแอพพลิเคชั่นไลน์ก็มีการจุดสีแดงขึ้นมาทันตา ผมรีบกดเข้าไปดูด้วยความรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ใจมุ่งมาดว่าจะต้องเป็นคนที่ผมรออย่างแน่นอน

   F : [LINE เกมเศรษฐี]

   "..."

   มันจะมากเกินไปแล้วนะที่หนึ่ง

   "ถ้ามึงยังก้มหน้ากูจะปามือถือมึงทิ้ง"

   "มึงไม่ยุ่งเรื่องกูสักวันคงไม่ตายหรอกเน็ท"

   "กูจะยุ่ง"

   "แบล็คแม่งก็เล่น ทำไมไม่ด่า"

   "กูทำงานครับ"

   “งานเหี้ยไร เทสิ นี่เวลาครอบครัว”

   คนที่สะกดคำว่ามารยาทเป็นแต่ไม่รู้ความหมายและวิธีการใช้ชะโงกหน้าไปดูงานที่อีกคนว่า เขาไล่สายตาตามหน้าจอแล้วแปรจากอารมณ์ดีเป็นพิโรธทันตา

   “ปิด!”

   “บอกแล้วไงว่าทำงานอยู่”

   "ทำงานบ้าอะไรของมึง!"

   ถ้าให้ผมบอกรายละเอียดของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าคือจอมโวยวายที่นั่งริมขวาสุดกำลังขึ้นเสียงใส่แบล็คที่อยู่ตรงกลาง ถัดจากนั้นก็มีผู้หญิงคนเดียวของโต๊ะสร้างบาเรียขึ้นมากั้นรอบตัวไว้ไม่ให้ใครเล็ดรอดเข้าไปรบกวนความสงบสุข ส่วนคนที่นั่งฝั่งเดียวกับผมอย่างหนุ่มแว่นกรอบใหญ่ก็กำลังใช้สมาธิขีดเขียนอะไรลงบนหลังมือผมอยู่

   อีกหนึ่งอาชีพที่ผมว่าเหมาะกับนิชคือช่างสัก เด็กศิลปะที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายดายไปเสียทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือสมมติว่าคุณเดินเข้าร้านสักแล้วพบกับผู้ชายตัวผอม ผิวขาวซีด ใส่แว่นหนาเตอะนั่งต้อนรับแขกก็คงไม่มีความน่าเชื่อถือหรอกใช่ไหมล่ะ

   "ทำไมไม่มีปลาเลยอะ" ประท้วงขึ้นหลังจากที่พนักงานนำอาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะ

   "ก็ไม่ยอมเลือกเอง อย่ามาบ่น"

   "ถ้าเป็นที่..." ดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน ไม่งั้นอาหารมื้อนี้ได้ล่มแหง เกือบเอาอีกคนมาเทียบแล้วไหมล่ะ ที่หนึ่งไม่เคยเลือกอาหารที่ผมไม่ชอบหรือทานไม่ได้ ไม่มีครั้งไหนที่ผมต้องออกปากเอง สุดท้ายของที่ลงกระเพาะมันก็เป็นอะไรที่ผมกินได้ทั้งหมด

   "อะไร?"

   "...เปล่า"

   "ไหนใครบอกว่ากินปลาแล้วฉลาดไงวะ น้องกูแม่งไม่เห็นจะมีอีคิวสูงขึ้นบ้างเลย"

   พ่อ มึง ตาย

   ด่ากลับไปแบบที่ขยับปากแต่ไม่ออกเสียง ผมก้มลงเขี่ยๆ ข้าวกล้องในจานโดยไม่ตักกับชนิดใดมาใส่ แต่ละอย่างถ้าไม่เผ็ดก็เป็นเมนูเนื้อสัตว์ที่ดูเลื่อนจนทานไม่ลง คนอื่นชอบแต่ผมไม่ชอบด้วยนี่

   "เรื่องมากล่ะเสือกงอแง พี่ครับ ไข่เจียวปูเพิ่มจานนึง"

   ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง เน็ทด่าผมเสร็จก็หันไปเพิ่มเมนูกับบริกรที่เดินผ่านมาพอดี เมนูเด็กน้อยที่ไม่ต้องเดาว่าเขาสั่งให้ผมกินก่อนที่จะกลายเป็นข้าวกล้องบูดไป ถ้าพวกเราออกมาทานข้าวนอกบ้านจะต้องมีการสั่งแยกไว้ให้ผมต่างหาก เพราะผมเรื่องมากเรื่องการกินด้วยแหละ ไม่กินเผ็ดแล้วยังไม่ชอบเนื้อสัตว์อย่างหมูหรือไก่ วิธีตัดปัญหาที่ง่ายสุดก็ให้ผมแยกกินไปให้หมดเรื่อง

   เสียงคุยกันข้ามฝั่งไปมากลายเป็นเสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเซรามิค ผมกลับไปอยู่ในโลกของหน้าจอสี่เหลี่ยมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้เพื่อลุ้นสิ่งที่คาดหวัง ถึงไม่มีก็ยังทำอย่างอื่นบนแผ่นดิจิตอลไปเรื่อยเผื่อว่าถ้ามีการแจ้งเตือนขึ้นมาผมจะได้ตอบทันท่วงที

   ลายวาดสีดำไม่มีอะไรแซมตรงหลังมือดึงความสนใจทั้งหมดไป ผมยกมือของตัวเองขึ้นมาดูว่าพี่ชายสายศิลปะรังสรรค์อะไรบนผิวหนัง มันเป็นรูปวาดด้วยหมึกเมจิคสีดำสนิทอย่างเดียวเป็นตัวอักษรที่ผมอ่านไม่ออกโดย ฟอนต์แบบโรมันที่มีเถาไม้เลื้อยสักชนิดพันเกี่ยวไว้อย่างลงตัว

   ไม่อยากจะลองเดาว่าเพราะอะไรนิชถึงทำอย่างนี้

   ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ให้คำตอบนิชไป เขาเองก็ดูไม่ใส่ใจที่จะตามจิกเอาสิ่งที่ต้องการผมเลยทำเป็นเมินไปเสียอย่างกับว่าวันนั้นเราไม่ได้มีข้อตกลงอะไรกันเกิดขึ้น ที่หนึ่งกับผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเดิม เช้าวันถัดจากนั้นตอนที่ผมตื่นมาก็ยังมีไออุ่นจากเขาโอบล้อมไว้ไม่เปลี่ยนไป และเขาไม่เคยปฏิเสธถ้าคืนไหนผมจะแทรกตัวเข้าไปอย่างนั้นอีก ไม่มีใครขุดเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วมาพูดซ้ำอีกสักประโยค เราต่างปล่อยมันให้หายไปกับเวลา เสมือนหนึ่งว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพียงฝันร้ายที่จากไป

   "มึง ยึดโทรศัพท์แม่งที"

   "นิช!" เรียกชื่อเขาเสียงแหววตอนที่โทรศัพท์ของผมมันหายไปอยู่ในมืออีกคนแทน

   "น้องโรมกินข้าวก่อน"

   "ไม่หิวแล้ว"

   "แต่พี่หิว"

   แปลแบบง่ายๆ ก็คือผมจะไม่มีทางได้มือถือคืนจนกว่ายอมกินข้าวให้หมด นิชมองผ่านอาการกระฟัดกระเฟียดของผมไปเสียอย่างนั้น ส่วนเน็ทพอได้ดั่งใจก็เจริญอาหารมากขึ้น ตามจริงแล้วเจ้าของวันเกิดไม่ควรจะมีใครขัดใจไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงวินาทีนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรตามใจสักอย่างเลย

   "กิน"

   ไม่ค่อยอยากจะเชื่อทั้งหูแล้วก็สายตามากเท่าไหร่ เมื่อหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มพูดออกมาเป็นคำแรกของวัน ไวท์ตักไข่เจียวปูออกมาส่วนหนึ่งใส่ไว้ในจานของผม ถ้ากดดันขนาดนี้คงทำได้แค่ก้มหน้ากินตามที่ทุกคนต้องการ จะว่าไปเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

   ใช้เวลาไม่นานพนักงานก็กลับมาเก็บจานเปล่าออกจากโต๊ะไปจนหมด ผมแบมือขอของที่โดนยึดคืนจากหนุ่มแว่นข้างตัวทันที ต้องเช็คว่าที่หนึ่งจะส่งอะไรมาให้ผมบ้างรึยัง นี่ผมจะโทรไปตามจิกแล้วนะ ถ้าลืมคืนนี้มีเฮแน่

   "มองโทรศัพท์มากๆ เดี๋ยวก็สายตาเสียแบบพี่หรอก"

   ...แล้วก็โดนปฎิเสธกลับมานิ่มๆ

   ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้พี่ชายฝั่งตรงข้าม ชี้ไปหานิชว่าช่วยคุยให้หน่อย แบล็คมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมาด้วยความระอาเต็มทน ถอนหายใจออกมาเสียงดังขณะกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองแบบเดิม นี่ราชาครับ ถ้าไม่ช่วยกันอย่างนี้ไม่ต้องโผล่หน้าขึ้นมาเลยก็ได้นะ ไม่มีประโยชน์เลย

   คอสเพลย์เป็นไวท์ด้วยการมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นเรื่องปกติในวงสนทนาของเราที่จะมีคนพูดอยู่แค่สี่ราย ไวท์จะนั่งฟังเงียบๆ ไม่ก็จมอยู่กับสมุดเล่มใหญ่ของตัวเอง แต่ละคนทำอะไรที่ตัวเองชอบโดยที่ไม่ได้มองว่าเป็นการไม่ให้ความร่วมมือ

   เค้กต่างชนิดหกชิ้นในถาดใหญ่วางลงตรงหน้า เสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดดังแค่ในระดับที่ไม่รบกวนลูกค้ารายอื่นในร้าน เราฉลองวันเกิดกันซึ่งหน้าอย่างนี้นั่นแหละ ไม่ต้องมีงานเลี้ยงหรูหราหรือของขวัญมูลค่าสูง แค่ระหว่างที่เราล้อมวงกันแล้วมองไปเห็นครบทุกคนแค่นั้นมันก็มากเกินพอ ผมว่าผมเป็นคนโชคดีที่ได้มาเจอพวกเขา เข้าใจว่าแต่ละครอบครัวก็มีฐานะหน้าที่ต่างกันไป ผมจำไม่ได้ว่าเคยล้อมวงแล้วพ่อแม่ร้องเพลงให้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมรู้แค่ในทุกปีจะได้ยินเสียงประสานที่คุ้นเคยคอยบอกผมว่าเราจะอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน

   "พวกมึงไม่คิดจะเซอร์ไพรส์กูบ้างเลยเหรอ"

   "ที่มากินร้านนี้เพราะเน็ทบอกว่ามึงชอบเค้กที่นี่ พอยัง"

   "เป่าๆ ไปได้แล้วมึง" 

   หน้าของคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตลกจนผมฉีกยิ้มกว้าง เน็ทแก้เก้อโดยการดันถาดใส่เค้กให้มาใกล้กับผมมากกว่าเดิม พี่ชายจอมเอาแต่ใจของผมนี่ก็มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยล่ะ

   "อธิษฐานเร็ว อยากได้อะไรรีบขอ"

   "เอามือถือกูคืนมา"

   "เทวดาเขาไม่ลงไปยุ่งกับปีศาจนะ"

   ใครกล้าสู้กับนิชนี่ผมขอกราบรัวๆ แค่เตือนพร้อมกับยิ้มให้ก็ปลอบตัวเองว่าถ้าอยากมีชีวิตต่อไปจงหุบปากแล้วอยู่เงียบๆ ไปซะ ผมที่ยังไม่รู้จะขออะไรตอนนี้เลยก้มหน้าเป่าไปอย่างรวดเร็ว

   "รีบไปไหนวะ กูยังไม่ทันถ่ายรูปได้เลย"

   "ก็กูไม่มีอะไรอยากได้ตอนนี้อะ แค่มีพวกมึงอยู่กับกูก็พอแล้ว"

   "ขอให้มีความสุขนะน้องโรม"

   คำอวยพรที่เหมือนจะทั่วไป แต่มีความหมายข้างในซ่อนไว้มากมายจนเกินจะกล่าว

   ผู้เสียสละกับความสุขที่เขาไม่เคยได้

   เค้กหลายสไตล์อย่างที่รู้ได้เลยว่าใครเลือกบ้าง ผมหยิบช็อคโกแลตฟัจด์ก้อนหนามาไว้หน้าตัวเองโดยไม่ต้องถามให้มากความ ราชาอยู่กับเค้กกาแฟ เน็ทขยับเค้กในจานเล็กของตัวเองให้นิชสามารถแบ่งของตัวเองให้ผู้ชายที่รักของหวานได้ปริมาณเพิ่ม ส่วนเค้กมะพร้าวอ่อนที่ไม่อยู่ตรงหน้าใคร

   เรายังคงเว้นตรงนั้นไว้ด้วยความเคยชิน

   นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เรายังคงใช้ความคุ้นเคยที่มีอยู่ตลอดมาในการจัดการชีวิตประจำวัน

   "...ถ้าได้กินข้าวแบบครบกลุ่มกันอีกก็ดีนะ"

   เอ่ยออกไปอย่างไม่คิดอะไรมากไปกว่ารำลึกความทรงจำในอดีต ทุกคนต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียว มันเป็นสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และเป็นไวท์ที่เอ่ยปากเป็นครั้งที่สองของวัน

   "อืม มันต้องดีแน่ๆ"


***
   มาครึ่งเดียวก่อนนะคะ ยังแต่งอีกครึ่งไม่จบแต่จะไม่ว่างยาวไปจนถึงอาทิตย์เลยค่ะ (งอแง) จะมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
«ตอบ #298 เมื่อ12-02-2016 01:34:53 »

สงสัยๆๆๆ   HBD น้องโรม

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
«ตอบ #299 เมื่อ12-02-2016 22:35:06 »

 :katai2-1: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด